วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 10-7

Now you are reading วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ Chapter 10-7 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเสียงกระซิบแสนหวานใกล้เข้ามา มินอาจึงหลับตาลง เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากผู้ชายที่ไม่ได้มองมาที่ตนเองแม้ตนจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม ชานค้นหารยูฮาจากตัวนางที่นอนลงเหมือนตุ๊กตา รยูฮา รยูฮา เขาที่โหยหารยูฮาพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงลงบนไออุ่นของร่างกาย 

 

 

“อยู่อย่างนี้สักพักเถอะนะ” 

 

 

ชานจับมือของมินอาที่แตะไหล่เหมือนกับจะผลักออกลง 

 

 

“เตียงจะสกปรกเอานะเพคะ” 

 

 

ชานไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอย่างไรจึงอยู่อย่างนั้นสักพัก แต่แล้วก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ จากที่ไหนสักแห่งจึงลุกพรวดขึ้นและจับให้มินอาลุกขึ้น หลังที่แผลยังไม่ปิดสนิทถูกลากไปกับเตียงจึงทำให้แผลเปิดออกและมีเลือดไหลซึมออกมา 

 

 

“ทำไมไม่บอกเล่า” 

 

 

“ไม่เป็นไรเพคะ” 

 

 

รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าภายในดวงตาที่พูดอย่างแข็งกระด้างเหมือนเดิม ชานจ้องมองสักพักก่อนจะหันหน้าไปออกคำสั่งนางในที่อยู่ด้านนอก 

 

 

“ไปเอายาทาแผลและผ้าพันแผลมาซะ” 

 

 

“เดี๋ยวหม่อมฉันกลับไปทำแผลเองเพคะ” 

 

 

คำพูดของมินอาถูกเมินไป จากนั้นสักพักนางในก็โค้งคำนับและเข้ามาวางถาดที่ด้านบนมียา ผ้าพันแผลและผ้าขนหนูชุบน้ำไว้ก่อนจะหายตัวไป ชานเช็ดแผลด้วยผ้าขนหนูและทายาอย่างระมัดระวังเหมือนค่ำคืนที่ไปที่ที่พักของมินอาเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงพันผ้าพันแผลและผูกจนแน่น พอเขาเช็ดมือ มินอาจึงโค้งศีรษะให้เล็กน้อยและหยิบชุดที่ถูกโยนสะเปะสะปะอยู่บนเตียงขึ้นมา 

 

 

“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” 

 

 

ชานไม่ตอบและโอบกอดมินอาจากทางด้านหลัง ให้นางนอนตะแคงลงบนเตียงโดยระวังไม่ให้โดนแผล จากนั้นตนเองจึงนอนลงไปด้วยและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม กลิ่นหอมละมุนลอยขึ้นมาจากกลุ่มผมสีดำขลับในอ้อมกอดจั๊กจี้จมูก 

 

 

“…อย่าเพิ่งไปเลยนะ” 

 

 

“ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ” 

 

 

“ถ้าไปตอนนี้ ข้าก็จะไม่ให้ยา” 

 

 

พรุ่งนี้ก็จะได้เจอรยูฮาแล้ว หัวใจของชานเต็มไปด้วยความดีใจอันดำมืด แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่อยากอยู่คนเดียว ความเหนื่อยอ่อนลากชานลงไปยังห้วงแห่งนิทราอย่างช้าๆ มินเอาเองก็ถูกซัดด้วยความอ่อนเพลียราวกับกระแสน้ำขึ้นและผล็อยหลับลึกไปเช่นกัน 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“มินอา มาแล้วหรือ” 

 

 

รยูฮาเอ่ยถามเบาๆ หลังจากรับรู้ได้ว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตูแม้จะไม่มีเสียงก็ตาม 

 

 

“เพคะ พระชายา” 

 

 

“เข้ามาสักครู่สิ” 

 

 

รยูฮาซึ่งซูบผอมลงไปกว่าเมื่อวานนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เป็นท่าทางที่ดูเหมือนจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ จู่ๆ มินอาก็คิดขึ้นได้ การที่ฮอนนอนไร้ชีวิตราวกับตายไปแล้วนั้น นั่นคือผลของยาพิษที่ถูกปรับใช้อย่างเชี่ยวชาญเพื่อไม่ให้รยูฮาตายตามไปด้วย เสียงที่สงบนิ่งเคลื่อนเข้าไปหามินอาที่กะพริบตาอย่างเหม่อลอย 

 

 

“ท่านพ่อท่านแม่ตัดสินใจจะรับเจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมน่ะ” 

 

 

เป็นคำพูดที่ช่างไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่มินอาต้องการอีกด้วย 

 

 

“เพคะ?” 

 

 

“ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางอันสูงศักดิ์แล้วนะ” 

 

 

“ที่เป็นอยู่ตอนนี้หม่อมฉันก็สบายดีนะเพคะ หม่อมฉันเป็นหนี้บุญคุณท่านมากแล้วเพคะ” 

 

 

แม้จะได้เป็นคนสูงศักดิ์ แต่โชคชะตาของเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทั้งทรัพย์สมบัติทั้งพ่อแม่คอยเลี้ยงดูก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงราวกับถูกประทับตรา และไม่สามารถปิดซ่อนสถานภาพนั้นได้ ซึ่งอาจจะได้กลายเป็นนางบำเรอของชายชราหื่มกามหรือไม่ก็ไปขายตัวในหอนางโลม มันคือชีวิตอันน่าสังเวชที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง 

 

 

แต่โชคดีที่ได้เข้ามายังบ้านของท่านมหาเสนาบดีจึงได้กินอาหารดีๆ ได้นอนในห้องอันอบอุ่น รวมถึงได้เรียนหนังสือและดาบอีกด้วย แม้แต่ตัวนางเองยังคิดว่าการหวังอะไรจากที่นั่นอีกคือเรื่องที่น่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง รยูฮากุมมือมินอาที่ส่ายหัวและบอกว่าไม่เป็นไร 

 

 

“รู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

เห็นเพียงแค่แววตาก็รู้ได้ พึ่งพาและอยู่เคียงข้างกันและกันมาตั้งหลายปีจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้การแสร้งทำเป็นไม่รู้ในสิ่งที่รยูฮากำลังจะพูดเป็นเรื่องที่ดีกว่า 

 

 

“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้นเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ดูแลเคียงข้างพระชายาเช่นนี้ต่อไปเพคะ” 

 

 

“ข้าขอตัวสักเดี๋ยว ฝากดูฝ่าบาทด้วยนะ” 

 

 

รยูฮาลูบศีรษะมินอาหนึ่งทีด้วยรอยยิ้มและลุกขึ้นจากที่นั่ง จิตใจที่ไม่สามารถจับชายเสื้อสีขาวที่เฉียดผ่านไปได้ถูกฉีกออกเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น รยูฮาตรงไปยังวังมูยองเพียงลำพังไม่ให้ข้าราชบริพารคนหนึ่งที่ตามหลังตามมา แต่ท่วงท่าการเดินของนางก็ไม่สูญเสียความสง่างามเฉพาะตัวไปเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“เสด็จมาด้วยเหตุอันใดเพคะ” 

 

 

ท่าทางของซังกุงสูงอายุที่โค้งให้แต่ไม่แม้แต่จะทำความเคารพนั้นช่างโอหังยิ่งนัก รยูฮวายกมือขึ้นโดยไม่พูดอะไร เหล่าข้าราชบริพารต่างสะดุ้งตกใจพร้อมกับเสียงดังเพียะ และกลืนลมหายใจลงไปตามๆ กัน พระชายาที่ควรจะมีจิตใจห่อเ**่ยวเพราะได้เป็นพระชายาในองค์ชายเพียงแค่ในนามกลับดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ 

 

 

“อีกครั้ง” 

 

 

“เพคะ?” 

 

 

เพียะ รยูฮาฟาดมือลงมาอีกครั้ง 

 

 

“อีกรอบ” 

 

 

ใบหน้าของซังกุงที่ถูกตบด้วยข้อมือบางสองรอบบวมแดงขึ้นมาราวกับเลือดจะพุ่งออกมาในทันที รยูฮายกมือขวาขึ้นมาอีกรอบ ซังกุงสูงอายุที่เห็นเช่นนั้นทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างไปจนหมดและรีบโค้งคำนับอย่างว่องไวด้วยความกลัว 

 

 

“ถะ ถวายบังคมพระชายาในองค์ชายเพคะ” 

 

 

“ไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบซะ” 

 

 

“เพคะ พระชายา” 

 

 

การแสดงเป็นพระชายาที่เอวบางร่างน้อยและฉลาดหลักแหลมได้จบลงแล้ว เพราะที่เริ่มทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดข้อครหาได้เมื่ออยู่เคียงข้างฮอน รยูฮาก้าวเท้าเข้าไปด้านในตามซังกุงเข้ามาในวังที่ไม่คุ้นเคยและไม่เคยมาสักครั้งด้วยสีหน้าเยือกเย็น 

 

 

“พระชายาในองค์ชายเสด็จเพคะ” 

 

 

“พาเข้ามาด้านใน และให้ทุกคนถอยออกไปห่างๆ ซะ” 

 

 

เกรงว่าจะตกเป็นที่ซุบซิบนินทาสินะ ความวิตกกังวลปรากฏบนสีหน้าของเหล่าข้าราชบริพารที่ถอยออกไป รยูฮาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องบรรทมที่มืดสนิทแม้ในตอนกลางวันพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะร่องรอยของยามค่ำคืนที่อบอวลภายในห้องสะกิดที่ปลายจมูกและยังคงไม่ลบเลือนออกไป 

 

 

“พระชายาในองค์ชายถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” 

 

 

ท่าทางของรยูฮาที่โค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาทพร้อมกับการทักทายที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกถึงตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมายิ่งกว่าตอนที่ได้รับราชโองการจากพระราชาเสียอีก ถึงจะพอใจ แต่ก็รู้สึกอะไรบางอย่างแปลกๆ เช่นกัน ชานพยายามสลัดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนั้นออกไป พร้อมกับลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ออกให้ด้วยตัวเอง 

 

 

“เชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“มันผิดธรรมเนียมเพคะ เลิกพูดให้เกียรติและโปรดเอามือนั่นออกไปด้วยเพคะ” 

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่ได้เป็นคนที่รักษาธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แล้ว” 

 

 

รยูฮานั่งลงบนเก้าอี้ตามการชักชวนของชานและตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา 

 

 

“แม้หม่อมฉันจะไม่ค่อยรักษาธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก็ใช่ว่าใครจะสามารถทำอะไรก็ได้เพคะ” 

 

 

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ชานเชิญชวนให้ดื่มเหล้า แต่รยูฮาปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยการส่ายหน้าเล็กน้อย นางอยากเฝ้าสังเกตท่าทางขององค์รัชทายาทคนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าโดยละเอียดมากกว่า 

 

 

“ทำไมมองเช่นนั้นล่ะ” 

 

 

“หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะว่ามันผิดธรรมเนียม” 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เป็นพระชายาของข้าแล้ว” 

 

 

ฮ่าๆ เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของรยูฮา คนละคนกันเลย ไม่สามารถคิดได้เลยว่าชานในตอนนี้คือคนเดียวกันกับที่นางเคยขัดขาให้ล้มลงในวันฤดูใบไม้ร่วงวันหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ชุดนอนที่ยับยู่ยี่และผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง รวมถึงใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าแทนที่จะแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนบ่งบอกเช่นนั้น 

 

 

“องค์ชายยังคงมีชีวิตอยู่เพคะ” 

 

 

“และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป หากเจ้าขึ้นมายังตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทแต่โดยดี” 

 

 

การสมรสกับภรรยาของคนอื่นอีกครั้งเมื่อพี่น้องตายไปไม่ใช่เรื่องที่จะถูกตำหนิ แต่กลับได้รับคำชมเชยด้วยซ้ำว่ามีน้ำใจในการช่วยเหลือหญิงสาวที่ไม่มีที่จะไป ทว่าภรรยาของน้องที่มีชีวิตอยู่นั้นไม่เหมือนคนอื่น ไม่เหมือนเป็นอย่างมากทีเดียว  

 

 

“หมายความว่าฝ่าบาทจะทรงแย่งภรรยาของน้องชายหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะเป็นตำแหน่งที่จะทำอะไรมั่วซั่วเช่นนั้นได้” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด