วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 11-5

Now you are reading วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ Chapter 11-5 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่ชานร้องเรียกผู้เป็นพ่อซึ่งจากไปแล้ว รยูฮาก็หลับตาและร้องไห้อย่างเงียบๆ ข้างๆ พวกเขาซึ่งสูญเสียผู้มีสายเลือดเดียวกันไป พ่อที่เคยมีสองคนกลับกลายเป็นเหลือเพียงคนเดียวอีกครั้ง ท่านพ่อคนที่สองรักนางและนางเองก็รักท่านพ่อคนนั้น ดังนั้นแม้จะผ่านค่ำคืนนี้ไป น้ำตาจะหยุดไหลหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย 

 

 

หลังจากช่วงเวลาห้าวันซึ่งเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจผ่านไป พระศพของพระราชาจึงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมและทองคำทั้งตัว ก่อนจะออกจากพระราชวังไป 

 

 

ทว่าพระศพของฮวังควีบีซึ่งจากไปพร้อมกันกลับต่างออกไป นางถูกพาออกไปยังประตูผีและถูกเอาไปไว้กลางที่ว่างเปล่าอันกว้างขวางทั้งที่ยังอยู่ในโลงศพ เนื่องจากมีความผิดโทษฐานนำขนมใส่ยาพิษซึ่งได้รับเป็นของขวัญไปถวายให้พระราชาเสวย ทั้งที่โทษนั้นมันช่างใหญ่หลวงและรุนแรงยิ่งนัก แต่ก่อนที่ฝาโลงจะถูกปิดลง ใบหน้าของผู้เป็นแม่ซึ่งได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายกำลังอมยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งชานไม่เคยได้เห็นแม้เพียงสักครั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ 

 

 

“ตอนนี้ทรงยิ้มได้แล้ว เสด็จแม่คงจะทรงมีความสุขมากที่ได้เสด็จไปกับเสด็จพ่อ” 

 

 

ไม่มีคำตอบกลับมาให้กับเสียงของชานซึ่งเต็มไปด้วยความสำนึกผิด 

 

 

“ทรงทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งพระพันปี แต่สุดท้ายก็เสด็จจากไปอย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ อย่าว่าแต่ความร่ำรวยและความมีเกียรติเลย แม้แต่สุสานที่สมบูรณ์ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ” 

 

 

ฝาโลงหนักๆ ปิดลงบนโลงของฮวังควีบีที่ไม่มีการห่อศพ 

 

 

“จุดไฟซะ” 

 

 

เปลวไฟลุกโชนอย่างรุนแรงท่ามกลางอากาศแห้งของปลายฤดูหนาว มันคือเปลวเพลิงสุดท้ายของผู้หญิงหลายๆ คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว บางทียออ๊กอาจจะรู้สึกยินดีและดีใจกับเปลวไฟนั้นก็ได้ ยออ๊กซึ่งใช้ชีวิตโดยถูกจำกัดบริเวณอยู่ในพระราชวังมาตลอดชีวิต ในที่สุดก็ได้ลอยตามควันออกไปยังโลกภายนอกที่มีอิสระเสรี 

 

 

“ลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” 

 

 

น้ำตาที่ไหลรินลงมาจากดวงตาของชานซึ่งยืนหันหลังให้นั้นเย็นเฉียบด้วยสายลมที่พัดมา ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้น เขากลับมายังพระราชวังและย่ำหิมะตรงไปยังวังซึงกอนแทนที่จะไปห้องบรรทมหรือตำหนักของตนเอง 

 

 

“โปรดเสด็จกลับไปด้วยเพคะ ตอนนี้คือช่วงไว้ทุกข์เพคะ” 

 

 

สิ่งที่โบยบินกลับเข้ามาหาชานซึ่งปรากฏตัวโดยไม่บอกไม่กล่าวมีเพียงแค่เสียงที่เยือกเย็นราวกับมีดสั้นเท่านั้น แต่ทว่าเขาไม่สนใจและล้มตัวนั่งบนเก้าอี้จ้องมองรยูฮาซึ่งอยู่ตรงกันข้าม 

 

 

“ข้าไปทำพิธีศพฮวังควีบีมาน่ะ” 

 

 

“หมายถึงพระมารดาขององค์รัชทายาทหรือเพคะ” 

 

 

“ทุกคนต่างบอกว่าเป็นอุบัติเหตุที่ทรงนำขนมที่พระมเหสีทรงมอบให้ไปถวายพระราชา แต่ข้ารู้ว่าแม่แท้ๆ ของข้าแสร้งทำให้เป็นเช่นนั้น” 

 

 

ในตอนที่ผู้เป็นแม่มาหาชานเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ๆ นางก็เข้ามาตบหน้าชานพร้อมกับบอกให้ตั้งสติก่อนจะออกไป นั่นคือคำพูดสั่งเสียก่อนตายของนาง แม้แต่คำพูดสั่งเสียที่ทิ้งเอาไว้ก็ช่างสมกับเป็นนางดีจริงๆ ชานคิดเช่นนั้น 

 

 

“ราชบัลลังก์ที่จะได้ขึ้นครองอยู่แล้วถูกผลักดันมาอยู่ตรงหน้า ตำแหน่งพระพันปีที่เคยปรารถนาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไม่แม้แต่จะได้มอง” 

 

 

ภายในหัวของรยูฮาที่ได้ยินคำพูดซึ่งกล่าวเบาๆ เกิดความคิดอันโหดเ**้ยมอย่างมากขึ้นมา วิธีที่จะมอบความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมให้แก่ชานซึ่งลุ่มหลงในความโลภของตัวเองจนทำให้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนางตกอยู่ในสภาพที่บอกไม่ได้ว่าจะอยู่หรือจะตาย รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วค่อยๆ เดินไปตรงหน้าของชานอย่างช้าๆ 

 

 

“ฮวังควีบีทรงอยากครอบครองตำแหน่งพระพันปีสินะเพคะ” 

 

 

“เจ้าเองก็รู้อยู่แล้วนี่ สิ่งที่แม่ของข้ากระทำลงไปน่ะ” 

 

 

“ที่ลอบปลงพระชนม์พระสนมยอนหรือเพคะ” 

 

 

ชานไม่ตอบและปิดปากสนิท แต่คำพูดของรยูฮายังไม่จบและต่อด้วยการยิ้มเยาะ 

 

 

“อย่างนั่นสินะ คงจะให้เสวยยาพิษใช่ไหมเพคะ ยาพิษที่ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ทำไมถึงทำเช่นนั้นเพคะ” 

 

 

ในที่สุดรยูฮาก็มองชานตรงๆ แต่ดวงตาของรยูฮาที่เคยเปล่งประกายระยิบระยับในตอนที่อยู่เคียงข้างฮอน บัดนี้กลับว่างเปล่า 

 

 

“พระมเหสีทรงเป็นผู้ยุยงเพคะ พระองค์ทรงสั่งให้เสด็จแม่ของฝ่าบาทนำยาพิษไปให้พระสนมยอนเสวย ซึ่งยาพิษนั่นจะทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งตัวเป็นเวลาหลายวัน และในระหว่างนั้นก็ให้ไปยั่วยวนฝ่าบาทพร้อมกับเกลี้ยกล่อมให้ชานขึ้นไปเป็นองค์รัชทายาท อีกทั้งยังให้ทูลฝ่าบาทอีกด้วยว่าถ้าหากองค์ชายผู้ปราดเปรื่องไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทจะจบชีวิตตัวเองลง” 

 

 

“ตอนนี้เจ้าพูดเรื่องอะไร…” 

 

 

“เฮอะ ด้วยความเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเด็กจึงว่ากันว่าท่านคือผู้สืบทอดบัลลังก์ของพระราชา แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่คำพูดเพ้อเจ้อ แล้วยังมีอะไรอีกนะ อ๋า เรื่องที่วางเพลิงจินซึงฮวี? นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน ผู้ที่ส่งผู้ลอบสังหารไปคือพระมเหสี ส่วนผู้ที่วางเพลิงคือคนอื่น” 

 

 

“เจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าหวั่นไหวด้วยคำพูดพวกนั้นงั้นรึ” 

 

 

“คำพูดไร้สาระอย่างนั้นหรือเพคะ นั่นสินะเพคะ ฮวังควีบีก็ไม่ได้ทำถูกซะทีเดียว แต่ทรงรักฝ่าบาทยิ่งกว่าใครอื่น เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของลูกชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ นางจึงต้องเอามือตัวเองไปเปื้อนเลือดอย่างไรเล่าเพคะ!” 

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเผือดทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง รยูฮาแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับนึกถึงคนรักที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสถานที่หลบซ่อนอันไกลโพ้น 

 

 

“ต้องขอบพระทัยเสด็จแม่ผู้ชั่วร้ายนะเพคะ มือของฝ่าบาทจึงไม่เปื้อนเลือดสักหยดและได้ขึ้นมาจนถึงตำแหน่งนี้ แต่ว่าตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะเพคะ พระองค์ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้และกลายเป็นควันลอยไปแล้ว” 

 

 

หัวใจของชานที่ร่วงลงไปถึงตาตุ่มถูกเหยียบย่ำและทำลายอย่างน่าสมเพชด้วยน้ำเสียงของรยูฮา เขากำลังจะยื่นมืออันสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่ไปปิดปากของนาง แต่นางหลบเขาได้อย่างง่ายดายและหัวเราะเยาะต่างจากมินอา 

 

 

“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทน่าจะต้องตั้งสติแล้วนะเพคะ เพราะทั้งพระมารดาผู้ซึ่งเคยสละชีพเข้ามาปกป้องลูกชายจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งพระบิดาที่เคยคุ้มกันฝ่าบาทต่างได้เสด็จจากไปหมดแล้ว!” 

 

 

“พระชายา หยุดเถอะเพคะ!” 

 

 

มินอาเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้ามาขวางกลางระหว่างทั้งคู่และตะโกนขึ้นมา 

 

 

“หม่อมฉันชักจะหงุดหงิดแล้วเพคะ ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันมีงานที่จะต้องจัดการอีกมากมายเป็นภูเขา” 

 

 

รยูฮากลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้งหลังจากชานหายลับออกไปข้างนอกประตู รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของนางที่มองดูมินอาอย่างนิ่งเงียบสักพักหนึ่ง 

 

 

“ขอโทษนะมินอา ไม่ใช่สิ ซอยางเจ” 

 

 

“ทรงเรียกมินอาก็ได้เพคะ พระชายา และอีกอย่าง…” 

 

 

“อีกอย่างคือจะไม่ให้ข้าทำให้องค์รัชทายาททรงเจ็บปวดใช่ไหมล่ะ หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็ย่อมได้” 

 

 

“ไม่ใช่เพคะ พระชายา” 

 

 

มินอาส่ายหัวพร้อมกับโอบกอดศีรษะของรยูฮาไว้ในอ้อมอกและแตะเบาๆ 

 

 

“อย่าได้ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเลยเพคะ มันไม่ใช่ความผิดของพระชายา” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ยามดึกสงัดที่ทุกคนในวังต่างกำลังหลับใหล รยูฮาที่นอนพลิกตัวทั้งคืนเพิ่งจะนอนหลับไปได้ไม่นานนัก แต่เสียงใครบางคนเคาะหน้าต่างดังก๊อกๆ ได้ปลุกนางให้ลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง 

 

 

“ใครหรือ” 

 

 

เสียงก๊อกๆ ดังขึ้นอีกครั้งราวกับตอบโต้เสียงกระซิบอันแผ่วเบา ในตอนนั้นเองรยูฮาจึงรับรู้ถึงเจ้าของเสียงนั้นและเปิดหน้าต่าง สิ่งเล็กๆ โผล่พรวดเข้ามาในห้องและเอาหัวมาถูชินยาราวกับออดอ้อนตามที่นางคิดไว้ 

 

 

“คยอกรัง!” 

 

 

มันคือเหยี่ยวน้อยแสนน่ารักที่รยูฮาเลี้ยงมาตั้งแต่ฟักออกจากไข่ด้วยความเอาใจใส่ ที่ขาของมันมีชิ้นผ้าสีน้ำเงินที่ไม่มีข้อความใดๆ เขียนไว้ผูกไว้อยู่ รยูฮามองสิ่งนั้นด้วยดวงตาที่สั่นไหวสักพักก็รีบเขียนจดหมายสองฉบับลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คยอกรังกำลังดื่มน้ำ 

 

 

“ไปส่งดีๆ นะ ขอบใจมาก” 

 

 

คยอกรังกระพือปีกหนึ่งทีเหมือนกับฟังเสียงกระซิบของรยูฮาซึ่งผูกสิ่งนั้นไว้ที่ขาเอาไว้แน่นรู้เรื่อง ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง 

 

 

ออกจากพระราชวังที่เจ้านายของตัวเองอาศัยอยู่และโบยบินไปยังทางที่มาอีกครั้งเป็นเวลาสองชั่วโมง ยอนฮวาที่กำลังรอคอยให้เหยี่ยวตัวน้อยกลับมาอย่างกระวนกระวายใจ ยิ้มกว้างพร้อมกับโยนเนื้อดิบที่เตรียมไว้ให้คยอกรัง 

 

 

“เก่งมาก เจ้ารัง” 

 

 

จดหมายที่ถูกผูกไว้ที่ขาทั้งสองข้างมีทั้งหมดสองฉบับ หลังจากแกะมันออกมาจึงเห็นว่าฉบับหนึ่งไม่ได้เขียนอะไรไว้ ส่วนอีกฉบับมีคำว่า ‘ฮอน’ เขียนไว้เล็กๆ แต่ชัดเจน ยอนฮวารู้สึกเจ็บแปลบหน้าอกขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเก็บจดหมายที่ส่งถึงฮอนลึกไว้ในอกและเปิดจดหมายที่ไม่มีอะไรเขียนไว้ออก 

 

 

“ตอบกลับมาแล้วหรือขอรับ” 

 

 

โฮจินที่เหมือนเพิ่งตื่น ใช้มือจัดผมที่กระเซอะกระเซิงอย่างลวกๆ และออกมายังสวนหน้าบ้าน ในระหว่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะนวดไหล่ไปด้วย ยอนฮวาจึงรีบขยับตัวไปด้านข้างพร้อมกับส่งจดหมายให้ 

 

 

“โอ้ เร็วขึ้นนะขอรับ” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด