ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 457 คฤหาสน์มืด (3)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 457 คฤหาสน์มืด (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 457 คฤหาสน์มืด (3)

ป่าเขาที่เชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตำบล เหมือนกับพรมผืนหนาห่อคลุมอาณาเขตรัศมีมากกว่าพันลี้เอาไว้ใต้ร่มไม้ที่หนาแน่นมืดสลัว

ตอนนี้บนเนินเขาที่อยู่ห่างจากหุบเขากลางป่าหลายร้อยหมี่มีบุรุษสองคนที่สวมชุดทะมัดทะแมงสีฟ้าเร่งฝีเท้าเดิน พลางใช้มือดึงใยแมงมุมที่ขวางทางออกตลอดเวลา

“ใกล้จะถึงแล้ว คฤหาสน์มืดในรื่องเล่า ว่ากันว่าหลังเข้าไปแล้วจะไม่มีใครออกมาได้อีก”

ซูหรั่นกับฉินสือจวินตัดผ่านพุ่มหญ้าสีแดงอ่อนที่ดกหนาผืนหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นอาคารเล็กๆ ทำจากหินสีขาวอมเทาที่เก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งผ่านคาคบไม้ด้านหน้าอย่างเลือนราง

ซูหรั่นมองอาคารศิลาแห่งนี้ด้วยความคาดหวัง

เขากับฉินสือจวินไม่ได้มาเพื่อตามหาเหมยโย่วเจียงเท่านั้น แต่ยังมาตรวจสอบข้อมูลอีกด้วย

“สถานที่แห่งนี้…” ฉินสือจวินค่อยๆ ชักกระบี่ยาวจากด้านหลังมาถือไว้ในมือ พร้อมกับเดินเบียดพุ่มหญ้าไปตามเส้นทางเล็กๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังอาคารน้อยแห่งนั้น

“ระวังตัวหน่อย” ซูหรั่นติดตามอยู่ด้านหลังเขา “คฤหาสน์มืดตั้งอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่”

“ข้ารู้ เจ้าหลบไปไกลๆ หน่อย” ฉินสือจวินกล่าวพลางพยักหน้า “วิญญาณร้ายไม่แบ่งแยกอาณาเขตต่อสู้กับอาณาเขตปลอดการต่อสู้หรอก”

ซูหรั่นพยักหน้าแล้วทำรีบทำตาม

ทั้งสองที่อยู่ห่างกันสิบกว่าก้าวค่อยๆ เดินไปถึงหน้าอาคารสองชั้นแห่งนั้น

นอกจากสี่ตระกูลคุ้มครองทั้งสองร่วมมือกันกำจัดวิญญาณร้ายระดับรองมาหลายปีแล้ว จึงค่อนข้างรู้ใจกันดี

ซูหรั่นโปรยสิ่งของที่เหมือนกับถั่วเหลืองออกมาส่วนหนึ่งอย่างเงียบๆ ทางฉินสือจวินเริ่มหยิบยาขี้ผึ้งขวดเล็กๆ ออกมาป้ายบนคมกระบี่ของตัวเอง

“ออกฤทธิ์แค่ครึ่งชั่วยาม ทำให้เร็วที่สุด” เขาหันกลับไปพูดกับซูหรั่นอย่างเรียบง่าย

“อือ”

ทั้งสองเดินไปถึงอาคารศิลาแล้วขึ้นบันไดหินที่มีตะไคร่งอกยาวไปถึงหน้าประตู

ตึงๆ

ฉินสือจวินชนประตูไม้หุ้มเหล็กเปิดออกอย่างง่ายดาย กระบี่สาดแสงสีเงินขึ้นด้านในมือ ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเป็นรูปพัดด้านหน้าเขาในจังหวะที่ถลันเข้าไปในอาคาร

ชิ้ง

คมกระบี่หยุดค้างลงบนพื้นด้านข้างฉินสือจวิน ฟันไม่โดนสิ่งใด

“ไม่มีใคร” เขาขมวดคิ้วแล้วหันไปมองด้านนอก “ซูหรั่น จุดไฟ”

ไม่มีคนตอบ

ฉินสือจวินสีหน้าเปลี่ยนแปลง ค่อยๆ ถอยออกจากอาคารแล้วกวาดตามองรอบๆ ป่าที่ดำทะมึนเงียบสงัด ท้องฟ้ามืดสลัวลงกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนกำลังจะตกหรือไม่

ตอนนี้ซูหรั่นที่เมื่อครู่ยังอยู่ด้านหลังเขา หายตัวไปอย่างลึกลับและไร้สุ้มเสียง

“ซูหรั่น” ฉินสือจวินไม่แตกตื่น พวกเขาเจอสถานการณ์ถูกจับแยกแบบนี้บ่อยๆ ในการร่วมมือกันหลายครั้ง สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือเชื่อใจอีกฝ่าย

นอกประตูมืดมิด ฉินสือจวินขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ก่อนจะถือกระบี่ถอยกลับไปในอาคาร

‘มิติวิญญาณร้ายหรือ’ เขาครุ่นคิด แล้วค่อยๆ เดินไปยังบันไดขึ้นไปชั้นสอง

ในอาคารมืดมิดผิดปกติ แทบจะไม่ต่างอะไรกับคืนเดือนมืด

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาพลันได้ยินว่าด้านหลังตนเหมือนมีเสียงฝีเท้าเช่นกัน จึงหยุดชะงักลง

หันกลับไปมอง ด้านหลังไม่มีสิ่งใด

‘รู้สึกไปเองหรือ’ ฉินสือจวินโยนกระดาษยันต์บิดเบี้ยวที่วาดเส้นสายสีเขียวใบหนึ่งออกไปเบาๆ แล้วปล่อยให้มันลอยตกลงบนพื้นเอง

‘ไม่มีใครอยู่ด้านหลัง’ พอเห็นว่ากระดาษยันต์ไม่มีปฏิกิริยา ฉินสือจวินก็โล่งใจ หมุนตัวเดินขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีแดงก่ำปื้นหนึ่งที่เหลืออยู่บนราวจับบันไดทางขวา คล้ายเป็นสีแดงก่ำที่สดใหม่มาก

‘มีรอยเลือดหรือ?!’ ฉินสือจวินจิตใจเคร่งขรึม ซูหรั่นไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาคงหาเวลาที่เลือดกระเด็นกับชนิดของมันได้ผ่านความสามารถของสหายร่วมงาน

ขณะที่กังวล ฉินสือจวินก็คิดจะรอให้ซูหรั่นออกมารวมตัวกันก่อน จากนั้นค่อยวางแผนใหม่

นึกถึงตรงนี้ เขาก็หมุนตัวเดินลงชั้นล่าง

“ฉินสือจวิน”

อยู่ๆ เสียงของซูหรั่นก็ดังลงมาจากชั้นบน ฉินสือจวินเงยหน้ามองไป เห็นสหายยืนถือโคมไฟดวงหนึ่งอยู่ตรงขั้นบนสุดของบันไดที่ดำทะมึน กำลังก้มมองตนเองพร้อมกับอมยิ้ม

“รีบขึ้นมาเถอะ ข้าเจอของดีเข้าแล้ว” ซูหรั่นกล่าวอย่างราบเรียบ แสงไฟของโคมไฟส่องสะท้อนใบหน้าของเขาจนมืดครึ่งสว่างครึ่ง ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง

“ของดีหรือ” ฉินสือจวินงุนงง เขารู้จักนิสัยของซูหรั่นดี ถ้าหากไม่ใช่ของดีจริงๆ อีกฝ่ายคงไม่แสดงออกชัดเจนขนาดนี้

เนื่องจากเชื่อมั่นต่อสหาย เขาจึงถือกระบี่เดินไปยังชั้นสองอีกครั้งหลังใคร่ครวญเล็กน้อย

เพียงแต่ว่าพอเขาขึ้นไปถึง กลับพบว่าสหายร่วมงานเดินไปถึงประตูห้องห้องหนึ่งบนทางเดินชั้นสองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ ทั้งยังกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มอยู่

“ตามข้ามา ของอยู่นี่” ซูหรั่นโบกมือให้เขา

ฉินสือจวินเกิดความสงสัย แต่ยันต์วิญญาณร้ายบนตัวเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายวิญญาณชั่วร้ายใดๆ ไม่ได้ หนำซ้ำเขายังไม่คิดด้วยว่าซูหรั่นจะถูกจัดการง่ายขนาดนั้น

หลังจากจิตใจสงบลง ฉินสือจวินก็เดินไปถึงประตูห้อง ก่อนจะเดินตามแสงของโคมไฟเข้าประตูไป

โครม!

ทันใดนั้นประตูห้องปิดลงเสียงดังสนั่นหลังจากเขาเข้าไป ถัดจากนั้นก็โยกไหวอย่างรุนแรง เสียงกระแทกกับเสียงกระอักดังมาพร้อมกัน หลังจากนั้นไม่เกินสิบวินาที ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ

“อาจวิน” ซูหรั่นเดินเข้าประตูใหญ่ของอาคารศิลาช้าๆ เขาเพิ่งจะได้ยินฉินสือจวินเรียกเขาอยู่ไกลๆ จึงรีบเข้าใกล้ แต่นึกไม่ถึงว่าพอมาถึงแล้วจะไม่เห็นเงาคนสักสายเดียว

ตอนนี้กลับมายังประตูอาคารอีกรอบ ประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ถูกลมพัดจนโยกไปมา ทั้งยังส่งเสียงครึกๆ เนื่องจากความเก่าออกมาตลอดเวลา

ซูหรั่นเข้าประตูไป จากนั้นก็รู้สึกว่าด้านในอาคารคล้ายเย็นเยียบอยู่บ้าง ฉินสือจวินหายสาบสูญไปแล้ว แต่ยังมีรอยเท้าที่ชัดเจนเหลืออยู่บนพื้นแถวหนึ่ง คล้ายจะตรงขึ้นบันไดไปชั้นสอง

“ตรงนี้ ข้าอยู่นี่” เสียงของฉินสือจวินดังมาจากปากบันได

ซูหรั่นขมวดคิ้วพร้อมกับหยิบกิเลนอันประณีตและมีขนาดกะทัดรัดออกมากัดไว้ในปาก ขณะเดียวกันก็ชักมีดสั้นคมกริบเล่มหนึ่งออกมาฟันใส่ส่วนขาของกิเลน

ฉัวะ บนขากิเลนมีเลือดหลายสายซึมออกมา

ซูหรั่นป้ายเลือดออกมาส่วนหนึ่งแล้วดีดนิ้ว เลือดกระจายออกไปโดนบันไดด้านข้างฉินสือจวินที่กำลังพูด

กิเลนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ซูหรั่นสีหน้าเยือกเย็นลง

“เจ้าขึ้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาขมวดคิ้วถาม

ฉินสือจวินยืนอยู่ที่ปากบันได ไม่ทราบว่าทำไมใบหน้าถึงเป็นสีเขียวเล็กน้อย

“เมื่อครู่นี้เอง ข้าพบของบางอย่าง เกรงว่าต้องรอให้เจ้ามาตรวจสอบด้วยกัน”

ซูหรั่นผุดสีหน้างุนงง ก่อนจะเก็บกิเลนแล้วเร่งฝีเท้าเดินขึ้นบันได ‘หรือว่าไอ้สิ่งนั้นจะโผล่มาอีกแล้ว’ เขารีบตามไปด้วยจิตใจเคร่งเครียด

หลังจากขึ้นชั้นสอง เขาก็เห็นฉินสือจวินยืนอยู่บนระเบียงทางซ้าย ประตูของห้องห้องหนึ่งอ้าอยู่ ฉินสือจวินที่ยืนอยู่หน้าประตูกวักมือเรียกเขา จากนั้นก็เดินเข้าไปก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ซูหรั่นลังเลเล็กน้อย แต่ก็เร่งฝีเท้าเดินตามไปยังห้องห้องนั้น

“ที่นี่อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งซึ่งติดตามอยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์ร่างกำยำหยุดยืนอยู่บนยอดเขา มองดูอาคารศิลาเก่าแก่ที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ซึ่งอยู่กลางป่ารกชัฏแต่ไกล

อาคารเล็กที่มีสองชั้นแห่งนั้นตั้งอยู่กลางป่าอย่างเงียบๆ เถาวัลย์และตะไคร่คลานไต่อยู่ทั่ว ดูเก่าแก่โบราณ

รอบด้านเป็นสีเขียว ลมเย็นเยียบอยู่บ้าง

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำมีชื่อว่าเฉินจื่ออั๋ง เป็นบุรุษที่ประสบเหตุการณ์พลิกผันมีแผลเป็นทั่วตัว ครั้งกระโน้นเขาถูกคนใส่ร้ายป้ายสี ภรรยาหนีตามคนอื่น ลูกสาวหายสาบสูญ ยากบรรยายถึงความอัปยศอดสู

ต่อมาเหมยโย่วเจียงทราบเรื่องราว จึงขอให้เหมยหยวนชิงประมุขตระกูลเหมยที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงออกคำสั่งตรวจสอบเรื่องนี้ สุดท้ายจึงค่อยล้างความอัปยศได้

ต่อมาเขายังได้แก้แค้นโดยพึ่งพาตระกูลเหมย เรื่องนี้เป็นเหตุให้ตระกูลเหมยล่วงเกินตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในที่ลับบางส่วน ภายหลังเหมยหยวนชิงเสียชีวิตลง อำนาจของตระกูลเหมยลดลง ทำให้ปัจจุบันได้แต่อาศัยสตรีไม่กี่คนประคับประคอง เขาก็มีผลกระทบจากปัจจัยด้านนี้ในระดับหนึ่งเช่นกัน

เฉินจื่ออั๋งจึงคิดมาโดยตลอดว่าความตกต่ำของตระกูลเหมยเป็นความรับผิดชอบของตัวเองส่วนหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้เลยมุ่งหน้ามาช่วยเหลือคนโดยมีความคิดสละชีวิตอยู่แล้ว

“ที่นี่มีภูมิประเทศแบบลุ่มต่ำ สาเหตุที่คฤหาสน์มืดทำให้คนเข้าไปได้แต่ออกมาไม่ได้ นอกจากอันตรายที่อยู่ด้านในแล้ว ผืนป่าที่รกชัฏรอบๆ นี้น่าจะมีส่วนช่วยด้วย” เฉินจื่ออั๋งกล่าวเสียงขรึม “ทุกท่าน ข้าคิดจะเข้าไปตรวจสอบรอบๆ เสียหน่อย พวกท่านจะเคลื่อนไหวอะไรก็ตามสบายเลย”

“ตามสบาย” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่นำพา ในเมื่อเจอคฤหาสน์มืดที่ว่าแล้ว เขาก็ไม่คิดจะรั้งตัวอีกฝ่ายไว้อีก

เฉินจื่ออั๋งประสานมือ แล้วเหินร่างลงจากเนินด้วยฝีเท้าแผ่วเบา พุ่งไปทางป่าเขาด้านข้างคฤหาสน์มืด ไม่นานก็หายไปด้านใน เหมือนกับหยดน้ำที่รวมเข้าไปในห้วงมหาสุมทร

“นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร” เปี๋ยเฟยเฮ่อถามด้วยเสียงทุ้มหนัก

ดวงตาลู่เซิ่งกลายเป็นสีทองคำขาวแวบหนึ่ง “ข้าบอกวิธีการโคจรพลังวิญญาณกับเจ้าไปแล้ว ไปเถอะ เปิดทางให้ข้า พลังของเจ้าในตอนนี้เหนือกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว”

เปี๋ยเฟยเฮ่อจนใจ แต่ในเมื่อลู่เซิ่งขอให้ทำแบบนี้ นางก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินไปด้านหน้า หายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วทำให้ความคิดไหลเวียนไปทั่วร่างด้วยความเร็วสูงตามวิชาระเบิดพลังวิญญาณที่ลู่เซิ่งสอนให้

ในร่างนางไม่ได้มีแค่พลังวิญญาณของตัวเอง แต่ยังมีพลังวิญญาณของลู่เซิ่งแทรกอยู่ด้วยมากกว่าครึ่ง ลู่เซิ่งใช้นางเป็นกล่องเก็บพลังวิญญาณสำรอง โดยอาศัยไขมันจำนวนมากในตัวนางกักเก็บพลังวิญญาณปริมาณมหาศาล

พลังวิญญาณเหล่านี้จะหายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ไม่ได้มีคุณสมบัติถาวร แต่ก่อนจะหายไป เมื่อพลังวิญญาณเหล่านี้รวมกัน อานุภาพที่ระเบิดออกมาก็สามารถทำให้คนอ้าปากตาค้างได้แล้ว

ซู้ด…

ไขมันทั่วร่างเปี๋ยเฟยเฮ่อขยายตัวด้วยความเร็วสูง ตอนนี้ร่างที่ตอนแรกสูงสองหมี่กว่าๆ ยืดขึ้นถึงสองจุดห้าหมี่ ไขมันที่สะสมบนตัวในแนวขวางขยายจนมีพื้นที่มหึมากว่าเดิม ดูเหมือนจะเปล่งแสงสีเขียวอ่อนๆ ให้ความรู้สึกน่าตกตะลึงเป็นพิเศษ

“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหลังนางพลางมองตำแหน่งที่คฤหาสน์มืดอยู่

เปี๋ยเฟยเฮ่อพยักหน้า แล้วย่ำฝีเท้าอันหนักหน่วงไปยังคฤหาสน์มืด

ตอนนี้แทบจะบอกได้ว่านางมีร่างคงกระพัน แม้แต่ตาและหูก็ถูกไขมันขนาดมหึมาเบียดชิดปิดไว้ นางต้องพยายามลืมตา ถึงจะรับประกันได้ว่าจะไม่เฉออกจากทิศทางเวลาเดิน

ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจในขณะที่มองเงาหลังของเปี๋ยเฟยเฮ่อที่ห่างออกไป จากนั้นก็มองอินเตอร์เฟสของดีปบลูที่ลอยอยู่ตรงหน้าตัวเอง

พลังวิญญาณที่เลื่อนสู่ระดับมังกร บรรลุขอบเขตใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว

มีเมล็ดสีม่วงอันแปลกประหลาดที่เหมือนกับหัวใจโผล่มาในร่างกาย เมล็ดอยู่ในสภาพกึ่งจริงกึ่งปลอม ด้านในคล้ายมีพลังงานพิเศษชนิดหนึ่งซุกซ่อนอยู่ พลังงานพิเศษที่กระตือรือร้นจะเชื่อมต่อกับสถานที่บางแห่งในโลกภายนอก

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าหากตนปล่อยการสะกดจากจิตใจและวิญญาณ บางทีเมล็ดเม็ดนี้อาจจะทำให้เขาเชื่อมต่อกับมิติอีกมิติหนึ่งได้

เนื่องจากความกังวลและเพราะมีความคิดอื่นๆ ตอนนี้จึงไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับลู่เซิ่ง เขาคิดจะจัดการเรื่องคฤหาสน์มืดให้จบก่อน จึงค่อยลงมือจัดการ

ติดตามเปี๋ยเฟยเฮ่อที่อยู่ด้านหน้าไปเรื่อยๆ ไม่นานลู่เซิ่งก็มาถึงอาคารศิลาสองชั้น เปี๋ยเฟยเฮ่อที่นำหน้าอยู่หนึ่งก้าวเข้าไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีเสียงใดๆ ดังออกมา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด