ยอดวิถีแห่งปีศาจ 426 ล่าสังหาร (2)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 426 ล่าสังหาร (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 426 ล่าสังหาร (2)

“เจ้าแพ้แล้ว” ลู่เซิ่งไม่ได้ลงมือต่อ หากแต่มองสวีฉีที่หายใจรวยรินอยู่ด้านล่างพลางพูดด้วยเสียงเย็นชา

อีกฝ่ายสูญเสียพลังต่อต้านไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คว้าโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารอีกฝ่าย มีอริยะเจ้าสองคนที่อยู่ไม่ไกลออกไปเป็นพยาน เกิดว่าเขาลงมือสังหาร สองคนนี้จะต้องรายงานสำนักพันอาทิตย์หรือไม่ก็ราชธานีอินตูอย่างแน่นอน

สวีฉีกัดฟันกรอด สายตาเย็นเยียบ “เจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่!?”

“ดาบสดับฟ้า จงมอบมา” ลู่เซิ่งกล่าวตามตรง “นอกจากนี้ ข้ากำลังไล่ตามผู้ร้ายประกาศจับอยู่ดีๆ เจ้าก็ดันโผล่มาช่วยพาคนร้ายไป ยังคิดทำร้ายตัวข้าเพื่อปิดบังความจริง…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว! ข้าจะชดเชยให้เจ้าเอง!” สวีฉีตัดบทคำพูดของเขา

ความจริงต่อให้จิ่งหงไม่ได้ถูกสงสัย แต่ว่าก็เป็นนักโทษประกาศจับที่เคยก่อคดีฆาตกรรม วิธีการของสวีฉีถือว่าถูกต้องในด้านคุณธรรม แต่ว่าในด้านกฎหมายของต้าอิน เขากำลังปกป้องคนร้ายอยู่

“ข้าต้องการหอกในมือเจ้า! ดาบสดับฟ้า กับอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำอย่างน้อยสองชิ้น!” ลู่เซิ่งเสนอเงื่อนไขโดยตรง

สวีฉีเป็นคนของตระกูลจิ่ง อริยะเจ้าในสามตระกูลใหญ่มีทรัพย์สมบัติมหาศาล ตอนนี้แม้ไม่อาจสังหารอีกฝ่ายทิ้งได้ แต่ก็สามารถขูดรีดหนักๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา

“หอกไม่ได้!” สวีฉีปฏิเสธอย่างเด็ดขาด นี่เป็นอาวุธเทพคู่ชีวิตของเขา ไม่อาจทิ้งได้ตามใจ “ข้าจะให้อาวุธเทพใบไม้ทองคำแก่เจ้าสี่ชิ้น อาวุธเทพดาวหยกหนึ่งชิ้น นี่เป็นสมบัติตระกูลทั้งหมดของข้าแล้ว เจ้าจะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอาก็ฆ่าข้าเสีย เลือกเอง!”

เขาแสดงท่าทีไม่เลือกก็แล้วแต่เจ้าอย่างนักเลงโต ทั้งสองรู้ว่าลู่เซิ่งไม่ฆ่าคน แต่ถ้าอยากทำ แค่หาวิธีทำให้เขายากจะฟื้นฟูเป็นเวลานาน ก็ถือเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เช่นกัน

ต่อให้เป็นอริยะเจ้า ถ้าหากร่างกายได้รับความเสียหายมากเกินไป การฟื้นฟูก็จะซับซ้อนและเชื่องช้าสุดขีด อาจจะกินเวลาหลายร้อยปีก็ได้

ลู่เซิ่งชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย

“ก็ได้”

สวีฉีแค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับยกมือขึ้น เขวี้ยงจุดแสงห้าจุดออกไป นี่เป็นวิชาย่อส่วนอาวุธเทพ จุดแสงทั้งห้าบรรจุอาวุธเทพของจริงหลังจากย่อส่วนเอาไว้

สี่ชิ้นในนี้เป็นระดับใบไม้ทองคำ มีชิ้นเดียวที่เป็นระดับดาวหยก

ลู่เซิ่งกวาดจิตวิญญาณก็ทราบว่าสิ่งของในจุดแสงคืออะไร

ดาบสามเล่ม กงจักรหนึ่งชิ้น หอกหนึ่งเล่ม คลื่นกลิ่นอายเป็นอย่างเดียวกับสวีฉี ดาบสดับฟ้าอยู่ในดาบสามเล่มนั้น ดูไม่สะดุดตานัก

“ขอตัว!” เขาเก็บจุดแสงก่อนจะหมุนตัวบินไปยังที่ไกล

เขามองออกว่า แม้ดาบสดับฟ้าจะลึกลับล้ำค่า แต่สวีฉีไม่รู้ว่ามันเป็นตัวแทนถึงสิ่งใด ลู่เซิ่งไม่รู้เช่นกันว่าดาบสดับฟ้าที่สวีฉีครอบครองอยู่มีประโยชน์อะไรกันแน่

กระนั้นก็นับว่าภารกิจสำเร็จแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้หอกเทพเทวปัญญาเล่มนั้นมา แต่เขาเดาว่าเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่อาวุธเทวปัญญาชิ้นนั้นจะเป็นสิ่งที่ตระกูลจิ่งมอบให้ หากเอามาจริงๆ จะสร้างปัญหาไม่น้อย…

ลู่เซิ่งพกพาอาวุธเทพกลับเมืองอาวรณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เจอตัวตวนมู่หว่านที่กำลังรอคอยอยู่ในเรือนหลังหนึ่งใกล้ๆ เหลาสุราแห่งเดิม

ตอนนี้ตวนมู่หว่านอยู่กับเด็กสาวคนก่อนหน้า เด็กสาวคนนี้มีนิสัยกระตือรือร้น ตอนนี้เรียกพี่ขานน้องกับตวนมู่หว่านแล้ว สนิทสนมกันเป็นอย่างดี

“นายท่านกลับมาแล้ว!” พอสัมผัสกลิ่นอายของลู่เซิ่งได้แต่ไกล ตวนมู่หว่านก็ลุกขึ้นแล้วเงยหน้ามองไปจากในเรือน

เด็กสาวมู่เจวี๋ยชิ่งตาเป็นประกาย รีบตามออกมา คนที่มากับนางคือบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีแดงที่มีบุคลิกหนักแน่นอีกคนหนึ่ง

ฟ้าว!

ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนพื้นเรือนโดยตรง เกิดลมแรงพัดไปทั่วทิศ แสงสีทองบนร่างค่อยๆ สลายไป

“ท่านคงเป็นลู่เซิ่งประมุขคฤหาสน์ลู่กระมัง ข้าน้อยมู่ตงเหอ มู่เจวี๋ยชิ่งลูกสาวข้าทำตัวเสียมารยาท แต่ท่านไม่ได้เอาความ นี่เป็นของขวัญขอบคุณ ได้โปรดรับความเคารพเล็กๆ ไว้ด้วยเถอะ”

บุรุษวัยกลางคนโบกมือ พลันมีบริวารส่งจานกลมสีแดงอมทองใบหนึ่งมา เศษชิ้นส่วนที่เปล่งแสงสีเงินหลายชิ้นวางเต็มอยู่ในจาน

ทั้งหมดเป็นชิ้นส่วนอาวุธเทพ

“คนของตระกุลมู่หรือ ข้าไม่เอาของหรอก ข้ายังมีธุระขอตัวก่อน” ลู่เซิ่งไม่อยากจะข้องแวะกับคนอื่นๆ ในสามตระกูลใหญ่มากนัก โยนแสงสีทองสายหนึ่งออกมาห่อหุ้มตวนมู่หว่านไว้ แล้วบินจากไปพร้อมกัน

ชั่วขณะนั้นทั้งสองพุ่งขึ้นท้องฟ้าจากในเรือนน้อย พร้อมกับบินไปยังทิศทางของเขตจันทราสารท

ครั้งนี้เขาบรรลุจุดประสงค์วัดพลังของตัวเองแล้ว ตอนนี้ถ้าเขาระเบิดพลังทั้งหมด จะอยู่ในกลุ่มคนระดับสูงสุดของขอบเขตดาวหยก

ถึงอย่างไรสวีฉีก็อยู่ในระดับนี้ การที่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด จึงเปรียบเทียบพลังออกมาได้แล้ว

เส้นขนที่รวมตัวจากอัคคีทองแปดเศียรสองสามเส้นนั้นมีอานุภาพสูงยิ่งกว่า แม้จะไม่ทราบว่าไปถึงระดับเทวปัญญาหรือยัง แต่ลู่เซิ่งก็มั่นใจแปดส่วนว่า สามารถใช้เส้นขนนี้ป้องกันการโจมตีทั้งหมดของสวีฉีได้อย่างสบาย

เพียงแต่เส้นขนนี้ลดน้อยลงทุกวันๆ ทั้งยังหายากถึงขีดสุด คราก่อนได้มาเพราะติดต่อกับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรโดยบังเอิญเท่านั้น

ลู่เซิ่งรู้ตัวเช่นกันว่าโชคดีที่ได้ของมา หากเป็นสถานการณ์ปกติ การที่เขาไม่ถูกอานุภาพอันน่ากลัวของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรกดดันจนได้รับบาดเจ็บหนักก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว

ครั้งนี้ใช้เส้นขนสีทองไปเส้นหนึ่ง เข้าใจแล้วว่าอานุภาพของมันอยู่ในระดับไหน

นอกจากนี้สิ่งที่นับว่าน่าดีใจก็คือ แม้จะไม่ได้อาวุธเทพระดับเทวปัญญามา แต่กลับได้อาวุธเทพอย่างอื่นมาทั้งหมดห้าชิ้น นอกจากดาบสดับฟ้าที่ต้องส่งไปแล้ว เขาสามารถกลืนกินอาวุธเทพที่เหลือเองได้

เพิ่งบินกลับไปตามเส้นทางเดิมได้ครึ่งทาง กลางฝ่ามือของลู่เซิ่งก็ปลวดแปลบ สีหน้าเขาพลันเย็นเยียบ

“เจ้ากลับไปก่อน จงใช้ทางหลวง ข้ามอบกลิ่นอายจิตวิญญาณให้แล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่อง” เขาโยนตวนมู่หว่านลงจากฟ้าสูงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะปล่อยสนามพลังกลุ่มหนึ่งออกมาห่อหุ้มนางไว้ แล้ววางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา

ตวนมู่หว่านรู้ว่าลู่เซิ่งเจอสถานการณ์ด่วนเข้า จึงไม่อาจดูแลตนได้ นางเลยออกตัววิ่งทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่นานก็หายไประหว่างเนินเขาลุ่มๆ ดอนๆ ไกลออกไป

ท้องฟ้าเหลืองมัวซัว พื้นดินเงียบสงบ นอกจากสัตว์ป่าบางส่วนที่เห็นได้ระหว่างเนินเขาสีเขียวเข้มซึ่งสูงต่ำเป็นบางครั้งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

“ออกมาซะ ทำตัวลับๆ ล่อๆ มีจุดประสงค์อะไร!” ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงเหยียบพื้นหญ้าบนเนินแห่งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นอย่างกะทันหัน

บนพื้นหญ้าสีเขียวขี้ม้า ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีชมพูและสีเหลืองจำนวนมากพัดไหวตามลม ทันใดนั้นดอกไม้สีเหลืองดอกหนึ่งก็ขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง ยิ่งมายิ่งใหญ่ ลำต้นใต้ดินของมันกลายเป็นร่างมนุษย์สีเขียวที่สูงใหญ่ ส่วนช่อดอกไม้กลายเป็นศีรษะมนุษย์

“เจ้านี่เอง” ลู่เซิ่งประหลาดใจ “ยังกล้าโผล่มาขวางข้าอีกหรือนี่”

“บาดเจ็บไม่น้อยกระมัง” คนผู้นี้คือผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่ถูกลู่เซิ่งเล่นงานไปเมื่อก่อนหน้า เขาเพียงแค่เปลี่ยนร่างสิงเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นร่างกายของปีศาจพืชตนหนึ่ง

“เจ้าเดาดูสิ” ลู่เซิ่งหัวเราะ

ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายเลียริมฝีปาก รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้เหมือนกับบุรุษผิวสีเหลืองซึ่งสวมชุดรัดรูปสีเขียว ผมเป็นสีทองอร่ามเหมือนกับกลีบดอกไม้ ดูแปลกประหลาดสุดขีด

“หยุดโอ้อวดได้แล้ว เอาอาวุธเทพมาซะ พวกเราเห็นการตอ่สู้ของเจ้ากับคนผู้นั้นแล้ว บาดเจ็บขนาดนี้ยังต้องฝืนทนอีก ลำบากเจ้าแล้ว”

ขณะที่พูดอยู่ เงาคนพันผ้าพันแผลสีเทาอีกสายหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง คนผู้นี้ถือโซ่สีขาวอมเทาไว้ในมือ โซ่ท่อนหนึ่งหายเข้าในอากาศ เหมือนกับซ่อนตัวอยู่

“ตอนแรกข้าคิดจะร่วมมือกับเจ้าเพื่อทำภารกิจด้วยกัน แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะสามหาวขนาดนี้ เป็นแค่คนที่มาจากโลกภายนอกเท่านั้น แต่ดันกล้าลงมือกับพวกเราต่อหน้าทุกคนหรือ”

เวลาคนนอกได้ยินคำพูดของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคน จะเหมือนกับเสียงลมครางฮือๆ กับเสียงพึมพำครวญคราง แต่หูของลู่เซิ่งกลับแยกแยะเนื้อหาได้อย่างชัดเจน

“หมายความว่าพวกเจ้าคิดจะแย่งไปใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถามกลับ

ทั้งสองพลันชะงัก

“ถ้าหากเจ้ามอบมาแต่โดยดี พวกเราจะทำเหมือนว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น” ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่พันผ้าพันแผลกล่าวเสียงเย็นชา

“จริงๆ เลย…” ลู่เซิ่งเกิดเพลิงโทสะขึ้นในใจ เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ แถมยังสาหัสมาก ตอนนี้สายฟ้าชนิดพิเศษนั้นยังหลงเหลือในร่างกายเขา ไม่ได้ถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังของเขาลดลง

ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายแค่สองคนที่สู้อริยะเจ้าธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำกลับกล้าซ้ำเติมเขา ด้วยการข่มขู่คุกคามเขาหรือ

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนแรกพวกเขามาไม่ครบ ไม่ประสานอาวุธเทพกันดีๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องไล่ล่ามาไกลขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องสู้กับสวีฉีถึงขั้นนี้! คงจะจัดการภารกิจได้แต่แรกแล้ว

ตอนนี้เขาได้สินสงครามมาอย่างยากลำบาก แต่สวะสองตัวนี่ยังมีหน้ามาขอแบ่งชามข้าวแถมยังขมขู่เขาอีกหรือ

“พวกเจ้าเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกันแน่” ลู่เซิ่งทิ้งมือให้ห้อยตก แสงสีทองเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏกลางฝ่ามือเขาอย่างช้าๆ

“อะไรกัน เจ้าจะลงมือจริงๆ หรือ” ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคนสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยพร้อมกับถอยหลังไปสองก้าว

ลู่เซิ่งยกมือขึ้น ริมฝีปากสีแดงฉานฉีกออกเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันแหลมเหมือนเลื่อยเล็กละเอียดด้านใน ลิ้นที่แยกเป็นแฉกเลียนิ้วมือเบาๆ

“ข้าจะกล้าได้อย่างไร…การฆ่าฟันกันอาจได้รับโทษทัณฑ์จากลัทธิ…” แสงสีทองกลางฝ่ามือเขายืดขยายด้วยความเร็วสูง เสียงฟ้าวเมื่อดีดออกเป็นดาบสั้นสีทองเล่มหนึ่ง

“ข้าเพียงแค่อยาก…”

ลู่เซิ่งกำดาบสั้นไว้พร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาผู้ใช้วิชาชั่วร้ายตรงหน้า

“ทดลองว่าผู้ใช้วิชาชั่วร้ายมีรสชาติอย่างไรกันแน่เท่านั้น…!”

ฟิ้ว!

ร่างกายวูบไหว ร่างท่อนบนของลู่เซิ่งพุ่งออกไปอย่างฉับพลัน พร้อมกับยืดขยาย เปลี่ยนรูปร่าง และพองบวมอย่างบ้าคลั่งเหมือนงู พริบตาเดียวก็กลายเป็นสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง แล้วขย้ำศีรษะของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายเอาไว้

ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่สิงเผ่าพืชเพิ่งจะยกมือขึ้นปล่อยควันสีเทาเพื่อโต้ตอบ กลับถูกปากใหญ่ที่เหมือนกับงูหลามยักษ์ของลู่เซิ่งกัดงับอย่างรุนแรง

กร๊อบ!

ร่างท่อนบนของเขาถูกกัดจนกระดูกและเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนหักออก

สภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งไม่นับว่าใหญ่โตนัก ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไม่อาจเขมือบกลืนได้ในคำเดียว เขาคาบผู้ใช้วิชาชั่วร้ายเอาไว้ ต่อมสองต่อมที่เพิ่มมาใต้คางปล่อยควันพิษที่ทำให้ชาจำนวนมากออกมาด้วยความเร็วสูง ควันพิษชนิดนี้ไม่ส่งผลต่อกายเนื้อ หากส่งผลต่อจิตวิญญาณ

ลู่เซิ่งเงยหน้าสลัดไปด้านบนทีละเล็กทีละน้อย เพื่อยัดผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่ไม่อาจขัดขืนหลังจากชาเพราะควันพิษลงท้องทีละนิดๆ

เหมือนกับงูหลามยักษ์กลืนกินเหยื่อ

แค่ไม่กี่อึดใจ เลือดเนื้อของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายก็ถูกเขายัดลงท้องแล้ว

“เจ้า…เจ้า…!?” ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่พันผ้าพันแผลถอยหลัง ดวงตาฉายแววหวาดผวา “เจ้าถึงกับกล้า?!”

ลู่เซิ่งลากร่างกายท่อนบนที่ยาวสิบกว่าหมี่กลับมา แล้วกลับคืนสู่สภาพมนุษย์ธรรมดาๆ ในตอนแรกอย่างรวดเร็ว “เมื่อลงมาในโลกวัตถุ มักมีอุบัติเหตุหลากหลายรูปแบบ ต่อให้เป็นผู้ใช้วิชาชั่วร้ายก็อันตรายมากเหมือนกัน ดันทำตัววุ่นวายในโลกวัตถุโดยไม่ฟังคำเตือนของข้าเอง จะตายด้วยอุบัติเหตุก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”

“เจ้า…ไม่!” สุดท้ายผู้ใช้วิชาชั่วร้ายคนนี้หมุนตัวหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายกลายเป็นควันสีเทาหย่อมหนึ่ง กำลังจะสลายไป

ฟุ่บ!

เงาดำขนาดยักษ์พุ่งผ่าน ควันดำกับพื้นหญ้าและดินโคลนในอาณาเขตสิบกว่าหมี่รอบๆ อันตรธานหายไปทั้งหมด เหลือแค่หลุมใหญ่ลึกหลายหมี่อยู่ที่เดิม

ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก นี่นับว่าเป็นการหยั่งเชิงสือจื้อซิงเป็นครั้งแรก แม้การตายของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่สุดท้ายก็ทำให้ขุมกำลังในเขตของนางอ่อนแอลงอยู่ดี

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด