Artifact Reading Inspector 10 Ma Won’s Ume Flower Seowon (2)

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 10 Ma Won’s Ume Flower Seowon (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มันรุนแรงเกินไปจนเขารู้สึกคลื่นไส้ ขาของเขาสั่นในขณะที่หัวของเขาเจ็บ เขาคิดว่าครั้งนี้มันน่าจะดีขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเป็นครั้งที่สามที่เขาใช้มัน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

“คุณแฮจิน?”

 

“มะ-ไม่มีอะไร ฮู่… ผมแค่เวียนหัวนิดหน่อย”

 

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

 

อึนแฮมองแฮจินด้วยความเป็นห่วง

 

เธอเสียใจที่เห็นว่าเขาป่วยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แฮจินจับมือของเขาและพูดออกมา

 

“ผมยังสามารถประเมินราคาได้ เอาล่ะเสร็จแล้ว”

 

“เรียบร้อยแล้ว?”

 

“ใช่ครับ มันเป็นของปลอม”

 

ตอนนี้มีคนที่กำลังประหลาดใจมากกว่าอึนแฮ มันคือชายที่นำภาพมาขาย เขาเริ่มตะโกนออกมา “นั่นคุณกำลังพูดบ้าอะไรกัน? ของปลอม? คุณสามารถรับผิดชอบกับสิ่งที่คุณเพิ่งพูดได้ไหม?”

 

“แน่นอนครับ หากมันจำเป็นผมจะเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดเอง”

 

แฮจินมั่นใจว่าภาพวาดมันจะต้องเป็นของปลอม ซึ่งสวนทางกับพ่อค้าที่ดูท้อใจ

 

“ทำไมคุณถึงบอกว่ามันเป็นของปลอม?”

 

“ลายเส้นของภาพวาดมันต่างกัน พวกมันแตกต่างจากของหม่า วอนเล็กน้อย”

 

อึนแฮมองไปที่ภาพวาดอย่างรอบคอบอีกครั้งและถามออกมา “พวกมันแตกต่างกันยังไง? แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ลายเส้นของหม่า วอน?”

 

เธอไม่ได้พยายามที่จะโต้แย้ง เธอแค่อยากรู้

 

“มีชายคนหนึ่งที่ชื่อเทนซิงที่อาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน คุณรู้จักเขาไหม?”

 

“เทนซิง?”

 

อึนแฮส่ายหัว แต่พ่อค้าตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

 

“นี่-นี่คือผลงานที่ถูกปลอมแปลงโดย เทนซิง?”

 

ไม่ว่าเขาจะแสดงเก่งหรือไม่รู้จริงๆว่านั่นเป็นของปลอม เขาก็ตกใจยิ่งกว่าอึนแฮเสียอีก จากนั้นเขาก็จ้องไปที่ภาพวาด

 

แฮจินไม่สนใจเขา และหันไปมองอึนแฮ

 

“เทนซิงมีชื่อเสียงอยู่ในแถวๆเซี่ยงไฮ้ เขาเป็นนักต้มตุ๋นที่ทิ้งชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ศิลปะของจีนสมัยใหม่ด้วยการปลอมแปลงของออกมาจำนวนมาก เขาหลอกนักสะสมและแกลเลอรี่มากมายโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาได้ทำของปลอมไปทั้งหมดกี่ชิ้น เขาได้พบศิลปินที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นและทำของปลอมขึ้นมา ชิซุง ไป้ผู้วาดภาพนี้มักจะวาดภาพของหม่า วอน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาทำการปลอมแปลงอย่างอื่นนอกจากของปลอมที่มีชื่อเสียงอย่าง ‘Song In Reply’ คุณเห็นเส้นของดอกบ๊วยตรงนี้ไหม? มันมีความแข็งและหยาบกว่าภาพของหม่า วอน ถ้าเป็นหม่า วอนเขาคงจะตัดแต่งส่วนนี้ให้ละเอียดกว่านี้หน่อย”

 

“ปะ-เป็นอย่างนั้นเหรอ?”

 

ตอนนี้อึนแฮยอมรับแล้วว่ามันไม่ใช่ภาพวาดของจริง แต่การปลอมแปลงนั้นมันเหมือนจริงมากจนแม้แต่แฮจินเองก็ยังจำไม่ได้หากปราศจากเวทมนตร์หรือภาพวาดที่แท้จริง

 

เมื่อแฮจินมองเข้าไปในอดีตด้วยเวทมนตร์ เขาเห็นชายคนหนึ่งในห้องเล็กๆกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคัดลอกภาพของหม่า วอน มันทำให้เขานึกถึงเทนซิงทันทีที่เห็น เทนซิงเป็นที่รู้จักจากการปลอมแปลงภาพ  ‘Song In Reply’ ของหม่า วอน

 

เขามองไปที่มันอีกครั้งหลังจากพบว่ามันเป็นของปลอม เส้นของมันแตกต่างจากของหม่า วอนเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปคงไม่กล้าบอกว่ามันถูกปลอมแปลงขึ้น

 

“ชิซุง ไป้เป็นคนวาดภาพนี้ให้กับเทนซิง ซุง ซูยอนเซ็น หู ซิงทำตราและเทียน อันเป็นคนทำให้มันดูเก่า สุดท้ายฮวาง โชซูอินจะเป็นคนติดภาพและเก็บงาน พวกเขาเป็นกลุ่มปลอมแปลงมืออาชีพ ของปลอมส่วนใหญ่ของเทนซิงจะถูกขายในต่างประเทศ ดังนั้นผมไม่รู้เลยว่าเจ้านี่มันกลับไปจีนได้ยังไง อย่างไรก็ตามหากคุณอยากจะตรวจสอบจริงๆคุณก็จำเป็นต้องไปหาคณะกรรมการประเมินวัฒนธรรมแห่งชาติของจีนเพื่อประเมินมัน”

 

ตัวพ่อค้าเริ่มเดือดดาล

 

“งั้นคุณก็กำลังจะบอกว่าคุณเพิ่งประเมินวัตถุโบราณที่ต้องประเมินโดยคณะกรรมการประเมินราคาของจีนเท่านั้น?”

 

“หากคุณต้องการทราบจริงๆ คุณก็สามารถส่งมันไปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาได้ การถ่ายภาพรังสีกับกล้องจุลทรรศน์อินฟราเรดจะบอกได้ว่ามันเพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เนื่องจากสีและกระดาษที่ใช้มันเหมือนกับของภาพจริงทำให้พวกเขาไม่มั่นใจว่ามันเป็นของปลอม 100% แต่คนจีนต่างกันพวกเขารู้จักหม่า วอนเป็นอย่างดีดังนั้นจึงสามารถมั่นใจได้”

 

“เหอะ น่าประทับใจจริง ฉันถูกหลอกและแกก็พบว่ามันเป็นของปลอม แน่นอนว่าฉันจะส่งของชิ้นนี้กลับไปยังประเทศจีนเพื่อประเมินราคา และถ้าเกิดมันกลายเป็นของจริงขึ้นมา ฉันก็ไม่คิดจะขายมันแน่”

 

ตอนนี้พ่อค้าเป็นบ้าไปแล้ว เขากระทั่งพูดออกมาอย่างหยาบคายเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมแฮจินกลับไม่แม้แต่กระพริบตาเมื่อต้องเผชิญกับการคุกคามของเขา

 

“ไปกันเถอะ”

 

“โอเค และฉันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ หากวัตถุโบราณชิ้นนี้เป็นของปลอมจริง คุณจะไม่สามารถทำงานในอินซาดงได้อีก”

 

คำเตือนของอึนแฮทำให้หน้าของเขาซีดลง หากเขาถูกจับหลังจากพยายามขายของปลอมให้กับหนึ่งในผู้อำนวยการชั้นนำของเกาหลีเขาคงไม่สามารถรับผลที่ตามมาหลังจากนั้นได้

 

พวกเขาออกจากร้านและไปที่ทางเข้าอินซาดง คนขับรถของอึนแฮกำลังรอพวกเขาอยู่ที่นั่น

 

“คุณช่วยไปส่งผมตรงอพาร์ทเม้นท์แซฮันใกล้กับสถานีจงกักได้ไหม?”

 

“อืม… แต่คุณดูไม่ดีเลย… ฉันคิดว่าตอนนี้คุณต้องไปโรงพยาบาล ฉันจะคุยกับหมอที่ฉันรู้จักเป็นการส่วนตัวให้เอง เขาเก่งมากจริงๆ”

 

ไม่ว่าหมอคนนั้นจะเก่งสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถแก้อาการมานาออกจากร่างได้

 

“คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมจะดีขึ้นเองหลังจากได้นอนสักตื่น คุณช่วยไปส่งผมที่อพาร์ตเมนต์ก็พอ”

 

อึนแฮไม่ได้ให้คำแนะนำใดอีก เธอเพียงแค่ถอนหายใจและพยักหน้าให้คนขับ

 

“ขอบคุณที่ช่วยมาเป็นธุระให้วันนี้นะคะ และอย่าลืมมาที่แกลเลอรี่ในวันพรุ่งนี้ฉันจะได้จ่ายเงินสำหรับความช่วยเหลือของคุณในวันนี้ ในฐานะที่คุณเป็นคนดูแลเรื่องนี้ยังไงคุณก็ต้องได้รับค่าตอบแทน”

 

“เนื่องจากผมเพิ่งช่วยคุณไม่ให้เสียเงินห้าพันล้าน ผมคงหวังได้บ้างใช่ไหม?”

 

“แน่นอนค่ะ”

 

เธอส่งแฮจินลงที่อพาร์ตเมนต์ของเขาและจากไป แฮจินซื้อขนมปังจำนวนมากจากร้านเบเกอรี่ที่ชั้นล่างแล้วเดินขึ้นไป

 

ตอนแรกขาของเขาสั้นขณะที่ศีรษะของเขาปวด แต่ตอนนี้นอกเหนือจากอาการพวกนั้นแล้วเขายังหิวมากอีกด้วย

 

เขากินขนมปังจนหมดและหลับไปทันทีโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ

 

กริ๊งงง……

 

เขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ของเขา ข้างนอกมันยังมืดอยู่ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงของเขาขึ้นมาและตรวจสอบเวลาก่อนจะพบว่ามันเลยเที่ยงคืนมาแล้ว

 

“ฮะ?”

 

เขาตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เพราะชื่อในโทรศัพท์

 

หยาง บยองกุก เขาเป็นคนที่ปล้นสุสานร่วมกันกับพ่อของแฮจินมากที่สุด… พวกเขาอาจเป็นถึงคู่หูกันเลยด้วยซ้ำ แต่แฮจินไม่ได้โทรบอกเขาเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต ดังนั้นหยางจึงยังไม่รู้เรื่องนี้

 

“สวัสดีครับ”

 

“แฮจิน นั่นเธอใช่ไหม? นี่บยองกุกเองนะ ฉันไม่สามารถติดต่อพ่อของเธอได้เลย ดังนั้นฉันเลยคิดว่าเธอน่าจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

 

“เขา…. ตายแล้ว เมื่อไม่นานมานี้”

 

“อะไรนะ? ยอนซอกตายแล้ว? จริงงั้นเหรอ?”

 

“เรื่องจริงครับ ผมเผาเขาและโปรยขี้เถ้าลงทะเลไปแล้ว ดังนั้นคุณต้องไม่ไปรบกวนเขา”

 

บยองกุกตกใจมากจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

 

“อืม… ฉันเห็นตอนเขากลับมา เขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่…”

 

แฮจินก็คิดแบบนั้นเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาบอกให้พ่อของเขาหยุดขุดค้นและพักผ่อน…

 

“งั้นคุณโทรหาผมเพราะ…”

 

“โอ้จริงด้วย… เธอไม่สนใจทำงานพาร์ทไทม์บ้างเหรอ?”

 

“งานพาร์ทไทม์?”

 

“ฉันได้ยินมาว่าทุกวันนี้เธอยังทำงานก่อสร้างอยู่สินะ เลิกทำมันเถอะแล้วมาประเมินบางอย่างให้ฉันดีกว่าเดี๋ยวฉันจะจ่ายให้เธออย่างงาม ความจริงแล้วฉันกะจะไปถามพ่อของเธอ แต่เขาดันตายไปแล้ว ดังนั้นจะให้ฉันทำไง?”

 

การประเมินวัตถุโบราณสามารถทำโดยใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นแฮจิน ในขณะที่พ่อของเขาไม่ได้ประเมินของต่อหน้าคนอื่นเว้นแต่มันจะเป็นกรณีพิเศษ

 

และกรณีพิเศษที่ว่านั่นคือ…

 

“มันเป็นของที่ถูกขุดค้นและขายอย่างผิดกฎหมายรึเปล่า?”

 

พ่อของเขาไม่เคยเปิดเผยความรู้ของเขากับคนทั่วไปเพราะเกรงว่าคนเหล่านั้นจะพบว่าเขาเป็นโจรปล้นสุสาน เขาจะตรวจสอบเฉพาะวัตถุโบราณที่เขาขุดพบและขายพวกมันออกสู่โลกภายนอก แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย แต่เป็นการแอบทำอย่างลับๆ

 

“เธอน่าจะเข้าใจ… ฉันก็ไม่อยากขอความช่วยเหลือจากเธอแบบนี้หรอก… แต่ก็อย่างที่เธอรู้ ฉันมันตาไม่ได้ดีขนาดนั้น! และฉันก็ไม่สามารถปล่อยมันลงประมูลได้ ดังนั้นฉันจึงต้องหาผู้ซื้อจากทางอื่น อย่างไรก็ตามฉันจะสามารถทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อฉันรู้คุณค่าของมัน!”

 

แตกต่างจากยอนซอกตรงที่ในบางครั้งบยองกุกมักจะนำวัตถุโบราณที่ถูกขุดพบในต่างประเทศมาขายที่เกาหลี เขามีความเชื่อว่าพวกมันหลายชิ้นถูกพรากไปจากเรา ดังนั้นเราก็ควรจะเอาของคนอื่นมาด้วย ยอนซอกไม่ได้พยายามที่จะหยุดความคิดนั้น แน่นอนความจริงที่ว่าการขายวัตถุโบราณในเกาหลีจะได้ราคาดีกว่าเนื่องจากความเชื่อนั้น ทั้งแฮจินและพ่อรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว

 

“คุณก็มีเพื่อนตั้งมากมายในอินซาดง”

 

“เธออาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่ฉันมักจะให้พ่อของเธอประเมินของให้ก่อนที่ฉันจะขายมัน ส่วนคนในอินซาดงภายนอกพวกเขาอาจดูเหมือนสุภาพบุรุษก็จริง แต่ความจริงแล้วข้างในพวกเขาก็ไม่อะไรจากงูที่จ้องแต่จะฉีกคนออกเป็นชิ้นๆ และเธอก็ไม่สามารถเชื่อได้แม้แต่เพื่อนที่เธอรู้จักกันมานับสิบปีในอินซาดง เฮ้อ… ฉันพึ่งพ่อของเธอมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้เขาได้จากไปแล้ว… สงสัยคงถึงเวลาที่ฉันจะต้องวางมือแล้วมั้ง”

 

แฮจินรู้จักบยองกุกตั้งแต่เขายังเป็นเด็กวัยเริ่มหัดเดิน ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เขาหยุดปล้น

 

“ผมเห็นด้วย คุณควรจะพักได้แล้ว คุณคิดจะให้ตำรวจไล่ล่าคุณไปอีกนานแค่ไหนกัน? คุณไม่สงสารซูจองบ้างเหรอ?”

 

ซูจองเธอเป็นทั้งลูกสาวของบยองกุกและเป็นรักแรกของแฮจิน แฮจินไม่ได้เจอเธอตั้งแต่สมัยประถมเพราะบยองกุกส่งเธอไปที่ต่างประเทศตั้งแต่เธอยังเด็ก

 

“เฮ้ ซูจองคงไปเรียนที่ยุโรปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินพวกนั้น”

 

“ซูจองอยากเรียนที่เกาหลี แต่เป็นคุณต่างหากที่บังคับให้เธอไป”

 

“ฉันปล่อยให้เธอเห็นพ่อตัวเองโดนตำรวจจับไม่ได้! ไม่ว่ายังไงยอนซอกก็ได้จากไปแล้ว… และตัวฉันเองก็กำลังจะเกษียณ เฮ้อ… ช่างซวยอะไรอย่างนี้… แล้วอีกอย่างอย่าลืมมาดูของให้ฉันด้วยละ”

 

“ได้ครับ แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”

 

“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ปูซาน เดี๋ยวฉันน่าจะไปถึงโซลพรุ่งนี้แล้วค่อยโทรหาเธอ”

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

ต่างจากยอนซอกที่ขายวัตถุโบราณที่เขาปล้นในราคาต่ำให้กับตลาดมืด บยองกุกมักจะพบและต่อรองกับนักลงทุนเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม ทำให้บางครั้งเขาจึงต้องขัดแย้งกับประธานและแก๊งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ดังนั้นเขาจึงถูกตัดสินว่ามีความผิดมาแล้วนับ10ครั้ง ทั้งตำรวจและหน่วยงานมรดกทางวัฒนธรรมต่างจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด หากเขาเกษียณเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข

 

แฮจินไม่ได้รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งหลังจากที่เขาวางสาย เขาพบว่าร่างกายของเขามันเต็มไปด้วยพลัง ทุกครั้งที่เขาใช้เวทมนตร์ความเจ็บปวดและอาการอ่อนเพลียที่เขาได้รับมันลดลงเล็กน้อย ส่วนพลังที่เขาได้รับหลังจากหลับก็เพิ่มมากขึ้นด้วย

 

แฮจินรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มชินกับเวทมนตร์ทุกครั้งที่เขาใช้มัน และพลังที่เขาได้รับก็มาจากมานาที่เข้ามาเติมเต็มร่างกายของเขาอีกครั้ง ถึงจะรู้แบบนั้นแต่เขาก็ยังกังวล

 

ตอนนี้เขาไม่สามารถนอนต่อได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาที่เหลือทั้งคืนของเขาไปกับห้องคอมใกล้ๆและไปที่แกลเลอรี่ในตอนเช้า

 

อึนแฮทักทายแฮจินในห้องทำงาน เช่นเคยความงามของเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง

 

“เมื่อวานฉันรู้สึกแย่มากที่ปล่อยคุณไปทั้งอย่างนั้น แต่ตอนนี้คุณดูดีแล้ว ฉันหวังว่าคุณคงไม่ได้ติดยาหรือบางอย่างที่คล้ายกันใช่ไหม?”

 

เมื่อตัดสินจากใบหน้าที่กำลังเป็นกังวลของเธอ เธอคงไม่ได้พูดเล่นแน่นอน แฮจินพับแขนเสื้อขึ้นและปฏิเสธ

 

“ไม่ ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นแน่นอน อาการที่คุณเห็นมันเกิดขึ้นกับผมในบางครั้ง”

 

“หืมม.. งั้นก็ดีแล้วค่ะ โอ้จริงสิ ช่วยรอสักครู่นะคะ ฉันอยากให้คุณพบใครบางคน”

 

เธอออกจากห้องทำงานและกลับมาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่กำลังเดินตามเธอมาจากเบื้องหลัง

 

แฮจินคิดว่าเขาไม่มีวันพ่ายแพ้เมื่อเป็นเรื่องการสร้างความประทับใจ แต่ชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นราวกับดาราที่เพิ่งโผล่ออกมาจากทีวี

 

“ทางนี้คือผู้จัดการลี จงมยองจากกลุ่มบริษัทมิเร เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญที่สุดของแกลเลอรี่นี้และยังเป็นคู่หมั้นของฉันอีกด้วย”

 

อะไรนะ… คู่หมั้นของเธอ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด