ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 657 วางหมาก (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 657 วางหมาก (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 657 วางหมาก (1)

อ๊าก!

ผู้เป็นลุงล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรง ส่งเสียงโอดโอยและกลิ้งไปมา

“พวกแกกำลังทำผิดกฎหมาย!” ลูกชายของเขาที่อยู่ด้านข้างเอ็นเขียวปูดโปน คิดจะเข้าไปสู้ด้วย

แต่ก็ถูกคนต่อยใส่ท้องจนตัวงอและพูดไม่ออกทันที จากนั้นบอดี้การ์ดหลายคนเข้าไปกดตัวเขาไว้กับพื้น

“ถึงนายท่านจะไม่ได้บอก แต่พวกเราที่เป็นบริวารก็รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” ชายสูงใหญ่กวาดตามองคนสองคนบนพื้นด้วยสีหน้าดูแคลน

“ไอ้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอ๊ย ไปเถอะอลิซ”

“สองคนนี้ให้ฆ่าไหม”

“ตัดแขนข้างหนึ่งก็พอ ถ้าทำเกินไปจะไม่งาม”

“ไม่นะ! พวกแกทำแบบนี้ไม่ได้นะ! อธิบดีเกาเป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของฉัน! พวกแกห้าม…อ๊าก!”

เลือดกระจายเต็มพื้น แขนข้างหนึ่งของชายร่างอ้วนถูกหยิบขึ้นมา

พวกหลินเซิ่งหย่าที่อยู่ด้านข้างหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทา ลู่เซิ่งที่เมื่อครู่ตนเองดูถูกดูแคลน กลับเรียกคนมาตั้งมากมายปานนี้ได้

“เสี่ยวหย่า…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” แม่ของจัวซินซินที่หน้าซีดถามขณะจับมือหลานสาวไว้แน่น

“หนู…หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ…” หลินเซิ่งหย่าหนังศีรษะชายิบ หัวใจเต้นเร็วจี๋ แต่กลับนึกสงสัยมากกว่า

ทุกคนพลันฉุกใจได้ว่ายังมีอีกคนที่ต้องรู้เส้นสนกลในแน่นอน

สายตาของทุกคนพลันจับอยู่ที่ร่างของจัวซือชิ่งที่อยู่บนเตียง

“พวกเธออย่ามองฉัน ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวอวี่ทำอะไร” ตอนนี้จัวซือชิ่งยังมึนงงสับสน ยังไม่ได้สติกลับมา

วินาทีก่อนหน้าเขายังจนตรอกไม่มีแรงสู้อยู่เลย วินาทีถัดมากลับพลิกฟื้นได้ในพริบตา เรื่องนี้ทำให้เขาใจลอยราวกับฝันไป

“พอได้แล้วครับ” อยู่ๆ ชายที่เป็นผู้นำในสองคนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็ปรบมือพร้อมกับยิ้มแย้ม

“พวกคุณอย่าเดามั่วเลย คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์รู้สถานะของนายท่านหรอกครับ ส่วนคุณพ่อของนายท่าน พวกเราไม่กล้าข้ามหน้าข้ามตา เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมด ถ้านายท่านอยากบอกคุณ ก็คงไม่เก็บไว้มานานขนาดนี้”

จัวซือชิ่งยิ้มขื่นขมพลางพยักหน้าน้อยๆ

“แต่ คนที่ลงมือในครั้งนี้คือตระกูลจ้าวที่เป็นตัวปัญหาที่สุดในเมือง…เสี่ยวอวี่จะใจร้อนไม่ได้เด็ดขาด ว่ากันว่าตระกูลจ้าวมีความสัมพันธ์กับฝ่ายทหารไม่เลว พวกเราไม่…”

“ตระกูลจ้าว?” ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาทันที “ตระกูลจ้าวนับเป็นตัวอะไรกัน”

พวกจัวซือชิ่งตกตะลึง หลินเซิ่งหย่าตาเป็นประกาย พอมองเครื่องแต่งกายบนตัวคนกลุ่มนี้อย่างละเอียดอีกที เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ ตามงามพลันเบิกโต

ลู่เซิ่งอ่านข้อมูลฉบับหนึ่งอย่างละเอียดขณะที่กำลังเดินลงจากตัวตึกด้วยความหงุดหงิด

ความจริงเรื่องนี้เป็นความสะเพร่าของเขาเอง เดิมนึกว่าในเมื่อพ่อกลายเป็นผู้กุมอำนาจในบ้านแล้ว ชีวิตก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนลงมือลอบเล่นงาน

ผ่านไปราวสิบนาที คนของตระกูลจัวบางส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ถูกบอดี้การ์ดเสื้อดำหลายกลุ่มพาตัวเข้ามา

ทุกคนต่างถูกนำไปรวมตัวกันในลานกว้างเล็กๆ กลางอาณาเขตเล็กๆ

ผู้อยู่อาศัยคนอื่นๆ พากันหลบอยู่ในบ้าน แม้แต่ผ้าม่านก็ปลดลง ไม่กล้าชม

มีสองสามคนอยากจะแอบเอาโทรศัพท์มาถ่ายวีดีโอ แต่ก็ถูกชายชุดดำลากออกมากระทืบรอบหนึ่ง พอสลบไปเพราะได้รับบาดเจ็บหนักก็โดนโยนกลับเข้าไปใหม่

ต่อจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าบันทึกวีดีโออีก

ลู่เซิ่งรออยู่หน้าตึกสักพัก ไฟโทสะในใจค่อยๆ เบาบางลงแล้วหลายส่วน

หงเฉิ่นลู่ที่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดเข้ามากระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค

“คนที่จับมาได้อยู่นี่หมดแล้วครับ คนพวกนี้เป็นสมาชิกทั้งหมดในตระกูลย่อย ส่วนบ้านหลักของตระกูลจัวอยู่ใกล้กับตึกรัฐบาลกลางเมือง ถ้าพวกเราลงมือโดยตรงจะส่งผลกระทบมากเกินไป…”

“เจ้าโง่!” ลู่เซิ่งตบศีรษะหงฉิ่นลู่ “พวกแกลงมือไม่ได้ แล้วทำไมไม่ให้คนที่ลงมือได้ไปจัดการเล่า สถานีตำรวจ ทหาร หน่วยพิเศษ ใช้ไม่ได้หรือไง”

“รับทราบครับ!” หงเฉิ่นลู่ค่อยได้สติ ก่อนจะรีบร้อนถอยไป

ลู่เซิ่งมองคนของตระกูลจัวที่มารวมตัวกันด้านล่าง

ในนี้มีชาย หญิง คนแก่ และเด็ก เครื่องแต่งกายสวยค่อนข้างทันสมัย พอมาอยู่รวมกันกลับเหมือนจัดงานปาร์ตี้อะไรสักอย่างบนที่โล่งตรงนี้

“ยังเหลืออีกกี่คน”

“ทางบ้านหลักอยู่ค่อนข้างไกล พวกเราเลยเรียกใช้คนได้ช้า…” หงเฉิ่นลู่เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย “นอกจากนี้พวกเราได้ตรวจสอบคนที่ลงมือกับนายท่านใหญ่เรียบร้อยแล้วครับ”

“เป็นใคร”

“จ้าวหลงขุย น้องชายของจ้าวหานเฟิงเจ้าพ่ออสังหาริมทรพย์ในตลาดครับ”

“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปเอง” ลู่เซิ่งตาเปล่งประกายดุร้าย

“นอกจากนี้ ให้พาพ่อของฉันเข้าห้องไอซียูในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดใกล้ๆ แถวนี้ด้วย จากนั้นให้หาคนรู้ความในตระกูลจัวมาแนะนำผังตระกูลให้ฉันสักคน บ้านหลักมีแต่พวกสวะ ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นใคร” ลู่เซิ่งแค่นเสียงพร้อมกล่าวเสริม

“รับทราบครับ!”

ตระกูลจัว

รองนายกเทศมนตรีฮอลส์จิบชาในมืออย่างช้าๆ พร้อมกับหยีตาฟังนายผู้เฒ่าที่สองบอกเล่าปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น

“หมายความว่าพวกคุณไม่รู้จักคนที่ลงมือแม้แต่น้อย แล้วตระกูลจ้าวได้นัดแนะกับพวกคุณก่อนรึเปล่า” ฮอลส์เติบโตขึ้นจากศูนย์ เขาก้าวจากเจ้าหน้าที่รัฐตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ จนกลายเป็นระดับรองนายกเทศมนตรีประจำนครศูนย์กลางที่มีตำแหน่งสูงอย่างในตอนนี้ได้ ด้วยการช่วยเหลือจากตระกูลจัว

ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายคาบเกี่ยวกันสลับซับซ้อนจนแยกออกจากกันไม่ได้

“หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ คนทางตระกูลย่อยถูกเล่นงาน ดูเหมือนผู้มาไม่มีเจตนาดี ฮอลส์ ทางสถานีตำรวจต้องพึ่งพาแกเปลืองสมองหน่อย เงินสนับสนุนในแต่ละปีของตระกูลจัวไม่ใช่เอาให้ฟรีๆ หรอกนะ”

“แน่นอนอยู่แล้วครับ ละเมิดกฎของสหพันธ์อย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ คดีของตระกูลย่อยในครั้งนี้ ผมจะเร่งให้อธิบดีเกาเหยียนตรวจสอบอย่างเข้มงวดเอง” ฮอลส์พยักหน้า

“เพียงแต่ถ้าพวกคุณให้เบาะแสมากกว่านี้ ก็จะส่งเสริมการสืบคดีของพวกเราได้มากกว่าเดิม” เขายิ้มด้วยใบหน้าข้าราชการ

ส่วนจะเป็นเบาะแสอะไร ทั้งสองรู้แน่แก่ใจอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากการสนับสนุนและเงินที่มากกว่าเดิม

จัวซินเฉิงลังเลเล็กน้อย “ห้าสิบล้าน ฉันขอเป็นตัวแทนบริษัทใหญ่จัวเยว่เทียนเฉิงบริจาครางวัลนำจับห้าสิบล้านให้แก่สถานีตำรวจประจำเมือง”

“ขอบคุณผู้เฒ่าจัวมากครับ” ฮอลส์พลันยิ้มอย่างเป็นมิตรกว่าเดิม

ณ ตระกูลจ้าว คฤหาสน์หมายเลขสิบเอ็ดบนถนนเมอร์ลิน

เสียงเพลงที่ผ่อนคลายดังมาจากการบรรเลงของวงดนตรีขนาดเล็กอย่างช้าๆ

ในคฤหาสน์กำลังจัดคอนเสิร์ตขนาดเล็กยามบ่าย

ชายหญิงอายุน้อยที่รู้จักมักจี่กับตระกูลจ้าวหลายคนกำลังคุยกันพลางจิบชา กินขนมอยู่ในโถงใหญ่อย่างสนุกสนาน บรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ

แกร๊ก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก ชายฉกรรจ์อายุน้อยที่มีหุ่นกำยำหลายคนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา

จ้าวหลงขุยกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ถือมีดสั้นที่ส่องประกายแวววาวเล่มหนึ่งขณะคุยกับคนอื่นๆ พอเห็นว่าอยู่ๆ ก็มีคนเข้ามาก็รู้สึกงุนงง

“ใครคือจ้าวหลงขุย” คนที่เข้ามาถามเสียงเย็น

“พวกแกเป็นใคร!?”

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งเข้าไปถีบใส่

โครม!

จ้าวหลงขุยกระเด็นออกไปชนกับกำแพงใต้หน้าต่าง กระดูกหักดังกร๊อบๆ ไม่ทราบว่าหักไปกี่ท่อน จากนั้นก็นอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้น

เขาไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ เพียงแต่ผุดสีหน้าหวาดกลัวและสับสน

“พาคนไป”

ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลเหล่าคุณชายคุณหญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง

“ที่นี่ห้ามให้ใครเข้าออกภายในครึ่งชั่วโมง” เขาหมุนตัวเดินออกจากประตูใหญ่โดยไม่หันหลังกลับ

“รับทราบ!”

คนชุดดำสองคนที่ขวางอยู่ตรงประตูใหญ่ก้มหน้าขานรับ

ยังมีคนอีกสองคนเข้าไปหามจ้าวหลงขุยออกมา

คนที่เหลือตะลึงงัน เนื่องจากนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าลอบโจมตีจ้าวหลงขุยต่อหน้าสาธารณะชนในถิ่นที่ตระกูลจ้าวมีอำนาจมากที่สุดอย่างเมืองคุนหนี

ตอนที่จ้าวหลงขุยถูกหามไป คนหนุ่มสองคนที่อยู่ใกล้ๆ คิดเข้าไปขัดขวาง แต่โดนชายชุดดำสองคนตบใส่จนล้มคว่ำกับพื้น

จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก

“พวกแกกล้าทำร้ายฉันงั้นเหรอ!? พวกแกกล้าทำร้ายฉันในเมืองคุนหนีงั้นเหรอ” จ้าวหลงขุยหน้าบวม แต่ยังคงจ้องมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาอาฆาต

“เชื่อไหม ฉันจะให้พวกแกทุกคนออกจากเมืองคุนหนีไม่ได้ภายในครึ่งชั่วโมง?!” เขาข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น

ลู่เซิ่งหรี่ตากวาดมองคนคนนี้

“คนที่ลงมือกับจัวซือชิ่งไม่ได้มีแกแค่คนเดียวสินะ”

“จัวซือชิ่งหรือ หมายถึงไอ้คนดื้อด้านนั่นน่ะนะ” จ้าวหลงขุยหัวเราะอย่างดูแคลน “ที่แท้ก็เป็นตระกูลจัว พวกแกนี่กล้าดีจริงๆ ดูเหมือนข้อตกลงเรื่องทรัพยากรครั้งก่อนจะยังไม่ทำให้พวกแกพอใจสินะ ฉันขอเตือนให้แกปล่อยฉันไปตอนนี้ดีกว่า อีกเดี๋ยวอย่างมากสุดพี่ฉันก็แค่ให้พวกแกมอบของขวัญชดเชยเท่านั้น จ่ายเงินหรือมอบผลประโยชน์ให้นิดเดียวก็จบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้น…เหอะๆ บังอาจมาหยามคนตระกูลจ้าว พวกแกอย่าคิดสงบศึกเลย แก แก แก!” เขาชี้คนชุดดำหลายคนที่อยู่รอบๆ

“พวกแกอาจจะไม่กลัวตาย แต่พวกแกมีเพื่อน มีคนที่ตนเองหวงแหนที่สุด ถ้าเล่นงานฉันจริงๆ พวกแกทุกคนจะต้องตาย!”

ทันใดนั้น จ้าวหลงขุยก็แสดงสีหน้าเหี้ยมเกรียม น้ำเสียงกลายเป็นดุร้ายเหี้ยมโหดในฉับพลัน

ลู่เซิ่งมองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ อยู่ๆ ก็หัวเราะพร้อมกับปรบมือ

ไม่นานนักหงเฉิ่นลู่ก็พาคนที่คุ้นตาอยู่บ้างคนหนึ่งเข้ามา

“นายท่าน คนที่เหมาะสมที่สุดคือเธอครับ”

หงเฉินลู่เบี่ยงตัวไปทางซ้ายเพื่อให้หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังก้าวขึ้นมาด้านหน้า

“เจิ้นอวี่ นายคิดจะทำอะไรกันแน่!? นายทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ตระกูลจัวเสียหายแถมยังทำร้ายพ่อของนายด้วยนะ! ต่อให้นายมีขุมกำลังอยู่ด้านนอก แต่บ้านหลักของตระกูลจัวอยู่ที่สหพันธ์ พวกเราหนีไม่รอดหรอก!”

หลินเซิ่งหย่าจดจำจ้าวหลงขุยที่หน้าบวมได้ทันที จึงรีบส่งเสียงห้ามปรามด้วยความตกตะลึง

“หลินเซิ่งหย่าหรือ งามหน้าจริงๆ! พวกแกตระกูลจัวทำงามหน้านัก!” จ้าวหลงขุยมองหลินเซิ่งหย่า อยู่ๆ ก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย

“ยิ้มหาอะไรวะ!”

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งตบหน้าของจ้าวหลงขุยจนอีกฝ่ายตีลังกาขึ้นฟ้าหลายตลบ ก่อนจะชนใส่แจกันดอกไม้ที่อยู่ด้านข้างและกระอักเลือดออกมา สภาพใกล้ตายเต็มที

หลิ่นเซิ่งหย่าคิดจะกรีดร้อง แต่ก็ถูกหญิงชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังอุดปากไว้

เธอพยายามขัดขืน แต่เพราะแรงแตกต่างกันมากเกินไป ฝ่ามือของอีกฝ่ายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จึงทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง

“ไม่รู้จักที่ตาย” หงเฉิ่นลู่มองจ้าวหลงขุยที่นอนหายใจรวยริน พลางส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

เขารีบเดินไปถึงด้านข้างตัวลู่เซิ่ง แล้วกระซิบข้างหูอีกฝ่ายสองสามประโยค

“อะไรนะ” เพียงแค่สองสามประโยคนี้ก็ทำให้ลู่เซิ่งยิ้มด้วยความเดือดดาลสุดขีดแล้ว

“เขาคุกเข่าอยู่ด้านนอกครับ” หงเฉิ่นลู่ตอบเบาๆ

“ไม่ต้องไปสนใจมัน หลินเซิ่งหย่า เธอพาฉันไปบ้านหลักตระกูลจัวซะ” ลู่เซิ่งชี้หลินเซิ่งหย่า ที่แล้วมาเขาชอบใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ ไม่มีหลักคุณธรรมอะไรทั้งนั้น

หลักคุณธรรมสามารถรวบรวมพลังของคนทุกคน และรวมขุมกำลังทั้งหมดเป็นปึกแผ่นได้จริงๆ แต่ต้องเสียเวลามากมาย

แต่การบีบบังคับรวดเร็วกว่ามาก ขอแค่มีพลังแข็งแกร่งพอ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา

“ฉันไม่ไปเด็ดขาด!” พอหลินเซิ่งหย่าถูกปล่อยตัว ก็กล่าวปฏิเสธทันที

“ฉันทนดูนายลากตระกูลจัวลงเหวไม่ได้หรอก!” เธอจ้องมองลู่เซิ่งพลางหายใจกระหืดกระหอบ

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด