จังหวะรัก นักบัลเลต์ 27-3

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 27-3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงฉันจะอยากถามรุ่นพี่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ แต่ฉันก็ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด เพราะอะไรกันนะ ไม่ว่าจะใช้แรงฮึดสักเท่าไหร่ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี 

 

 

ทันใดนั้นรุ่นพี่ก็เขย่าไหล่ฉันที่ทำหน้านิ่ง แล้วเริ่มพูดอะไรสักอย่างออกมา ฉันพยายามจ้องริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ขยับอย่างต่อเนื่อง แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ารุ่นพี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ 

 

 

ฝนที่ตกลงมาบนหัวมันเย็นจัง ไม่สิ เจ็บจัง ฉันก็อยากจะขอโทษรุ่นพี่ที่กำลังโกรธอยู่หรอกนะ แต่ฉันกลับนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าจะต้องพูดอะไรออกมาดี 

 

 

ซูฮยอนที่เข้ามาหาพวกเรา จับไหล่ของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วขยับปากพูดอะไรสักอย่าง ในตอนนั้นเองที่รุ่นพี่ยอมปล่อยมือออกจากไหล่ของฉันช้าๆ เขาปิดปากเงียบสนิทแล้วจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาสั่นไหว แววตาเข้มๆ ที่เหมือนกับจะมองทุกอย่างจนทะลุปุโปร่งทำให้ฉันกังวลจนทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ 

 

 

พอซูฮยอนประคองร่างฉันให้ลุกขึ้นแล้ว รุ่นพี่ก็ถอดเสื้อโค้ทที่เคยใส่อยู่มาสวมทับบนเสื้อนักเรียนของฉันที่สกปรกเลอะเทอะไปด้วยดินโคลน  

 

 

เจ้าของรถรีบพาพวกเรามานั่งตรงเบาะหลัง แล้วออกรถไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เป็นเพราะว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรฉันจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

ห้องฉุกเฉินที่ได้กลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหลังจากอุบัติเหตุของคุณป้ายังคงดูวุ่นวายเช่นเดิม แต่คงเป็นเพราะคราวนี้ฉันมาในฐานะคนไข้ไม่ใช่ผู้ปกครองละมั้ง มันเลยดูไม่ค่อยน่ากลัวและทำให้กังวลใจเท่าไหร่ จะว่าไงดีละ คงเพราะฉันเอาแต่นั่งเหม่อนึกอะไรไม่ออกละมั้ง 

 

 

ตลอดช่วงเวลาที่ฉันถูกวางลงบนเปลสนามแล้วถูกพาเข้าไปยังห้องตรวจ โชคดีที่ฉันกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้ง และเหมือนเจ้าเสียงนั้นกำลังถามอยู่ว่า ฉันหายตัวไปเสียเมื่อไหร่กันล่ะ 

 

 

หลังจากที่รุ่นพี่กลับมาจากการทำแผลแบบง่ายๆ ซูฮยอนก็ลุกขึ้นพร้อมกับบอกว่าจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อย เมื่อรุ่นพี่กลับมาแล้ว ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องขอโทษให้ได้ แต่ริมฝีปากกลับไม่ยอมขยับเลยสักนิด เหมือนกับเอากาวทาให้ปากติดกันไว้ 

 

 

“…พี่บอกที่บ้านแล้ว คุณป้ากำลังมาน่ะ” 

 

 

ฉันพยักหน้าเล็กๆ พลางกระดิกนิ้วไปมา รุ่นพี่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเสยผมที่เปียกหมาดๆ ขึ้นไปช้าๆ ใบหน้าของรุ่นพี่กำลังแสดงสีหน้าประหลาดจนยากจะอธิบายได้ออกมา 

 

 

“…คือ รุ่นพี่คะ” 

 

 

ฉันรวบรวมความกล้าขยับริมฝีปากที่เคยปิดสนิท รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียงจ้องมองสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ที่แขนของฉัน แล้วจึงหันหน้ามามองฉันนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฉัน 

 

 

“ขอโทษนะคะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ” 

 

 

ฉันนึกอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษ รุ่นพี่ทอดสายตามองมาที่ฉันซึ่งไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา แล้วได้แต่พูดพึมพำเบาๆ เขาลูบหัวฉันพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเอามากๆ 

 

 

“แค่เธอปลอดภัยก็พอแล้วละ” 

 

 

“…ขอโทษนะคะ” 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษสักหน่อย เพราะงั้นไม่ต้องขอโทษก็ได้” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

ฉันสะดุ้งตกใจและหยุดพูดไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่แผ่วเบาแต่เด็ดขาดของรุ่นพี่ รุ่นพี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาจับมือของฉันที่เอาแต่ยุกยิกไปมาไม่หยุดอย่างระมัดระวัง แล้วจึงพูดต่อ 

 

 

“ความจริงแล้ว เมื่อกี้พี่ก็โกรธนั่นแหละ เกือบเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้วไหมละ เธอเกือบจะเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาพี่ แล้วจะไม่ให้พี่โกรธได้ยังไง แต่ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าพี่โกรธเธอหรอกนะ…” 

 

 

รุ่นพี่หยุดพูดไปสักพัก พลางกัดริมฝีปากล่างเอาไว้เล็กน้อย เขายิ้มแห้งๆ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ฉันส่ายหัวเบาๆ 

 

 

“คงจะตกใจน่าดูเลยสินะ ขอโทษนะที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมา” 

 

 

น้ำเสียงอันอบอุ่นของรุ่นพี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา ฉันส่ายหัวแรงยิ่งขึ้นพลางกุมมือของรุ่นพี่ที่จับฉันอยู่เอาไว้แน่น 

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ไม่ใช่จริงๆ นะคะ เป็นเพราะฉันแท้ๆ รุ่นพี่เกือบจะ…” 

 

 

“พอๆ พี่ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” 

 

 

ฉันพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะหันไปสบตารุ่นพี่ได้ รุ่นพี่ที่กำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้ฉัน และแขนที่เผยออกมาจากใต้แขนเสื้อเชิ้ตที่พับขึ้น มีผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมแปะเอาไว้อย่างเรียบร้อย เขาคงจะรู้สึกได้ว่าสายตาของฉันมองไปยังที่ตรงนั้น รุ่นพี่จึงผละมือออก แล้วเอามือนั่นไปปิดบังแผลเอาไว้ เขายิ้มเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วบอกฉันด้วยน้ำเสียงสดใสว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า 

 

 

ฉันพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกต่างๆ ที่กำลังจะพรั่งพรูออกมาเอาไว้ ความคิดต่างๆ ที่สับสนวุ่นวายจนยากเกินจะรับมือยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวของฉัน แต่ฉันกลับมองไม่เห็นปลายทางเลยสักนิด 

 

 

“…ฮวีกยอม” 

 

 

ฉันกำลังต่อสู้กับความคิดต่างๆ ที่ผสมปนเปกันอย่างไร้แบบแผนจนกลายเป็นรูปร่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ และรุ่นพี่ก็คงจะเรียกชื่อฉันเพราะสัมผัสได้ถึงสีหน้าท่าทางที่ดูลังเลอย่างแปลกๆ จนเมื่อฉันได้ยินเสียงนั่น สติก็ได้กลับมาอีกครั้ง รุ่นพี่ลังเลอยู่สักพักเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง พลางขยับเพียงแค่ริมฝีปากแต่ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา 

 

 

“เออ คือว่า…” 

 

 

“ฮวีกยอม!” 

 

 

ในตอนนั้นเอง เสียงของคุณป้าก็ดังขึ้นจนกลบเสียงพูดที่เต็มไปด้วยความลังเลของรุ่นพี่ คุณป้าคงจะตกใจมาก เธอวิ่งเข้ามาหาฉันด้วยใบหน้าซีดเผือด นั่นจึงทำให้ฉันที่ถูกแยกออกจากรุ่นพี่ด้วยบรรยากาศประหลาดๆ นี้ได้แต่ปิดปากเงียบสนิท พร้อมกับยันตัวขึ้นมา 

 

 

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย ให้ตายสิ!” 

 

 

“คุณป้า หนูไม่เป็นไรค่ะ เพราะงั้นใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” 

 

 

ฉันตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงและหันไปยิ้มอย่างสดใสให้กับคุณป้าที่จับมือของฉันพลางกระทืบเท้าไปมา แต่คุณป้าที่เอาแต่ทำสีหน้าตกใจ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรต่อ แล้วก็ได้แต่จ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาเปี่ยมความกังวล ขณะที่ยังคงพึมพำต่อไปไม่หยุดว่า โธ่เอ๊ยๆ เพราะคุณป้าเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มาเมื่อไม่นานนี้ เธอเลยยิ่งวิตกกังวลเข้าไปใหญ่ 

 

 

เป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าที่คุณป้าจะทำใจให้สงบลงได้ ก่อนที่เธอจะหันไปจับมือของรุ่นพี่เอาไว้ แล้วก้มหัวลง พร้อมกับทักทายรุ่นพี่ด้วยคำว่า ขอบคุณ นับครั้งไม่ถ้วน รุ่นพี่ที่ไม่รู้จะแสดงท่าทียังไงออกมาดีจึงได้แต่ส่ายหัว และเอาแต่พูดว่า ไม่เป็นไรครับ 

 

 

แม้จนกระทั่งตอนที่คุณหมอถือผลการตรวจเดินเข้ามา แล้วบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ คุณป้าก็ยังคงยืนจับมือรุ่นพี่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยไปไหน 

 

 

และเมื่อได้ยินคุณหมอบอกว่า กลับบ้านได้แล้ว ฉันที่รู้สึกร้อนใจเพราะกลัวว่าจะโดนเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องหู ก็แอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโดยไม่ให้คนอื่นรู้ 

 

 

“งั้นเดี๋ยวป้าจะไปคุยกับเจ้าของรถข้างนอกก่อนนะ เตรียมตัวเสร็จแล้วก็ออกมาละ” 

 

 

คุณป้าลูบหน้าอกเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า ความกังวลครั้งใหญ่ได้คลายไปแล้ว ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยสีหน้าสดใส จากนั้นไม่นานนางพยาบาลก็เข้ามาถอดเข็มฉีดยาออกให้ ความเงียบแปลกๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเราที่ถูกทิ้งให้เหลือกันอยู่เพียงสองคนอีกครั้ง 

 

 

“…ไปกันเลยไหมคะ” 

 

 

ฉันแกล้งทำเป็นลงมาจากเตียงอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แต่แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะก้าวเดินไปพร้อมกับกระเป๋าที่สภาพเยินเพราะฝน จู่ๆ รุ่นพี่ก็มารั้งข้อมือฉันเอาไว้ 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

“คะ” 

 

 

ฉันจงใจหันไปมองหน้ารุ่นพี่เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่รุ่นพี่กลับมองจ้องมาที่ฉันตาเขม็ง พร้อมกับออกแรงบีบมือให้แน่นยิ่งขึ้น วินาทีที่ฉันได้เผชิญหน้ากับท่าทีกดดันอย่างประหลาดของรุ่นพี่ อยู่ๆ ความกังวลที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความเย็นวาบที่ไหลลงมาตามหลัง 

 

 

“…ทำไมเหรอคะ” 

 

 

ฉันเกือบจะพูดจาตะกุกตะกักออกไปแล้ว ถึงแม้จะพยายามทำเป็นนิ่งเฉยแต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด พลาสเตอร์ปิดแผลที่ติดอยู่บนหน้าของรุ่นพี่เป็นเหมือนกับรอยตำหนิที่คอยแต่จะดึงดูดสายตาฉัน 

 

 

ในตอนที่ฉันยืนอย่างเก้ๆ กังๆ และไม่อาจละสายตาจากดวงตาของรุ่นพี่ที่เหมือนกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง ฝ่ามืออันแข็งแรงของรุ่นพี่ก็ลูบลงบนหัวของฉัน ทั้งไออุ่นและสัมผัสอันอ่อนโยน 

 

 

แต่แล้ววินาทีที่มือนั้นค่อยๆ เลื่อนลงสัมผัสแถวๆ หูของฉัน ฉันกลับสะดุ้งเฮือกแล้วก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

“ฟังที่พี่พูดอยู่หรือเปล่า” 

 

 

หัวใจที่กำลังเต้นตึกตัก มันหล่นฮวบลงไปในทันที เป็นเพราะคำพูดของรุ่นพี่ น้ำเสียงแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความหมายมากมาย ใบหูที่มือของรุ่นพี่เลื่อนผ่านร้อนอย่างกับไฟลุก 

 

 

ฉันกลืนน้ำลายลงคอ พลางพยักหน้าอย่างช้าๆ ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็ยิ้มเล็กๆ แล้วจึงกอดฉันเอาไว้อย่างแผ่วเบา 

 

 

“อย่าทำให้พี่กังวลสิ” 

 

 

เสียงพึมพำของรุ่นพี่ดังออกมาเหมือนกับเสียงถอนหายใจ และที่ปลายเสียงนั้นก็มีเสียงหายใจเบาๆ ราวกับเป็นห่วงออกมาด้วย ฉันจึงยกแขนขึ้นมากอดเอวของรุ่นพี่เอาไว้อย่างระมัดระวัง  

 

 

เฮ้อ ได้โปรดเถอะ ฉันหวังว่าในตอนนี้หูของฉันจะทนต่อไปได้อีก เพราะว่าฉันไม่อยากจะพลาดทั้งเสียงลมหายใจที่สั่นเล็กๆ ของรุ่นพี่ และก็เสียงเล็กๆ น้อยๆ นี้ 

 

 

ทั้งที่มันเพราะขนาดนั้นแท้ๆ ทั้งที่มันสำคัญขนาดนั้นแท้ๆ ทำไมพระเจ้าถึงได้ยังมาพรากแม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของฉันไปกันนะ เฮ้อ พอลองคิดดูแล้ว ฤดูร้อนก็กำลังจะมาถึงแล้วนี่นา ฉันยิ้มอย่างขมขื่น 

 

 

ในวันที่พ่อหายไป และแม้แต่แม่ก็ยังผละห่างจากฉันไป ฉันมักจะคิดแบบนั้นเสมอ ว่าพวกเขาไม่เห็นว่าฉันสำคัญที่สุดเหมือนกับที่ฉันคิดว่าคนเหล่านั้นสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงจากไปเพื่ออะไรที่สำคัญกว่าฉัน 

 

 

เพราะแบบนั้น ขณะที่ฉันชอบรุ่นพี่ ขณะที่ฉันคิดว่าเขาสำคัญ อีกใจหนึ่งฉันก็ยังคงรู้สึกเป็นกังวล กังวลว่ารุ่นพี่เองก็จะไม่คิดว่าฉันสำคัญที่สุดเหมือนกับคนพวกนั้น จึงกังวลว่าเขาจะจากฉันไป 

 

 

บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาที่จิตใจของฉันก็ได้ ปัญหาในจิตใจของฉันที่ไม่สามารถเชื่อใจรุ่นพี่ได้เหมือนกับที่ซูฮยอนเชื่อในเซจิน 

 

 

“ไปกันเถอะ” 

 

 

ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าในฐานะรุ่นพี่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างและได้แต่รอให้ฉันเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าลงเรื่อยๆ มีแต่จะต้องตัดสินใจว่าจะเป็นฉันที่ปล่อยมือนี้ไปก่อน หรือเลือกที่จะเชื่อใจแทน 

 

 

แต่ว่าฉันก็ไม่อยากจะปล่อยรุ่นพี่ไปทั้งแบบนี้ ถึงจะถูกชี้นิ้วด่าว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าแม้แต่รุ่นพี่ยังจากฉันไปละก็ ฉันคงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ จะดีแค่ไหนกันนะ ถ้ามีใครสักคนมาช่วยเฉลยคำตอบและทำให้จิตใจของฉันปลอดโปร่ง 

 

 

“ทำอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่เดินนำหน้าไปก่อนจู่ๆ ก็หันกลับมาจ้องฉัน อ๊ะ ดวงตายิ้มได้ของรุ่นพี่แสบตาชะมัด 

 

 

“มือ” 

 

 

รุ่นพี่ยื่นมือมาตรงหน้าฉัน ฉันวางมือลงบนมือของเขาอย่างช้าๆ 

 

 

“ได้โปรดอย่าปล่อยมันไปนะคะ” 

 

 

“หือ?” 

 

 

คำพูดพึมพำเบาๆ ที่ออกมาอย่างไม่รู้ตัวของฉัน ทำให้รุ่นพี่ทำท่าสงสัย พร้อมกับส่งสายตาที่บอกว่าให้พูดใหม่อีกครั้งกลับมา แต่ว่าฉันกลืนคำที่ขึ้นมาจนถึงปลายลิ้นกลับเข้าไป ก่อนจะส่ายหน้า 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” 

 

 

ความจริงแล้วฉันกลัวว่าตัวตนของฉันจะกลายเป็นภาระของรุ่นพี่ 

 

 

“…หน็อย นี่เธอเลียนแบบพี่เหรอเนี่ย” 

 

 

รอยยิ้มเล็กๆ ของรุ่นพี่ทิ่มแทงใจของฉันอย่างเจ็บปวด ภายในใจของฉันที่เต้นแรงเหมือนพายุที่แปรปรวนนั้นมีเพียงความหวังแค่อย่างเดียวที่ดังก้องอยู่ 

 

 

“ไปกันเถอะ คุณป้ารอแย่แล้ว” 

 

 

ฉันท่องคำขอนั้นซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่หยุด แด่ผู้งดงามของฉัน โปรดอย่าได้จากฉันไปเลย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น โปรดอย่าได้ปล่อยมือจากฉัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือความโลภของฉัน ก็โปรดอย่าได้ปล่อยมือจากฉัน หากเพียงโลกนี้มีพระเจ้าอยู่จริง โปรดอย่าได้ขโมยรักนี้ไปจากฉันเลย 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด