ยอดวิถีแห่งปีศาจ 434 แก้ไข (2)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 434 แก้ไข (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 434 แก้ไข (2)

ยอดฝีมือระดับสุดยอดของโลกใบนี้เรียกดาวเคราะห์ที่อยู่ได้ด้วยตัวเองเป็นดาราแผดเผา

ดาราแผดเผาแบ่งออกเป็นหลายระดับ โลกแห่งความเจ็บปวดเป็นโลกที่อยู่ในชั้นลึกสุด อยู่ใกล้กับใจกลาง ต่อจากนั้นค่อยเป็นพิภพมาร แล้วค่อยเป็นโลกมนุษย์ที่อยู่บนชั้นผิว

โลกสามใบจัดเรียงอยู่บนดาราแผดเผา เป็นสภาพแวดล้อมที่มนุษย์และมารอยู่อาศัย

จากนั้นซูหนิงเฟยก็บอกว่า สาเหตุที่การต่อสู้ของพวกจ้าวแห่งมารไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ลงมือบนดินแดนของต้าอิน แต่ทะยานขึ้นท้องฟ้า ไปยังมิติดวงดาว หรือก็คืออวกาศเหนือฟากฟ้า

“ถือโอกาสพูดถึงสักหน่อย สาเหตุที่อริยะเจ้ากับยอดฝีมือระดับผู้ถืออาวุธขั้นสูงสุดจำนวนมาก โดยเฉพาะสามสำนัก เลือกกักตนในเขตถ่ายอดความลับเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่อยู่ว่างจนเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วเขตถ่ายทอดความลับตั้งอยู่บนดวงดาวขนาดเล็กใกล้ๆ กับดาราแผดเผา ที่นี่ไม่เพียงมีสภาพแวดล้อมซึ่งมีสารกายเต็มเปี่ยมถึงขีดสุดเท่านั้น ยังมีโบราณสถานกับสมบัติในยุคโบราณตอนต้นเหลืออยู่บางส่วนอีกด้วย ค่ายกลส่งตัวอันแข็งแกร่งที่ยังไม่เข้าใจหลักการนี้ พวกเราขุดออกมาได้จากในโบราณสถาน”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ซูหนิงเฟยก็รอให้ลู่เซิ่งย่อยเนื้อหาก่อน และในที่สุดก็เริ่มเข้าสู่หัวข้อหลัก

“ถ้าหากเจ้าอยากให้อาจารย์ช่วยเจ้ารับแรงกดดัน ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่เจ้าต้องช่วยงานอาจารย์สักครั้ง”

“อาจารย์…โปรดบอกเถอะขอรับ!” ลู่เซิ่งทำท่าฝืนฟื้นคืนสติ คล้ายกับจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจหลุดออกจากสภาพของมิติดาราอันกว้างใหญ่ไพศาลได้

ซูหนิงเฟยเห็นดังนั้นก็อมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับบอกต่อ “ก่อนหน้านี้หลายเดือน อริยะเจ้ากับจักรพรรดิมารได้พบประตูใหญ่ลึกลับบานหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนดาวเทียมดวงหนึ่งที่โคจรรอบดาราแผดเผาในตอนที่สู้กันโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเราส่งผู้ถืออาวุธหลายคนเข้าไป แต่ไม่มีร่องรอยและข่าวสารแม้แต่น้อย ต่อมาหลังจากศึกษาก็พบว่า ด้านหลังประตูใหญ่บานนี้เป็นวังวนพลังงานสีรุ้งอันน่าอัศจรรย์”

“ความหมายของอาจารย์คือ ให้ศิษย์มุ่งหน้าไปตรวจสอบหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา ขนาดผู้ถืออาวุธยังไม่รอด แม้เขาจะเป็นอริยะเจ้า แต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันอันตรายจากสิ่งบัดซบนี้ได้

“ย่อมไม่ใช่” ซูหนิงเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ย่อมมียอดฝีมือผู้เชี่ยวชาญของสามสำนักมาศึกษา เพียงแต่พวกเราสงสัยว่า ด้านหลังประตูบานนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับโลกด้านนอกที่อยู่สูงกว่าซึ่งพวกเราเคยศึกษามาโดยตลอด มันเป็นโลกที่อันตรายซึ่งเจ้าแห่งอาวุธตั้งชื่อให้ว่าวิญญาณชั่วร้าย”

“โลกวิญญาณชั่วร้ายหรือ” ลู่เซิ่งนิ่วหน้า “หรือว่าจะอันตรายยิ่งกว่าโลกแห่งความเจ็บปวดอีก”

“แม้โลกแห่งความเจ็บปวดจะอันตราย แต่หนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่อาจลงมาได้ สองเป็นเพราะโลกแห่งความเจ็บปวดมีคนน้อยเกินไป นอกจากนี้ต่อให้พวกเขาลงมา ก็มีสำนักไตรอริยะคอยรับมือ สำนักไตรอริยะกับความประหลาดลี้ลับมีความข้องเกี่ยวกันมหาศาล กล่าวได้ว่าความประหลาดลี้ลับเกิดขึ้นเพื่อต่อสู้กับโลกแห่งความเจ็บปวด ในนี้มีความลับยิ่งใหญ่ ตอนนี้เจ้ายังไม่มีสิทธิ์รู้ อย่าเพิ่งพูดถึง สิ่งที่ข้าต้องการให้เจ้าทำก็คือ จงมุ่งหน้าไปยังประตูอีกบาน แล้วเฝ้าประตูบานนั้นไว้ ขณะเดียวกันก็สับเปลี่ยนกับอริยะเจ้าที่คอยคุ้มครองประตูลับมาโดยตลอดท่านนั้นด้วย”

“อ้อ หลังสับเปลี่ยนตัวแล้ว ต้องคุ้มครองนานเท่าไหร่หรือ” ลู่เซิ่งซักถาม

“นานหน่อยก็สิบปี เร็วหน่อยก็สองปี เจ้าไม่ได้ไปคนเดียว ยังมีอริยะเจ้าอีกหลายคนไปกับเจ้าด้วย ส่วนรางวัลภารกิจ นอกจากอาจารย์จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องของสำนักมารกำเนิดแล้ว แต่ละคนจะได้อาวุธเทพเทวปัญญาคนละชิ้น” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างจริงจัง

“สองชิ้น!” ลู่เซิ่งรู้ว่าปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อสำนักพันอาทิตย์กล้าบอกความลับนี้กับเขา ก็แสดงให้เห็นว่าแม้ไม่อยากก็ต้องทำ ไม่มีวันหนีพ้น เขาจึงถือโอกาสเพิ่มผลประโยชน์ให้มากที่สุดไปด้วย

“ไม่ได้!ครั้งนี้สำนักหลายสำนักรวบรวมกันอย่างยากลำบาก เทวปัญญาไร้เจ้าของมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ให้เจ้าหนึ่งชิ้นก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว อย่างอื่นอย่าคิดฝันเลย” ซูหนิงเฟยปฏิเสธอย่างแน่วแน่

“ขอบังอาจถามว่าประตูลับที่ศิษย์ต้องคุ้มครองอยู่ที่ไหน จะเจอสถานการณ์อะไร” ลู่เซิ่งเปลี่ยนเรื่อง

“ประตูมายา ตำแหน่งอยู่ที่เกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งบนทะเลบูรพา อยู่ห่างจากต้าอินมาก เจ้าควรจะจัดการทุกอย่างในตระกูลให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทาง ถ้าหากเจ้าไม่วางใจภารกิจในตระกูล ก็ให้คนรุ่นหลังแบ่งอัคคีวิญญาณให้เจ้า ถ้าหากตระกูลเกิดเรื่อง เจ้าจะกลับมาได้เอง” ซูหนิงเฟยเอ่ยอย่างราบเรียบ “เรื่องนี้เป็นภารกิจระยะยาว เจ้าเป็นแค่กลุ่มคนที่ไปสับเปลี่ยนเท่านั้น ไม่ต้องคิดมากหรอก”

ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะถามข้อมูลที่เกี่ยวข้องบางส่วนกับซูหนิงเฟย จากนั้นจึงค่อยๆ ถอยออกจากเขตถ่ายทอดความลับ

หลังจากพักผ่อนในห้องลับสักพักหนึ่ง เขาก็เชื่อมต่อกับคำว่าชั่วร้าย แล้วเข้าสู่โลกแห่งความเจ็บปวดอย่างรวดเร็ว

พอเจอสือจื้อซิง ก็เล่าภารกิจที่เพิ่งได้รับให้นางฟังรอบหนึ่ง

สือจื้อซิงนั่งข้างชั้นหนังสือในห้อง ใช้นิ้วลูบไล้ขอบโต๊ะเบาๆ พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ประตูมายา…ทุกอย่างในสถานที่นั้นยังดี มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่บางครั้งจะมีสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายบางส่วนโผล่ออกมา แค่กำจัดทิ้งก็พอ เพียงแต่เจ้าเป็นขุมกำลังที่อยู่ภายนอกการควบคุมของสามสำนัก ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักพันอาทิตย์ไม่มีตัวเลือกจริงๆ ไม่มีทางเผยความลับมากมายขนาดนี้ให้เจ้ารู้หรอก แถมยังให้เจ้าเข้าร่วมการคุ้มครองประตูมายาอีกต่างหาก ดูเหมือนพวกเขาจะมีคนไม่พอแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ใต้เท้าท่านเห็นว่าอย่างไร…” ลู่เซิ่งโยนปัญหาให้สือจื้อซิงอย่างเด็ดขาด พูดถึงเรื่องพลังไม่แน่ว่าคนผู้นี้จะอ่อนแอกว่าซูหนิงเฟย

“เห็นอย่างไร พวกเราเป็นเพียงหนึ่งในเก้าเขตลัทธิ ที่นี่เป็นแค่สถานที่เล็กๆ ข้าถูกส่งมาถ่ายทอดลัทธิได้ระยะหนึ่งแล้ว ถึงเวลาดำเนินการโยกย้ายออกจากที่นี่ เพื่อกลับเมืองหลักในเขตลัทธิที่เก้าพอดี สือจื้อซิงกล่าวอย่างไตร่ตรอง

“ส่วนเรื่องของเจ้า ความเป็นมาของประตูมายามีภารกิจคุ้มครองเฝ้าประตูอยู่ ซึ่งสามสำนักรับผิดชอบมาโดยตลอด ไม่มีกับดักอะไรหรอก เจ้าสามารถไปได้ แต่ว่าทางนั้นมีการรบกวนรุนแรงสุดขีด เจ้าคิดจะเข้ามาในเขตถ่ายทอดความลับกับโลกศักดิ์สิทธิ์ตามใจคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว หากเจออะไรให้ระวังตัวด้วย อย่าได้เปิดเผยสถานะ”

สือจื้อซิงขบคิดเล็กน้อย แล้วหยิบรูปสลักเล็กๆ ที่คล้ายอีกาสีดำตัวหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนจะส่งให้ลู่เซิ่ง

“เวลาจำเป็นให้บีบมันทิ้ง สามารถรักษาชีวิตเจ้าได้สามครั้ง อย่าใช้สิ้นเปลืองเล่า ต่อให้มันจะเป็นของข้า แต่ก็มีไม่กี่ชิ้นเท่านั้น” ดวงตานางฉายแววเสียดาย

ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รับเอารูปสลักมาพิจารณาอย่างละเอียด สิ่งนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น แต่สลักเสลาอย่างสมจริง เหมือนอีกาสีดำยืนอยู่กลางฝ่ามือจริงๆ สองตาของอีกาเป็นสีแดงโลหิต เส้นสายสีเงินที่เลือนรางติดอยู่ด้านหลัง ที่เหลือไม่มีจุดน่าอัศจรรย์ใดๆ อีก

“จดจำไว้ อย่าใช้ส่งเดช ของเล่นชิ้นนี้มีแค่ในโลกศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเท่านั้น เกิดว่าใช้หมด จะต้องเตรียมตัวแตกหักกับโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์” สือจื้อซิงกล่าวอย่างจริงจัง

กล่าวตามจริง แม้เวลาที่นางกับลู่เซิ่งร่วมมือกันจะไม่ได้ยาวนานนัก แต่ลู่เซิ่งมีประสิทธิภาพในการทำภารกิจสูงสุดขีด อีกทั้งพลังยังไม่เลวเช่นกัน ในโลกแห่งความเจ็บปวดที่วิชาแก่นจริงแท้ธรรมดาไม่มีผล กล่าวได้ว่ากายเนื้ออันเหี้ยมหาญของลู่เซิ่งถูกจัดเป็นสามอันดับแรกในหมู่บริวาร

กอปรกับรู้จักรุกถอย รู้จักบันยะบันยัง ถ้าไม่ใช่แบบนี้ สือจื้อซิงคงไม่กล้าตัดใจมอบอีกาสีดำให้กับอีกฝ่าย

ของสิ่งนี้เป็นของรักษาชีวิตที่บิดาซึ่งเป็นเจ้าลัทธิมอบให้แก่นางด้วยตัวเองก่อนที่นางจะออกจากเมืองหลัก มีทั้งหมดสามชิ้น นางเคยใช้ไปชิ้นหนึ่ง ยังเหลืออีกสองชิ้น ตอนนี้ส่งให้ลู่เซิ่งหนึ่งชิ้น ตนเองก็มีหนึ่งชิ้น

“จดจำเอาไว้ หากเจอเรื่องอะไรให้รักษาชีวิตเป็นสำคัญ เกิดว่าสามสำนักมีแผนการร้าย เจ้าจะต้องอย่าลืมเอาตัวรอดและหลบหนี เขตลัทธิของพวกเราเพิ่งมีความหวัง ภารกิจบนตัวเจ้ายิ่งใหญ่ จงอย่าตายง่ายๆ!” นางกำชับอย่างละเอียดจนทำให้ลู่เซิ่งแปลกใจอยู่บ้าง

ถึงแม้ทั้งสองจะมีพื้นฐานเป็นระดับบนระดับล่างที่เกาะเกี่ยวกันด้วยผลประโยชน์ แต่ว่ากล่าวตามสัตย์จริง คนอย่างสือจื้อซิงในฐานะระดับสูง หนึ่งไม่ขี้ระแวง สองทำอะไรไม่มีอุบาย คำพูดที่พูดออกมาจะทำจริงหนึ่งร้อยส่วน สามใจกว้างกับบริวารถึงขีดสุด

อาจเป็นเพราะเขามีเบื้องหลังไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เห็นสิ่งของที่บริวารแอบฮุบไว้เองในสายตา

แต่ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากรูปสลักอีกาตัวนี้ว่า ด้านในของสิ่งนี้มีสิ่งของที่อธิบายไม่ได้บางอย่างแฝงอยู่ คล้ายเป็นสนามพลัง และคล้ายสนามแม่เหล็กมีชีวิตที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิต

หลังออกจากโลกแห่งความเจ็บปวด เขาก็เริ่มปรับปรุงขุมกำลังของสำนักมารกำเนิดและคฤหาสน์ลู่อย่างรวดเร็ว

การเดินทางไกลในครั้งนี้ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ จึงจำเป็นต้องทำภารกิจให้สำเร็จเท่าที่จะทำได้ก่อนจะออกเดินทาง ได้แต่รอเฉินอวิ๋นซีคลอดลูก ค่อยเตรียมตัวเดินทาง

สองสามเดือนผ่านไป ขุมกำลังของสำนักมารกำเนิดก็หดตัวและกระชับลงอย่างใหญ่หลวง โดยหั่นลูกศิษย์สำนักจำนวนมากที่ไร้ประโยชน์ทิ้ง และสร้างหอรางวัลลงทัณฑ์ ซึ่งเอาไว้กำหนดรางวัลและการลงทัณฑ์ให้แก่คนของสำนักและคนของคฤหาสน์ลู่โดยเฉพาะ

ลู่เซิ่งบัญญัติกฎและรายละเอียดที่หลอมรวมเข้ากับต้าอินขึ้นชุดหนึ่งโดยอิงตามกฎของสำนักอื่นๆ จากนั้นก็ส่งกระแสเสียงหาอริยะเจ้าทงเซิงผ่านเขตถ่ายทอดความลับ เพื่อขอให้เขาช่วยดูแลคฤหาสน์ลู่กับสำนักมารกำเนิด

หลังจากนั้น พริบตาเดียวก็ถึงวันที่เฉินอวิ๋นซีคลอด

ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าบ่อน้ำด้านนอกตำหนัก มองดูแสงจันทร์ที่สะท้อนกับผิวน้ำเงียบๆ ไฟจากตะเกียงในห้องด้านหลังสว่างไสว เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเฉินอวิ๋นซีดังมาเป็นระยะ

ด้านนอกกำแพงตำหนักยังมีคนไม่น้อยล้อมรอบอยู่ โดยเฝ้าอยู่ด้านนอก หวังให้การคลอดบุตรในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น

ถ้าหากให้กำเนิดลูกชาย ก็จะสืบทอดสายเลือดของคฤหาสน์ลู่ต่อได้ ถ้าหากให้กำเนิดลูกสาว เช่นนั้นก็จำเป็นต้องหาคนแต่งเข้า นี่ค่อนข้างลำบากเล็กน้อย อย่างไรแม้ต้าอินจะเปิดเผย แต่บุรุษก็มีสถานะดีกว่า

ลู่เซิ่งสีหน้าสงบนิ่ง ครอบครัวเช่นพวกลู่เฉวียนอันที่สีหน้ากระวนกระวายยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกล ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ของเฉินอวิ๋นซีเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านสนามพลังกลิ่นอาย ซึ่งแตกต่างกับพวกเขาที่กำลังร้อนรน

“เซิ่งเอ๋อร์! ทำไมเจ้าถึงไม่ร้อนรนเลยเล่า นั่นมันลูกของเจ้านะ” ลู่เฉวียนอันบ่นอย่างจนปัญญา “ดูท่าทางเจ้าสิ อย่างกับว่าการคลอดลูกของอวิ๋นซีไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไรอย่างนั้น มีบุรุษแบบนี้อีกหรือนี่?!”

“ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ลูกไม่ร้อนรน ท่านไม่ควรจะดีใจหรอกหรือ”

ลู่เฉวียนอันคิดดูก็รู้สึกว่าถูกต้อง พลังของลู่เซิ่งเทียบได้กับเทพเจ้าแล้ว การที่เขาไม่ร้อนรนก็หมายความว่าลูกสะใภ้ไม่เป็นไร พอคิดแบบนี้เขาก็พลันโล่งใจ ไปปลอบโยนพวกมารดารองหลิวชุ่ยอวี้แทน

ลู่เซิ่งกวาดตามองคนที่ยืนอยู่ในเรือน ลู่ชิงชิงได้รับการรักษาเกือบหายดีแล้ว เพียงแต่สูญเสียความทรงจำไปไม่น้อย ปัจจุบันสติยังเลอะเลือน จึงไม่ให้นางมาด้วย ลู่อีอีกลับอยู่ด้วย นางยืนอยู่กับลู่หงอิงแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงก้มหน้าแสดงความเคารพตอนที่เขากวาดตามองผ่าน

ลู่เซิ่งถอนใจ ก่อนหน้านี้เพื่อปกปิดสถานการณ์อันวิปริตที่พลังของเขาพุ่งทะยานขึ้น เขาจึงส่งคนไปกระจายข่าวลือที่ว่าความจริงแล้วตนคือวิญญาณเทพกลับชาติมาเกิด

นี่เป็นเหตุให้คนของตระกูลลู่ที่กล้าสนิทสนมกับเขาในปัจจุบันลดน้อยลงเรื่อยๆ

แทบทุกคนนึกว่าเขาเป็นผู้อาวุโสตัวประหลาดเฒ่าที่กลับชาติมาเกิด การทำตัวสนิทสนมด้วยเหมือนเมื่อก่อนหน้าจึงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

ขณะกำลังคิดอยู่ ด้านในตำหนักก็พลันเงียบลง จากนั้นเสียงทารกดังกังวานก็ทะลุประตูตำหนักมาถึงในเรือน

ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลง หลับตาลง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตนมีสายเลือดที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศในร่างสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในตำหนัก

ความรู้สึกนี้ช่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับเห็นส่วนหนึ่งของชีวิตของตัวเองแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ด้านนอกอย่างเป็นอิสระ…

ในที่สุดบนโลกใบนี้ก็มีคนที่ใกล้ชิดกับตนที่สุดเพิ่มมาอีกคนแล้ว

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด