ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 3-12

Now you are reading ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด Chapter 3-12 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไทเซครวญครางราวกับคนใกล้ตาย ใบหน้าปูดบวมจนตากับจมูกแทบจะแนบติดกัน เลือดและน้ำตาเต็มใบหน้าปกปิดเค้าโครงเดิมจนหมดสิ้น

“เฮ้ย เอาผ้ามาเช็ดหน้ามันหน่อย เดี๋ยวบอสจะเข้ามาแล้ว”

ฮาคุโตะพ่นบุหรี่เป็นควันยาวออกมาขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงโดยมีพิงไม้เบสบอลอยู่ เขาสูบบุหรี่เข้าไปอีกเฮือกก่อนจะปล่อยยาวแล้วโยนมันลงบนพื้นโกดังมืดสลัวพลางใช้เท้าขยี้ ทันใดนั้นผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบไปเอาน้ำยาดับกลิ่นมาฉีดตามตัวฮาคุโตะอย่างขะมักเขม้น

“ฉีดให้ทั่วนะ เวรกรรม ชีวิตฉัน อายุแค่นี้ก็โดนห้ามสูบบุหรี่ล่ะ”

เนื่องจากมินจุนเหมือนจะมีอาการแพ้ควันบุหรี่จึงมีคำสั่งห้ามสูบบุหรี่ลงมา โดยเฉพาะตอนเข้าออกภายในบ้าน ฮาคุโตะที่แทบจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นหลักก็เลยไม่สามารถพูดอะไรได้ กับวาทศิลป์ชั้นเลิศว่าทำไมถึงสูบของไม่ดีต่อสุขภาพ ขนาดแม้แต่บอสยังต้องยกมือยอมแพ้

“ฉีดหัวด้วย”

“เดี๋ยวนะ ลูกพี่ โดนห้ามสูบจริงๆ เหรอครับ”

“รู้แล้วก็เงียบซะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็มีคำสั่งลงมาถึงเอ็งด้วยหรอก”

“แค่คิดก็กลัวแล้วครับ ถ้างั้นอย่าพูดเลย”

“เออสิ เงียบๆ ไป แล้วฉีดเสร็จยัง มีกลิ่นไหม ไหนดมสิ”

“ไม่มีแล้วครับ”

“โอเค เฮ้ย ตรงนั้นเช็ดเสร็จยัง”

“ครับ ลูกพี่!”

“ไหนขอดูหน้าหน่อย”

ฮาคุโตะเดินเข้าไปใกล้คนที่นอนคว่ำและโดนมัดด้วยเชือกตรงหน้า เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ร่างกายของไทเซก็เริ่มขยับและสั่นระริกขึ้นมา

“เฮ้ย! เรื่องที่พวกแกทำมันพังหมดแล้ว ดันไปทำเรื่องไม่ควรทำซะงั้น”

“…คุณคือผู้ชายของจุนเหรอครับ”

“ทำไม สงสัย? อีกสักพักก็ได้เจอแล้วน่า”

และตอนนั้นประตูโกดังก็เปิดออกเสียงดัง ไทเซพยายามหันไปมองต้นเสียงด้วยดวงตาบอบช้ำพลางขยับร่างกายถอยไปด้านหลัง มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินตามหลังชายคนหนึ่งเข้ามา ทว่าคนหน้าสุดนั้น ทำเอาไทเซถึงกับส่งเสียงเฮือกออกมาเพราะความหล่อเหลาจนไม่สามารถละสายตาได้เลย

บรรยากาศอันตรายรายล้อมรอบตัวอีกฝ่ายที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มคนที่ทำให้เขามีสภาพดูไม่ได้เช่นนี้อีกที ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไทเซรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าคนคนนี้คือบอสของพวกยากูซ่าจริงๆ

ไดกิเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าไปใกล้ไทเซ พร้อมแสดงให้อีกคนรู้สึกถึงเจตนาฆ่าในชั่วพริบตา เมื่อคิดว่าครั้งหนึ่งคนตรงหน้าเคยโอบกอดและคลอเคลียมินจุน กำปั้นภายใต้ถุงมือก็กระตุกขึ้นมาทันที

พอร่างสูงหยุดเดิน คนที่ยืนประกบด้านข้างก็จับตัวไทเซให้ลุกขึ้นมา บนใบหน้าที่มีแต่รอยแผลน่าดูชม

“นายคือไทเซงั้นเหรอ เหมือนจะสงสัยสินะว่าผู้ชายของมินจุนคือใคร ฉันเอง”

“ปะ ปะ ปล่อยผมไปเถอะครับ…”

ไม่สามารถปกปิดสีหน้าตกตะลึงจนลูกตาแทบถลนออกมาได้ ไทเซอ้อนวอนไดกิด้วยน้ำเสียงขาดห้วง

“ท่าทางซี่โครงหกซี่จะยังไม่พอ”

“จะ จะไม่โผล่มาอยู่ต่อหน้า…จุนอีกแล้วครับ…”

เมื่อคำว่าจุนหลุดออกมาจากปาก ใบหน้าไทเซก็สะบัดไปทางด้านข้างราวกับจะกระเด็น

“อึก…”

ริมฝีปากฉีกแตกมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง เพราะไดกิต่อยเข้าที่หน้าอีกฝ่ายนั่นเอง

“อย่าพูดคำว่าจุนอีกเด็ดขาด เดี๋ยวแกจะอยู่ยากกว่านี้ คิดให้ดีถ้าจะเมินคำเตือนของฉัน”

หลังเตือนออกไปอย่างสุขุมก็ส่งสัญญาณให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฮาคุโตะจึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จับไทเซให้นั่งลงแล้วคล้ายเชือกมัดมือออก ก่อนจะล็อกมือลงกับพื้น

ไดกิย่อตัวลงตรงหน้าจ้องมองคนกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“มือข้างไหน ที่ตบหน้ามินจุน”

ไทเซส่ายหัวไปมา แต่สายตากลับมองมือข้างขวาของตัวเองอย่างหวาดหวั่นตามสัญชาติญาณ

“งั้นเหรอ ข้างนี้สินะ

จากนั้นร่างสูงก็ปักมีดที่ไม่รู้ว่าเอาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลงบนหลังมือข้างนั้นแล้วหมุนอย่างแรง

“อึก! อ๊ากกก!”

เสียงกรีดร้องสยดสยองดังไปทั่วโกดัง พอผู้เป็นเจ้านายลุกขึ้นยืน ฮาคุโตะก็รับมีดเล่มนั้นมาถือไว้เอง

“เฝ้าไว้จนกว่าแผลจะหาย”

“ครับ”

หลังเดินออกมาข้างนอก ลมเย็นๆ ก็คล้ายจะช่วยให้อารมณ์เย็นลง ไดกิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง ทุ่มห้านาที… น่าเสียดาย เพราะมันเป็นเวลาที่มินจุนกับโทมะทานข้าวเสร็จแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หมอนั่น เขาก็คงได้ทานข้าวเย็นพร้อมกันแล้ว… คิดแล้วก็ยิ่งอยากจะเข้าไปดับลมหายใจมันซะ

กริ๊ง กริ๊ง เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เจ้าตัวจึงหยิบมันออกมาจากด้านในเสื้อสูท โทมะนั่นเอง ช่วงนี้โทมะดูจะสนุกสนานกับการวีดีโอคอลมาก ถ้ามีเวลาจะวีดีโอคอลมาหาแบบนี้เรื่อยๆ ถึงแม้ส่วนหนึ่งจะเป็นมินจุนยุยงให้ทำก็ตาม

ไดกิกดรับสาย ทันใดนั้นใบหน้าของคนสองคนที่ทำให้เขายิ้มออกมาอัตโนมัติก็ปรากฎขึ้นเต็มหน้าจอ

[ป๊ะป๋า ซื้อพุงออปัง[1]ให้หน่อยฮับ หยักกิงพุงออปัง]

“พุงออปัง?”

[ไดกิ หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ผมเอาหนังสือมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติให้โทมะดู พอเห็นรูปปลาคาร์พในหนังสือ โทมะก็ถามว่าทำไมพุงปลาคาร์พถึงป่องๆ ล่ะ… แหะๆ ผมก็เลยบอกว่าเพราะใส่ไส้ถั่วแดงน่ะสิ คือไม่รู้ตัวเลยครับ ทีนี้โทมะก็เลยบอกว่าอยากกินพุงออฟัง… คุณก็รู้นี่นา ถ้าโทมะเริ่มอยากแล้ว ก็จะเซ้าซี้จนกว่าจะได้อะ ฮ่าๆ เหมือนใครกันนะ นั่นแหละครับ ตอนกลับบ้าน…เอ่อ เดี๋ยวนะ กำลังกลับแล้วใช่ไหมครับ อิสึกิบอกว่างานคุณเสร็จหมดแล้ว… ถ้างั้นแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อแม่พิมพ์กับวัตถุดิบมาให้หน่อยได้ไหมครับ นะๆ ขอร้องน้า]

“ฉันดูเหมือนคนจะไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตหรือไง”

[ทำไมไม่ได้ล่ะครับ]

[มะดั้ยเหยอ ป๊ะป๋า]

[โธ่ ไม่เอาน่า ซื้อมาให้หน่อยครับ เดี๋ยวผมทำส่วนของคุณให้ด้วย นะๆ]

“ขอปฏิเสธ”

[ไดกิ]

[ป๊ะป๋า]

“จะวางแล้ว”

[เดี๋ยวๆ โทมะเตรียมตัว]

[อื้อ]

[เอาล่ะ หนึ่ง สอง สาม!]

[รักนะครับ/ ยักนะฮับ]

ทั้งสองคนเอามือคนละข้างทำเป็นรูปหัวใจเบี้ยวๆ พร้อมยู่ปากเหมือนปลาคาร์พโจมตีใส่ ไดกิกดตัดสายทันที กลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหลังไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่มองท้องฟ้ายามเย็นหลังพระอาทิตย์เริ่มตกพลางกระแอมไอใส่กัน เมื่อต้องมาเจอกับการถ่ายทอดสดด้วยสปีกเกอร์โฟน ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกับชีวิตปกติของครอบครัวยากูซ่าเลยเช่นนี้

“เรน”

“ครับ บอส”

“ไปซูเปอร์มาร์เก็ต… ที่ใกล้ที่สุดกัน”

* * *

ใบหน้าของไดกิซีดเผือดเมื่อเห็นอาหารที่ชินบะถือเข้ามา ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พลางมองหนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กอายุสามขวบปรบมือส่งเสียงร้องกันอย่างมีความสุข ชินบะนำกุ้งชุบแป้งทอดกรอบๆ เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆ มาจัดจานเป็นรูปวงกลมแล้ววางตรงหน้ามินจุนกับโทมะ

“ว้าว กุ้งชุบแป้งทอด”

“จุ้งชุบแป้งต้อด อาหย่อย อาหย่อยยย”

มินจุนมองเด็กน้อยทำท่าทางชอบใจอย่างเอ็นดู ก่อนจะจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดร้อนๆ ขึ้นมาเป่าฟู่ ฟู่ ให้อย่างตั้งอกตั้งใจ

หกโมง สามสิบนาที เวลาอาหารเช้า… เมื่อของทอดที่ควรขึ้นโต๊ะเป็นของว่างในมื้อเย็นกลับถูกยกขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอาหารในเวลานี้ ไดกิที่กำลังยกแก้วกาแฟแตะปากก็พลันตัวแข็งทื่อ

“ไม่ใช่ว่าเคยบอกแล้วเหรอ เช้าๆ แบบนี้กระเพราะกับลำไส้ยังไม่ตื่น กินข้าวหนักๆ ไม่ได้น่ะ”

“อ๋อ ก็ใช่ครับ แต่พอกินบ่อยๆ เข้า ตรงนี้มันก็เอาแต่เรียกหาอาหารนี่นา ตอนนี้ผมคิดว่าแม้แต่หมูสามชั้น ก็น่าจะกินได้แล้วนะครับ ฮ่าๆ”

มือข้างหนึ่งถือกุ้งชุบแป้งทอด ส่วนอีกข้างตีพุงตัวเองพร้อมหัวเราะอย่างมีความสุข แค่ได้เห็นก็รู้สึกขมขื่นในใจแล้ว แต่ท่าทางอีกฝ่ายดูมีความสุขมาก ไดกิเลยไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่บิดตัวเล็กน้อยไม่ให้มองเห็นทั้งสองในสายตา มินจุนเป่ากุ้งชุบแป้งทอดฟูๆ ให้อุ่นกำลังพอดีก่อนจะยื่นให้โทมะ

กรอบแกรบ เจ้าของเสียงเคี้ยวดังกร้วมยังดูน่ารักแย่งโทมะร้องว่า ‘อาหย่อย อาหย่อย’ ไม่หยุด ริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มกินกุ้งชุบแป้งทอดจนเป็นมันวาว ส่วนร่างบางนั้น ด้วยความน้ำลายสอจึงจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดเข้าปากทั้งๆ ที่มันยังร้อนอยู่ แล้วก็ต้องลุกจากเก้าอี้กระทืบเท้าปึงปังโวยวาย

“อ๊า ร้อนนน ร้อน… ฟู่… อา ร้อนอะ ไดกิ ผมเหมือนจะตายเลย”

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเรียกชื่อเขาออกมา แต่ไดกิก็ชี้แนะให้คำแนะนำมินจุนอย่างจริงใจ

“คายทิ้ง!”

“เสียดายนะครับ จะคายทิ้งได้ไงเล่า ไดกิไม่สนใจเลยเหรอ ทำไมล่ะ สักชิ้นไหมครับ”

มินจุนดูเหมือนจะเสียดายเลยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจิ้มชิ้นเล็กที่สุดยื่นให้อีกฝ่าย

“ไม่เอา กินกันไปเลย!”

ไดกิไม่ได้หันหน้าหนีจากกุ้งชุบแป้งทอด แต่กลับปฏิเสธเสียงดังแล้วลุกจากเก้าอี้ อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบอาหารประเภททอดเท่าไรนัก และยิ่งกว่าไม่มีรสชาติก็คือหลังจากกินแล้ว ไม่ชอบเวลาปากมันแผลบและไม่ชอบน้ำมันที่ติดตามมือด้วย ทันทีที่เห็นผู้เป็นพ่อลุก โทมะก็ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตามพร้อมยื่นมือไปหาขณะที่อีกมือหนึ่งมีหางกุ้งอยู่ มินจุนเองก็วางกุ้งชิ้นที่สองลงแล้วลุกเพื่อเดินไปส่งอีกคนเช่นกัน

“ป๊ะป๋าจูจุ๊บโหน่ย”

โทมะยู่ปากใส่ขณะยืนบนเก้าอี้ และถัดจากโทมะก็ต้องเป็นตาของตัวเอง คนยืนถือกุ้งตัวหนึ่งในมือจึงเฝ้ารอมอนิ่งคิสเป็นเวลาสามวินาทีเป๊ะๆ ทว่าไดกิกลับพูดตัดบทอย่างเย็นชา

“วันนี้งด”

จากนั้นก็หันตัวกลับอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะเดินออกจากห้องอาหาร โทมะเลยเบ้ปากเริ่มสะอึกสะอื้น “หม่าม้า ป๊ะป๋ามะจุ๊บง่า”

โทมะ หม่าม้าก็อยากร้องไห้เหมือนกัน เหมือนจะเคยบอกว่ารักกันแล้วนะ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็เถอะ ไหนบอกว่าแสดงความจริงใจให้เห็นก็ได้แล้วไง! แล้วทำไมไม่มอร์นิ่งคิสเล่า มินจุนเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนเด็กน้อยข้างตัวขณะจ้องมองแผ่นหลังกว้าง เมื่อรู้สึกเหมือนโดนจ้องจนแทบทะลุ ร่างสูงจึงหันกลับมาอีกครั้งแล้วเอ่ยกับทั้งสองคนอย่างหนักแน่น

“เช็ดปาก!“”

มินจุนยืนปากมันแผลบอย่างกับนักเพาะกายจึงรีบหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดให้โทมะก่อน แล้วก็เช็ดปากตัวเองตามจนสะอาดสะอ้าน ดูอย่างไรก็เป็นภาพน่าขบขันจริงๆ แต่โทมะเองก็ทำเช่นกัน ทว่าภาพคนตัวเล็กเช็ดปากตัวเองเพื่อรอรับจูบนั้น มันกลับแตะต้องความปรารถนาของไดกิเบาๆ

ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะจากที่ไหนสักที อิสึกิผู้ใจกล้าน้อยที่สุดในยามปกติกัดปากแน่นและอมยิ้มให้ภาพนั้น แต่เมื่อโดนเรนมองอย่างคาดโทษ อิสึกิก็โค้งให้อย่างสุภาพแล้วรีบเดินออกจากห้องไปก่อนใครๆ ต่อให้ไม่พูดออกมาตรงๆ ตอนนี้อีกฝ่ายก็คงออกไปขูดผนังข้างนอกแล้วหัวเราะเอาเป็นเอาตายอยู่ ฮาคุโตะแสนจะอิจฉา ขอร้องล่ะ ช่วยวางกุ้งที่ถืออยู่ลงก่อนได้ไหม… สำหรับฮาคุโตะเอง ถ้าตอนนี้ตัวเขาไม่พยายามคิดถึงคุณพ่อที่เสียไปแล้ว ก็คงยากจะอดทนอดกลั้นต่อภาพคนหนึ่งถือหางกุ้ง อีกคนถือตัวกุ้งหลับตารอรับจูบจากบอสได้

จากนั้นไดกิก็ก้มตัวลงจุ๊บปากโทมะ จนเด็กน้อยดูอารมณ์ดีขึ้นจับเก้าอี้ร้องตะโกนว่า ‘จุ๊บแย้ว จุ๊บแย้ว’

ก่อนจะรวบเอวบางของอีกคนดึงเข้ามาหาตัว กระซิบข้างหูคนที่กำลังหลับตาอยู่

“ตอนเช้าห้ามกินของทอด ไม่งั้น… จะไม่มีมอร์นิ่งคิสอีกตลอดไป”

มินจุนลืมตาขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ ทว่าไม่ทันจะได้ถามอะไร ร่างสูงก็กดจูบลงมาพร้อมใช้ฟันขบกัดลงบนริมฝีปากแล้ว เริ่มต้นมอร์นิ่งคิสที่มากกว่าของโทมะหลายเท่า

[1] พุงออปัง ขนมเกาหลีชนิดหนึ่ง เป็นเค้กรูปปลาสอดไส้ถั่วแดง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด