ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 451 เส้นทางวิญญาณ (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 451 เส้นทางวิญญาณ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 451 เส้นทางวิญญาณ (1)

แดนมายาเชิญวิญญาณ

เงาคนที่มีปราณร้อยวิญญาณกระเพื่อมอยู่ข้างใต้เท้าสิบกว่าสายพุ่งมาล้อมพวกลู่เซิ่งไว้เป็นชั้นๆ

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่พันผ้ารัดเอวสีขาว มุมหนึ่งที่อยู่ทางขวาของผ้ารัดเอวปักคำว่าจางเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าเป็นองครักษ์ที่เฝ้าแดนมายาเชิญวิญญาณของตระกูลจาง

“ผู้อาวุโสสองท่าน ผู้คุมค่ายกล” คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในนี้เป็นบุรุษไว้เคราข้างแก้มที่ปราณร้อยวิญญาณบรรลุขั้นสำเร็จสมบูรณ์

การฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณมีเพียง เบื้องต้น สำเร็จเล็ก สำเร็จสมบูรณ์ ขีดจำกัด ระดับประมุขตระกูล และสูงส่ง ทั้งหมดรวมกันหกขอบเขต นี่เป็นระบบมาตรฐานที่สามตระกูลนอกจากตระกูลลู่ใช้ร่วมกัน

เป็นเพราะว่าตระกูลลู่ไม่ได้ฝึกฝนปราณร้อยวิญญาณ หากแต่ติดต่อกับสิ่งมีชีวิตที่มีปราณวิญญาณหรือก็คือตัววิญญาณคุ้มครองโดยตรง ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ระบบนี้

ขั้นเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานที่สุดของพลังวิญญาณและปราณวิญญาณที่แท้จริงเทียบได้กับระดับขีดจำกัดของปราณร้อยวิญญาณ ถัดจากนั้นหากฝึกฝนถึงระดับสำเร็จเล็ก ก็จะเทียบได้กับปราณร้อยวิญญาณในระดับประมุขตระกูล ส่วนปราณวิญญาณที่มีสีทองต่อจากนั้นหมายถึงบรรลุเขตขั้นสูงสุด

ลู่เซิ่งมาถึงขั้นนี้ก่อนจะได้รับการฝึกฝนพลังวิญญาณมาจากจวี้เยี่ยนแล้ว แถมยังใช้พลังอาวรณ์ไปน้อยมากด้วย

ตอนนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจวิธีการฝึกฝนพลังวิญญาณของจวี้เยี่ยน เลยต้องการหาคนมาทดลองเพื่อสั่งสมผลตอบรับดูก่อน ลู่เซิ่งคงจะเลื่อนสู่ระดับสูงส่ง เข้าสู่ขอบเขตพลังวิญญาณในระดับที่สูงกว่านี้ไปแต่ต้นแล้ว

นอกจากนี้สารกายคล้ายจะมีการเชื่อมต่อกับปราณวิญญาณด้วย ยิ่งสารกายแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็ยิ่งกล้าแข็งเท่านั้น

สารกายของลู่เซิ่งฝึกฝนถึงระดับสีทองแต่แรกแล้ว จึงกระจายไปทั่วร่างและทำให้พลังฟื้นตัวกับการทำงานของกายเนื้อแข็งแกร่งจนใกล้เคียงกับพลังคืนชีพระดับพันธนาการ

พึงทราบว่า ต่อให้จะเป็นขั้นเอกลักษณ์ในระดับพันธนาการ หากเป็นอาการบาดเจ็บทั่วไป ขอแค่ไม่ใช่จุดอ่อนโดนจู่โจม หรือแขนขาดขาขาด ก็สามารถรักษาฟื้นฟูได้ในเวลาแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น

พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่ไม่โดนโจมตีจุดอ่อน ต่อให้ลู่เซิ่งในตอนนี้ปล่อยให้คนฟัน ก็ไม่มีทางโดนฟันตาย พวกแผลเป็นรู แผลถูกแทง หรือแผนที่ตื้นหน่อย ยิ่งไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขา กอปรกับมีวิชาภายนอกส่วนหนึ่งของวิถีแปดมารสูงสุดเสริมความแข็งแกร่ง แม้จะปล่อยให้คนทั่วไปใช้อาวุธฟันแทงเขา ก็ยังไม่มีความหมายแม้แต่น้อยเหมือนเดิม หากแรงน้อยไปก็ถึงขั้นเฉือนให้ผิวถลอกไม่ได้ด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าถ้าเทียบกับความแข็งแกร่งของร่างหลักแล้ว ร่างกายของเขาในปัจจุบันเพียงแข็งแกร่งถึงระดับพื้นฐานต่ำสุดเท่านั้น

ตอนนี้แม้ถูกคนห้อมล้อมไว้หลายชั้น ลู่เซิ่งก็ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง พิจารณาทิวทัศน์ของแอ่งกระทะในหุบเขาอย่างสบายใจ

“ยังดีที่พายุปราณวิญญาณเพียงมีผลกับวิญญาณของวัตถุสิ่งของเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเกรงว่าหุบเขาดีๆ แบบนี้คงถูกทำลายไปแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บอกมาเถอะว่าการทดสอบของพวกเจ้าคืออะไร”

จางมู่หยีตา ถอนใจโล่งอกเงียบๆ กล่าวตามจริง แม้ฝั่งพวกเขาจะมียอดฝีมือสูงส่งสองคน แต่ว่าคนหนุ่มผู้นี้น่าตกตะลึงเกินไป อายุน้อยขนาดนี้ก็มาถึงระดับนี้แล้ว หากไม่จำเป็น เขาไม่คิดจะเพาะแค้นตายกับอีกฝ่ายจริงๆ พึงทราบว่าหากลงมือเมื่อไหร่ ก็ยากหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย ถึงเวลาถ้าหากเผลอปล่อยคนหนุ่มผู้นี้ไป ภายหลังอาจจะสร้างเพทภัยใหญ่หลวงให้แก่ตระกูลจางแล้ว

“ข้ากับผู้อาวุโสจางเฉินซันต่างก็ดำเนินการทดสอบคนละด้าน คำถามของข้าคือ ในคืนจันทร์เต็มดวง อสรพิษมังกรในบึงมังกรจรจากมีกี่ตัว” จางมู่ตั้งสมาธิถามคำถามของตัวเอง นี่เป็นความลับที่ประมุขตระกูลสร้างขึ้น บึงมังกรจรจากเป็นบึงน้ำขนาดยักษ์ที่อยู่ในซากโบราณสถานลึกลับแห่งนึ่ง ด้านในมีงูยักษ์สองขาที่มีชื่อว่าอสรพิษมังกรอยู่ชนิดหนึ่ง

งูยักษ์ประเภทนี้มีจิตใจดีงาม ไม่ชอบคนเลว จะพากันปีนออกจากบึงในคืนพระจันทร์เต็มดวงเพื่อมาสนทนากับคนที่มีจิตใจดีเท่านั้น

ดังนั้นคำถามนี้จึงมีแต่คนดีเท่านั้นถึงจะตอบได้

ลู่เซิ่งมีสีหน้าสงบนิ่ง โพล่งออกมาโดยแทบไม่ต้องคิด “สิบตัว”

“เหลวไหล!” จางเฉินซันอดร้องขึ้นไม่ได้ “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมียี่สิบเอ็ดตัว เจ้าเอาสิบตัวมาจากไหน”

“อย่างนั้นหรือ ถ้าหากผิดล่ะก็ ประเดี๋ยวข้าจะไปบึงมังกรจรจาก แล้วทำให้มันมีแค่สิบตัวเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ดังนั้นข้าจึงตอบถูก”

“เจ้า!” จางเฉินซันเดือดดาล คิดจะเข้าไปลงมือ แต่ก็ถูกจางมู่ที่อยู่ด้านข้างยกมือปรามไว้

จางมู่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ความสามารถทำลายล้างของยอดฝีมือระดับสูงส่งต่อสิ่งมีชีวิตสุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการออก ขอแค่เขายินยอม ก็สามารถชักนำพลังวิญญาณในร่างกายของสิ่งมีชีวิตธรรมดา แล้วทำให้มันปั่นป่วน สูญเสียสมดุล ถึงขั้นดึงออกมาได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือเท่านั้น

หากว่าสิ่งมีชีวิตไม่เหลือพลังวิญญาณ ก็จะไร้ชีวิต แล้วแห้งเหี่ยวตายไปในพริบตา ดังนั้นถ้าหากลู่เซิ่งต้องการจริงๆ ดูจากคลื่นพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่าย มีโอกาสสูงที่เขาจะทำเรื่องนี้

“อย่างนั้นข้านับว่าผ่านแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถาม

ทุกๆ คนที่มองลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนกับกำลังเผชิญสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ห่มหนังมนุษย์ หรือภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะคลั่งแล้วนำการคุกคามถึงชีวิตมาตอนไหน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีคุณค่าให้ทดสอบแล้ว” จางเจาสูดหายใจ กล่าวเสียงเย็น “ทดสอบความสามารถการเป็นอันธพาล ใครก็ทำได้ทั้งนั้น”

“จากนั้นเล่า เจ้าคิดจะทำอย่างไร” ลู่เซิ่งมองคนทั้งสามนี้อย่างสนอกสนใจ เขาดูออกว่าสามคนตรงหน้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสถานที่ลึกลับแห่งนี้ หากกำจัดพวกเขาได้ ก็จะจัดการพลังต่อต้านของที่นี่ได้

จางเจาหลับตาพร้อมกับสูดหายใจลึก

“ท่านตา ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว” เขาถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงาร่างของพวกจางมู่และจางเฉินซันค่อยพุ่งปราดออกไปจากด้านข้าง

แตกต่างจากก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีเปลวไฟไร้รูปร่างกึ่งโปร่งแสงระเหยบนตัวของคนทั้งสอง คนหนึ่งมีภาพปราณวิญญาณรูปเต๋าปรากฏขึ้นด้านหลัง ส่วนด้านหลังอีกคนเป็นภาพกวางตัวผู้

ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างว่องไว แทบบรรยายได้ว่าสายฟ้าร้องปิดหูไม่ทัน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคิดฉวยจังหวะที่ลู่เซิ่งไม่สนใจเผด็จศึก

สองตาของทั้งสองเปล่งแสงสีทอง คนหนึ่งพุ่งมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง

เคร้งๆๆๆ!

ทั้งสองโจมตีใส่ทั่วร่างลู่เซิ่งดุจสายฟ้าแลบ ทุกๆ การเคลื่อนไหวแทรกด้วยปราณร้อยวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และจับตัวจนสัมผัสได้ ถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไป หากถูกพวกเขาวาดหมัดผ่าน ต่อให้ต่อยไม่โดน เพียงเฉียดผ่านไปด้านข้าง ก็อาจจะกระตุ้นวิญญาณในร่างจนตายคาที่ได้

ยิ่งอย่าว่าแต่เวลานี้ผู้เฒ่าทั้งสองระเบิดพลังทั้งหมด ไม่เริ่มยังพอว่า ในเมื่อเริ่มแล้วก็ต้องจัดการให้การต่อสู้นี้จบลงโดยเร็วที่สุดให้ได้ นี่เป็นแผนการของพวกจางเจา

ลู่เซิ่งเหมือนใบไม้ที่โยกไหวกลางห่าฝนพายุคลั่ง ร่างกายเจอช่องว่างในการโจมตีของผู้เฒ่าทั้งสองคนอย่างแม่นยำ จึงหลบทุกการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เขาถึงขั้นมีแรงเหลือกล่าววาจา

“ไม่เร็วเลย! ช้าเกินไปแล้ว!”

ทั้งสามคนแทบจะทิ้งเงาสีทองอ่อนกลุ่มหนึ่งไว้กลางอากาศ เงากลุ่มนี้บินไปยังพื้นที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว โดยเข้าใกล้สถานที่ที่เป็นหน้าผาของภูเขา

ฉึก!

จางมู่ฟันฝ่ามือใส่ท้ายทอยลู่เซิ่ง แต่ฟันไม่โดน มือเลยแทงเข้าไปในหน้าผาหินตรงหน้า ก้อนหินอันแข็งแกร่งถูกแทงเข้าไปอย่างง่ายดายเหมือนเต้าหู้

เปรี้ยง!

จางมู่สะบัดมือ ก้อนหินแนวขวางที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่ถูกพละกำลังอันมหาศาลควงด้วยความเร็วสูง ก่อนจะฟาดใส่ลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งยกมือขวาขึ้นต่อยใส่ก้อนหินยักษ์แนวขวางก้อนนี้เช่นกัน

ตูม!

ก้อนหินยักษ์ระเบิดเป็นหลายก้อน แล้วกระจัดกระจายไปโดนใส่ตำแหน่งไหนที่ด้านหลังก็ไม่ทราบ

“มาอีก!” แม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังรู้สึกคึกคักกับอานุภาพเช่นนี้

กายเนื้อของลู่จ้งนี้ได้รับการฝึกฝนมาไม่นานเท่าไหร่ กอปรกับไม่มีพลังวิญญาณที่มากพอสำหรับใช้ทักษะความสามารถ จึงใช้การเพิ่มพูนพลังถึงขีดจำกัดเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้อีก

สาเหตุที่เขากระแทกหินยักษ์ออกได้ เป็นเพราะอาศัยพละกำลังกายเนื้อของตัวเองล้วนๆ หลังจากสารกายเพิ่มขึ้น ความสามารถของกายเนื้อร่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือพลังป้องกัน ล้วนเหนือกว่าวิชาภายนอกธรรมดาๆ บนยุทธภพ เนื่องจากการเสริมความแข็งแกร่งจากวิชาแข็งกร้าวและวิชาภายนอกในแปดวิถีมารสูงสุด

ทว่าด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ของกายเนื้อนี้ การเผชิญกับยอดฝีมือสูงส่งสองคนก็ยังฝืนอยู่บ้างจริงๆ

จางมู่แค่นเสียงอย่างเย็นชา พร้อมกับปักสองมือใส่หน้าผาอย่างต่อเนื่อง แล้วยกหินยักษ์ทุ่มใส่ลู่เซิ่งด้วยความบ้าคลั่ง

จางเฉินซันผลักฝ่ามือด้วยแรงทั้งหมดใส่ก้อนหินยักษ์แต่ละก้อนอยู่ไกลๆ ก้อนหินยักษ์ทุกก้อนที่โดนผลักมีเปลวไฟไร้รูปร่างลุกไหม้ขึ้นบนผิว นั่นเป็นอัคคีวิญญาณที่ใช้ปราณร้อยวิญญาณจุดขึ้น หรือก็คือเป็นเปลวไฟไร้รูปร่างที่ใช้ปราณวิญญาณเป็นเชื้อเพลิง

พรึ่บ!

เขาผลักฝ่ามือออกไปหลายครั้ง จุดไฟบนก้อนหินยักษ์สิบกว่าก้อนที่พุ่งใส่ลู่เซิ่ง

“นี่เป็นไฟอะไรกัน” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการรับชมความสามารถของสองคนนี้ เขาคงลงมือสุดกำลังเพื่อจบการต่อสู้แต่แรกแล้ว

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาเพียงใช้กายเนื้อและพลังวิญญาณของวิญญาณคุ้มครองสิบกว่าตนต่อสู้กับผู้เฒ่าสองคนนี้เท่านั้น

ไม่ได้ใช้พลังวิญญาณของตัวเองอย่างแท้จริง

ก้อนหินแต่ละก้อนถูกเขาทำลายอย่างง่ายดาย ขณะเศษหินจำนวนมากระเบิดและปลิวว่อนออกไป ลู่เซิ่งพลันค้นพบความผิดปกติ

เขายกมือขึ้นมองเปลวไฟกึ่งโปร่งแสงไร้รูปร่างที่ลุกไหม้บนฝ่ามือของตัวเอง

เปลวไฟลุกโหม เขาสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณบนร่างตัวเองกำลังถูกผลาญด้วยความเร็วสูง ถ้าหากพลังวิญญาณถูกใช้หมดโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ล้วนจะต้องตกตาย นี่เป็นกฎ

เดิมพลังวิญญาณเป็นสิ่งพิเศษที่บรรจุชีวิตและจิตวิญญาณส่วนหนึ่งไว้ด้านใน

“กระบวนท่านี้ไม่เลว”

ลู่เซิ่งแทนที่จะตกใจกลับยินดี ทดลองสะบัดสองมือใส่พื้น สะเก็ดไฟพลันกระจายไปยังพื้นซึ่งอยู่ห่างออกไป สนามหญ้าที่โดนกระแทก แห้งเหี่ยวจากสีเขียวเป็นสีเหลืองเข้มอย่างรวดเร็ว

“น่าสนใจอยู่บ้าง”

ตูม!

ลู่เซิ่งต่อยหมัดใส่พื้น พลังวิญญาณที่บ้าคลั่งทะลักออกจากจุดที่มีไฟวิญญาณเผาไหม้เหมือนกับฟองน้ำแรงดันสูง แล้วดับไฟวิญญาณทั้งหมดในทันที

นี่เหมือนกับการเผาไหม้ของเปลวไฟต้องใช้ควันสาร(ก๊าซ) การเผาไหม้ของไฟวิญญาณก็ต้องใช้เงื่อนไขเพิ่มเติมเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้พลังวิญญาณเผาไหม้ไม่ทัน จึงถูกพลังวิญญาณอันมหาศาลกลบท่วมเสียก่อน

ผู้เฒ่าทั้งสองคนรับชมจนหนังตากระตุกยิกๆ

“ข้าเอง!” จางหมู่ควักจี้รูปปลาสีม่วงอ่อนออกมาจากในอกเสื้อแล้วโยนไปด้านหน้าเบาๆ

“วิญญาณกระบี่จงมา!”

เปรี้ยง!

จี้ระเบิดออกกลายเป็นผงสีม่วงลอยอยู่ด้านหน้าจางมู่ทันที

แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน รอยกระบี่สีม่วงหลายสายก็ปรากฏในอากาศรอบๆ ลู่เซิ่ง

ฉัวะๆๆๆ!

ชั่วพริบตานั้น คมกระบี่หลายสิบหลายร้อยสายพลันฟันใส่อากาศในบริเวณที่เขายืนอยู่ชนิดไม่เหลือมุมอับไว้แม้แต่น้อยนิดอย่างบ้าคลั่ง

เสื้อผ้าบนร่างลู่เซิ่งถูกฟันขาดในพริบตา เผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันล่ำสันด้านใน กระบี่คมหลายสายฟันร่างท่อนบนของเขาอย่างคลุ้มคลั่ง กลับได้แต่ทิ้งรอยสีขาวเอาไว้

ถึงขั้นที่มีบางจุดยังมีสะเก็ดไฟกระเด็น แสดงให้เห็นว่าเสียดสีรุนแรงเกินไปจนทำให้เกิดสะเก็ดไฟขึ้น

“ไม่เลวๆ! กระบวนท่านี้ไม่เลว!” ลู่เซิ่งหัวเราะลั่น “แต่อยากจะชนะข้า ยังอ่อนไป”

เพื่อรักษาท่าไม้ตายท่านี้ให้ทำงานต่อ ตอนนี้จมูกของจางมู่เริ่มมีเลือดไหลออกมาสองสาย แต่พอเห็นลู่เซิ่งไม่เป็นอะไรสักอย่าง ความตกตะลึงในใจของเขาก็ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดแล้ว

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด