ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด 3-13

Now you are reading ตกหลุมร้าย! ยากูซ่าพ่อลูกติด Chapter 3-13 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ป๋อจื้อมิงจุง ลักตะหนะเด่งคือหล่อฮับ”

มินจุนอมปลายลูกโป่งสูบแก๊สฮีเลียมแล้วสูดเข้าไปเต็มปอดก่อนจะหันไปพูดกับโทมะ เด็กน้อยจึงเกลือกกลิ้งบนเตียงหัวเราะแทบตายกับเสียงตลกๆ เมื่อมินจุนพูดอีกว่า “ป๋มคือหม่าม้าของโตมะ” โทมะก็ดีดขาปึงปังพลางจับท้องตัวเองแน่น

“ตาหลก ตาหลกจังเยย โทมะ ปวดท้อง ฮ่าๆ”

แต่พอเขาหยิบลูกโป่งฮีเลียมขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายก็ลุกพรวดพลางอ้าปาก เอื้อมมือมาจับแขนกัน

“จ้าๆ อะ สูดเอาไปแรงๆ”

เมื่อเอาปากลูกโป่งแตะปากเล็กๆ โทมะก็ทำเสียงซู้ดสูบลมเข้าตัว

“โตมะฮับ ตาหยก ตาหยก โตมะต้อบป๊ะป๋ากะหม่าม้า”

มินจุนเองก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ดึงเด็กน้อยที่กุมท้องขำเพราะเสียงตัวเองพลางหงายหลังตึงลงกับเตียงเข้ามากอดแน่น ณ ตรงนั้นมีเพียงเคนตะคนเดียวที่ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทำหน้าที่เติมแก๊สฮีเลียมใส่ลูกโป่งให้ทั้งคู่

“ฮ่าๆ น้ำตาไหลเลย โอ๊ย ท้องฉัน คุณเคนตะลองสักครั้งไหมครับ นะๆ ขอร้องล่ะครับ”

การออดอ้อนของมินจุนน่ะ แม้แต่ไดกิยังเอาชนะไม่ได้ แล้วเคนตะผู้มีเลเวลต่ำกว่าบอสก็เรียกได้ว่าไร้ฝีมือ ยิ่งกว่านั้น อาวุธสุดแข็งแก่งที่คนตรงหน้าครอบครองอยู่ก็คือบอสตัวน้อยของเขา! โทมะรีบเข้ามาช่วยสนับสนุนมินจุนอีกแรง

“กิง!”

ความหมายทางภาษามันก็คือคำสั่งไม่ผิดแน่นอน ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งคงไม่มีทางสูดแก๊สฮีเลียม อันดับสามของหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ควรมีบนโลกเข้าปากด้วยตัวเองเพราะคำพูดของเด็กน้อยเพียงคำเดียวแน่ เคนตะคิดพลางสูดแก๊สฮีเลียมเข้าไปและปิดปากสนิท ไม่ยอมพูดจาอะไรทั้งนั้น แม้ว่าทั้งสองคนจะพยายามทำให้เปิดปาก ถามคำถามอย่างไม่ยอมแพ้

“อ้าว จะเอาแบบนี้เหรอ พูดอะไรสักคำสิครับ”

“พูดโหน่ย พูดจิๆ โทมะจะโกดแย้วนะเคงตะ!”

แม้ท่านโทมะจะสั่งให้เปิดปากพูด แต่เคนตะก็ทำเพียงหลับตาและอดทนเท่านั้น รอคอยจนกว่าแก๊สฮีเลียมจะหมดฤทธิ์เอง… ทว่าขณะนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขากลับดังขึ้น เป็นสายของบอสนั่นเอง เคนตะจึงรีบลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับอย่างสุภาพ

“ฮับบอส มีเยื่องอะไยเหยอฮับ”

…ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าตัวหลงลืมไปว่าเพิ่งสูดแก๊สฮีเลียม เมื่อเสียงตลกๆ เหมือนเสียงเด็กน้อยออกมาจากปาก เคนตะก็ได้แต่ยื่นแข็งทื่อกับที่ไม่กระดุกกระดิกใดๆ ทั้งสิ้น

[เปลี่ยนสายให้มินจุน]

การสั่งให้เปลี่ยนสายหามินจุนเป็นเรื่องคาดเดาได้อยู่แล้ว ผู้รับคำสั่งจึงยื่นโทรศัพท์มือถือให้มินจุนด้วยใบหน้าไร้วิณญาณ

“ไดกิ ผมเอง”

[เล่นอะไรกัน]

“ฮ่าๆ คุณเคนตะสูดแก๊สฮีเลียมเข้าไปน่ะครับ เขาอุตส่าห์อดทนไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่พอไดกิโทรเข้ามา ฮ่าๆ โอ๊ย ท้องผม เดี๋ยวตอนไดกิกลับมาบ้าน ลองเล่นดูไหมครับ”

[…มินจุน จัดการทิ้งมันให้หมด ก่อนฉันจะกลับ! ถ้านายเอามันเข้ามาใกล้ฉันแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ นายต้องตื่นตีห้าครึ่งหนึ่งเดือน เข้าใจ?]

“สนุกจะตาย ทำไมเอาแต่ห้ามเล่นล่ะครับ”

[มินจุน!]

“รู้แล้วๆ จะเอาไปทิ้งให้หมดเลย จะคุยกับเคนตะไหมครับ”

[อือ บอกให้ฟังเฉยๆ พอ]

“ครับ”

มินจุนหน้าบึ้งส่งมือถือคืนเจ้าของพร้อมบอกว่า “เขาบอกให้ฟังเฉยๆ ครับ”

“โทมะ เรามาเป่าลูกโป่งแล้วปล่อยไปบนฟ้าดีไหม”

“อื้อ ดีเยยๆ”

สักพักเคนตะก็กดวางสาย เหงื่อกาฬไหลท่วม เขาจึงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด

“ขอโทษนะครับ ไม่คิดว่าเขาจะไม่ชอบขนาดนี้ แต่ไดกิว่าผมคนเดียวนะ เขาไม่ได้โมโหใส่คุณเลยครับ อย่าทำหน้าอมทุกข์แบบนั้นสิ”

มินจุนกำลังปลอบตัวเอง… อันที่จริงหัวโจกมันก็คืออีกฝ่ายนั่นแหละ แต่พอได้เห็นท่าทีอ้อนน้อมแบบนั้น คนอ่อนไหวง่ายแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างเคนตะเลยพูดออกมาอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงปกติหลังแก๊สฮีเลียมหายไปหมดแล้ว

“แต่เสียงผมตลกที่สุดเลยไม่ใช่เหรอครับ”

“ครับ? ฮ่าๆ ใช่ๆ ตลกมากเลย เคนตะเรามาเป่าลูกโป่งพวกนี้ให้หมดแล้วปล่อยขึ้นฟ้ากันดีไหมครับ โทมะก็น่าจะชอบนะ”

“ครับ ทราบแล้วครับ”

จากนั้นพวกเขาก็เอาแก๊สฮีเลียมที่ยังเหลือมาสูบลูกโป่งจนพองแล้วแบ่งกันถือเป็นสามกอง เดินไปที่หน้าต่าง

“หนึ่ง สอง สาม แล้วปล่อยนะ”

“โทมะนับเองๆ”

“ได้ๆ งั้นโทมะนับนะ”

“หนุง ฉอง ฉาม!”

เมื่อโทมะนับถึงสาม พวกเขาทั้งสามคนก็ปลอยลูกโป่งในมืออกไป ลูกโป่งอัดแน่นด้วยฮีเลียมซึ่งเบาบางกว่าอากาศโดนลมพัดลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่หนึ่งในลูกโป่งที่โทมะปล่อยดันถูกลมแรงพัดเข้าพอดีจึงลอยกลับเข้ามาในห้อง แล้วติดอยู่บนเพดานถูกราวกับโดนยึดไว้ โทมะจึงกระโดดหยองเหยงชี้บนเพดานพร้อมส่งเสียงเรียก

“หม่าม้า ตงนี้ ยูกโป่งยุนี่”

มินจุนมองตามมือเด็กน้อยพร้อมยกยิ้ม แค่ลูกโป่งลูกเดียวเก็บไว้ให้ไดกิได้ดูสักหน่อยก็ได้ คิดแล้วก็ลูบศีรษะโทมะ แต่จู่ๆ รอยยิ้มนั้นก็จางหายไป

แม้จะลืมไปช่วงหนึ่ง ทว่าหมอกดำภายในหัวใจกลับกระจายตัวราวกับหมึกของปลาหมึก เพดานที่มีลูกโป่งติดอยู่คือบันไดทางเชื่อมกับห้องลับชั้นสาม ภาพสุดช็อกที่เคยเห็นบนนั้นหวนย้อนมาทันที ร่างบางอุ้มโทมะที่คงยังมองลูกโป่งลูกนั้นไม่วางตากลับไปที่เตียงนอน

“หม่าม้า หม่าม้า”

โทมะจับแขนมินจุนเขย่าไปมาเหมือนต้องการอะไรสักอย่าง

“อืม ว่าไง”

“เอายูกโป่งออก เอาให้โหน่ย”

“ไม่ได้ หม่าม้าเตี้ย หยิบไม่ถึงหรอก”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาลงมาให้ครับ”

ทว่าทันทีที่เคนตะขยับตัว เขาก็ตะโกนเสียงหวีดสูง

“ไม่ได้! เดี๋ยวไว้ไดกิกลับมา ผมจะขอให้เขาทำให้เอง ห้ามแตะต้องเด็ดขาด โทมะรอจนกว่าป๊ะป๋าจะกลับมาได้ใช่ไหม”

ศีรษะเล็กๆ ของโทมะขยับขึ้นมาตอบ “อือ” ก่อนจะมุดกลับไปโอบรอบคอหม่าม้าที่จู่ๆ ก็ดูน่ากลัวขึ้นมา

“หม่าม้าขอโทษที่เสียงดังนะ”

มินจุนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าถ้าหากไดกิกลับมาแล้วจะต้องคุยให้ชัดเจน ให้ทุบมันทิ้งไปซะ เพราะชั้นสามไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

ถึงปกติจะเป็นแบบนี้ทุกวัน แต่หากรอคอยวันไหนเป็นพิเศษ วันนั้นไดกิก็มักจะกลับช้าเสมอ มินจุนรออีกฝ่ายหลังโทรมาพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ตอนเย็นมีนัด” แล้วก็วางสายไป เขาเหม่อมองลูกโป่งไร้ความผิด เมื่อก่อนเวลาแม่ทะเลาะกับพ่อ ท่านก็จะเก็บข้าวเก็บของ ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ขึ้นมาลางๆ แล้ว

ถ้าไดกิพูดว่า ‘ปล่อยๆ ไปเถอะแค่ของไม่มีค่าอะไร’ เขาก็จะเก็บข้าวเก็บของพาโทมะออกจากบ้านทันที คิดซ้ำไปซ้ำมาพลางมองเด็กน้อยนอนหลับปุ๋ย

เส้นผมนุ่มลื่นทำให้อารมณ์ดี มินจุนจึงชอบลูบศีรษะโทมะเสมอ ถ้าหากถามว่าระหว่างโทมะกับไดกิ เขารักใครมากกว่ากัน มินจุนคงไม่สามารถตอบได้ในทันที เพราะตอนนี้ทั้งสองคนเป็นทุกอย่างของเขา คิดอยู่ว่าสักวันจะพาโทมะไปแนะนำให้พ่อแม่ที่เกาหลีรู้จัก ไม่อยากเลี้ยงแบบหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป หากโทมะต้องการก็จะพากลับเกาหลี อยากให้สร้างความทรงจำใหม่ๆ กับคุณตาคุณยาย

คนที่ตกใจที่สุดเมื่อรู้ว่าลูกชายเป็นเกย์ก็คือพ่อ ‘ฉันเลี้ยงแกผิดตรงไหนเนี่ย’ แล้วเอาแต่ดื่มเหล้าทั้งคืน แต่สำหรับแม่แล้ว เนื่องจากเคยมีเกย์ชื่อดังในครอบครัวจึงยอมรับอย่างง่ายดาย เพียงแค่ขู่ว่า ‘ถ้าเอาคนไม่ได้เรื่องที่ไหนกลับมาด้วยล่ะก็ ฉันจะตีให้ขาหักเลย เข้าใจไหม’

มินจุนมองนาฬิกาตั้งโต๊ะอีกครั้ง

สี่ทุ่มห้าสิบ… กะว่าถ้าอีกฝ่ายกลับมาถึงก็จะรีบคุยทันที แต่เขาง่วงจนแทบจะพูดไม่ไหวแล้ว รีบๆ กลับมาสักทีสิ คงไม่ใช่ว่ากลัวจนกลับบ้านช้ากว่าเดิมหรอกนะ ให้ตายเถอะ! ง่วงแล้ว พอมาอยู่ที่นี่แล้วต้องตื่นเช้าทุกวัน แถมวันๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยง่วงง่ายๆ แบบนี้

เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจั๊กจี้บนหน้า มินจุนจึงหันหน้าหนีทั้งๆ ที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นพลางพึมพำ

“ฮึ่ย… ได…กิ ที่บ้านมีแมลง จัดการให้หน่อย…”

แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บราวกับถูกตบเลยปัดไม้ปัดมือตะโกนออกมา

“ตื่น”

แล้วก็ต้องลืมตาโพลงหลังได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำ ขณะเดียวกันก็ลูบแก้มตัวเองไม่หยุด

“อะไรเนี่ย! คุณตบหน้าผมเหรอ”

“ใครตบ ก็แค่ลูบเฉยๆ”

มินจุนผลักไดกิออกแล้วลุกวิ่งไปทางห้องน้ำ เผยอริมฝีปากค้างจนไม่สามารถปิดลงได้ จ้องมองใบหน้าตัวเองสะท้อนในกระจก เนื่องจากผิวหนังค่อนข้างบอบบาง สมัยเรียนเวลาใช้ดินสอเขียนเล่นๆ บนแขน มันก็จะติดอยู่อย่างนั้นทั้งอาทิตย์อย่างกับรอยสัก อาจจะเล่าเกินเหตุไปสักนิดก็จริง แต่ตอนนี้บนหน้าเขาดันมีรอยหยิกถึงขนาดมองเห็นเป็นรอยนิ้วมือประดับอยู่

ร่างบางมองทางชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอย่างสง่าผ่าเผยอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ก่อนจะชี้มาที่หน้าตัวเอง

“แล้วนี่จะทำยังไงครับ ก็บอกไปแล้วว่าผมผิวบาง แค่โดนลมผัดก็มีแผลได้เลยนะครับ คุณ…ทำไมคุณถึงเอาแต่หยิกหน้าผมตลอดเลยอะ”

“ก็นายน่ารักเองนี่ เป็นความผิดฉันหรือไง”

มุมปากข้างหนึ่งของไดกิยกขึ้นสูงเหมือนถูกดัน เฮ้อ! สีหน้าแบบนั้น อันตรายอยู่นะ.. หัวใจเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ยินคำพูดติดปากของอีกฝ่ายจนค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความปรารถนา ไม่ได้การแล้ว… เขาเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญบางอย่าง ได้แต่มองหน้าอยู่อย่างนั้นโดยพูดอะไรไม่ออก

“มินจุน ทำไมถึงมีนั่นติดอยู่ คงไม่ใช่สำหรับฉันหรอกใช่ไหม”

มินจุนมองตามนิ้วที่ชี้ขึ้นไปข้างบน มีลูกโป่งห้อยโตงเตงอยู่บนเพดานลูกหนึ่ง เออ! ใช่แล้ว! ดันลืมเรื่องชั้นสามซะงั้น เขาเกือบจะเขกหัวตัวเองแล้วถ้าไม่ใช่เพราะไดกิมองอยู่ คนตัวเล็กทำปากยื่นปากยาว ก่อนจะเบนศีรษะไปด้านข้างเหมือนทุกๆ ครั้งที่รู้สึกไม่พอใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างถึงที่สุด

“ส่วนสูงไม่ถึงก็เลยปล่อยไว้แบบนั้น ทำไม ไม่เข้าใจเหรอครับ”

“อะไร”

“ใครมันจะไปรู้ว่าตัวเองจะเกิดมาเตี้ย กลายเป็นเด็กกะโปโลแบบนี้ล่ะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามนะ ผมดื่มนมวันละตั้งสองลิตร… ใช่! แล้วเคยทำแบบนั้นด้วย เพื่อนเวรดันมาหลอกว่าถ้านอนกลับหัวแล้วจะสูงขึ้น… ผมก็เลยนอนกลับหัวพิงกำแพง ทำท่าหกสูง พี่ชายคนรองช่วยเอาเทปมาติดล็อกตัวให้ เลือดนี่ไหลลงหน้าจนต้องโทรหนึ่งหนึ่งเก้า[1] ไปห้องฉุกเฉินเลย คุณเคยขึ้นรถพยาบาลไหมครับ ตอนนั้นหน้าผมอย่างกับสัตว์ประหลาด ไม่รู้เหมือนมากแค่ไหน แต่หมาที่บ้านไม่ยอมมาเล่นด้วยเป็นเดือนๆ เลย ฮ่าๆ ทั้งๆ ที่ผมเป็นเจ้าของด้วยนะ ก็อย่างที่บอก มันไม่ยอมสูงให้ทำไงล่ะครับ เตี้ยจนเอาลูกโป่งจากเพดาน แค่ ลูก เดียว! ลงมาก็ไม่ได้ แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ”

ร่างสูงกอดอกมองคนพูดวกไปวนมาจนฟังไม่รู้เรื่อง

“มินจุนเข้าประเด็น”

“ตอนผมอายุเท่าโทมะ แม่เคยติดละครมากเลย ติดอยู่กับบทสนทนาจากละครเรื่องนั้นเกือบสองเดือนจนคนในบ้านรำคาญ มีประโยคหนึ่งก็คือ… ฉันจะทำลายคุณ ผมจะเปลี่ยนกรรมในประโยคให้นะครับ จะทำลายชั้นสาม!”

มินจุนรวบรวมแรงทั้งหมดพูดจบจนประโยค โดยชี้นิ้วขึ้นไปทางชั้นสาม แววตาของไดกิจึงเลื่อนตามนิ้วเรียว

“มินจุน ที่นายต้องการบอกก็คือ อยากทุบห้องลับชั้นสามทิ้งใช่ไหม”

“อย่าพูดว่าห้องลับนะครับ ผมไม่อยากได้ยิน! ใช่ อยากไถกลบให้มิดเลย”

“ได้ ก็ทำสิ”

“จะ…จริงเหรอครับ”

เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมทำตามที่คำขออย่างง่ายดายขนาดนี้เลยย้อนถามกลับไปอีกรอบ

“อืม อย่าให้ต้องพูดเยอะ นายดูเหมือนจะตื่นแล้วนี่ ไปห้องฉันไหม”

จากนั้นก็ถูกล่อลวงด้วยน้ำเสียงสุดเซ็กซี่ หัวใจร่วงจนเข่าแทบทรุด ทว่าจากปกติที่เคยขัดเขินพลางตอบรับง่ายๆ แล้วตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง ร่างบางกลับพูดคำไม่ตรงกับใจออกไปแทน

“ไม่ครับ ผมจะไม่เข้าห้องคุณจนกว่าจะทำชั้นสามเสร็จ เพราะผมเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน!”

ไดกิเลยมองคนแสดงท่าทางดื้อดึงครู่หนึ่ง ก่อนจะยักไหล่แล้วหมนุตัวกลับ

“ถ้านายว่างั้นก็ช่วยไม่ได้ ราตรีสวัสดิ์”

มินจุนกระทืบเท้าปึงปังอยู่ในใจ แต่ก็ไม่สามารถคว้าชายหนุ่มที่หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่ยินดียินร้าย แถมยังไม่ยอมตื้ออีกสักหน่อยไว้ได้

ตามมารยาทต้องถามอีกรอบ ไม่สิ ต้องลากไปเหมือนทุกทีไม่ใช่หรือไง แต่นี่ยอมไปเฉยๆ แบบนี้เนี่ยนะ! แล้วจะทุบชั้นสามเสร็จเมื่อไหร่ ถ้าใช้เวลานานแกจะทำไงเล่า ไอ้คนปากพล่อยเอ๊ย!

เขาตีปากพล่อยๆ ของตัวเองหลายที แล้วก็เดินปึงปังกลับเตียงที่มีโทมะนอนหลับอยู่

[1] 119 เบอร์โทรสำหรับเรียกรถพยาบาลหรือเกิดเหตุไฟไหม้ของเกาหลี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด