ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ 82 คู่รักยามค่ำคืน

Now you are reading ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ Chapter 82 คู่รักยามค่ำคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปัง ปัง ปัง!

 

 

พลุถูกจุดทั่วท้องฟ้า ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดถูกเติมแต่งด้วยพลุหลากสี และทุกครั้งที่พลุถูกจุด ก็จะมีเสียงโห่ร้องตามมาด้วย

 

 

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง เช้ง เช้ง

 

 

ตึง ตึง ตึง ตึง

 

 

เสียงฆ้องเร่งจังหวะขึ้น สอดประสานกับจังหวะของ บุก[1] และ จังกู[2]  ตามมาด้วยเสียงหวีดแหลมของขลุ่ย การบรรเลงที่เร้าใจของคณะดนตรีทำให้ผู้คนพลอยขยับไหล่ตามไปต่อๆ กัน

 

 

“เป็นอย่างไร ต่างกับในยามกลางวันเลยใช่หรือไม่”

 

 

รูแฮเอ่ยถามด้วยโทนเสียงที่แฝงความพอใจ กโยซึลที่จ้องมองสิ่งตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกายอยู่ก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว

 

 

“เพลิดเพลินยิ่ง”

 

 

หากว่าตนกลับไปหลังจากเดินเล่นในตอนกลางวันคงจะเสียดายแย่ ในตอนกลางวันเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ชวนให้ปวดหัว ส่วนในยามค่ำคืนนั้นเต็มไปด้วยความครึกครื้นอย่างถึงที่สุด แค่มองดูอยู่เฉยๆ ริมฝีปากก็ยกยิ้มไม่หยุด ไหล่ก็ขยับยุกยิกไปมา

 

 

“ดูนั่น!”

 

 

กโยซึลหัวเราะออกมา พร้อมกับชี้ไปที่บางอย่าง ที่ตรงนั้นมีนักแสดงที่ใส่หน้ากากรูปสัตว์ที่มีขนฟูฟ่อง กำลังออกท่าทางตลกเกินจริงอยู่ นักแสดงหลายคนใส่หน้ากากยืนเรียงรายกัน ทำท่าทางเลียนแบบสัตว์วิเศษอย่างมังกร และม้ามังกร กโยซึลและรูแฮเดินไล่ตามคณะแสดงอยู่พักหนึ่ง บางครั้งก็ร่วมวงเต้นกับเหล่าผู้คนแปลกหน้า บางครั้งก็ร่วมชนจอกเหล้าที่ถืออยู่จนเริ่มรู้สึกเมามายขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงคู่รักธรรมดาๆ คู่หนึ่ง ปล่อยตัวให้ล่องลอยไปกับความเพลิดเพลินตรงหน้า

 

 

หลังที่กโยซึลและรูแฮสนุกสนานกันจนเหงื่อออก ทั้งคู่ก็ถือพลุลำเล็กเดินออกไปบริเวณนอกงานเฉลิมฉลอง มานั่งอยู่ที่บริเวณรอบนอกอันเงียบสงัด เหม่อมองไปที่บริเวณที่มีงานเฉลิมฉลองนั้น ถึงแม้จะเดินออกมาไม่ไกล ทว่ารอบตัวกลับมืดและวังเวงจนแทบรับรู้ไม่ได้ถึงความครื้นเครงของงานเมื่อครู่ กโยซึลและรูแฮหลีกหนีออกมาจากเสียงอึกทึก แล้วออกมานั่งพักบริเวณที่เงียบสงบ หลังจากนั้นก็จุดไฟที่ก้านพลุลำเล็ก ก้านพลุยาวที่เคลือบด้วยดินปืนเกิดประกายไฟวิบวับราวกับดอกไม้ ใบหน้าของกโยซึลที่กระทบกับแสงไฟดวกเล็กที่จุดประกายขึ้นนั้นระยิบระยับ นางจ้องมองไปที่ก้านพลุด้วยสายตาสนุกสนานอย่างไม่อาจละสายตาได้ ส่วนรูแฮก็ไม่อาจละสายตาจากกโยซึลได้เช่นกัน

 

 

“ไม่ประหลาดใจหรือ”

 

 

“ครั้งนี้มีสิ่งใดที่ทำให้กโยซึลประหลาดใจกัน”

 

 

“ดินปืน”

 

 

“ดินปืนหรือ”

 

 

ดินปืนอย่างนั้นหรือ ช่างไม่เข้ากับบรรยายในตอนนี้เลยสักนิด รูแฮถามกลับไปอย่างงุนงง คิดว่าตนนั้นฟังผิดไปหรืออย่างไร กโยซึลยังคงมองไปที่พลุด้วยท่าทีจริงจัง พร้อมกับพูดต่อว่า

 

 

“ทั้งพลุที่ถูกจุดไปบนท้องฟ้าเมื่อครู่ ทั้งดอกไม้ไฟที่อยู่ตรงหน้านี้ ช่างสวยงามนัก”

 

 

“มันคือความสวยงามที่สร้างสีสันให้งานเฉลิมฉลองนี้อย่างไรเล่า”

 

 

“ดินปืนที่งดงามถึงเพียงนี้ แต่ในสนามรบนั้นกลับเป็นดินระเบิดที่คร่าชีวิตผู้คน”

 

 

“นั่นสินะ” รูแฮพยักหน้าเห็นด้วย นับถือความคิดเชื่อมโยงที่แสนอิสระของกโยซึล ที่นึกไปถึงดินระเบิดอันมีอานุภาพร้ายแรงยามอยู่ในสนามรบ ขณะที่กำลังมองดอกไม้ไฟ

 

 

“ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะดินปืนจะกลายเป็นพลุที่งดงามเช่นนี้ หรือจะกลายเป็นดินระเบิดอันโหดร้าย ก็ล้วนอยู่ที่มนุษย์จะใช้มันทั้งสิ้น”

 

 

จากบทสนทนาเกี่ยวกับดินปืนเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของมนุษย์ ช่างยากยิ่งนักที่จะตามวัจนกรรมที่เปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นของนางได้ทัน แต่มันเป็นเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ หาได้ไม่มีที่มาที่ไปไม่ รูแฮที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ทั้งรู้สึกงงงัน และรู้สึกสนุกสนาน

 

 

กโยซึลยังคงวิเคราะห์ต่อ

 

 

“สิ่งที่สามารถทำให้โลกงดงามและโหดร้ายได้นั้นเริ่มจากใจของมนุษย์ เพราะอย่างนี้ปัญหาจึงอยู่ที่การปกครองคน เพราะโลกจะงดงามและมีความสุข หรือเต็มไปด้วยความโหดร้ายและความกลัวนั้น ล้วนอยู่ที่มนุษย์ทั้งสิ้น”

 

 

“ครั้งนี้เป็นเรื่องการเมืองอย่างนั้นหรือ”

 

 

“การเมืองหรือ”

 

 

“เจ้าพูดถึงเรื่องปกครองคน นั่นมิใช่การเมืองหรอกหรือ”

 

 

“อืม เราไม่ได้คิดไปถึงเรื่องที่ยุ่งยากเพียงนั้น”

 

 

กโยซึลที่นำบทสนทนาไปในหัวข้อที่กว้างขึ้นก่อนหน้านี้ เอ่ยปฏิเสธทันทีอย่างเขินอาย เห็นดังนั้นรูแฮก็ยกยิ้มกว้าง พร้อมกับเอ่ยเยินยอนาง

 

 

“เจ้าน่าจะคิดไปถึงเรื่องที่ยุ่งยากกว่านั้น เรากำลังชื่นชมสายตาอันก้าวไกลของกโยซึล ที่สามารถเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ได้จากดอกไม้ไฟลำเล็กเพียงเท่านี้”

 

 

“สายตาก้าวไกลอันใดกัน เราเพียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพียงเท่านั้น ผู้ใดก็บอกว่าเรามีความคิดที่แปลกประหลาด”

 

 

“เจ้านั้นไม่ยึดติดกับความคิดเดิม และมีแนวคิดอันเป็นอิสระที่หลุดจากกรอบ มันช่างเป็นแนวคิดที่ดีงามและยอดเยี่ยมยิ่ง”

 

 

“มันดีอย่างนั้นหรือ” กโยซึลเอียงคอมองมองรูแฮเล็กน้อย แล้วถามย้ำอีกครั้ง

 

 

แววตาที่ดูราวกับว่ากำลังสังเกตปฏิกิริยาของตน อีกทั้งยังดูราวกับกำลังออดอ้อนอยู่นั้น ช่างน่าเอ็นดูนักสำหรับรูแฮ

 

 

“ใช่ การมองสิ่งใดแตกต่างไปจากผู้อื่น และหลุดไปจากแนวคิดเดิมนั้น มิใช่ว่าใครก็จะทำได้ง่าย”

 

 

“เรามองต่างจากผู้อื่นอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เจ้ามีความคิดที่ผู้อื่นไม่ค่อยคิด”

 

 

“เพราะอย่างนั้น…เราจึงมีความคิดรักชอบรูแฮ”

 

 

แย่แล้ว หัวใจของรูแฮรู้สึกวูบวาบภายในชั่ววินาที อยู่ดีๆ กโยซึลก็นำพาเข้าสู่บรรยากาศที่ถูกทำลายลงเมื่อครู่ด้วยเรื่องดินปืนอย่างง่ายดายอีกครั้ง และความประหม่าที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็บังเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่อีกครั้ง

 

 

“เจ้านั้น…” ปลายนิ้วของรูแฮไล้ไปบนแก้มของกโยซึล “มักจะทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทุกครั้งไป”

 

 

กโยซึลไม่มีท่าทีลังเลเลยสักนิด นางพุ่งตรงเข้าหารูแฮกะทันหันอย่างไม่อาจคาดเดาได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้รูแฮไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เขาเพียงลุ่มหลงไปกับมัน และต้องมอบดวงใจของตนให้นางเท่านั้น และการที่นางคาดเดาไม่ได้นั้น ก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง

 

 

เปรี๊ยะ

 

 

พลุลำเล็กให้แสงสว่างน้อยๆ นั้นถูกเผาไหม้จนหมดไป บริเวณรอบๆ ที่สว่างด้วยแสงของพลุลำนั้นก็พลันมืดลงไปด้วย กโยซึลกับรูแฮจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ในความมืด ปลายนิ้วเรียวของทั้งคู่สัมผัสกัน

 

 

ในยามค่ำคืนมีพลังพิศวงบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่ว แสงสว่างของพระจันทร์ที่สาดส่องลงมานั้นกระตุ้นหัวใจของผู้คนและทำให้มันสั่นไหว บรรยากาศเย็นเยียบและมืดมิดค่อยๆ กระตุ้นความปรารถนาที่อยู่ลึกภายในจิตใจ

 

 

ความมืดได้อำพรางพวกเขาทั้งคู่ แม้จะไม่มีผู้ใดเห็นทว่าๆ ทั้งสองก็ยังคงระมัดระวังในทุกการเคลื่อนไหว ทั้งมือและลมหายใจที่สัมผัสซึ่งกันและกัน ล้วนกระทำอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งคู่ค่อยๆ โอบกอดกันอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขินอายแม้กระทั่งความมืด แล้วเสียงสั่นเครือก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

 

 

“เรา…กลับเข้าไปกันดีหรือไม่”

 

 

รูแฮที่โอบไหล่กโยซึบอยู่กระซิบขึ้น กโยซึลที่เอนตัวพิงหน้าอกของรูแฮ แล้วหอบหายใจนักอยู่นั้นพยักหน้ารับ หลังจากที่ใช้เวลาอันแสนหวานด้วยกันสองคนแล้ว ทั้งคู่ก็กลับเข้าไปที่ใจกลางงานเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวอีกครั้ง ขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งพักอยู่ริมถนน เนื่องจากเพลิดเพลินไปกับงานอย่างเช่นคู่รักธรรมดาทั่วไปนั้น

 

 

“หญิงสาวนางนี้ช่างอ่อนโยนยิ่ง”

 

 

อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งพูดขึ้น ทำให้กโยซึลตกใจหันไปมอง รูแฮเอาตัวบังกโยซึลไว้ และเมื่อเขามองไปยังต้นทางของเสียงนั้นด้วยสายตาน่ากลัว เงาเล็กนั่นก็ขยับเคลื่อนไหวแล้วพูดต่อว่า

 

 

“ชายรูปงามผู้นี้มีพลังจิตที่แรงกล้าไม่เบาเลย”

 

 

เงาเล็กเงาหนึ่งโผล่ออกมาจากความมืดสลัวที่อยู่ด้านหลังถนนที่ทั้งคู่นั่งอยู่ ในยามดึกดื่นเช่นนี้ ยากยิ่งนักที่จะมองออกได้ว่าผู้ที่ถูกความมืดบดบังไปครึ่งตัวนั้นเป็นใคร มีเพียงดวงตาเปล่งประกายสองคู่เท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของคนผู้นั้นอยู่ และเมื่อสายตาคุ้นชินกับความมืดขึ้นแล้วจึงพอมองเห็นเค้าร่างได้ ตรงนั้นมีหญิงแก่ตัวผอมบางที่หลังค่อมเพราะอายุมากแล้วยืนอยู่ ข้างๆ กับที่ที่กโยซึลกับรูแฮนั่งอยู่นั้นมีโต๊ะที่ถูกคลุมด้วยผ้าตั้งอยู่ เมื่อเห็นว่าบนนั้นมีสิ่งของหลายอย่างที่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไรวางอยู่ จึงรู้ได้ว่ายายแก่คนนั้นคือหมอดูนั่นเอง

 

 

“ข้าดูดวงให้เอาหรือไม่”

 

 

“ไม่เป็นไรขอรับ เราทั้งสองมิได้ตั้งใจจะมารบกวนการค้าขายของท่านผู้เฒ่า เพียงต้องการนั่งพักสักครู่เท่านั้น พวกเขาขอตัวขอรับ”

 

 

รูแฮรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีของหญิงแก่ที่เหลือบมองไปที่กโยซึลเท่าใดนัก เขาจึงลุกยืนขึ้น และขณะที่กโยซึลกำลังจะลุกขึ้นยืนตามรูแฮ หมอดูแก่ผู้นั้นก็คว้ามือของนางไว้ มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเรี่ยวแรงของหญิงชราก็มากนัก จนต้องยอมยื่นมือให้นางอย่างช่วยไม่ได้ รูแฮที่ไม่มีความเชื่อเรื่องหมอดูขมวดคิ้วมุ่นในทันที ทว่าไม่รู้ว่าหมอดูแก่นางนั้นรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของรูแฮหรืออย่างไร เมื่อนางดูลายมือของ

 

 

กโยซึลแล้ว ก็ลามไปดูลายมือของรูแฮด้วย

 

 

“วันเกิด”

 

 

“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”

 

 

“บอกวันเกิดของเจ้ามา”

 

 

เมื่อหมอดูแก่พูดขึ้นมาเสียงดัง กโยซึลจึงบอกวันเดือนปีเกิดของตนไปทันที และเมื่อหญิงชรามองไปที่รูแฮ เขาจึงบอกวันเดือนปีเกิดของตนออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก

 

 

“ท่านหมอดูต้องการดูดวงให้พวกเราเอง ฉะนั้นพวกเราจะไม่จ่ายค่าดูหมอให้หรอกนะขอรับ”

 

 

“แล้วใครขอกัน”

 

 

หมอดูแก่ที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจจากน้ำเสียงของรูแฮ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วนสั้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งท่าทีที่ต้องการจะดูดวงให้ได้นั้นช่างประหลาดนัก นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับนับนิ้วอยู่สองสามครั้ง นางจมอยู่ในโลกของตัวเองราวกับว่าลืมไปแล้วว่ากโยซึลกับรูแฮยังอยู่ตรงนี้ หมอดูแก่ขยับสิ่งที่อยู่บนโต๊ะไปมา บ้างก็ขีดเขียนตัวหนังสือลงบนหนังสือเล่มเก่าที่ถูกขีดเขียนจนดำสนิท และหมอดูแก่ที่กำลังจมอยู่กับตัวเองนั้น อยู่ๆ ก็หยุดการเคลื่อนไหวลง

 

 

“ท่านยาย เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

 

 

กโยซึลเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ดีนัก จึงถามออกไปด้วยความกังวลใจ นางกังวลว่าดวงชะตาของตนกับรูแฮอาจจะไม่ดี ด้วยเหตุเพราะตนกับรูแฮนั้นทำผิดศีลธรรม หมอดูแก่ไม่พูดอะไร นางเอาเก้าอี้ตัวเล็กที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา แล้วนั่งคร่อมมันไว้อย่างหมิ่นเหม่ หลังจากนั้นดวงตาดำสนิทนั้นก็จ้องมองไปที่รูแฮ แม้รูแฮจะตกใจอยู่บ้าง ทว่าเขาก็จ้องมองนางกลับไปอย่างอวดดี ในที่สุดหมอดูแก่ก็พูดขึ้นว่า

 

 

“ชะตาในวันนี้ข้าจะพบเจอกับฝนวิหค และฝนนั้นก็เป็นพวกเจ้านี่เอง”

 

 

เมื่อกโยซึลได้ยินคำว่าฝนวิหค นางก็สะดุ้งทันที เพราะวิหคนั้นอยู่ในนามจริง ‘ยูอึลจิน’ ของรูแฮ และฝนนั้นก็อยู่ในนามจริง ‘อูรึม’ ของตน หมอดูแก่หันไปพูดกับกโยซึล ราวกับว่านางจับสังเกตุได้ถึงท่าทีที่กระสับกระส่ายของกโยซึล

 

 

“เนินเขาต้องพังทลายลงเพราะเจ้า”

 

 

“พังทลายหรือเจ้าคะ”

 

 

“มันต้องอาบไปด้วยเลือดก็เพราะเจ้า”

 

 

 

 

——

 

 

[1] บุก  กลองหนังไม้ทรงกลมที่ตีด้วยไม้หรือมือ

 

 

[2] จังกู  เครื่องดนตรีพื้นเมืองประเภทกลองสองหน้าของเกาหลี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด