ยอดวิถีแห่งปีศาจ 329 เปิดเผยความลับ (3)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 329 เปิดเผยความลับ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 329 เปิดเผยความลับ (3)

พอเดินออกมาจากวัด ท้องฟ้าก็มืดสลัวลงแล้ว เสียงสายฟ้าดังครืนครัน มีสายฟ้าสีม่วงแลบขึ้นระหว่างชั้นเมฆไกลออกไป

ลู่เซิ่งลงบันไดวัดแล้วเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ตรงประตู

เขาพลิกตัวขึ้นรถ ใบหน้ายิ้มแฉ่งของผู้อาวุโสจางซื่อหลงโผล่มา อีกฝ่ายประคองชาร้อนถ้วยหนึ่งด้วยสองมือขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในตัวรถ

“เป็นอย่างไร ราบรื่นกระมัง”

“ราบรื่นขอรับ” ลู่เซิ่งขึ้นรถ “เพียงแต่เจอผู้ตรวจสอบคนหนึ่งที่ประหลาดอยู่บ้าง เหมือนกับมีฉากหลัง”

“อ้อ?” จางซื่อหลงงงงัน “ผู้ตรวจสอบหรือ คนของตระกูลซ่งกระมัง จะมีฉากหลังก็ไม่แปลก พวกเขาใช้วิธีการเดิมๆ มาโดยตลอด ถ้าเจ้าเจอไม่ต้องสนใจพวกเขา”

“ทำไมหรือขอรับ พวกเขามีอำนาจมากหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว

“ตระกูลซ่งเป็นหนึ่งในสองตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในสาขาย่อยของนครเขตจันทราสารท เจ้าเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการประเมินระดับหยกสีชาด หากไม่หาเรื่องได้ก็อย่าทำ งัดกับพวกเขาไปก็ไม่คุ้มหรอก ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องไปสำนักด้านบนแล้ว” จางซื่อหลงส่ายหน้า “คนของตระกูลซ่งยึดครองหนึ่งในห้าส่วนของสาขาย่อย หลายๆ ครั้งคนด้านในก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พวกเขาเป็นแค่ฮ่องเต้ในท้องถิ่น ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่เจ้าสามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ ศักยภาพของเจ้าคืออนาคต ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปะทะกับพวกเขา” จางซื่อหลงกล่าวเตือนอีกครั้ง

“ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

แค่กๆๆ!

ด้านในวัด ผู้ตรวจสอบในชุดสีขาวปรากฏตัวอย่างทุลักทุเล พุ่งล้มตัวไปด้านหน้า คลานอยู่บนพื้นอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เลือดไหลซึมออกมาจากทั่วแผ่นหลัง

เขากระอักกระไอ แสดงให้เห็นว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เกิดอะไรขึ้น” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเงินที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างวิหารลืมตาขึ้นมองผู้ตรวจสอบอย่างประหลาดใจ

“คำนวณพลาดไป” ผู้ตรวจสอบไอ พลางพยายามหยัดกายขึ้น

“คุณชายเล่า สำเร็จหรือไม่” บุรุษเสื้อสีเงินสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง

“คุณชายน่าจะไม่มีปัญหา เพียงแค่เกือบโดนแย่งไป” ผู้ตรวจสอบตอบเสียงขรึม

“…” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินค่อยๆ ลุกขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากัน “ก่อนหน้านี้พวกเราใช้กำลังคนวางแผนไว้มากมาย แต่เกือบถูกแย่งไปหรือ”

“ข้าเองก็จนปัญญา เป็นผู้ทดสอบในครั้งนี้ เจ้าคนที่ชื่อลู่เซิ่งนั่น มันประหลาดมาก!” ผู้ตรวจสอบหวนนึกถึงการต่อสู้เมื่อก่อนหน้า ดวงตาอึมครึมลง “มันมีกายเนื้อแข็งแกร่งสุดขีด พละกำลังก็ไม่เลว ความเร็วถึงขั้นที่ข้าเทียบไม่ติด เกือบจะแย่งเอาอัญมณีของคุณชายไปแล้ว มันเร็วเกินไป เขาวงกตหยุดมันไว้ไม่อยู่”

“ลู่เซิ่ง…อัจฉริยะที่ได้การประเมินระดับหยกสีชาดในครั้งนี้คนนั้นน่ะหรือ ข้ารู้จักเขา” คิ้วของคนสวมเสื้อคลุมสีเงินขมวดมุ่นกว่าเดิม “ทางจางซื่อหลงเจอเขาแล้ว อัจฉริยะระดับหยกสีชาด เจ้าสำนักเองก็ให้ความสนใจในตัวเขาอยู่บ้าง ตอนนี้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องเขาอีก ถึงอย่างไรการทดสอบของคุณชายก็เป็นไปอย่างราบรื่นแล้ว”

“แต่ว่า…” ดวงตาของผู้ตรวจสอบปรากฏความไม่ยอมและความเคียดแค้นแวบหนึ่ง

“ไม่มีแต่ เจ้าต้องเข้าใจสถานะของตัวเอง การประเมินระดับหยกสีชาดหมายถึงอะไรเจ้าเองก็น่าจะรู้ สำนักไม่มีทางต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับปฐมปฐพีในอนาคตเพื่อยอดฝีมือธรรมดาที่ศักยภาพใกล้หมดแล้วอย่างเจ้าหรอก” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับ แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก เดี๋ยวเจ้าไปเลือกของอย่างหนึ่งในคลังสมบัติระดับสองของตระกูลก็แล้วกัน คนเราเมื่อเกิดมา บางครั้งก็ต้องอดทน”

ผู้ตรวจสอบยันกำแพงลุกขึ้น ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง เขาเกือบถูกคนฆ่า แต่ว่าตระกูลที่เขาจงรักภักดีมาโดยตลอดกลับไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ แค่มอบสมบัติธรรมดาๆ ก็คิดจะทำให้เรื่องทุกอย่างจบลงอย่างนั้นหรือ

เขาปฏิบัติภารกิจอย่างซื่อสัตย์มาตั้งหลายปีเพื่อตระกูล แต่กลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพราอัจฉริยะระดับหยกสีชาดคนเดียวอย่างนั้นหรือ

กลางทรวงอกผู้ตรวจสอบเหมือนมีเพลิงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ เป็นเพลิงที่ไม่อาจระบาย

“ไปได้แล้ว รักษาอาการบาดเจ็บให้ดี เรื่องนี้ ตระกูลก็ดี สำนักก็ดี ไม่มีทางสนับสนุนเจ้า” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้ตรวจสอบเงียบเสียงก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูวิหาร ไม่นานก็หายไปจากด้านนอกประตู

คนสวมเสื้อคลุมสีเงินยืนอยู่ในวิหารที่ว่างเปล่าคนเดียวสักพัก จากนั้นก็นั่งลงเงียบๆ

“หลิงปอ” เขาพลันกล่าวเสียงแผ่วต่ำ

“เจ้าค่ะ” สตรีผมยาวที่สวมเสื้อคลุมสีเงินเหมือนกัน ปรากฏขึ้นด้านข้างคนสวมเสื้อคลุมสีเงิน นางก้มหน้าอย่างนอบน้อม

“เจ้าไปหาคุณชายลู่ลู่เซิ่ง แสดงคำขอโทษของตระกูลซ่ง นอกจากนี้ ให้หยั่งเชิงท่าทีที่เขามีต่อการทดสอบของคุณชายเมื่อก่อนหน้าด้วย ถ้าทำได้ พยายามผูกมิตรให้มากที่สุด”

“เจ้าค่ะ” สตรีเสื้อคลุมสีเงินพยักหน้า ถอยหลังไปช้าๆ ก่อนจะหายไปกลางอากาศในชั่วพริบตา

..

กลางนครเขต ด้านในเรือนเล็กอันงดงาม

ลู่เซิ่งถือตำราประวัติศาสตร์ต้าอินที่ยืมมา จุดเทียนนั่งอ่านอยู่ในห้องหนังสือ แสงจันทร์ด้านนอกเรือนดั่งผ้าไหม คนรับใช้เร่งฝีเท้าวิ่งเหยาะๆ มาถึงหน้าประตูแล้วเคาะเบาๆ

“คุณชายลู่ ด้านนอกมีแขกจากตระกูลซ่งมาหาขอรับ”

“ตระกูลซ่งหรือ” ลู่เซิ่งนึกถึงซ่งตูกับผู้ตรวจสอบที่ผู้อาวุโสจางซื่อหลงพูดถึงในวันนี้ทันที เขาใคร่ครวญเล็กน้อย “ให้เข้ามาเถอะ”

“ขอรับ” ผู้อาวุโสจางซื่อหลงเป็นคนจัดหาคนรับใช้เหล่านี้ให้แก่เขา แถมที่พักแห่งนี้ยังเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของผู้อาวุโสเช่นกัน ต่อให้เป็นคนของตระกูลซ่งก็ไม่มีทางเสียมารยาทบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ของผู้อาวุโส

ข้ารับใช้จากไป จากนั้นไม่นานก็พาสตรีปิดหน้าซึ่งสวมผ้าเนื้อบางสีดำคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูห้อง

ลู่เซิ่งลุกขึ้นเปิดประตูและต้อนรับนางเข้ามา

“เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ข้าน้อยซ่งหลิงปอ เรื่องการทดสอบในวันนี้ หวังว่าคุณชายลู่จะไม่เก็บมาใส่ใจ นี่เป็นคำขอโทษและของขวัญชดเชยต่อเรื่องในครั้งนี้ ได้โปรดรับไว้” สตรีกล่าวตามตรง กล่องทรงกลมสีดำใบเล็กปรากฏบนสองมือ

ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย ตระกูลซ่งมีขุมกำลังใหญ่โต ทว่ากลับตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ส่งของขวัญชดเชยมาให้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าการที่ตระกูลสักตระกูลจะมาถึงขั้นนี้และใหญ่โตแบบนี้ได้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

“คุณหนูหลิงปอเกรงใจแล้ว เรื่องราวในวันนี้เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ ข้าขอรับของขวัญชดเชยไว้ก็แล้วกัน” เขากลับไม่เกรงใจ ยื่นมือไปรับของมา

“คุณชายวางใจ ถ้าหากมีโอกาส ตระกูลซ่งของพวกเรายังหวังว่าจะมีโอกาสร่วมมือกับคุณชาย ภายภาคหน้าทางวัดตราทมิฬยังมีโอกาสอีกไม่น้อย เรื่องราวในครั้งนี้เป็นแค่อุบัติเหตุ เวลาผ่านไปนาน ในตระกูลใหญ่ๆ มักมีชนชั้นปลามังกรผสมปนเปเช่นนี้เอง” ซ่งหลิงปอดึงผ้าปิดหน้าลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

นางไม่นับว่างามเลิศ แต่ว่าอ่อนโยนอย่างยิ่ง สองตาเรียวโค้ง รอยยิ้มน่าดู ไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ทั้งที่เป็นตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่เหมือนได้อาบลมวสันต์ด้วย

เสียงยามนางพูดจาก็อ่อนหวานเช่นกัน ไม่มีการคุกคามแต่ประการใด เงื่อนไขโดยกำเนิดแบบนี้หากเอามาใช้ในการเข้าสังคม คงแทบราบรื่นในทุกเรื่อง

ลู่เซิ่งค่อนข้างมีความรู้สึกดีต่อนาง “ถ้าหากตระกูลของคุณหนูหลิงปอเป็นมิตรอย่างท่าน อย่างนั้นข้าก็ยินดีร่วมมือกับตระกูลซ่ง”

“คุณชายชมเกินไปแล้ว” ซ่งหลิงปอยิ้มแย้ม เมื่อยืนยันได้แล้วว่าลู่เซิ่งไม่ได้มีท่าทีสุดโต่งเกินไป ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ขอแค่ไม่สุดโต่งเกินไป ก็มีวิธีและผลประโยชน์ในการดึงมาเป็นพวก ต่อให้ดึงมาเป็นพวกไม่ได้ ก็ไม่มีทางทำให้เขากลายเป็นศัตรูคู่แค้น

“อย่างนั้น ข้าขอตัวลา”

“คุณหนูหลิงปอโชคดี”

ลู่เซิ่งส่งนางถึงประตูเรือนและมองตามจนอีกฝ่ายจากไป จากนั้นก็กลับมายังห้องก่อนหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมา

เขาเปิดกล่องโดยไม่ได้ปิดบังข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้าง

ฟู่ว…

ไอเย็นเสียดกระดูกลอยออกมาจากในกล่องอย่างช้าๆ ไข่มุกสีม่วงเข้มเม็ดหนึ่งวางอยู่ตรงกลางกล่อง

ไข่มุกมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง แต่ผิวเย็นะเยือกสุดเปรียบปาน เพิ่งหยิบออกมา บนกล่องกับหลังมือของลู่เซิ่งก็มีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมทันที

“มุกบุปผาม่วง?!” ข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูห้องหนังสืออุทานเบาๆ

“มุกบุปผาม่วงหรือ” ลู่เซิ่งเคยอ่านเจอบันทึกของไข่มุกเม็ดนี้ในตำรา ของสิ่งนี้ไม่ใช่ยาเทพโอสถวิเศษแต่อย่างไร และไม่ใช่สมบัติชนิดพิเศษด้วย นี่คือเงินที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในต้าอิน เป็นเงินตราและทรัพยากรประเภทหนึ่งที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนโดยตรง

มุกบุปผาม่วงเม็ดหนึ่งแลกเปลี่ยนมุกบุปผาแดงได้สิบเม็ด หรือแลกเปลี่ยนทองคำมารมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงได้จากร้านแลกเงินร้านไหนก็ได้

ทองคำมารเป็นเงินตราชนิดพิเศษที่แลกเปลี่ยนกันในแวดวงชั้นสูงซึ่งใช้เฉพาะในต้าอิน แยกออกมาจากทองเหลืองเงินขาวของคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ใช้แลกเปลี่ยนกัน

แรงซื้อของทองคำมารแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดในการซื้อวิชาลับ สมบัติ หรือชิ้นส่วนอาวุธเทพ

ลู่เซิ่งเคยอ่านจากในตำราว่า ชิ้นส่วนอาวุธเทพแบ่งเป็นหลายระดับ ที่ดีที่สุดคือชิ้นส่วนดั้งเดิมที่พลังงานสลายไปน้อยที่สุด ชิ้นส่วนประเภทนี้ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งแพง

อย่างแย่ที่สุดคือชิ้นส่วนชิ้นเล็กที่พลังงานสลายไปเกือบหมด ไม่อาจสร้างเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และไม่อาจฝังลงไปในอาวุธ ได้แต่ปลูกถ่ายเข้าไปในร่างมนุษย์ เพื่อใช้รังสีปริมาณน้อยนิดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สายเลือดของตัวเอง

ส่วนทองคำมาร หนึ่งพันทองคำมารสามารถซื้อชิ้นส่วนอาวุธเทพชิ้นเล็กๆ ที่แย่ที่สุดได้

“ของขวัญชดเชยนี้ล้ำค่าจริงๆ” สำหรับคนมีสายเลือดแล้ว ยิ่งมีชิ้นส่วนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ใครๆ ก็อยากมีเก็บไว้มากๆ

ลู่เซิ่งเข้าใจถึงความล้ำค่าของของขวัญชดเชยที่ตระกูลซ่งมอบให้ดี เขาเกือบจะชิงอัญมณีที่พวกเขาเตรียมไว้ไปแล้ว แถมยังเกือบกำจัดยอดฝีมือของพวกเขาด้วย แต่สุดท้ายกลับได้ของขวัญชดเชยมาอีก

เขาเก็บมุกบุปผาม่วง ให้ข้ารับใช้ต้มน้ำและเตรียมเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน ก่อนจะเข้าไปแช่น้ำร้อนในห้องอาบน้ำ

ตอนที่แช่น้ำ เขาเริ่มสรุปสถานการณ์ของตนในปัจจุบัน

แก่นมาร ปราณเหลว และกายเนื้ออันเหี้ยมหาญในวิถีแปดมารสูงสุด เขาล้วนไม่คิดเอามาใช้ แต่จะซุกซ่อนทั้งหมดเอาไว้ ของพวกนี้เปิดเผยสถานะและเบื้องหลังได้อย่างง่ายดายยิ่ง

สิ่งที่เขาใช้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือกายเนื้อขอบเขตพันธนาการระดับเอกะลักษณ์ รวมถึงปราณจริงแท้จำนวนไม่มากที่เพิ่งฝึกฝนได้

เมื่อกระตุ้นปราณจริงแท้สุดกำลัง ลวดลายสีเลือดจะปรากฏบนผิวหนังทั่วร่างโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันพละกำลังและความเร็วจะเพิ่มขึ้น รวมถึงเลือดลมจะโคจรเร็วขึ้นหลายเท่าตัว แม้แต่ความเร็วในการตอบสนองก็ยกระดับขึ้นไปด้วย

‘ความจริงเมื่อดูจากภาพรวม ส่วนใหญ่แล้วต้าอินจะใช้ปราณจริงแท้เป็นหลัก วิชาจริงแท้ที่แตกต่างเสริมร่างกายในส่วนที่แตกต่าง ขณะเดียวกันวิชาจริงแท้ที่แตกต่างก็มีท่าสังหารพิเศษหลากหลายรูปแบบ จนทำให้คนป้องกันไม่หวาดไม่ไหวเช่นกัน เพียงแต่ว่าวิชาจริงแท้เหล่านี้หลังผ่านระดับพันธนาการไป จะเริ่มใช้สำหรับพัฒนาสายเลือดและขยายความสามารถของสายเลือดเป็นหลัก ซึ่งเป็นแบบฉบับการเพิ่มระดับของสำนักร้อยเส้นสายในต้าซ่ง’

เขาพิงสองแขนไว้บนขอบอ่างไม้พลางหยีตาขบคิดอย่างตั้งใจ

‘ตอนนี้เรามาถึงขั้นนี้ ถือว่ามาถึงจุดข้อจำกัดแล้ว หากจะขึ้นไปอีกจะต้องใช้การพัฒนาสายเลือดของตัวเองเป็นหลัก สายเลือดในตัวเราเป็นโลหิตเผาไหม้ของตระกูลหยวนกวง แถมยังเบาบางถึงขีดสุด มีความคุ้มค่าในการพัฒนาต่ำสุดขีด หากจะเพิ่มความแข็งแกร่ง สารกายที่ต้องใช้เกรงว่ายากจะจินตนาการถึง ดังนั้น…’ เขานึกถึงมุกบุปผาม่วงที่ได้มาในวันนี้ ‘วิธีการที่ดีกว่าอาจจะเป็นการหาทองคำมารไปซื้อชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะกับตัวเอง แล้วฝังเข้าไปในร่างกายเพื่อหาสายเลือดใหม่ๆ’

การปลูกถ่ายสายเลือดใหม่มีตลาดอยู่ไม่น้อยในต้าอิน ผู้ที่จะดำเนินการปลูกถ่ายส่วนใหญ่แล้วเป็นคนชายขอบของตระกูลใหญ่ๆ ที่มีสายเลือดต่ำถึงขีดสุด พวกเขามีเงินและทรัพยากรมากพอในการซื้อขายแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนอาวุธเทพ การหล่อเลี้ยงสายเลือดในภายหลังจึงสะดวกสบายกว่าคนธรรมดา

เพียงแต่การซื้อชิ้นส่วนกับการหล่อเลี้ยงสายเลือดล้วนเหมือนหลุมลึกไม่เห็นก้น คนธรรมดาแทบจะจินตนาการทรัพยากรกับเงินที่ต้องใช้ไม่ออก ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อและความเร็วในการฟื้นฟูของคนทั่วไปก็ไปไม่ถึงระดับที่ปลูกถ่ายชิ้นส่วนอาวุธเทพได้ อันดับแรกต้องทำให้พลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งก่อน แถมตนเองยังต้องมีคุณสมบัติร่างกายของผู้มีสายเลือดด้วย จากนั้นจึงค่อยใช้วัตถุล้ำค่าจำนวนมหาศาลหล่อเลี้ยงถึงระดับหนึ่ง

หลังจากปลูกถ่ายชิ้นส่วนแล้ว ทุกๆ สองสามเดือนยังต้องใช้ทรัพยากรพิเศษจำนวนมากกำจัดปฏิกิริยาผิดปกติทิ้ง สิ้นเปลืองอย่างน่ากลัวจนถึงขั้นที่อาจทำให้ตระกูลเล็กๆ ซึ่งอย่างมากสุดชุบเลี้ยงแค่คนสองคนสิ้นเนื้อประดาตัวได้

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดวิถีแห่งปีศาจ 329 เปิดเผยความลับ (3)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 329 เปิดเผยความลับ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 329 เปิดเผยความลับ (3)

พอเดินออกมาจากวัด ท้องฟ้าก็มืดสลัวลงแล้ว เสียงสายฟ้าดังครืนครัน มีสายฟ้าสีม่วงแลบขึ้นระหว่างชั้นเมฆไกลออกไป

ลู่เซิ่งลงบันไดวัดแล้วเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ตรงประตู

เขาพลิกตัวขึ้นรถ ใบหน้ายิ้มแฉ่งของผู้อาวุโสจางซื่อหลงโผล่มา อีกฝ่ายประคองชาร้อนถ้วยหนึ่งด้วยสองมือขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในตัวรถ

“เป็นอย่างไร ราบรื่นกระมัง”

“ราบรื่นขอรับ” ลู่เซิ่งขึ้นรถ “เพียงแต่เจอผู้ตรวจสอบคนหนึ่งที่ประหลาดอยู่บ้าง เหมือนกับมีฉากหลัง”

“อ้อ?” จางซื่อหลงงงงัน “ผู้ตรวจสอบหรือ คนของตระกูลซ่งกระมัง จะมีฉากหลังก็ไม่แปลก พวกเขาใช้วิธีการเดิมๆ มาโดยตลอด ถ้าเจ้าเจอไม่ต้องสนใจพวกเขา”

“ทำไมหรือขอรับ พวกเขามีอำนาจมากหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว

“ตระกูลซ่งเป็นหนึ่งในสองตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในสาขาย่อยของนครเขตจันทราสารท เจ้าเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการประเมินระดับหยกสีชาด หากไม่หาเรื่องได้ก็อย่าทำ งัดกับพวกเขาไปก็ไม่คุ้มหรอก ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องไปสำนักด้านบนแล้ว” จางซื่อหลงส่ายหน้า “คนของตระกูลซ่งยึดครองหนึ่งในห้าส่วนของสาขาย่อย หลายๆ ครั้งคนด้านในก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว พวกเขาเป็นแค่ฮ่องเต้ในท้องถิ่น ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่เจ้าสามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ ศักยภาพของเจ้าคืออนาคต ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องปะทะกับพวกเขา” จางซื่อหลงกล่าวเตือนอีกครั้ง

“ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

แค่กๆๆ!

ด้านในวัด ผู้ตรวจสอบในชุดสีขาวปรากฏตัวอย่างทุลักทุเล พุ่งล้มตัวไปด้านหน้า คลานอยู่บนพื้นอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เลือดไหลซึมออกมาจากทั่วแผ่นหลัง

เขากระอักกระไอ แสดงให้เห็นว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เกิดอะไรขึ้น” บุรุษสวมเสื้อคลุมสีเงินที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างวิหารลืมตาขึ้นมองผู้ตรวจสอบอย่างประหลาดใจ

“คำนวณพลาดไป” ผู้ตรวจสอบไอ พลางพยายามหยัดกายขึ้น

“คุณชายเล่า สำเร็จหรือไม่” บุรุษเสื้อสีเงินสังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง

“คุณชายน่าจะไม่มีปัญหา เพียงแค่เกือบโดนแย่งไป” ผู้ตรวจสอบตอบเสียงขรึม

“…” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินค่อยๆ ลุกขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากัน “ก่อนหน้านี้พวกเราใช้กำลังคนวางแผนไว้มากมาย แต่เกือบถูกแย่งไปหรือ”

“ข้าเองก็จนปัญญา เป็นผู้ทดสอบในครั้งนี้ เจ้าคนที่ชื่อลู่เซิ่งนั่น มันประหลาดมาก!” ผู้ตรวจสอบหวนนึกถึงการต่อสู้เมื่อก่อนหน้า ดวงตาอึมครึมลง “มันมีกายเนื้อแข็งแกร่งสุดขีด พละกำลังก็ไม่เลว ความเร็วถึงขั้นที่ข้าเทียบไม่ติด เกือบจะแย่งเอาอัญมณีของคุณชายไปแล้ว มันเร็วเกินไป เขาวงกตหยุดมันไว้ไม่อยู่”

“ลู่เซิ่ง…อัจฉริยะที่ได้การประเมินระดับหยกสีชาดในครั้งนี้คนนั้นน่ะหรือ ข้ารู้จักเขา” คิ้วของคนสวมเสื้อคลุมสีเงินขมวดมุ่นกว่าเดิม “ทางจางซื่อหลงเจอเขาแล้ว อัจฉริยะระดับหยกสีชาด เจ้าสำนักเองก็ให้ความสนใจในตัวเขาอยู่บ้าง ตอนนี้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ เจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องเขาอีก ถึงอย่างไรการทดสอบของคุณชายก็เป็นไปอย่างราบรื่นแล้ว”

“แต่ว่า…” ดวงตาของผู้ตรวจสอบปรากฏความไม่ยอมและความเคียดแค้นแวบหนึ่ง

“ไม่มีแต่ เจ้าต้องเข้าใจสถานะของตัวเอง การประเมินระดับหยกสีชาดหมายถึงอะไรเจ้าเองก็น่าจะรู้ สำนักไม่มีทางต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับปฐมปฐพีในอนาคตเพื่อยอดฝีมือธรรมดาที่ศักยภาพใกล้หมดแล้วอย่างเจ้าหรอก” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับ แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก เดี๋ยวเจ้าไปเลือกของอย่างหนึ่งในคลังสมบัติระดับสองของตระกูลก็แล้วกัน คนเราเมื่อเกิดมา บางครั้งก็ต้องอดทน”

ผู้ตรวจสอบยันกำแพงลุกขึ้น ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง เขาเกือบถูกคนฆ่า แต่ว่าตระกูลที่เขาจงรักภักดีมาโดยตลอดกลับไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ แค่มอบสมบัติธรรมดาๆ ก็คิดจะทำให้เรื่องทุกอย่างจบลงอย่างนั้นหรือ

เขาปฏิบัติภารกิจอย่างซื่อสัตย์มาตั้งหลายปีเพื่อตระกูล แต่กลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพราอัจฉริยะระดับหยกสีชาดคนเดียวอย่างนั้นหรือ

กลางทรวงอกผู้ตรวจสอบเหมือนมีเพลิงกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ เป็นเพลิงที่ไม่อาจระบาย

“ไปได้แล้ว รักษาอาการบาดเจ็บให้ดี เรื่องนี้ ตระกูลก็ดี สำนักก็ดี ไม่มีทางสนับสนุนเจ้า” คนสวมเสื้อคลุมสีเงินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้ตรวจสอบเงียบเสียงก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูวิหาร ไม่นานก็หายไปจากด้านนอกประตู

คนสวมเสื้อคลุมสีเงินยืนอยู่ในวิหารที่ว่างเปล่าคนเดียวสักพัก จากนั้นก็นั่งลงเงียบๆ

“หลิงปอ” เขาพลันกล่าวเสียงแผ่วต่ำ

“เจ้าค่ะ” สตรีผมยาวที่สวมเสื้อคลุมสีเงินเหมือนกัน ปรากฏขึ้นด้านข้างคนสวมเสื้อคลุมสีเงิน นางก้มหน้าอย่างนอบน้อม

“เจ้าไปหาคุณชายลู่ลู่เซิ่ง แสดงคำขอโทษของตระกูลซ่ง นอกจากนี้ ให้หยั่งเชิงท่าทีที่เขามีต่อการทดสอบของคุณชายเมื่อก่อนหน้าด้วย ถ้าทำได้ พยายามผูกมิตรให้มากที่สุด”

“เจ้าค่ะ” สตรีเสื้อคลุมสีเงินพยักหน้า ถอยหลังไปช้าๆ ก่อนจะหายไปกลางอากาศในชั่วพริบตา

..

กลางนครเขต ด้านในเรือนเล็กอันงดงาม

ลู่เซิ่งถือตำราประวัติศาสตร์ต้าอินที่ยืมมา จุดเทียนนั่งอ่านอยู่ในห้องหนังสือ แสงจันทร์ด้านนอกเรือนดั่งผ้าไหม คนรับใช้เร่งฝีเท้าวิ่งเหยาะๆ มาถึงหน้าประตูแล้วเคาะเบาๆ

“คุณชายลู่ ด้านนอกมีแขกจากตระกูลซ่งมาหาขอรับ”

“ตระกูลซ่งหรือ” ลู่เซิ่งนึกถึงซ่งตูกับผู้ตรวจสอบที่ผู้อาวุโสจางซื่อหลงพูดถึงในวันนี้ทันที เขาใคร่ครวญเล็กน้อย “ให้เข้ามาเถอะ”

“ขอรับ” ผู้อาวุโสจางซื่อหลงเป็นคนจัดหาคนรับใช้เหล่านี้ให้แก่เขา แถมที่พักแห่งนี้ยังเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของผู้อาวุโสเช่นกัน ต่อให้เป็นคนของตระกูลซ่งก็ไม่มีทางเสียมารยาทบุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์ของผู้อาวุโส

ข้ารับใช้จากไป จากนั้นไม่นานก็พาสตรีปิดหน้าซึ่งสวมผ้าเนื้อบางสีดำคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูห้อง

ลู่เซิ่งลุกขึ้นเปิดประตูและต้อนรับนางเข้ามา

“เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ข้าน้อยซ่งหลิงปอ เรื่องการทดสอบในวันนี้ หวังว่าคุณชายลู่จะไม่เก็บมาใส่ใจ นี่เป็นคำขอโทษและของขวัญชดเชยต่อเรื่องในครั้งนี้ ได้โปรดรับไว้” สตรีกล่าวตามตรง กล่องทรงกลมสีดำใบเล็กปรากฏบนสองมือ

ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย ตระกูลซ่งมีขุมกำลังใหญ่โต ทว่ากลับตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ส่งของขวัญชดเชยมาให้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แสดงให้เห็นว่าการที่ตระกูลสักตระกูลจะมาถึงขั้นนี้และใหญ่โตแบบนี้ได้จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

“คุณหนูหลิงปอเกรงใจแล้ว เรื่องราวในวันนี้เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ ข้าขอรับของขวัญชดเชยไว้ก็แล้วกัน” เขากลับไม่เกรงใจ ยื่นมือไปรับของมา

“คุณชายวางใจ ถ้าหากมีโอกาส ตระกูลซ่งของพวกเรายังหวังว่าจะมีโอกาสร่วมมือกับคุณชาย ภายภาคหน้าทางวัดตราทมิฬยังมีโอกาสอีกไม่น้อย เรื่องราวในครั้งนี้เป็นแค่อุบัติเหตุ เวลาผ่านไปนาน ในตระกูลใหญ่ๆ มักมีชนชั้นปลามังกรผสมปนเปเช่นนี้เอง” ซ่งหลิงปอดึงผ้าปิดหน้าลงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

นางไม่นับว่างามเลิศ แต่ว่าอ่อนโยนอย่างยิ่ง สองตาเรียวโค้ง รอยยิ้มน่าดู ไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ทั้งที่เป็นตระกูลใหญ่แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้คนรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรที่เหมือนได้อาบลมวสันต์ด้วย

เสียงยามนางพูดจาก็อ่อนหวานเช่นกัน ไม่มีการคุกคามแต่ประการใด เงื่อนไขโดยกำเนิดแบบนี้หากเอามาใช้ในการเข้าสังคม คงแทบราบรื่นในทุกเรื่อง

ลู่เซิ่งค่อนข้างมีความรู้สึกดีต่อนาง “ถ้าหากตระกูลของคุณหนูหลิงปอเป็นมิตรอย่างท่าน อย่างนั้นข้าก็ยินดีร่วมมือกับตระกูลซ่ง”

“คุณชายชมเกินไปแล้ว” ซ่งหลิงปอยิ้มแย้ม เมื่อยืนยันได้แล้วว่าลู่เซิ่งไม่ได้มีท่าทีสุดโต่งเกินไป ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ขอแค่ไม่สุดโต่งเกินไป ก็มีวิธีและผลประโยชน์ในการดึงมาเป็นพวก ต่อให้ดึงมาเป็นพวกไม่ได้ ก็ไม่มีทางทำให้เขากลายเป็นศัตรูคู่แค้น

“อย่างนั้น ข้าขอตัวลา”

“คุณหนูหลิงปอโชคดี”

ลู่เซิ่งส่งนางถึงประตูเรือนและมองตามจนอีกฝ่ายจากไป จากนั้นก็กลับมายังห้องก่อนหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมา

เขาเปิดกล่องโดยไม่ได้ปิดบังข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้าง

ฟู่ว…

ไอเย็นเสียดกระดูกลอยออกมาจากในกล่องอย่างช้าๆ ไข่มุกสีม่วงเข้มเม็ดหนึ่งวางอยู่ตรงกลางกล่อง

ไข่มุกมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง แต่ผิวเย็นะเยือกสุดเปรียบปาน เพิ่งหยิบออกมา บนกล่องกับหลังมือของลู่เซิ่งก็มีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมทันที

“มุกบุปผาม่วง?!” ข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูห้องหนังสืออุทานเบาๆ

“มุกบุปผาม่วงหรือ” ลู่เซิ่งเคยอ่านเจอบันทึกของไข่มุกเม็ดนี้ในตำรา ของสิ่งนี้ไม่ใช่ยาเทพโอสถวิเศษแต่อย่างไร และไม่ใช่สมบัติชนิดพิเศษด้วย นี่คือเงินที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในต้าอิน เป็นเงินตราและทรัพยากรประเภทหนึ่งที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนโดยตรง

มุกบุปผาม่วงเม็ดหนึ่งแลกเปลี่ยนมุกบุปผาแดงได้สิบเม็ด หรือแลกเปลี่ยนทองคำมารมากกว่าหนึ่งร้อยตำลึงได้จากร้านแลกเงินร้านไหนก็ได้

ทองคำมารเป็นเงินตราชนิดพิเศษที่แลกเปลี่ยนกันในแวดวงชั้นสูงซึ่งใช้เฉพาะในต้าอิน แยกออกมาจากทองเหลืองเงินขาวของคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ใช้แลกเปลี่ยนกัน

แรงซื้อของทองคำมารแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดในการซื้อวิชาลับ สมบัติ หรือชิ้นส่วนอาวุธเทพ

ลู่เซิ่งเคยอ่านจากในตำราว่า ชิ้นส่วนอาวุธเทพแบ่งเป็นหลายระดับ ที่ดีที่สุดคือชิ้นส่วนดั้งเดิมที่พลังงานสลายไปน้อยที่สุด ชิ้นส่วนประเภทนี้ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งแพง

อย่างแย่ที่สุดคือชิ้นส่วนชิ้นเล็กที่พลังงานสลายไปเกือบหมด ไม่อาจสร้างเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ และไม่อาจฝังลงไปในอาวุธ ได้แต่ปลูกถ่ายเข้าไปในร่างมนุษย์ เพื่อใช้รังสีปริมาณน้อยนิดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สายเลือดของตัวเอง

ส่วนทองคำมาร หนึ่งพันทองคำมารสามารถซื้อชิ้นส่วนอาวุธเทพชิ้นเล็กๆ ที่แย่ที่สุดได้

“ของขวัญชดเชยนี้ล้ำค่าจริงๆ” สำหรับคนมีสายเลือดแล้ว ยิ่งมีชิ้นส่วนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ใครๆ ก็อยากมีเก็บไว้มากๆ

ลู่เซิ่งเข้าใจถึงความล้ำค่าของของขวัญชดเชยที่ตระกูลซ่งมอบให้ดี เขาเกือบจะชิงอัญมณีที่พวกเขาเตรียมไว้ไปแล้ว แถมยังเกือบกำจัดยอดฝีมือของพวกเขาด้วย แต่สุดท้ายกลับได้ของขวัญชดเชยมาอีก

เขาเก็บมุกบุปผาม่วง ให้ข้ารับใช้ต้มน้ำและเตรียมเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน ก่อนจะเข้าไปแช่น้ำร้อนในห้องอาบน้ำ

ตอนที่แช่น้ำ เขาเริ่มสรุปสถานการณ์ของตนในปัจจุบัน

แก่นมาร ปราณเหลว และกายเนื้ออันเหี้ยมหาญในวิถีแปดมารสูงสุด เขาล้วนไม่คิดเอามาใช้ แต่จะซุกซ่อนทั้งหมดเอาไว้ ของพวกนี้เปิดเผยสถานะและเบื้องหลังได้อย่างง่ายดายยิ่ง

สิ่งที่เขาใช้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือกายเนื้อขอบเขตพันธนาการระดับเอกะลักษณ์ รวมถึงปราณจริงแท้จำนวนไม่มากที่เพิ่งฝึกฝนได้

เมื่อกระตุ้นปราณจริงแท้สุดกำลัง ลวดลายสีเลือดจะปรากฏบนผิวหนังทั่วร่างโดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันพละกำลังและความเร็วจะเพิ่มขึ้น รวมถึงเลือดลมจะโคจรเร็วขึ้นหลายเท่าตัว แม้แต่ความเร็วในการตอบสนองก็ยกระดับขึ้นไปด้วย

‘ความจริงเมื่อดูจากภาพรวม ส่วนใหญ่แล้วต้าอินจะใช้ปราณจริงแท้เป็นหลัก วิชาจริงแท้ที่แตกต่างเสริมร่างกายในส่วนที่แตกต่าง ขณะเดียวกันวิชาจริงแท้ที่แตกต่างก็มีท่าสังหารพิเศษหลากหลายรูปแบบ จนทำให้คนป้องกันไม่หวาดไม่ไหวเช่นกัน เพียงแต่ว่าวิชาจริงแท้เหล่านี้หลังผ่านระดับพันธนาการไป จะเริ่มใช้สำหรับพัฒนาสายเลือดและขยายความสามารถของสายเลือดเป็นหลัก ซึ่งเป็นแบบฉบับการเพิ่มระดับของสำนักร้อยเส้นสายในต้าซ่ง’

เขาพิงสองแขนไว้บนขอบอ่างไม้พลางหยีตาขบคิดอย่างตั้งใจ

‘ตอนนี้เรามาถึงขั้นนี้ ถือว่ามาถึงจุดข้อจำกัดแล้ว หากจะขึ้นไปอีกจะต้องใช้การพัฒนาสายเลือดของตัวเองเป็นหลัก สายเลือดในตัวเราเป็นโลหิตเผาไหม้ของตระกูลหยวนกวง แถมยังเบาบางถึงขีดสุด มีความคุ้มค่าในการพัฒนาต่ำสุดขีด หากจะเพิ่มความแข็งแกร่ง สารกายที่ต้องใช้เกรงว่ายากจะจินตนาการถึง ดังนั้น…’ เขานึกถึงมุกบุปผาม่วงที่ได้มาในวันนี้ ‘วิธีการที่ดีกว่าอาจจะเป็นการหาทองคำมารไปซื้อชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะกับตัวเอง แล้วฝังเข้าไปในร่างกายเพื่อหาสายเลือดใหม่ๆ’

การปลูกถ่ายสายเลือดใหม่มีตลาดอยู่ไม่น้อยในต้าอิน ผู้ที่จะดำเนินการปลูกถ่ายส่วนใหญ่แล้วเป็นคนชายขอบของตระกูลใหญ่ๆ ที่มีสายเลือดต่ำถึงขีดสุด พวกเขามีเงินและทรัพยากรมากพอในการซื้อขายแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนอาวุธเทพ การหล่อเลี้ยงสายเลือดในภายหลังจึงสะดวกสบายกว่าคนธรรมดา

เพียงแต่การซื้อชิ้นส่วนกับการหล่อเลี้ยงสายเลือดล้วนเหมือนหลุมลึกไม่เห็นก้น คนธรรมดาแทบจะจินตนาการทรัพยากรกับเงินที่ต้องใช้ไม่ออก ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อและความเร็วในการฟื้นฟูของคนทั่วไปก็ไปไม่ถึงระดับที่ปลูกถ่ายชิ้นส่วนอาวุธเทพได้ อันดับแรกต้องทำให้พลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งก่อน แถมตนเองยังต้องมีคุณสมบัติร่างกายของผู้มีสายเลือดด้วย จากนั้นจึงค่อยใช้วัตถุล้ำค่าจำนวนมหาศาลหล่อเลี้ยงถึงระดับหนึ่ง

หลังจากปลูกถ่ายชิ้นส่วนแล้ว ทุกๆ สองสามเดือนยังต้องใช้ทรัพยากรพิเศษจำนวนมากกำจัดปฏิกิริยาผิดปกติทิ้ง สิ้นเปลืองอย่างน่ากลัวจนถึงขั้นที่อาจทำให้ตระกูลเล็กๆ ซึ่งอย่างมากสุดชุบเลี้ยงแค่คนสองคนสิ้นเนื้อประดาตัวได้

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด