วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 5-3

Now you are reading วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ Chapter 5-3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ค่ำคืนที่ความมืดกลืนกินทุกสิ่ง แม้แต่ดวงดาวที่สว่างที่สุดซึ่งเคยอยู่ตรงนั้นประจำก็หายไปซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ  

 

 

เป็นหนึ่งวันที่ลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจ รยูฮาก้าวเท้าเข้าไปในห้องอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางถอนหายใจ มินอาเดินตามเข้ามาแล้วรับเอาเสื้อนอกของรยูฮามาถือไว้ 

 

 

“เหนื่อยหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะเตรียมน้ำให้ทรงสรงเพคะ” 

 

 

“ถ้าได้อย่างนั้นก็ขอบใจมาก” 

 

 

รยูฮาตอบพร้อมทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างลวกๆ แล้วพิงหลังลงบนพนักเก้าอี้ ดูท่าแล้วคงมีเรื่องให้เหนื่อยอีกแน่ๆ มีคนเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นพิเศษกับสาวงาม 

 

 

 

 

 

‘ขี่ม้าผ่านไปทางโน้นพ่ะย่ะค่ะ รูปงามแถมยังสง่างามด้วย กระหม่อมยังคิดว่าเป็นองค์รัชทายาทที่เสด็จมาวันนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ’ 

 

 

‘เห็นว่าคุณชายรูปงามควงนางโลมออกมาจากป้อมปราการ? วาสนาดีเหลือเกิน ชาติหน้าข้าก็อยากเป็นเช่นนั้นบ้าง’ 

 

 

 

 

 

รยูฮาครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้ที่พบเห็นแล้วยกมือก่ายหน้าผาก ขนาดชาวบ้านยังรู้ว่าองค์รัชทายาทเสด็จไม่มีทางที่โฮจินจะไม่รู้ ว่าแต่ว่าทำไมเขาไม่ปรากฏตัวออกมา ขณะที่กำลังกังวลใจอยู่นั้นเอง เสียงของหญิงสาวที่ดังมาจากด้านนอกประตูก็ทำลายความคิดนั้นลง 

 

 

“พระชายา เตรียมน้ำเรียบร้อยแล้วเพคะ” 

 

 

“งั้นหรือ แล้วมินอาอยู่ไหน” 

 

 

“หากทรงหมายถึงท่านนางใน ท่านไปรออยู่ก่อนแล้วเพคะ” 

 

 

นางน่าจะอายุราวๆ สิบหกได้ พอตามสาวใช้อายุยังน้อยที่ดูประหม่ามาถึงห้องสรงน้ำ แสงไฟอบอุ่นและไอน้ำสีขาวก็กำลังเชิญชวนรยูฮาอยู่ และเพราะด้วยมินอาคอยกำชับเหล่าสาวใช้ทำให้รยูฮาถูกใจอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาดใสไม่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ด้านบนเป็นอย่างมาก 

 

 

“ทุกคนออกไปเถอะ ข้าจะดูแลพระชายาเอง” 

 

 

“ค่ะ ท่านนางใน” 

 

 

พระชายาคือสตรีที่มียศสูงรองลงมาจากพระพันปี บุคคลผู้ใกล้ชิดพระชายาที่สุดอย่างมินอาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 

 

 

“เป็นพระชายานี่ก็ดีแฮะ มินอาของข้าก็พลอยได้ยินคำว่าท่านนางในไปด้วย” 

 

 

พอทุกคนออกไปเหลือเพียงแค่ทั้งคู่รยูฮาก็ถอดชุดที่ดูสงบเยือกเย็นแต่สมเกียรตินั้นออกส่งให้มินอา มินอารับมาจัดการต่ออย่างชำนาญแต่ก็ไม่ลืมจะบ่นพึมพำเบาๆ เล็กน้อย 

 

 

“ช่วยรอให้หม่อมฉันถอดให้เถิดเพคะ แล้วก็ช่วยลดเสียงลงหน่อยเพคะกลัวคนอื่นจะได้ยินเข้า” 

 

 

“แค่ท่านนางในเอ่ยคำเดียว รอบๆ ก็ไม่มีหนูสักตัวเพ่นพ่านแล้วมั้ง อ้า ดีจัง” 

 

 

รยูฮาแช่ตัวลงในอ่างอาบน้ำอย่างอารมณ์ดีแล้วหลับตาลงอย่างพอใจ ที่แห่งนี้ไม่มีคนอื่นอยู่มินอาคลายความหวาดระแวงแล้ววางเสื้อผ้าหลายชิ้นลงบนโต๊ะตัวเล็ก ก่อนจะเริ่มจุ่มผมยาวของรยูฮาลงในน้ำอย่างเบามือ 

 

 

“ไม่สบายตัวหรือเพคะ” 

 

 

จู่ๆ รยูฮาที่กำลังให้มินอาสระผมให้อย่างอารมณ์ดีก็ลืมตาขึ้นมา ชั่วขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีคนเดินผ่านไป แต่มันเป็นเพียงพริบตาเดียว พอรยูฮาลืมตาขึ้นมาก็หายไปเสียแล้ว 

 

 

“ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” 

 

 

มินอากลับมาตั้งสติอีกครั้งเพราะคำถามของรยูฮา ตอนนั้นเองที่หญิงสาวเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้วเอื้อมมือไปทางมีดสั้นที่ถูกซ่อนอยู่ตรงขาอ่อนด้านใน  

 

 

“กระหม่อมเอง” 

 

 

เสียงแผ่วเบาดังลอดใต้หน้าต่างเข้ามา เป็นเสียงที่ทั้งคู่คุ้นเคยเป็นอย่างดี 

 

 

“เข้ามา” 

 

 

พอประตูถูกเปิดออก โฮจินก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางไอน้ำที่ลอยฟุ้ง ริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้มล้อเล่นเหมือนปกติไม่มีผิด ราวกับเจอกันเหมือนวานแล้วแยกจากกัน 

 

 

“ช่วยหันหน้าไปด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ฮึ” 

 

 

โฮจินหันกลับไปอย่างไม่พอใจเพราะคำเตือนของมินอาที่ถูกส่งมาแทนการกล่าวทักทายอย่างยินดี รยูฮาที่ยังคงนั่งอยู่ในน้ำในสภาพมีเสื้อบางๆ คลุมตัวอยู่ตัดส่วนของการทักทายออกไป แล้วเริ่มต้นถามถึงธุระแทน 

 

 

“จินซึงฮวีอยู่ไหน” 

 

 

“อยู่ที่โรงเตี๊ยมขอรับ” 

 

 

ใช่จริงๆ ด้วย ที่ชาวบ้านที่นี่เห็นคือโฮจินกับแชยอนนั่นเอง ทั้งที่ถูกไล่ล่ายังมีหน้ามาสวมชุดผ้าไหมเดินไปทั่วในย่านคึกคักอีก รยูฮาเก็บความรู้สึกเงียบๆ หากได้เผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าก็อยากตีเข้าที่ท้ายทอยของเขาสักที 

 

 

“ข้าจะไปพานางมาเอง เจ้ากลับไปหาท่านพ่อแล้วรออยู่นั่นเถอะ” 

 

 

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จู่ๆ โฮจินก็หันกลับมามองสบตากับรยูฮา ริมฝีปากที่มักจะกระตุกยิ้มหุบลงอย่างเคร่งขรึม และสายตาของเขาก็เฉียบแหลมเสียยิ่งกว่ามีดสั้นของมินอาที่จ่ออยู่ตรงคอหอยของเขา  

 

 

“ท่านอาจารย์ ข้าบอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับจินซึงฮวี” 

 

 

“ช่างเถอะ ลดมีดลงเสีย” 

 

 

“พระชายา!” 

 

 

มินอาที่เม้มริมฝีปากและจ้องมองโฮจินด้วยความโกรธลดแขนลง แต่ว่ามือที่กำมีดสั้นอยู่นั้นไม่ยอมปล่อย หญิงสาวยืนติดอยู่กับโฮจิน ราวกับว่าถ้าจำเป็นก็จะเจาะทะลุคอของเขาจริงๆ  

 

 

“ตั้งใจจะพาจินซึงฮวีหนีไปหรือ” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“น่าจะมีป้ายสลักด้วย หากนั่งเรือข้ามแดนไปก็คงจบเรื่องสินะ” 

 

 

“พระชายาทรงพระปรีชามากพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

โฮจินชื่นชมอย่างจริงใจ เหมือนที่รยูฮาชื่นชมความใจกล้าของเขา 

 

 

“ดูท่าคงไม่ได้มาขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับท่านพ่อ แล้วเจ้าต้องการอะไร” 

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อยเพราะคำพูดจี้จุดสำคัญ ไม่นานโฮจินก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งอย่างไม่สะทกสะท้าน 

 

 

“ใจของนางอยู่ที่องค์รัชทายาท ช่วยตัดใจนั้นออกให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาไม่ช่วย…” 

 

 

“มีความคิดที่จะทำร้ายองค์รัชทายาทล่ะสิ” 

 

 

“ท่านล้ำหน้ากระหม่อมเสมอเลย” 

 

 

ท่าทางยิ้มจนตาปิดก็ยังเป็นภาพของครอบครัวที่คิดถึงอยู่เช่นนั้น แต่ว่าแทนที่รยูฮาจะยิ้มตามไปด้วยกลับมีเพียงคำเตือนเอ่ยออกมา 

 

 

“คงต้องทำร้ายข้าเสียก่อนถึงจะแตะต้องตัวองค์รัชทายาทได้” 

 

 

“กระหม่อมจะพยายามอย่างที่สุดไม่ให้ทรงได้รับบาดเจ็บ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้” 

 

 

รยูฮาจ้องมองโฮจินเงียบๆ แล้วขยับตัว ผิวขาวดุจน้ำนมส่องประกายภายใต้เสื้อผ้าชุดบางที่เปียกน้ำ ใบหน้าของโฮจินไม่เปลี่ยนสีเลย เอาแต่จ้องมองตรงไปที่ดวงตาของรยูฮา หาภาพของเขาที่ปกติดูมีเล่ห์เหลี่ยมไม่เจอเลย 

 

 

“พระชายา ชุดของท่าน!” 

 

 

มินอาตกใจรีบนำเสื้อผ้ามาคลุมให้ รยูฮายืนต่อหน้าโฮจินโดยไม่มีท่าทีลังเล นางใช้มือข้างหนึ่งถอดเสื้อนอกออกอีกครั้ง เป็นการต่อสู้ทางสายตาที่ต่างก็ไม่หลบเลี่ยงกัน จนสุดท้ายรยูฮาก็ขยับริมฝีปากก่อน  

 

 

“ถ้าส่งเสียงเจ้าตายแน่” 

 

 

ขณะที่พูดก็เอาเสื้อนอกคลุมไปบนหัวของโฮจิน แล้วใช้เท้าเล็กยันเข้าที่ส่วนท้องของเขาอย่างแรง 

 

 

“อึ่ก พระชายา!” 

 

 

“ส่งเสียงออกมาแล้วแฮะ ตายซะเถอะ” 

 

 

ต่อมาหมัดของรยูฮาที่กำลังจะลอยไปก็ถูกมือของใครบางคนคว้าไว้ได้อย่างหวุดหวิด คนที่คว้าข้อมือของนางไว้เป็นทั้งคนที่มักจะโต้เถียงแต่ก็จงรักภักดีต่อนาง มินอาถามขึ้นอย่างจริงจังเมื่อรยูฮาส่งสายตามาว่าทำไมทำแบบนั้น 

 

 

“ขอหม่อมฉันตีด้วยได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

“ข้าอนุญาต” 

 

 

หลังจากนั้นห้องสรงน้ำที่เงียบสงบก็วุ่นวายไปด้วยเสียงของคนสองคนที่กำลังทุบตีและเสียงร้องของอีกคนอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นน้ำเสียงของรยูฮาที่ยังไม่หายโมโหก็ดังขึ้นตามจังหวะที่ลงมือไป 

 

 

“ท่าน พ่อ เลี้ยง เจ้า เหมือนลูก แต่ เจ้า มัน ไม่รู้ บุญคุณ คน อย่าง เจ้า ต้อง โดนก่อน ถึงจะ ได้สติ” 

 

 

 

 

 

* * * 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด