ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 516 ศาลเจ้าบูจิ

Now you are reading ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา Chapter 516 ศาลเจ้าบูจิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ด้านข้างภาพถ่ายคู่ยังมีรูปอีกใบหนึ่ง ซึ่งก็เป็นภาพถ่ายคู่เทซึกะ โคตะกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินเช่นกัน ปลาตัวนั้นยาวกว่าอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักราว 260 กิโลกรัม แต่ราคากลับถูกกว่ามาก แค่เพียง 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐ

เทซึกะ โคตะเดินเข้ามาดู ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “นี่เคยเป็นราชาปลาในอดีต ตอนนั้นพวกเรานึกว่า นี่เป็นปลาทูน่าที่ใหญ่ที่สุดแล้ว แต่พอพวกเราได้มาเจอเข้ากับราชามหาอำนาจปลาทูน่าจึงได้รู้ว่า พวกมันไม่นับว่ามีมูลค่าอะไรเลย!”

“ปลาสองตัวนี้ทำไมถึงราคาแตกต่างกันขนาดนี้นะ?” ฉินสือโอวขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย เขาคิดจะประเมินราคาปลาของเขาโดยเทียบกับราคาของราชาปลาที่นี่สักหน่อย แต่ว่าราคาต่างกันมากเกินไป แตกต่างจากที่ควรจะเป็นเขาถึงไม่มีราคาพื้นฐานในใจ

บัตเลอร์อธิบายให้เขาฟังว่า “คุณภาพของเนื้อที่แตกต่าง ปลาในปี 2013 เนื้อระดับ s ที่หาได้ยากมากในประวัติศาสตร์ ดังนั้นราคาจึงแพงมากขนาดนี้ และสิ่งนี้ก็นำไปสู่การแทรกแซงของรัฐบาลในด้านราคา โดยอ้างว่าพ่อค้าอาหารทะเลพยายามล่อให้ชาวประมงจับปลาทูน่าและทำราคาสูงผิดปกติ”

ฉินสือโอวพยักหน้า ปลาทูน่าของเขายังไม่เคยเข้าทดสอบคุณภาพของเนื้อปลา ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการหน้างานประมูล โดยพ่อค้าอาหารทะเลที่สนใจจะเป็นคนทดสอบด้วยตัวเอง

เนื่องด้วยคุณภาพของเนื้อปลาทูน่าไม่ได้มีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจน ดังนั้นปลาตัวนี้มีเนื้อเป็นลักษณะอย่างไร เหมาะกับทำซาชิมิระดับไหน พ่อค้าอาหารทะเลแต่ละคนจะมีความคิดเป็นของตัวเอง

พวกเขาสามคนเดินตลาดรอบหนึ่งโดยการนำทางของ เทซึกะ โคตะ หลังจากนั้นก็ออกไปทางประตูโอบาชิของตลาด

ประตูนี้เป็นประตูทางเข้าประตูหนึ่งที่อยู่ทางด้านตะวันออกสุดที่หันไปทางชิน โอบาชิ เป็นเส้นทางสำหรับทางออกเท่านั้น

อีกเหตุผลที่ออกทางนี้ก็เพราะว่า ทางนี้พอเดินออกไปก็จะเป็นศาลเจ้าบูจิ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง เทซึกะ โคตะจึงเชิญฉินสือโอวเดินไปดูด้วยกัน

สังเกตจากตัวอักษรแล้ว สิ่งก่อสร้างที่อยู่โดยรอบตลาดถ้าไม่ใช้คำว่า ‘สึกิจิ’ ก็เป็น ‘บูจิ’ ฉินสือโอวจึงพอเดาได้ว่ารอบข้างทั้งแถบนี้เป็นพื้นที่ทะเลที่ถมขึ้นมาเป็นพื้นดินนั่นเอง

แล้วก็เป็นจริงดั่งคาด เมื่อเข้าไปในศาลเจ้าบูจิแล้ว เทซึกะ โคตะก็เริ่มบรรยายว่า “จริงๆ แล้วตั้งแต่สมัยโทกุกาวะ อิเอยาซุ บรรพบุรุษของพวกเราก็เริ่มถมที่ที่บริเวณใกล้เคียงวัดฮงกังแล้ว แต่สมัยนั้นกำลังในการสร้างยังด้อยมาก ความคืบหน้าของโครงการแทบไม่มีเมื่อเจอกับคลื่นยักษ์อย่างต่อเนื่อง”

 “ภายหลังหลังจากที่มีคนค้นพบเทพเจ้าธัญพืชในทะเลแล้วนำเทพเจ้ามาบูชา นับตั้งแต่นั้นมาคลื่นทะเลก็เริ่มสงบ ในที่สุดโครงการจึงสำเร็จเรียบร้อย ซึ่งนี่ก็คือที่มาของ ‘เทพเจ้าบูจิ’ อีกทั้งชาวประมงในโตเกียวยังเชื่อด้วยว่า เทพเจ้าบูจิสามารถช่วยขจัดภัยอันตรายและคุ้มครองให้ความปลอดภัยในการเดินทางทางทะเลอีกด้วย”

ศาลเจ้ามีขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดประมาณไม่ถึงสิบห้องด้วยซ้ำ

เทซึกะ โคตะพาฉินสือโอวเข้าทางประตูหลัก ด้านหน้าทางเข้าเป็นลานกว้าง ในลานกว้างมีปลูกดอกซากุระไว้ซึ่งตอนนี้เป็นฤดูที่ดอกซากุระบานพอดี ทั้งดอกซากุระสีชมพู ดอกซากุระสีขาวหิมะต่างพร้อมใจกันบานสะพรั่ง ประดับให้ลานกว้างสวยสดงดงาม

พอผ่านลานกว้างไปก็จะเป็นส่วนโถงของศาลเจ้า ภายในมีเทพเจ้าหน้าดุร้ายอยู่หนึ่งองค์ ความสูงประมาณสามถึงสี่เมตร

กระถางธูปขนาดแตกต่างกันสองขนาดใหญ่หนึ่งและเล็กหนึ่งวางอยู่ด้านหน้ารูปปั้น กระถางขนาดใหญ่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดความสูงและกว้างเท่ากันคือหนึ่งเมตร ดูจากวัสดุแล้วน่าจะเป็นเหล็กหล่อ ด้านบนมีธูปปักเต็มไปหมดอยู่ ส่วนกระถางธูปอันเล็กกลับมีรูปร่างเหมือนถังน้ำ และก็มีขนาดพอๆ กับถังน้ำเช่นกัน ด้านในกระถางมีเมล็ดธัญพืชพูน คิดว่าน่าจะเป็นธัญพืชห้าชนิดของญี่ปุ่น เพราะอย่างไรเสียเทพเจ้าบูจิเริ่มแรกก็มีชื่อเรียกว่าเทพเจ้าธัญพืช

คนที่ดูแลศาลเจ้ารู้จักกับเทซึกะ โคตะ หลังจากที่มองเห็นเขาก็สวดชื่อพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “เทซึกะ ฆราวาส ไม่ได้เจอกันนานเลย คุณยังสบายดีอยู่ไหม?”

เทซึกะ โคตะพนมสองมือก้มคำนับแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ยังคิดถึง เทพเจ้าบูจิคุ้มครองยังสบายดีครับผม วันนี้ผมพาเพื่อนชาวต่างชาติสองคนมาไหว้เทพเจ้าบูจิ เพื่อขอบคุณสำหรับคำอวยพรของเทพเจ้าครับ”

ฉินสือโอวเดิมทีไม่ได้สนใจในการมาศาลเจ้าแต่อย่างใด แต่การได้เห็นวัดและการบูชาพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ อีกอย่างเทซึกะก็กระตือรือร้นมาก เขาจึงยากที่จะปฏิเสธ

แต่พอเข้าไปในโถงวัด เขาก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที ตามองตรงไปแต่ที่กระถางธูปขนาดเล็กที่อยู่หน้าเทพเจ้านั่น ได้แต่กลืนน้ำลายลงลำคอไป

อารมณ์ความอยากเกิดขึ้นอีกครั้ง กระถางธูปขนาดเล็กที่พูนไปด้วยธัญพืชห้าชนิด ข้างในมีพลังงานโพไซดอนที่เข้มข้นอยู่อย่างแน่นอน! หัวใจโพไซดอนเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เขาแทบเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ไม่ไหว คิดเพียงแต่ว่าอยากจะพุ่งเข้าไปดูดซึมพลังงานเอาไว้ให้หมด!

อย่างไรก็ตามเขารู้ว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะ เขาต้องยับยั้งความปรารถนาที่จะกลืนกินเข้าไป ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าก้มตาพยายามไม่มองกระถางธูปเล็กกระถางนั้น

เทซึกะ โคตะเข้าไปในศาลเจ้าก็เพื่อจุดธูปไหว้เทพเจ้า คนดูแลศาลได้เตรียมธูปทองขนาดใหญ่และยาวไว้สามดอกให้กับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

เขาเดินอย่างเคร่งขรึมไปที่หน้ารูปปั้นเทพเจ้า เทซึกะ โคตะหนีบก้านธูปเอาไว้ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ส่วนนิ้วหัวแม่มือดันให้ปลายก้านธูปมาอยู่ตรงหน้าอก หลังจากนั้นส่วนบนของธูปก็หันไปทางรูปปั้นเทพเจ้าแล้วสวดมนต์ขอพรเสียงเบา

หลังจากขอพรเสร็จ เขาก็ยกมือที่ถือธูปให้ขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกับคิ้ว แล้วไหว้ต่อเนื่องกันสามครั้ง

คนดูแลศาลรีบเข้าไปรับธูปมาจากเขา แล้วนำธูปหนึ่งดอกปักไว้กลางกระถางธูปขนาดใหญ่ ดอกที่สองปักไว้ทางขวาของกระถางธูปขนาดใหญ่ และดอกที่สามปักไว้ทางด้านซ้ายมือ

พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เทซึกะ โคตะก็ถอนใจโล่งอก เดินยิ้มมาหาฉินสือโอว “ทำให้คุณฉินรอนานเลยนะครับ ครอบครัวของผมเป็นชาวประมงมาแต่ละรุ่นสมัย จึงมีจิตใจที่เคารพต่อเทพเจ้าบูจิมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ผ่านที่นี่จึงต้องเข้ามาจุดธูป”

ฉินสือโอวรีบบอกทันทีว่าคุณเกรงใจไปแล้ว และยังพูดต่ออีกว่า “คุณเทซึกะ ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมมาที่ศาลเจ้าบูจิ แต่ผมก็เหมือนกับคุณ มีความเคารพต่อทวยเทพที่ดูแลปกปักรักษาประชาชนให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงอยากจะจุดธูปกราบไหว้เช่นกันไม่แน่ใจว่าจะได้ไหมครับ”

แผนการของเขาก็คือหลังจากนี้สักพัก ตอนที่เขาจุดธูป เขาจะแกล้งทำเป็นเดินไม่มั่นคงแล้วเซลงไป ซึ่งแบบนี้เขาก็จะสามารถใช้โอกาสนี้ตอนที่เขาจับกระถางธูปเพื่อพยุงตัวในการดูดซึมพลังงานที่อยู่ข้างใน

คนดูแลศาลยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านมีใจยิ่งนัก เทพเจ้าบูจิมีจิตใจกว้างขวาง เขารับศิษย์จากทั่วสารทิศรวมถึงผู้ที่มากราบไหว้จากทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นแล้วจึงมีจิตใจที่ยินดีอย่างแน่นอน”

สีหน้าของเทซึกะ โคตะเต็มไปด้วยความปีติยินดี ไม่มีอะไรที่จะสุขใจได้เท่ากับการที่คนอื่นเคารพในสิ่งที่ตนเชื่อได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ฉินสือโอวเรียนรู้กิริยาท่าทางจากเทซึกะ โคตะ จึงเดินไปด้านหน้ารูปปั้นก้มคำนับและสวดขอพรเช่นกัน ในใจพึมพำว่า “ท่านเทพเจ้าครับ ผมยั้งไม่ไหวแล้ว วันนี้จึงต้องขอเอาข้าวที่คุณกินไปซะแล้ว หวังว่าท่านอย่าได้ถือสา เดาว่าชามข้าวนี้ที่ท่านดูแลมาตลอดน่าจะมีอายุหลายปีแล้ว เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา ผมจึงขอเปลี่ยนชามให้ใหม่ ถ้าหากท่านไม่เห็นด้วยก็ช่วยบอกสักหน่อย แต่ถ้าท่านไม่พูดอะไรผมก็จะถือว่าท่านเห็นด้วยแล้วนะครับ”

เป็นเรื่องน่ายินดีที่หลังจากสวดไปแล้วกลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากเทพเจ้าบูจิเลย ดูท่าแล้วน่าจะอนุญาตคำขอของเขาอย่างเงียบๆ แล้ว

หลังจากที่ฉินสือโอวก้มคำนับแล้วก็จะไปปักธูปด้วยตัวเอง แต่ผลปรากฏว่าผู้ดูแลศาลกลับรั้งเขาไว้ ยิ้มให้แล้วพูดว่า “ฆราวาสโปรดหยุดก่อน สิ่งที่คุณต้องการสื่อเทพเจ้าบูจิได้รับเอาไว้แล้ว ให้กระผมเป็นคนปักธูปให้ก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวมุมปากกระตุก รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอกครับท่านอาจารย์ เรื่องแบบนี้ให้ผมทำด้วยตัวผมเองจะดีกว่ามั้งครับ? เหมือนที่เขาพูดกันว่า ทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้สุด…”

เทซึกะ โคตะอธิบายให้เขาฟังว่า “คุณฉิน ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ นี่เป็นกฎของศาลเจ้าบูจิแห่งนี้ คุณยื่นธูปให้กับท่านอาจารย์ก็พอแล้ว”

ในเมื่อทุกคนต่างพูดแบบนี้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้ง ยื่นธูปให้กับผู้ดูแลศาล มองไปที่กระถางธูปเล็กที่ยังคงอยู่ห่างไกลจากเขาขนาดนั้นอย่างทำอะไรไม่ได้

พอจุดธูปเรียบร้อย ทั้งสามก็ออกจากศาลเจ้าไป ฉินสือโอวยังไม่ยอม จะให้บัตเลอร์ไปจุดธูปเช่นกัน เพราะแบบนี้เขาก็จะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นถ้าได้อยู่ที่ศาลเจ้านานขึ้นหน่อย

เป็นผลให้สหายบัตเลอร์เอาไม้กางเขนรูปพระเยซูทองคำออกมาจากปกเสื้อของเขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ฉิน ฉันเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนา ฉันเคารพบูชาเพียงพ่อของฉัน และพระผู้เป็นเจ้าของฉันเท่านั้น ฮาเลลูยา”

ฉินสือโอว “…”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด