ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอบทที่ 259 เผอิญเป็นสองศูนย์หนึ่งสามหนึ่งสี่พอดี

Now you are reading ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ Chapter บทที่ 259 เผอิญเป็นสองศูนย์หนึ่งสามหนึ่งสี่พอดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่ทว่า เธอก้มศีรษะลงมองเสื้อผ้าของตนเอง อีกทั้งยังมีน้ำที่วางเอาไว้อยู่ตรงหัวเตียงด้วยอีก แม้กระทั่งเป็นเพราะว่าเธอกลัวแสง ดังนั้นจึงดึงม่านลงมาให้ด้วยอีก……

เฉียวโยวโยวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะกดโทรออกไปในเบอร์ที่เลือกมา

หลังจากที่กดเสร็จแล้ว เธอค้นพบว่าตนเองนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ที่บ้านของหลานเสี่ยวถาง เธอกับฟู่สีเกอนั้นไม่ได้ไม่คุยกัน แต่ทว่า ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยกันทั้งหมด

แต่ทว่าในสถานการณ์อื่น ๆ พวกเขาก็แทบจะไม่ได้พบเจอหน้ากันตามลำพังเลย ยิ่งไม่เคยส่งข้อความหรือแม้กระทั่งโทรศัพท์หากันเลยด้วยซ้ำ

ตอนนี้ เธอเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาเขาก่อน ถือว่าเป็นการขอบคุณเรื่องของเขาเมื่อคืนวาน ก็คงจะไม่มีอะไรหรอกใช่ไหม?

เพียงแต่ ในตอนที่เฉียวโยวโยวกำลังอยู่ในเส้นคาบเกี่ยวระหว่างความสับสนนั้นเอง ที่ข้างใบหูก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาว่า “สวัสดีค่ะ เบอร์ที่คุณติดต่อมานี้ปิดเครื่องแล้ว……”

เฉียวโยวโยวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตามองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง ก็เป็นเบอร์โทรศัพท์ของฟู่สีเกอจริง ๆ นี่นา ทำไมเขาถึงปิดเครื่องในเวลาเช้ามากขนาดนี้ได้กันนะ?

เธอวางสายไปก่อนจะโทรอีกครั้งก็ยังคงบอกว่าปิดเครื่องไปแล้ว เฉียวโยวโยวจึงทำได้เพียงแค่กักเก็บความสงสัยเอาไว้ หลังจากนั้นก็หยิบข้าวของของตนเอง แล้วเดินออกจากห้องพักไป

หน้าประตูโรงแรม เธอหาป้ายทะเบียนรถที่งานบริการส่วนหน้าบอกเอาไว้เจอแล้ว ก่อนจะนั่งรถไปบริษัท

ในตอนที่กำลังเดินทางอยู่นั้นเอง ความคิดความอ่านของเธอจึงค่อย ๆ กลับมาที่งานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย

เมื่อวานเธอคงจะจากไปเช่นนั้นสินะ ดังนั้นแล้ว เธออยู่เป็นเพื่อนลูกค้าได้เพียงแค่ครั้งเดียว วันนี้ไปบริษัทคงจะไม่ถูกไล่ออกจากงานหรอกใช่ไหม?

เมื่อคิดได้ขนาดนี้แล้ว เฉียวโยวโยวก็มาถึงที่ทำงานของตนเองแล้ว เป็นไปตามคาด ผู้จัดการเจิ้งเดินเข้ามาหาแล้ว

เธอเรียกให้เฉียวโยวโยวไปที่ห้องประชุมเล็ก ก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องของเมื่อวาน ฉันได้ยินมาหมดแล้วนะคะ ผู้อำนวยการจางจากบริษัทตรงข้ามนั้นทำเกินไปมากจริง ๆ ดังนั้นเมื่อตอนเช้าตรู่นี้พวกเขาก็มาขอโทษขอโพยพวกเราแล้วค่ะ แล้วก็ไล่ผู้อำนวยการจางออกไปแล้วด้วย”

เฉียวโยวโยวได้ยินดังนั้นแล้วก็ตกตะลึง พูดไม่ออก

ผู้จัดการเจิ้งพูดไป พลางตบเบา ๆ เข้าที่หัวไหล่ของเฉียวโยวโยว “หลังจากนี้เรื่องของการไปเป็นเพื่อนลูกค้าแบบนี้ ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นคนทำดีกว่าค่ะ เมื่อวานเป็นพวกเราเองที่ไม่ไตร่ตรองเอาไว้ให้รอบคอบ ดังนั้นจะไม่มีอีกต่อไปแล้วนะคะ YOYO คุณกลับไปทำความคุ้นเคยกับข้อมูลในมือของคุณเถอะค่ะ คุณอาศัยอยู่ที่เมืองนอกมาหลายปี ภาษาอังกฤษไม่เลวเลย พวกเราฝากความหวังเอาไว้ที่คุณนะคะ!”

เฉียวโยวโยวได้ยินแล้วพลันหัวใจเต้นระรัว แต่ทว่ากลับทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะให้กลับมาสงบ เธอพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ได้ค่ะ ขอบคุณผู้จัดการเจิ้ง ฉันจะขยันต่อไปค่ะ”

สองสามวันต่อมา เฉียวโยวโยวก็ค่อย ๆ คุ้นเคยกับตำแหน่งในบริษัทแล้ว อีกทั้งตำแหน่งหลักของคุณ Luis ทางฝั่งนั้นมีความเกี่ยวข้องด้วยกันอยู่ ดังนั้นก็กล่าวลากับทุกคนแล้วจากหนิงเฉิงไปแล้ว

เพียงแต่ สองสามวันมานี้ที่บ้านของหลานเสี่ยวถางเฉียวโยวโยวก็ไม่ได้พบเจอฟู่สีเกอเลย

เพียงแค่ในวันแรกเท่านั้น เธอได้ยินสือมูเฉินบอกว่าฟู่สีเกอออกไปทำงานนอกสถานที่แล้ว เกรงว่าอีกสองวันถึงจะกลับมา

แต่ทว่า ผ่านมาสามสี่วันแล้ว ก็ยังไม่เห็นฟู่สีเกอมาขอทานข้าวด้วยเลย

เสื้อผ้าที่เขาส่งให้เธอก็ซักสะอาดหมดแล้ว หัวใจของเฉียวโยวโยวมีเรื่องบีบเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เจอฟู่สีเกอ จึงทำได้เพียงแค่ส่งข้อความไปหาเขาข้อความหนึ่งเท่านั้น

เธอพิมพ์ ๆ ลบ ๆ ข้อความอยู่หลายครั้งมาก พิมพ์ตัวอักษรเสร็จก็ลบแล้วก็พิมพ์มันอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้มาหนึ่งประโยค แล้วกดส่งออกไป

“ฟู่สีเกอ เรื่องของเมื่อคืนนั้น ขอบคุณมากจริง ๆ นะคะ ถ้าหากว่าคุณมีเวลาว่างแล้วละก็ เอาไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณนะคะ!”

เขาช่วยเหลือเธอมากขนาดนั้น เธอเลี้ยงข้าวเขา คงจะเป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ ใช่ไหมนะ? เขาจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจหรือเปล่านะ ที่จะรู้สึกว่าเมื่อก่อนเธอปฏิเสธเขาไปแล้ว ตอนนี้กลับมาหาเขาอีกครั้ง จะรู้สึกว่าเธอหน้าหนามากเกินไปหรือเปล่านะ?

เฉียวโยวโยวรู้สึกเพียงแค่ว่าสมองตื่นเต้นจะคล้ายจะเป็นลม หลังจากที่ส่งออกไปสองนาทีแล้ว ในที่สุดก็ได้รับข้อความตอบกลับจากฟู่สีเกอแล้ว

เขาตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายเป็นอย่างมาก มีเพียงแค่สามคำเท่านั้น “ไม่เป็นไร”

เฉียวโยวโยวชะงักไปครู่หนึ่ง ดังนั้น ความหมายของเขาก็คือ ทานข้าวด้วยไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?

เธอผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ทว่า กลับมีความรู้สึกผิดหวังบางอย่างที่อธิบายยากขึ้นมาแทน

เฉียวโยวโยวสบตามองตัวอักษรสามคำบนหน้าจอ คิดอยากที่จะตอบกลับไปสักประโยค แต่ทว่า สองจิตสองใจอยู่นานหลังจากนั้นก็วางโทรศัพท์มือถือลง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว โทรศัพท์ก็ไม่ดังขึ้นมาอีกเลย

วันเวลาผ่านไปในแต่ละวัน หลานเสี่ยวถางเป็นเพราะว่าต้องตระเตรียมงานแต่งล่วงหน้าเอาไว้ ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดจึงอยู่ในการตระเตรียมอย่างน่าตื่นเต้น

บัตรเชิญเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มีจำนวนมากที่ผู้ช่วยของสือมูเฉินเป็นคนรับหน้าที่แจกจ่ายไป แต่ทว่า คนที่ทำหน้าที่เป็นคนสำคัญที่สุด แน่นอนย่อมจำเป็นที่จะต้องให้สือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถางเป็นคนไปส่งบัตรเชิญด้วยตนเอง

เป็นเพราะว่าเฉียวโยวโยวไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นแล้ว คนที่จะเป็นเพื่อนเจ้าสาวนั้นย่อมที่จะต้องเป็นเธอด้วยอยู่แล้วอย่างแน่นอน แต่ทว่า โดยปกติแล้วเพื่อนเจ้าสาวจะมีสองคน ดังนั้นแล้ว หลานเสี่ยวถางหลังจากที่กำลังรอความเห็นชอบจากสือมูเฉินอยู่นั้น จึงโทรศัพท์หาซูสือจิ่นไป

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่สองสามครั้ง ทางฝั่งซูสือจิ่นนั้นถึงจะรับสาย

น้ำเสียงของเธอค่อนข้างอึมครึมเล็กน้อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความอ่อนแรงนิดหน่อยด้วย “พี่สะใภ้หรือคะ?”

หลานเสี่ยวถางฟังออกแล้วว่าน้ำเสียงเธอไม่ค่อยดีมากนัก อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “สือจิ่น เธอไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“ไม่นะคะ เพียงแค่ช่วงนี้ฉันอดนอนเล็กน้อยน่ะค่ะ กลับดำเป็นขาวหมดแล้ว” ซูสือจิ่นเอ่ย “พี่สะใภ้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

หลานเสี่ยวถางเอ่ยถึงงานแต่งงานของตนเอง มุมปากจึงอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “คือแบบนี้จ้ะ งานแต่งงานของฉันกับมูเฉินที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม? ประจวบเหมาะกับฉันที่กำลังจะส่งบัตรเชิญไปให้เธอพอดี หลังจากนั้นจะถามเธอว่า เธอสามารถที่จะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวได้ไหมจ๊ะ เป็นเพื่อนเจ้าสาวของฉันกับโยวโยวน่ะ?”

ซูสือจิ่นได้ยินหลานเสี่ยวถางจะแต่งงานแล้ว นัยน์ตาจึงอดที่จะส่งแสงเป็นประกายออกมาไม่ได้ เพียงแต่ หลังจากนั้นไม่นาน เธอกลับหวนนึกอะไรขึ้นมาได้ นัยน์ตาจึงกลับไปเป็นหม่นแสงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้คะ จะต้องเป็นคนที่ไม่ได้แต่งงานหรือเปล่าคะถึงจะสามารถเป็นเพื่อนเจ้าสาวได้?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้าก่อนจะเอ่ยว่า “ใช่จ้ะ! แต่ว่านะสือจิ่น เธอถามคำถามนี้ทำไมหรือ? เธอกับลั่วฝานหวาคงจะไม่ได้จะแต่งงานกับแบบสายฟ้าแลบหรอกใช่ไหม?”

สีหน้าของซูสือจิ่นซีดเผือดลงไปอย่างมากในทันที เธอหลุบตาลงต่ำ “พี่สะใภ้คะ ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้จะแต่งงานกับเขา……ฉัน……”

ในตอนที่ซูสือจิ่นกำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา ตามต่อมาด้วย เสียงปิดประตูอย่างรุนแรง

เรียวนิ้วมือของเธอสั่นเทาในทันที โทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้จับเอาไว้แน่น จึงอดไม่ได้ที่จะร่วงหล่นลงพื้นไปเสียแล้ว

โทรศัพท์ จึงถูกตัดสายไปเช่นนั้นแล้ว

วันนั้น ในตอนที่เธอกำลังนั่งรถไปเพื่อทำความต้องการของหยานชิงเจ๋อ ก็ทายยาคุมฉุกเฉินเข้าไปแล้ว หลังจากนั้น เขาก็ขับรถพาเธอไปที่สำนักงานกิจการพลเรือน

ถึงแม้ว่าเธอจะรักเขามากจริง ๆ แต่ทว่า ในตอนที่เห็นสีหน้าทางด้านข้างที่บีบตัวกันแน่นของหยานชิงเจ๋อ อีกทั้งยังมีในตอนที่ร่างทั้งร่างแพร่กระจายไอเย็นยะเยือกออกมานั้นอีก ฝีเท้าของเธอจึงอดที่จะชะงักหยุดลงไม่ได้

หยานชิงเจ๋อล็อกรถ เมื่อเห็นว่าซูสือจิ่นไม่ขยับเขยื้อน เขาจึงหันไปหาเธอ ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้นมาอย่างร้ายกาจ “ทำไมไม่เดินแล้วล่ะ? ถ้าหากว่าเธอไม่แต่งงานกับฉัน ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะกลับไปฟื้นความสัมพันธ์เก่ากันกับซีหยู่แล้วก็ได้นะ ถ้าอย่างนั้นแล้วแผนการร้ายกาจของเธอเมื่อคืนวานนั้น ก็คงจะล่มแล้วเสียเปล่าไปสินะ? กลับบ้านไปจะไปอธิบายให้กับพ่อแม่ของฉันฟังอย่างไรอีกล่ะทีนี้?”

ถึงแม้ว่าหัวใจจะเจ็บปวดจนชามาก่อนหน้านี้นานแล้วก็ตามที แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเขาแล้ว ซูสือจิ่นก็ยังคงรู้สึกว่าอวัยวะทั่วทั้งร่างกายเจ็บปวดไปตามหัวใจ ก่อนที่ความเจ็บปวดนั่นจะตีตื้นขึ้นมาแล้ว

เธอยืนแข็งค้างอยู่ที่เดิม ภายใต้หัวใจมีเสียงสองเสียงที่กำลังตีกันไม่หยุด

หนึ่งเสียงบอกว่า เธอไม่ควรที่จะรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเช่นนี้เลย ในเมื่อเธอก็ชอบเขา ก็ไม่ควรที่จะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ เธอควรที่จะจากไป ไปที่ที่เขาตามหาเธอไม่เจอ แล้วลืมเลือนเขาไปเสีย

แต่ทว่าอีกเสียงหนึ่งกลับบอกว่า วันนี้เขาเห็นว่าอีกนิดเดียวเธอก็เกือบที่จะรับแส้แทนเขาแล้ว อีกทั้งก็รีบปกป้องเธอเอาไว้ในอ้อมกอดอีกด้วย เป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจนเลยว่าภายในหัวใจของเขาไม่ได้ไม่มีเธออยู่ เขาเพียงแค่รับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่ได้เท่านั้นเอง ขอเพียงแค่เธอให้โอกาสพวกเขาอีกสักครั้ง ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะไม่มีอนาคตที่สวยงามแล้วก็ได้

ภายในหัวใจมีคนทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันไม่หยุด ซูสือจิ่นรู้สึกได้ถึงข้อมือที่ถูกรัดแน่นในทันที หยานชิงเจ๋อคว้าจับเธอเอาไว้แล้ว หลังจากนั้น ก็สาวเท้ายาวแล้วลากเข้าไปในสำนักงานกิจการพลเรือน

บางที เป็นเพราะว่าทั้งสองคนอยู่ในสภาวะที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หยานชิงเจ๋อสาวเท้ายาว ซูสือจิ่นจึงถูกเขาฉุดกระชากลากถูกแล้วเดิน ๆ ล้ม ๆ อยู่เล็กน้อย

หัวใจของเขามีแต่ไฟโทสะ ดังนั้นจึงไม่ทันที่จะได้สังเกตเลยว่าทางด้านข้างมีรถคันหนึ่งขับเข้ามาแล้ว

อีกทั้งขาทั้งสองข้างของซูสือจิ่นก็ยังไม่ค่อยเหมาะสมอีกด้วย เดินไปเร็วมาก ไม่ได้เดินอย่างมั่นคง ดังนั้นจึงใกล้จะหกล้มลงไปเสียแล้ว

หยานชิงเจ๋อไม่ชอบใจ หันกลับไปมองเธอแล้วกำลังจะดุด่า แต่ทว่าในตอนที่หันสายตากลับไปนั้นเอง ที่หางตาของเขาก็มองเห็นรถคันหนึ่งแล้ว มันขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตรงเข้าไปทางซูสือจิ่น

นัยน์ตาของหยานชิงเจ๋อเบิกกว้างในทันที เดิมก็ไม่มีเวลาอื่นที่จะได้คิดไตร่ตรองแล้ว เขาดึงซูสือจิ่นเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ก็ใช้วงแขนโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น ก่อนจะพาตัวเธอ แล้วกระโดดหลบไปทางด้านหลัง

คนขับรถยนต์คันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพึ่งจะเห็นว่ามีคนอยู่ ดังนั้นจึงเหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว เสียงของล้อรถที่เสียดสีกับตัวเบรกดังนั้น แต่เป็นเพราะว่ามีการควบคุมในระยะอยู่ ดังนั้นแล้ว ตัวรถจึงแทบจะเข้าไปปะทะเข้ากับหยานชิงเจ๋อทั้งสองคนแล้ว อีกทั้งยังขับออกไปอีกหลายเมตร รถถึงจะหยุดตัวลง

“ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” คนขับรถลงมาจากรถ สีหน้าซีดเผือดไปหมด

หยานชิงเจ๋อค่อย ๆ ปล่อยซูสือจิ่นออก ก่อนจะหันสายตาที่ราวกับคมมีดไปมองคนขับรถครั้งหนึ่ง ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยแรงอาฆาต “หลังจากนี้ก็ขับรถระมัดระวังหน่อยสิครับ!”

“ได้ได้ ขอโทษด้วยนะ!” หัวใจของคนขับรถกลับเข้ามาในทรวงอก “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ!”

ในตอนนั้นเอง ซูสือจิ่นถึงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

ปลายจมูกของเธอ คล้ายกับว่ายังคงทิ้งกลิ่นของหยานชิงเจ๋อเอาไว้ในตอนที่เขากอดเธอเอาไว้เมื่อครู่นี้อยู่เลย บนร่างกาย หลังจากที่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกแบบนั้นแล้ว ดังนั้นจึงทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังคงเย็นยะเยือกอยู่เล็กน้อยเช่นกัน

เมื่อครู่นี้ อีกทั้งยังเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะช่วยเธอเอาไว้

ซูสือจิ่นรู้สึกเพียงแค่ว่าภายในหัวใจที่แห้งแล้งของตนเอง ตอนนี้มีฝนเม็ดละเอียดตกลงมาเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้จะไม่ชัดเจนมากนัก แต่ทว่า ทันใดนั้นเองกลับมีแรงที่ทำให้ตาชั่งภายในหัวใจของเธอสั่นคลอน อีกทั้งก็ยังคงมีเสียงทะเลาะกันของคนอีกสองคนดังขึ้นมาอีกเช่นกันด้วย

หยานชิงเจ๋อในตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพียงแค่มาจดทะเบียนสมรส คิดไม่ถึงเลยว่าอีกเพียงแค่นิดเดียวก็จะถูกรถชนเข้าให้แล้ว

เขาเป็นคนใจเย็นและเงียบสงบมาโดยตลอด น้อยมากที่จะหลุดอาการออกไป แต่ทว่าตั้งแต่เมื่อวาน เขาก็มักจะเริ่มหลุดอาการตลอด แม้กระทั่ง กับคนที่ตนเองมองว่าเป็นน้องสาวแท้ ๆ มาโดยตลอด กลับเกิดความสัมพันธ์แบบนั้นขึ้น! ในตอนที่ตื่นขึ้นมาตอนช่วงเช้านั้นเอง เขารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าทั้งหมดนั้นแตกแยกออกจากกันเลยก็ไม่ปาน

เมื่อคิดมาได้จนถึงตอนนี้แล้ว เขามองเห็นซูสือจิ่นที่ยืนเหม่อลอยอยู่ทางด้านข้างก็ยิ่งบันดาลโทสะมากขึ้นไปอีก เขาบีบเข้าที่ข้อมือของเธอแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยโทสะที่ระเบิดออกมาเล็กน้อยว่า “ดูถนนให้ดี ๆ สิ!”

พูดไป เขาก็พลางนวดคลึงศีรษะที่รู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อยไปด้วย กำลังทำให้ตนเองนั้นมีสติขึ้นมาเล็กน้อยอย่างสุดกำลัง

ความเจ็บแสบที่แผ่นหลังของเขานั้นกินเรี่ยวแรงของเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ยอมหยุด แต่ทั้งเมื่อครู่นี้เพื่อช่วยเหลือเธอเอาไว้ ดังนั้นจึงแทบจะไปกระทบเข้าที่บาดแผลเข้าให้แล้ว ตอนนี้ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก แทบอยากที่จะกระโดดลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นเป็นอย่างมากเลย

หยานชิงเจ๋อพยายามทำให้อารมณ์ของตนเองกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะลากซูสือจิ่นให้เดินไปทางด้านหน้า

เขาดุเธออีกแล้ว แต่ทว่า แทบจะเป็นเพราะว่าในครั้งนี้หัวใจเธอกลับไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าเลย กลับกันกลับมีความรู้สึกปีติเล็ก ๆ บางอย่างเกิดขึ้นแทน ซูสือจิ่นคิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว มุมปากจึงอดที่จะยกยิ้มขมขื่นที่ขบขันตนเองขึ้นมาไม่ได้

ที่แท้แล้ว เธออยู่ต่อหน้าเขา กลับรู้สึกไร้ค่าเช่นนี้จริง ๆ

การใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา กลับทำให้เติมเต็มความปีติให้เธอได้อย่างยาวนาน

แต่ทว่าคำพูดที่ไม่น่าฟังของเขาประโยคนั้น กลับมีพลังมากพอที่จะทำลายเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอ

ในตอนที่ซูสือจิ่นตื่นจากภวังค์แล้วนั้นเอง หยานชิงเจ๋อก็ดึงเธอเอาไว้แล้ว และเดินมาถึงที่หยิบบัตรคิวหมายเลขหน้าต่างในสำนักงานกิจการพลเรือนแล้ว

หยานชิงเจ๋อมองเห็นคู่แต่งงานให้ที่ด้านหน้าอยู่อีกเจ็ดแปดคู่ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว

แผ่นหลังของเขายังคงเจ็บแสบอยู่จริง ๆ ทำเอาสมองของเขารู้สึกไม่ค่อยชัดเจนนักเล็กน้อย มือของเขาข้างหนึ่งบีบสมุดทะเบียนบ้านเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จับซูสือจิ่นเอาไว้อยู่ มือทั้งสองข้างไม่ว่างแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงหันไปเอ่ยกับซูสือจิ่นว่า “เธอไปกดหมายเลขบัตรคิว”

ซูสือจิ่นส่งเสียง ‘ได้’ ออกมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปกดบัตรคิวมา

ทันใดนั้นเอง ก็มีกระดาษหนึ่งแผ่นพิมพ์ออกมา ในตอนที่เธอสบตามองเวลาที่ด้านบนนั้นเอง จึงอดไม่ได้ที่จะสับสนเล็กน้อย

“เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบ สิบสามนาฬิกา สิบสี่นาที”

ตัวเลขด้านหลังเมื่อเรียงตัวต่อกันแล้วจะได้เป็น สองศูนย์หนึ่งสามหนึ่งสี่ (จะรักเธอตลอดไป)

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *