ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 870 เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา

Now you are reading ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ Chapter 870 เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จางเว่ยอวี่นั่งยองๆ บนพื้น เขาใช้พลังไปกับการวิ่งมากเกินไป โชคดีที่ช่วงหลายวันมานี้เขาได้กินแต่อาหารดีๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่มีแม้แต่แรงให้วิ่ง

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “คุณไม่ใช่ชาวนาธรรมดาใช่ไหม”

 

 

จางเว่ยอวี่หัวเราะ “นายเองก็ไม่ใช่ทาสธรรมดาเหมือนกัน”

 

 

สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจางเว่ยอวี่มักจะพูดจาดุๆ กับคนอื่นเสมอ…

 

 

“พวกเราจะทำยังไงต่อ” หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “ทัพเฮยอวี่จะอยู่ที่นี่ อีกนานแค่ไหนกว่ากองกำลังที่เหลือจะมาถึง”

 

 

“ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะทิ้งระยะห่างระหว่างหน่วยสอดแนมและกองหน้าของกองกำลังหลักประมาณสิบห้ากิโลเมตร แต่โดยปกติแล้วทัพเฮยอวี่จะไม่ฆ่าคนถ้าไม่มีกองทัพอยู่ข้างหลังและต้องการจับคนเพื่อไปสอบถามสถานการณ์ในพื้นที่!” จางเว่ยอวี่วิเคราะห์ “พวกเราต้องรีบวิ่งแล้วตอนนี้ แต่กองหน้าจะมีคนไม่มากสักเท่าไร และตามยุทธวิธีของพวกเขาแล้ว ทุ่งเองก็ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่เช่นกัน มาเร็ว เห็นแก่ที่นายช่วยชีวิตฉัน ตามฉันมาแล้วนายจะหนีพ้นสงครามนี้!”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง หลังจางเว่ยอวี่พูดจบเขาก็เดินตรงไปทางป่าทางทิศใต้ เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราควรบอกคนอื่นๆ ในเมืองว่ามีกองทัพอยู่ที่นี่ก่อนเหรอ”

 

 

จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “มีสงครามไหนบ้างที่ไม่มีความสูญเสีย นอกจากนี้ถ้าจะมีคนในเมืองต้องตาย ก็ปล่อยให้พวกเขาตายไป นี่ก็เป็นแค่เกมการไล่ล่าระหว่างพวกจอมทัพสวรรค์ ใครจะมาสนใจพวกคนที่อยู่ข้างล่างล่ะ สำหรับพวกนั้นแล้ว เราก็เป็นได้แค่มดตัวเล็กๆ”

 

 

“คุณไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เลยเหรอ” “จะเกิดอะไรขึ้นกับพืชผลของคุณถ้าพวกนั้นมาที่นี่” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเขาเลย

 

 

 

 

“พืชผลของฉันยังโตไม่เต็มที่เลย พวกนั้นจะปล่อยพวกมันไว้อย่างที่มันเป็นอยู่ พวกนั้นอยากจะยึดครองพื้นที่ตรงนี้มานานแล้ว และเมื่อพวกเขาทำได้ พวกเขาก็จะต้องการชาวนาและทาสทั้งหลายเพื่อมาปลูกพืชผล ใช่ไหมล่ะ สงครามไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ตราบเท่าที่เราหนีทันและค่อยกลับมาอีกครั้งตอนที่พวกเขายึดครองพื้นที่ได้สำเร็จ เราก็จะสามารถปลูกพืชผลได้เหมือนที่ผ่านมา” จางเว่ยอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจ เป้าหมายของสงครามครั้งนี้ก็เพื่อสังหารเหล่านายทาสและชนชั้นสูง และเพื่อขยายเขตแดน ในทางกลับกัน ชาวนาและทาสคนธรรมดาไม่มีอันตรายอะไร พื้นที่ยังคงมีความสำคัญมากกว่าอยู่ดี

 

 

นี่เป็นเหมือนการเปลี่ยนผู้นำในสถานที่ทำงาน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องการคนมาทำงานอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่สังหารทุกคน

 

 

นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ที่พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะสังหารหมดทุกคน แม้แต่ชาวนาและทาสคนธรรมดาก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว

 

 

จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า สงครามครั้งก่อนกินเวลายาวนานกว่าสิบปี และคนที่ไร้ความสำคัญทั้งหมดที่รอดชีวิตมาไม่มากก็น้อยมีความรู้ในการเอาชีวิตรอด

 

 

“ไม่” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “การไปบอกทุกคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ควรบอกตระกูลอวี่”

 

 

เขาพยายามเลี่ยงการพูดถึงอวี่เตี๋ยอย่างรอบคอบ เขาถึงขั้นทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่จางเว่ยอวี่พยายามจะสื่อ แต่ตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ เขาก็พึ่งพาอาหารที่เธอคอยส่งมาให้จนเขาสามารถฝึกฝนได้โดยไร้กังวล

 

 

เขาควรไปบอกเธอว่ามีอันตราย นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียหายอะไรอยู่แล้ว

 

 

เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นว่าหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความยุติธรรม เขาจึงพูดว่า “งั้นก็ไปสิ แต่ฉันไปก่อนนะ”

 

 

จางเว่ยอวี่หันหน้าเตรียมจากไป แต่…เขาก็ไม่ได้ขยับ…

 

 

“ไปให้พ้น…” จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก

 

 

“คุณกำลังจะไปไหน” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างโหวงๆ “มากับผมเถอะ ผมรู้ว่าคุณมีที่ซ่อนตัวจากสงครามแน่ๆ ล่ะ หลังจากพวกเราบอกพวกเขาแล้ว ค่อยพาผมไปที่นั่นสิ”

 

 

หลี่ว์ซู่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป จางเว่ยอวี่เป็นคนปากร้าย แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย หลี่ว์ซู่ต้องการเขา ถ้าเขามีที่ให้ซ่อนตัวจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็จะสามารถไปซ่อนตัวที่นั่นและฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ได้

 

 

และเมื่อถึงตอนที่สงครามสิ้นสุด ความสามารถของเขาอาจก้าวหน้าไปไกลแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เต็มใจเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาเป็นแค่แขกผู้มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าจะมีคนตายมากเท่าไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เขาจะไปซ่อนตัวอยู่กับจางเว่ยอวี่หลังจากแจ้งข่าวอวี่เตี๋ย เขาปล่อยจางเว่ยอวี่ไปไม่ได้จริงๆ

 

 

ตอนนี้จางเว่ยอวี่ไม่มีแม้แต่แรงอย่างคนธรรมดา เขาอยู่ห่างไปทางด้านหลังหลี่ว์ซู่แค่ไม่กี่ร้อยเมตร และดูราวกับว่าไม่มีอะไรเหลือให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นอีกแล้ว ถ้าทัพเฮยอวี่อยู่ทางด้านหลัง ทางเส้นนี้ก็เป็นเหมือนลูกศรชี้ทาง…

 

 

ต่อมาเมื่อจางเว่ยอวี่รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงยอมแพ้ เขาเดินตามหลังหลี่ว์ซู่เข้าไปในเมืองและหอบไปด้วย “มันก็แค่อาหารนิดหน่อย อย่าบอกนะว่านายตกหลุมรักเธอน่ะ อย่าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายเลย มันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายอาจจะไม่ได้แย่ แต่นายเคยคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ชาวนาเป็นได้แค่ทาสของพวกชนชั้นสูง ถึงนายจะเก่งกาจ แต่ก็ยังคงเป็นได้แค่ทาสของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ชนชั้นทางสังคมของนายกับเธอแตกต่างกัน เธอคงไม่ยอมแต่งงานกับทาสแน่ๆ”

 

 

หลี่ว์ซู่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แต่คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเราพัฒนาวิธีการของตนเอง เราก็จะโดดเด่น”

 

 

“นั่นคือตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว เหล่านายทาสและชนชั้นสูงยังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนกันอยู่ แล้วพวกเขาจะมีเวลามาสนใจนายเหรอ นอกจากนี้นายจะต้องฝึกอีกนานเเค่ไหน สิบปี หรือยี่สิบปี หรือนานกว่านั้น ที่นี่มีตัวแปรมากเกินไป” จางเว่ยอวี่เยาะเย้ยเขา “ถ้าทัพเฮยอวี่มาที่นี่ เมืองทั้งเมืองก็จบเห่ นายจะไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดหนีด้วยซ้ำ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชี้มีดผู่เตาไปที่จางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์ “ไร้สาระ! คุณพูดอะไร รีบไปและพูดว่า bah”

 

 

“… bah”

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]

 

 

หมอนี่มันอะไรกัน!

 

 

จางเว่ยอวี่พูดด้วยเสียงอันเบา “ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายจะดี แต่นายสามารถฆ่าคนนับพันด้วยกระบี่เดียวได้ไหมล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองเขา จางเว่ยอวี่อาจจะไม่เชื่อ แต่หลี่ว์ซู่เคยทำแบบนั้นมาก่อน…

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงควบม้า ตระกูลอวี่กำลังจะจากไปโดยมีอวี่เตี๋ยเป็นผู้นำ

 

 

เมื่ออวี่เตี๋ยเห็นหลี่ซู่ เธอก็ตกตะลึง เธอดูเหมือนจะประหลาดใจแต่ก็ยินดี “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ หรือนายมาหาฉันเหรอ”

 

 

หลี่ว์ซู่เองก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน “คุณกำลังจะไปไหน”

 

 

“ฉันได้รับคำสั่งจากพวกผู้คุมให้ออกลาดตระเวนชายแดน” อวี่เตี๋ยพูด

 

 

ผู้คุมคือชนชั้นสูงในทุ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสาม

 

 

“อย่าไป” หลี่ว์ซู่พูด แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เขามองจางเว่ยอวี่ “ลุงช่วยอธิบายหน่อยสิ”

 

 

จางเว่ยอวี่ยิ้ม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถในการพูดนอกบท เขาเทียบไม่ติดเลย เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา…

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]

 

 

ในตอนนั้นเอง จางเว่ยอวี่ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากที่ไกลๆ และยังมีเสียงรัวกลองรบ เขาถึงขั้นเห็นภาพธงสีดำของทัพเฮยอวี่โบกสะบัดอยู่ในสายลม

 

 

“ไม่นะ พวกทหารเปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา ทัพเฮยอวี่คงพยายามเลี่ยงการถ่วงเวลาและตัดสินใจโจมตี พวกเขาอยากจะคว้าโอกาสในขณะที่ทั้งเมืองไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” จางเว่ยอวี่พูดอย่างตกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 870 เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา

Now you are reading ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ Chapter 870 เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จางเว่ยอวี่นั่งยองๆ บนพื้น เขาใช้พลังไปกับการวิ่งมากเกินไป โชคดีที่ช่วงหลายวันมานี้เขาได้กินแต่อาหารดีๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่มีแม้แต่แรงให้วิ่ง

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “คุณไม่ใช่ชาวนาธรรมดาใช่ไหม”

 

 

จางเว่ยอวี่หัวเราะ “นายเองก็ไม่ใช่ทาสธรรมดาเหมือนกัน”

 

 

สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจางเว่ยอวี่มักจะพูดจาดุๆ กับคนอื่นเสมอ…

 

 

“พวกเราจะทำยังไงต่อ” หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “ทัพเฮยอวี่จะอยู่ที่นี่ อีกนานแค่ไหนกว่ากองกำลังที่เหลือจะมาถึง”

 

 

“ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะทิ้งระยะห่างระหว่างหน่วยสอดแนมและกองหน้าของกองกำลังหลักประมาณสิบห้ากิโลเมตร แต่โดยปกติแล้วทัพเฮยอวี่จะไม่ฆ่าคนถ้าไม่มีกองทัพอยู่ข้างหลังและต้องการจับคนเพื่อไปสอบถามสถานการณ์ในพื้นที่!” จางเว่ยอวี่วิเคราะห์ “พวกเราต้องรีบวิ่งแล้วตอนนี้ แต่กองหน้าจะมีคนไม่มากสักเท่าไร และตามยุทธวิธีของพวกเขาแล้ว ทุ่งเองก็ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่เช่นกัน มาเร็ว เห็นแก่ที่นายช่วยชีวิตฉัน ตามฉันมาแล้วนายจะหนีพ้นสงครามนี้!”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง หลังจางเว่ยอวี่พูดจบเขาก็เดินตรงไปทางป่าทางทิศใต้ เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราควรบอกคนอื่นๆ ในเมืองว่ามีกองทัพอยู่ที่นี่ก่อนเหรอ”

 

 

จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “มีสงครามไหนบ้างที่ไม่มีความสูญเสีย นอกจากนี้ถ้าจะมีคนในเมืองต้องตาย ก็ปล่อยให้พวกเขาตายไป นี่ก็เป็นแค่เกมการไล่ล่าระหว่างพวกจอมทัพสวรรค์ ใครจะมาสนใจพวกคนที่อยู่ข้างล่างล่ะ สำหรับพวกนั้นแล้ว เราก็เป็นได้แค่มดตัวเล็กๆ”

 

 

“คุณไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เลยเหรอ” “จะเกิดอะไรขึ้นกับพืชผลของคุณถ้าพวกนั้นมาที่นี่” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเขาเลย

 

 

 

 

“พืชผลของฉันยังโตไม่เต็มที่เลย พวกนั้นจะปล่อยพวกมันไว้อย่างที่มันเป็นอยู่ พวกนั้นอยากจะยึดครองพื้นที่ตรงนี้มานานแล้ว และเมื่อพวกเขาทำได้ พวกเขาก็จะต้องการชาวนาและทาสทั้งหลายเพื่อมาปลูกพืชผล ใช่ไหมล่ะ สงครามไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ตราบเท่าที่เราหนีทันและค่อยกลับมาอีกครั้งตอนที่พวกเขายึดครองพื้นที่ได้สำเร็จ เราก็จะสามารถปลูกพืชผลได้เหมือนที่ผ่านมา” จางเว่ยอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจ เป้าหมายของสงครามครั้งนี้ก็เพื่อสังหารเหล่านายทาสและชนชั้นสูง และเพื่อขยายเขตแดน ในทางกลับกัน ชาวนาและทาสคนธรรมดาไม่มีอันตรายอะไร พื้นที่ยังคงมีความสำคัญมากกว่าอยู่ดี

 

 

นี่เป็นเหมือนการเปลี่ยนผู้นำในสถานที่ทำงาน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องการคนมาทำงานอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่สังหารทุกคน

 

 

นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ที่พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะสังหารหมดทุกคน แม้แต่ชาวนาและทาสคนธรรมดาก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว

 

 

จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า สงครามครั้งก่อนกินเวลายาวนานกว่าสิบปี และคนที่ไร้ความสำคัญทั้งหมดที่รอดชีวิตมาไม่มากก็น้อยมีความรู้ในการเอาชีวิตรอด

 

 

“ไม่” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “การไปบอกทุกคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ควรบอกตระกูลอวี่”

 

 

เขาพยายามเลี่ยงการพูดถึงอวี่เตี๋ยอย่างรอบคอบ เขาถึงขั้นทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่จางเว่ยอวี่พยายามจะสื่อ แต่ตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ เขาก็พึ่งพาอาหารที่เธอคอยส่งมาให้จนเขาสามารถฝึกฝนได้โดยไร้กังวล

 

 

เขาควรไปบอกเธอว่ามีอันตราย นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียหายอะไรอยู่แล้ว

 

 

เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นว่าหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความยุติธรรม เขาจึงพูดว่า “งั้นก็ไปสิ แต่ฉันไปก่อนนะ”

 

 

จางเว่ยอวี่หันหน้าเตรียมจากไป แต่…เขาก็ไม่ได้ขยับ…

 

 

“ไปให้พ้น…” จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก

 

 

“คุณกำลังจะไปไหน” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างโหวงๆ “มากับผมเถอะ ผมรู้ว่าคุณมีที่ซ่อนตัวจากสงครามแน่ๆ ล่ะ หลังจากพวกเราบอกพวกเขาแล้ว ค่อยพาผมไปที่นั่นสิ”

 

 

หลี่ว์ซู่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป จางเว่ยอวี่เป็นคนปากร้าย แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย หลี่ว์ซู่ต้องการเขา ถ้าเขามีที่ให้ซ่อนตัวจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็จะสามารถไปซ่อนตัวที่นั่นและฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ได้

 

 

และเมื่อถึงตอนที่สงครามสิ้นสุด ความสามารถของเขาอาจก้าวหน้าไปไกลแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เต็มใจเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาเป็นแค่แขกผู้มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าจะมีคนตายมากเท่าไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เขาจะไปซ่อนตัวอยู่กับจางเว่ยอวี่หลังจากแจ้งข่าวอวี่เตี๋ย เขาปล่อยจางเว่ยอวี่ไปไม่ได้จริงๆ

 

 

ตอนนี้จางเว่ยอวี่ไม่มีแม้แต่แรงอย่างคนธรรมดา เขาอยู่ห่างไปทางด้านหลังหลี่ว์ซู่แค่ไม่กี่ร้อยเมตร และดูราวกับว่าไม่มีอะไรเหลือให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นอีกแล้ว ถ้าทัพเฮยอวี่อยู่ทางด้านหลัง ทางเส้นนี้ก็เป็นเหมือนลูกศรชี้ทาง…

 

 

ต่อมาเมื่อจางเว่ยอวี่รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงยอมแพ้ เขาเดินตามหลังหลี่ว์ซู่เข้าไปในเมืองและหอบไปด้วย “มันก็แค่อาหารนิดหน่อย อย่าบอกนะว่านายตกหลุมรักเธอน่ะ อย่าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายเลย มันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายอาจจะไม่ได้แย่ แต่นายเคยคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ชาวนาเป็นได้แค่ทาสของพวกชนชั้นสูง ถึงนายจะเก่งกาจ แต่ก็ยังคงเป็นได้แค่ทาสของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ชนชั้นทางสังคมของนายกับเธอแตกต่างกัน เธอคงไม่ยอมแต่งงานกับทาสแน่ๆ”

 

 

หลี่ว์ซู่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แต่คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเราพัฒนาวิธีการของตนเอง เราก็จะโดดเด่น”

 

 

“นั่นคือตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว เหล่านายทาสและชนชั้นสูงยังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนกันอยู่ แล้วพวกเขาจะมีเวลามาสนใจนายเหรอ นอกจากนี้นายจะต้องฝึกอีกนานเเค่ไหน สิบปี หรือยี่สิบปี หรือนานกว่านั้น ที่นี่มีตัวแปรมากเกินไป” จางเว่ยอวี่เยาะเย้ยเขา “ถ้าทัพเฮยอวี่มาที่นี่ เมืองทั้งเมืองก็จบเห่ นายจะไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดหนีด้วยซ้ำ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชี้มีดผู่เตาไปที่จางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์ “ไร้สาระ! คุณพูดอะไร รีบไปและพูดว่า bah”

 

 

“… bah”

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]

 

 

หมอนี่มันอะไรกัน!

 

 

จางเว่ยอวี่พูดด้วยเสียงอันเบา “ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายจะดี แต่นายสามารถฆ่าคนนับพันด้วยกระบี่เดียวได้ไหมล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองเขา จางเว่ยอวี่อาจจะไม่เชื่อ แต่หลี่ว์ซู่เคยทำแบบนั้นมาก่อน…

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงควบม้า ตระกูลอวี่กำลังจะจากไปโดยมีอวี่เตี๋ยเป็นผู้นำ

 

 

เมื่ออวี่เตี๋ยเห็นหลี่ซู่ เธอก็ตกตะลึง เธอดูเหมือนจะประหลาดใจแต่ก็ยินดี “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ หรือนายมาหาฉันเหรอ”

 

 

หลี่ว์ซู่เองก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน “คุณกำลังจะไปไหน”

 

 

“ฉันได้รับคำสั่งจากพวกผู้คุมให้ออกลาดตระเวนชายแดน” อวี่เตี๋ยพูด

 

 

ผู้คุมคือชนชั้นสูงในทุ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสาม

 

 

“อย่าไป” หลี่ว์ซู่พูด แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เขามองจางเว่ยอวี่ “ลุงช่วยอธิบายหน่อยสิ”

 

 

จางเว่ยอวี่ยิ้ม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถในการพูดนอกบท เขาเทียบไม่ติดเลย เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา…

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]

 

 

ในตอนนั้นเอง จางเว่ยอวี่ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากที่ไกลๆ และยังมีเสียงรัวกลองรบ เขาถึงขั้นเห็นภาพธงสีดำของทัพเฮยอวี่โบกสะบัดอยู่ในสายลม

 

 

“ไม่นะ พวกทหารเปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา ทัพเฮยอวี่คงพยายามเลี่ยงการถ่วงเวลาและตัดสินใจโจมตี พวกเขาอยากจะคว้าโอกาสในขณะที่ทั้งเมืองไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” จางเว่ยอวี่พูดอย่างตกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+