วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 11-9

Now you are reading วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ Chapter 11-9 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จ๊อก ยาสมุนไพรต้มที่บีบออกมาจากผ้าป่านถูกเติมลงในถ้วยเคลือบสีขาวจนเต็ม ฮาแบควัดอุณหภูมิและตรวจดูสีอย่างรอบคอบ หลังจากมั่นใจว่าสมบูรณ์แบบแล้วจึงวางมันไว้บนโต๊ะสำรับแล้วยกไปยังห้องของฮอน 

 

 

“ฝ่าบาท ยาสมุนไพรพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ยาสมุนไพรเหนียวข้นสีดำปี๋ราวกับยามราตรีมีรสชาติขมจนเจ็บลิ้น แต่ฮอนก็ดื่มมันรวดเดียวโดยไม่บ่นสักคำ แล้วจึงกลั้วปากด้วยน้ำเเปล่า 

 

 

“ขอบใจท่านมากนะ ท่านพี่” 

 

 

ใบหน้าที่ผอมแห้งราวกับศพเริ่มกลับมาเหมือนเมื่อก่อนบ้างแล้ว ตอนนี้เขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้และดีขึ้นจนสามารถลุกขึ้นไปเดินเล่นรอบๆ บ้านพักชั่วคราวได้สองรอบ ฮาแบครู้สึกปลาบปลื้มใจกับความจริงนั้นในขณะที่เก็บชามยาสมุนไพรที่ฮอนวางไว้กับผ้าที่ใช้เช็ดปากให้เรียบร้อย 

 

 

“ทรงหายเร็วจนกระหม่อมมตกใจเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานพระวรกายก็คงจะกลับไปแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ต้องขอบใจท่านพี่เลยนะ หากไม่ได้ท่านพี่มาทำยาถอนพิษให้ล่ะก็…” 

 

 

ในบรรดายาสามเม็ดที่ชานส่งต่อให้มินอาพร้อมกับบอกว่าน่าจะประคองได้อีกสองสามเดือน ยาเม็ดหนึ่งรยูฮากลืนลงไปเพื่อตรวจสอบพิษ อีกเม็ดหนึ่งใช้ยืดชีวิตฮอน ส่วนเม็ดสุดท้ายอยู่ที่ฮาแบค เขานำยานั้นไปทำให้เป็นผงและเอาไปให้ลูกเจี๊ยบกิน หรือในบางครั้งก็ลองชิมและค้นหาส่วนผสมของยาทีละตัวเทียบกับอาการของฮอน จนในที่สุดก็สามารถทำยาถอนพิษที่ใกล้เคียงกันออกมาได้ 

 

 

“ต้องขอบใจพระชายาต่างหากพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาไม่ได้ทรงมอบยานั้นให้แก่กระหม่อม กระหม่อมก็คงจะไม่สามารถทำยาถอนพิษในเวลาที่สั้นแบบนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แต่ผู้ที่ทำยาถอนพิษคือท่านพี่นี่นา ท่านช่างสุดยอดจริงๆ” 

 

 

มีคำกล่าวว่าคำชมเชยก็ทำให้วาฬเต้นรำได้ แม้แต่ฮาแบคซึ่งไม่ชอบคำพูดน่าอาเช่นนั้นก็ยังสะดุ้งเล็กน้อยให้กับคำชื่นชมของฮอน 

 

 

“คงจะเป็นเพราะวิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านพ่อท่านแม่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ตอนยังเด็กกระหม่อมเองเคยอยากเรียนดาบด้วยเหมือนกัน แม้แต่น้องสาวตัวเล็กยังได้ยิงธนูและแกว่งดาบ แต่กระหม่อมกลับต้องอ่านหนังสือและเคี่ยวสมุนไพรอยู่ในห้องเพียงลำพัง ช่างน่าห่อเ**่ยวเสียจริง” 

 

 

“ท่านมหาเสนาบดีไม่สอนดาบให้หรือ” 

 

 

ฮอนย้อนถามด้วยความตกใจเล็กน้อย ครอบครัวที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวและคนสนิทของนาง แต่กลับไม่ให้บุตรชายคนที่สองจับดาบเนี่ยนะ 

 

 

“เพราะว่าไม่มีพรสวรรค์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ จึงให้ยอมแพ้ไปแต่เนิ่นๆ แล้วหาเส้นทางที่เหมาะกับกระหม่อมให้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยสงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคน แต่กลับต้องไปเรียนเกี่ยวกับยาพิษที่ฆ่าคน แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกท่านคงจะเตรียมการไว้เพื่อการนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แต่ท่านก็สุดยอดจริงๆ นะขอรับ ต่อให้ดาบที่ถูกยัดเยียดให้มาจะดีแค่ไหน แต่หากผู้รับเป็นเพียงหุ่นไล่กา มันก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปเลยนะขอรับ!” 

 

 

โฮจินที่เปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวทักทายพูดแทรกขึ้นมา นิ้วที่วางอยู่นิ่งๆ ข้างชามยาสมุนไพรจึงฟาดเข้าที่หน้าผากของเขาดังผัวะ ทว่าหลังจากที่ขึ้นเขามาก็โดนฟาดวันละสิบทีเป็นประจำ ตอนนี้จึงเลิกใส่ใจแล้ว 

 

 

“จำได้ไหมขอรับ ท่านหมอ ที่โดนพระชายาวัยเก้าขวบทุบแล้วร้องไห้น่ะ” 

 

 

“ระวังปากหน่อย!” 

 

 

วันนี้โฮจินกับฮาแบคก็เริ่มเถียงกันตั้งแต่ลืมตาตื่น แน่นอนว่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายและสถานภาพของพวกเขาแตกต่างกัน แต่ก็มีเงาของตัวเขากับพี่ชายซึ่งสนิทสนทกันตั้งแต่เด็กซ้อนทับอยู่บนตัวพวกเขาที่ทำตัวสบายๆ เหมือนกับเป็นพี่น้องแท้ๆ กันอยู่ด้วย แต่ใครจะไปคิดกันว่าชานซึ่งเป็นต้นแบบของความถูกต้องอยู่เสมอจะเติบโตขึ้นมาแล้วให้น้องชายกินยาพิษ จากนั้นก็แย่งของของเขาไป ฮอนยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวเพื่อสลัดความโกรธทิ้งไปและขุดความทรงจำอื่นๆ ออกมาแทน 

 

 

“ตอนเก้าขวบ นางเป็นอย่างไรหรือ ข้าเคยถูกรยูฮาวัยแปดขวบตีด้วยดาบไม้ จนร้องไห้วิ่งไปหาเสด็จแม่ด้วยนะ” 

 

 

“อ๋อ ตอนนั้น เพราะว่ารยูฮาตีฝ่าบาท ในบ้านก็เลยวุ่นวายไปหมด…ฝ่าบาท?” 

 

 

ฮาแบคตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่แล้วก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหยุดพูด” 

 

 

“ทรงจำได้…หรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“โอ้ ดูเหมือนว่าความทรงจำจะกลับมาแล้วนะ” 

 

 

ภายในคำพูดของฮาแบคและโฮจินที่ดังออกมาพร้อมกันต่างมีความกังวลและความอยากรู้อยากเห็นอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่อยากรู้อยากเห็นคือโฮจิน เสียงดังผัวะจึงดังกังวานขึ้นอีกครั้งจากหน้าผากของเขาที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ใดๆ 

 

 

“ในตอนที่หมดสติ ข้ามักจะฝันอยู่เรื่อยๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่พอตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่” 

 

 

ความทรงจำเสี้ยวหนึ่งที่นึกขึ้นมาได้เมื่อเห็นรยูฮาสวมชุดสีดำที่สนามฝึกที่เขตชายแดน สถานที่ที่ฮูหยินของมหาเสนาบดีซึ่งยังอ่อนเยาว์อยู่ในชุดสีดำเหมือนกับรยูฮายืนอยู่คือวังซออัน ก่อนที่จะกลายมาเป็นวังร้าง ณ ที่แห่งนั้นนางพยายามจะปกป้องเตียงนอนซึ่งอยู่ข้างหลังของตัวเอง แต่ไม่สามารถทำได้ ผู้หญิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นคือพระสนมเอกยอนผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ สิ่งที่เขานึกออกในช่วงเวลาที่เห็นรยูฮาซึ่งคล้ายคลึงกับฮูหยินของมหาเสนาบดีในตอนนั้นคือความทรงจำสุดท้ายของผู้เป็นแม่ซึ่งฮอนเคยลบทิ้งไปเมื่อยังเด็ก 

 

 

“แล้วรู้ไหมว่าข้านึกอะไรออกอีก” 

 

 

‘อะไรนะ ที่นี่มีผู้หญิงคุ้มกันเพียงแค่คนเดียวงั้นรึ ถึงจะเป็นคำสั่งของพระมเหสีก็เถอะ…’ 

 

 

‘เฮ้ย เบาๆ หน่อยสิ’ 

 

 

‘ทำไมล่ะ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็ถูกฆ่าตายหมดอยู่ดี’ 

 

 

นายหญิงตระกูลจองที่กำลังเฝ้าเตียงนอนซึ่งพระสนมยอนนอนอยู่เชือดคอของนักฆ่าที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกภายในพริบตาเดียวเพื่อสร้างช่องว่าง จากนั้นจึงกอดฮอนตัวน้อยที่ปรากฏอยู่ตรงประตูทางเข้าและพุ่งตัวออกไปยิงหน้าไม้จากทางด้านหลังราวกับสายลม มันคือหน้าไม้ขนาดเล็กที่ฮอนเคยเรียนมาจากมินอา นายหญิงตระกูลจองวิ่งไปจนถึงวังกอนจองโดยไม่หยุดแม้จะโดนกริชของนักฆ่าแทงเข้าที่ไหล่ก็ตาม หลังจากวางฮอนลงอย่างปลอดภัย นางจึงหายตัวไปอีกครั้ง 

 

 

พระราชาซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและปกปิดความจริงเอาไว้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพระมเหสีเป็นคนฆ่ามารดาของฮอนและแสร้งทำตัวเป็นแม่แทน รวมถึงทุกคนที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็ต้องมองข้ามความจริงตามพระประสงค์ของเขาด้วยเช่นกัน 

 

 

“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุผลที่ทั้งพระพันปี ทั้งอดีตพระราชาและเหล่าข้าราชบริพารรวมถึงครอบครัวของคุณพ่อตาทำไมถึงไม่ยอมบอกข้า” 

 

 

“…พวกเราเองก็ไม่รู้เรื่องราวภายในโดยละเอียดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อท่านแม่เพียงแค่พูดย้ำว่าอย่าได้พลั้งปากต่อหน้าฝ่าบาทเป็นอันขาด และไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั้นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ว้าว ไม่นึกเลยว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำซึ่งหลงลืมไปเป็นยี่สิบปีขึ้นมาได้ ยาพิษนั่นก็พอใช้ได้เหมือนกันนะ” 

 

 

เมื่อโฮจินอุทานออกมาด้วยความขี้เล่น ฮอนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดจึงหัวเราะร่าออกมา นั่นสินะ มาจนถึงตอนนี้จะไปยึดติดกับอดีตให้ได้อะไร ในเมื่อคนที่เกลียดชังและคนที่รักได้ตายไปหมดแล้ว 

 

 

“นับตั้งแต่นี้ ทรงต้องมีสมาธิจดจ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ โฮจิน ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกพูดอะไรไร้สาระซะ” 

 

 

“ใครมาได้ยินเข้า คงจะคิดว่าข้าเอาแต่พูดไร้สาระเป็นแน่” 

 

 

“เดี๋ยวนี้หัดพูดจาห้วนๆ แล้วสินะ” 

 

 

คำพูดของฮาแบคปลุกความทรงจำอันเลือนรางของฮอนให้ตื่นขึ้นมา ฮอนระลึกความทรงจำสักพักและนึกถึงบทสนทนาที่เคยพูดคุยกันกับรยูฮาในคืนวันที่สองหลังจากเข้าพิธีอภิเษกสมรสขึ้นมาในทันที บรรยากาศในตอนนั้น ใบหน้าของรยูฮาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้ ไปจนถึงเสียงที่ถูกส่งมาอย่างสงบนิ่ง 

 

 

‘ว่าแต่ ฝ่าบาท’ 

 

 

‘อะไร’ 

 

 

‘ที่ตรัสเมื่อครู่ ดูมันสั้นๆ ห้วนๆ นะเพคะ’ 

 

 

คิกๆ พอฮอนระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาของทั้งสองที่กำลังเถียงกันจึงหันมามองเขาพร้อมกัน คนที่เปิดปากพูดก่อนคือโฮจินซึ่งเผยความสงสัยออกมาทางดวงตาสีน้ำตาล 

 

 

“ทรงสติฟั่นเฟือนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นผลข้างเคียงของยาพิษ หรือว่าเพราะยาสมุนไพร?” 

 

 

“เมื่อกี้บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าพูดจาอะไรไร้สาระ” 

 

 

พอเห็นอย่างนี้แล้วจึงค้นพบว่าพวกเขาเหมือนกันแม้กระทั่งวิธีการพูดที่ไม่เคยอ้อมค้อมเลย ฮอนรู้สึกได้ว่าความคิดถึงที่มีต่อภรรยาของตัวเองถาโถมเข้ามาในส่วนลึกของจิตใจ พร้อมกับพินิจมองฮาแบคโดยละเอียด 

 

 

“ข้าแค่หัวเราะออกมาเพราะท่านพี่คล้ายกับรยูฮามากน่ะ” 

 

 

“คนบ้านนี้เหมือนกันหมดพ่ะย่ะค่ะ แม้กระทั่งนิสัยขี้ฉุนเฉียว” 

 

 

“แต่เจ้าที่พูดเช่นนั้นกลับมีนิสัยขี้ฉุนเฉียวหนักที่สุดเลยนะ” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด