Artifact Reading Inspector 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1)

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ARI ตอนที่ 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1)

 

ปักกิ่งประเทศจีน

 

“มันเป็นของที่มาจากที่นั่น?”

 

ลี เชียน หัวหน้าคณะกรรมการประเมินของสํานักวัฒนธรรมแห่งชาติจีนจ้องไปที่กล่องไม้สีดําเป็นเวลานาน

 

หยาง ชูอิน ผู้จัดการแผนกจัดการวัตถุโบราณ มองไปที่กล่องขณะที่เชียนกําลังลูบมัน

 

“ใช่ ฉันคิดว่าพวกเขาทิ้งกล่องเอาไว้ข้างหลังเพราะมันมีบางอย่างอยู่ด้านใน..ฉันอยากรู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร”

 

“ทําไมคุณถึงอยากรู้ล่ะ?”

 

หยาง ชูอินขมวดคิ้วเมื่อเจอคําถามที่ไม่คาดคิด

 

“แน่นอนว่าฉันต้องอยากรู้! ตอนนี้คาดว่ามีวัตถุโบราณอย่างน้อย สามสิบชิ้นที่ถูกขโมยจากสุสานนั่น แต่พวกเขาก็ยังทิ้งกล่องแปลกๆไว้ข้างหลัง ดังนั้นสิ่งที่อยู่ข้างในมัน อาจเป็นมรดกล้ําค่าของประเทศเราก็ได้! เราต้องตามรอยมันทัน

ที่!

 

แม้ว่าหยาง ชูอินจะค่อนข้างโกรธ แต่ลี เชียนก็วางกล่องลง ด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย

 

“วัสดุที่ใช้ทํากล่องนี้ไม่ธรรมดาและนั่นคือทั้งหมด รูปแบบนี้มัก ใช้กันในผู้เชื่อในลัทธิดอกบัวขาว ลองดูสิ”

 

ลี เซียนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากท่ามกลางเหล่าหนังสือ ในชั้นของเขาและวางมันไว้ตรงหน้าหยาง ซูอิน

“หืมม…”

 

หยาง ชูอินเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง ในบรรดาภาพถ่ายขาว ดําหลายสิบภาพเขาพบหนึ่งในลวดลายที่คล้ายกับลวดลาย บนกล่อง

 

“ก็คล้ายๆ แต่จะเรียกว่าเหมือนมันก็…”

 

“โดยปกติแล้วแต่ละรูปแบบที่มีความหมายแฝงทางศาสนาจะ มีความหมายที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นอาจเกี่ยวกับการขอให้โชคดี ในขณะที่อีกอย่างอาจเกี่ยวกับการรักษาโรค และมันคือหนึ่งใน นั้น ฉันคิดว่าของในกล่องอย่างดีที่สุดก็น่าจะเป็นแหวนทองไม่ก็ แหวนหยก คุณคงไม่คิดจริงๆหรอกใช่ไหมว่ามันจะมีวัตถุโบราณที่ สําคัญอยู่ในกล่องเล็กๆนี่”

 

ชัดเจนเลยว่าลี เซียนกําลังล้อเลียนเขา หยาง ชูอินโกรธ แต่เขา ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเห็นของลี เชียนได้เนื่องจากเขาเป็นผู้ประเมินที่ดีที่สุดในประเทศจีน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถอนหายใจและ ลุกขึ้น

 

“ฉันเข้าใจ แล้วกล่องล่ะ?”

 

“ฉันยอมรับว่าวัสดุที่ใช้ทํามันแปลก ดังนั้นฉันคิดว่าคณะกรรมการประเมินต้องวิเคราะห์มัน”

 

ลี เซียนพูดอย่างเผ็ดร้อนจนหยาง ชูอินรู้สึกอึดอัดใจเกินกว่าที่จะ ขอคืน เขาไม่มีทางอื่นนอกจากต้องปล่อยมันไป

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาออกไปและปิดประตูแล้วการแสดงออก ของลี เชียนก็เปลี่ยนไป

 

“หมาล่าเนื้อได้กลิ่นแล้ว มันเริ่มยุ่งยาก…”

 

ลี เชียนพึมพํากับตัวเองและศึกษากล่องนั้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโลภ ครูต่อมาเขาก็หยิบโทรศัพ ท์ของเขาขึ้นมาและโทรหาใครบางคน

 

“ฉันพบร่องรอยบางอย่างแล้ว”

 

น่าแปลกที่เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับสําเนียงที่ออกเสียงยากอย่างบริติช เขาได้ยินใครบางคนพูดอยู่อีกด้าน เขาพยักหน้า จากนั้นก็พูดอีกครั้ง

 

“อย่างน้อยหนึ่งเดือน เดือนเดียวก็พอแล้วที่จะหาว่ามรดกของ เขาอยู่ที่ไหน”

 

ลี เชียนวางสาย เขาลูบกล่องอีกครั้งก่อนจะใส่มันลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

“ทําไมเธอไม่จําศีลไปเลยล่ะ?”

 

บยองกุกเอาแต่บ่นในขณะที่แฮจินตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เขารู้ สึกหิวมากจึงไปหาราเม็งกินจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ

 

“เฮ้…มันก็อาจเกิดได้กับทุกคน เอาน่าเดี๋ยววันนี้ผมเลี้ยงเอง ดังนั้นคุณกินเข้าไปเยอะๆได้เลย”

 

แฮจินตื่นขึ้นมาตอนประมาณเที่ยงคืนดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปที่ ร้านบาร์บีคิวใกล้กับทงแดมุน ข้อความในโทรศัพท์ของเขาบอกว่า เขาได้รับเงินสิบสองล้านดังนั้นเนื้อจึงไม่แพงเลย บยองกุกดีใจที่เห็น ว่ามันเป็นเนื้อวัว

 

พวกเขากินเนื้อหกส่วนในพริบตาและสั่งเพิ่มอีกสองส่วน

 

“ว่าแต่หยาง โซจินเธอมีชื่อเสียงงั้นเหรอ?”

 

ก่อนหน้านี้พวกเขายุ่งอยู่กับการกิน แต่ตอนนี้ พวกเขาค่อนข้างอิ่ม แฮจินจึงถามสิ่งที่เขาสงสัย

 

บยองกุกถือโซจูหนึ่งแก้วแล้วจิ้มโต๊ะด้วยตะเกียบของเขา

 

“เธอมีชื่อเสียงมาก ที่เธอไม่รู้จักก็เพราะพ่อของ เธอมักจะร่วมมือกับคนที่เขารู้จักดีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่ เธอจะรู้จักคนจากอินซาดงเพียงมีกี่คน”

 

“ก็ถูกของคุณ แถมผมก็ไม่ได้เข้าไปใกล้อินซาดงตั้งแต่มัธยมต้น เลยด้วยซ้ํา”

 

“เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกพ่อค้างานศิลปะส่วนใหญ่ของอินซาดงเคยเป็นไกดาซิมาก่อน”

 

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่วัตถุโบราณส่วนใหญ่ของเกาหลีเป็น สินค้าที่ถูกขโมยมา เมื่อกว่า 30ปีก่อนผู้อํานวยการพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติคนหนึ่งถึงกับเขียนลงในหนังสือพิมว่า “ไม่มีนักโบราณคดีในเกาหลี โจรปล้นสุสานต่างหากคือนักโบราณคดี แถมพวกเขายัง รู้ดีกว่าเหล่าอาจารย์และนักโบรณคดีตัวจริงเสียอีก”

 

“อืม พวกเขาเอาวัตถุโบราณจากคนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพวกมันก่อนจะขายให้กับคนญี่ปุ่นและพวกคนรวย”

 

“ไกดาซิ” เป็นคําภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “ผู้ค้าปลีกที่ซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่ง” แต่ในเกาหลีไกดาซิไม่ใช่ผู้ค้าปลีก แต่เป็นเหล่า พ่อค้าคนกลางที่รวบรวมวัตถุโบราณและขายให้กับพ่อค้างานศิลปะ

 

พวกเขาเดินทางไปทั่วประเทศ และ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นบ้านหลังใหญ่พวกเขาก็จะเข้าไปดูข้างใน และเอาของที่ดูมีค่านํามาขายให้กับพ่อค้าของเก่า

 

“หยาง โซจินเป็นลูกสาวของไกดาซิที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้ ชื่อของเขาคือหยาง แมนโชว เขาเป็นคนที่สุดยอดมาก เขาทําทุกอ ย่างเพื่อซื้อของในราคาต่ําและขายออกไปในราคาสูงมาก เขาไม่ได้มองข้ามชามสนขในชนบทด้วยซ้ํา เขาเป็นไอสารเลวในไอสารเลวอีกที่”

 

“อา…”

 

ชีวิตของโซจินคล้ายกับของแฮจิน ทั้งสองได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณจากพ่อของพวกเขา บยองกุกสังเกตเห็นว่าแฮจิน กําลังคิดอะไรอยู่และกล่าวเสริม

 

“อย่างไรก็ตามพ่อของเธอไม่เคยปล้นสุสานในประเทศนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาได้วัตถุโบราณที่เคยเป็นของบรรพบุรุษของเรา เขาก็จะขายมันในราคาต่ําเพื่อให้มันได้ไปอยู่พิพิธภัณฑ์ของเกาหลี

 

“ผมยังคิดว่าพ่อของผมเป็นชายที่ยอดเยี่ยมแม้ว่าเขาจะทําสิ่งเลวร้ายไปมากมาย…”

 

“การปล้นสุสานเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ ดังนั้นเขาเลือกอะไรได้บ้าง? อย่างไรก็ตามหยาง โซจินคนนี้ได้รับมรดกเป็นวัตถุโบราณจํานวน มากและยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพ่อค้างานศิลปะชาวญี่ปุ่น และชาวจีนจากพ่อของเธออีก เธอใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเปิดแกลเลอรี่ และตีสนิทกับพวกคนรวยและนักการเมือง อีกอย่างคือเธอเป็นคนที่ขายเก่งมาก ดังนั้นเมื่อเธอจัดนิทรรศการวัตถุโบราณเกือบทั้งหมดของเธอจะถูกขายออกไป”

 

“เธอน่าทึ่งมาก”

 

บยองกุกโกรธ เขาดื่มโซจูมากขึ้นพร้อมกับกินเนื้อก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เริ่มแดง

 

“ใช่ ปัญหาคือเธอขายวัตถุโบราณของเกาหลีในต่างประเทศเพื่อ เงินเหมือนอย่างที่พ่อของเธอเคยทํา ส่วนใหญ่จะเป็นญี่ปุ่น พวกอัยการกับนักการเมืองไม่รู้เรื่องนี้? ไม่พวกเขาทุกคนรู้ แต่พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเธอได้ เธอรู้ไหมว่าทําไม?”

 

เรื่องที่บยองกุกเล่าน่าสนใจทีเดียว

 

แฮจินถาม “ทําไม?”

“ลูกค้าคนสําคัญของเธอเป็นนักการเมืองญี่ปุ่นที่มีอํานาจมาก เธอน่าจะรู้ว่าญี่ปุ่นยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในโลกการเมืองของเกาหลีถูกไหม? บวกกับที่พวกเขาทั้งหมดซื้อขายผ่านหยาง โซจิน ดังนั้นเธอจึงกําจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้ แน่นอนว่าเธอซื้อขาย วัตถุโบราณของบรรพบุรุษเรากับพวกญี่ปุ่น! ดังนั้นมันจึงไม่มีใครก ล้ายุ่งกับหยาง โซจิน”

 

“เธอเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก ว่าแต่ทําไมคุณถึงรู้เรื่องของเธอ ดีนัก?”

บยองกุกดูขมขื่น เขาดื่มโซจูเพิ่มอีกแก้ว

 

“เมื่อฉันยังเด็กบ้านของฉันมันมีเครื่องลายครามเก่าๆอยู่ หยาง แมนโชวพ่อของหยาง โซจินมาที่บ้านของฉันและกดดันให้ขายพว กมันในราคาต่ำ ดังนั้นแน่นอนว่าฉันต้องรู้เรื่องของเธอดี”

 

แฮจินไม่สามารถปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปได้

 

“เราจะทําให้เธอต้องชดใช้ !”

 

แฮจินตะโกนและทุบโต๊ะด้วยกําปั้นของเขา ตาของบยองกุก เบิกกว้าง

 

“ทําให้เธอต้องชดใช้? ยังไง?”

 

“มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอมีและสิ่งที่เธอต้องการ”

 

“อา…ใช่ นั่นน่าตื่นเต้นมาก!”

 

บยองกุกคิดว่ามันเป็นมุกตลก บางทีเขาอาจจะกําลังคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้

 

พวกเขากินเนื้อสัตว์ไปสิบส่วน วันรุ่งขึ้นแฮจินแวะไปที่บ้านใหม่ ของเขาเพื่อเปลี่ยนสูทและจัดทรงผมก่อนจะเดินทางไปแซยอนแกลเลอรี่

 

“หลังจากนี้เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของฮวาจินอีก” บยองกุกกล่าวเมื่อพวกเขาเกือบจะถึงแซยอนแกลเลอรี่

 

“ทําไม?”

 

“โจรปล้นสุสานที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคนรวยไม่เคยจบลงด้วยดี พ่อของเธอเป็นโจรปล้นสุสานที่เก่งที่สุดในเกาหลี แต่เขาไม่เคยใกล้ ชิดกับพวกคนรวย เธอรู้ใช้ไหมว่าฉันกําลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

 

“แน่นอน”

 

แม้ว่าแฮจินจะไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทําแบบนั้นได้หรือไม่ก็ตาม

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในแกลเลอรี่ก็มีหญิงวัย 30 ต้นๆเดินเข้า มาหาพวกเขา แฮจินไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เธอมีป้ายชื่อเขียนว่า ภัณฑารักษ์จอง     มินะติดอยู่

 

“ยินดีต้อนรับค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาที่นี่ใช่ไหมคะ?”

 

เธอไม่ได้สวยมาก แต่เธอดูเป็นคนใจเย็นและสุภาพ

 

“ไม่ครับ ผู้อํานวยการลิม อินแฮอยู่ที่นี่รีเปล่า?”

 

“ค่ะ เธออยู่ แต่… ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าคุณเป็นใคร?”

 

“ผมปาร์ค แฮจิน”

 

“โอเคค่ะ โปรดรอสักครู่

 

มินะจากไปขณะที่บยองกุกถามออกมา “หืม? เธอเคยมาที่นี่มาก่อน? แถมยังรู้จักใครบางคนที่ด้วย?”

 

“ด้วยเหตุผลบางอย่างผมจึงเคยทํางานให้เธอ แล้วคุณจะประหลาดใจเมื่อได้เจอเธอ”

 

“ประหลาดใจ? ทําไม?”

 

ประตูห้องทํางานของอ็นแฮเปิดออก ไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงเร่งรีบที่เกิดจากรองเท้าส้นสูง เป็นอื่นแฮที่สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ที่กําลังรีบเดินมาหาพวกเขาด้วยความประหลาดใจ

 

“ได้ยังไง… ไม่สิ คุณอยากเข้ามาไหม?”

 

“ขอบคุณครับ”

 

แฮจินกําลังจะตามเธอเข้าไปในห้องทํางาน แต่บยองกุก สะกิดข้างเขาเสียก่อน

 

แฮจินมองเขาในขณะที่บยองกุกกําลังทําหน้ามุ่ย เขาชี้คางไปทาง อึนแฮ

 

“เธอชอบเธอ?”

 

บยองพูดโดยไม่ส่งเสียง แฮจินส่ายหัวและพูดอย่างเงียบๆ

 

“ไม่ แต่คุณไม่คิดว่าเธอสวยเหรอ?”

 

“อืมม…”

 

บยองกุกไม่ชอบเธอ  เขานั่งลงบนโซฟาก่อนที่อื่นแฮจะเอ่ยถาม  แฮจินยิ้มและนั่งถัดจากเขา ส่วนอื่นแฮก็เอาน้ําผลไม้มาให้พวกเขา

 

“ทําไมคุณ… ฉันดีใจที่ได้พบคุณนะคะ แต่ครั้งสุดท้ายคุณชัดเจน แล้วว่าจะไม่กลับมาอีก”

 

การจ้องมองของบยองกุกเฉียบคมขึ้น แฮจินพยายามทําเป็นไม่ สนใจและตอบ

 

“ผมได้รับงานมา รองประธานลียังไม่ได้บอกคุณ?”

 

“โอ้ คุณหมายถึงเรื่องผู้อํานวยการหยาง โซจิน…”

 

“ใช่ครับ ผมเป็นนักประเมิน”

 

“แต่ฉันมีบางอย่างอยากจะถาม คุณเรียกค่าธรรมเนียม เดียวกัน…”

 

เธอถามว่าแฮจินได้ขอค่าธรรมเนียม 1% กับซองจุนหรือไม่ หน้า ของเธอมันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เธอก็สงสัยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น”

 

“แน่นอนครับ ผมจะได้รับ 1%เป็นค่าธรรมเนียม”

 

“ว้าว…”

 

เธอประทับใจจริงๆ ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูและเดินเข้ามา

 

“ผู้อํานวยการหยาง โซจินมาถึงแล้ว”

 

“โอ้ จริงเหรอ? งั้น”

 

อื่นแฮมองแฮจินที่กําลังยิ้มกว้างจากนั้นก็ลุกขึ้น

“งั้นเราไปกันเถอะ ฉันสงสัยจะแย่แล้วว่ามันจะเป็นของประเภท ไหน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Artifact Reading Inspector 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1)

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ARI ตอนที่ 16 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ (1)

 

ปักกิ่งประเทศจีน

 

“มันเป็นของที่มาจากที่นั่น?”

 

ลี เชียน หัวหน้าคณะกรรมการประเมินของสํานักวัฒนธรรมแห่งชาติจีนจ้องไปที่กล่องไม้สีดําเป็นเวลานาน

 

หยาง ชูอิน ผู้จัดการแผนกจัดการวัตถุโบราณ มองไปที่กล่องขณะที่เชียนกําลังลูบมัน

 

“ใช่ ฉันคิดว่าพวกเขาทิ้งกล่องเอาไว้ข้างหลังเพราะมันมีบางอย่างอยู่ด้านใน..ฉันอยากรู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร”

 

“ทําไมคุณถึงอยากรู้ล่ะ?”

 

หยาง ชูอินขมวดคิ้วเมื่อเจอคําถามที่ไม่คาดคิด

 

“แน่นอนว่าฉันต้องอยากรู้! ตอนนี้คาดว่ามีวัตถุโบราณอย่างน้อย สามสิบชิ้นที่ถูกขโมยจากสุสานนั่น แต่พวกเขาก็ยังทิ้งกล่องแปลกๆไว้ข้างหลัง ดังนั้นสิ่งที่อยู่ข้างในมัน อาจเป็นมรดกล้ําค่าของประเทศเราก็ได้! เราต้องตามรอยมันทัน

ที่!

 

แม้ว่าหยาง ชูอินจะค่อนข้างโกรธ แต่ลี เชียนก็วางกล่องลง ด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย

 

“วัสดุที่ใช้ทํากล่องนี้ไม่ธรรมดาและนั่นคือทั้งหมด รูปแบบนี้มัก ใช้กันในผู้เชื่อในลัทธิดอกบัวขาว ลองดูสิ”

 

ลี เซียนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากท่ามกลางเหล่าหนังสือ ในชั้นของเขาและวางมันไว้ตรงหน้าหยาง ซูอิน

“หืมม…”

 

หยาง ชูอินเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง ในบรรดาภาพถ่ายขาว ดําหลายสิบภาพเขาพบหนึ่งในลวดลายที่คล้ายกับลวดลาย บนกล่อง

 

“ก็คล้ายๆ แต่จะเรียกว่าเหมือนมันก็…”

 

“โดยปกติแล้วแต่ละรูปแบบที่มีความหมายแฝงทางศาสนาจะ มีความหมายที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นอาจเกี่ยวกับการขอให้โชคดี ในขณะที่อีกอย่างอาจเกี่ยวกับการรักษาโรค และมันคือหนึ่งใน นั้น ฉันคิดว่าของในกล่องอย่างดีที่สุดก็น่าจะเป็นแหวนทองไม่ก็ แหวนหยก คุณคงไม่คิดจริงๆหรอกใช่ไหมว่ามันจะมีวัตถุโบราณที่ สําคัญอยู่ในกล่องเล็กๆนี่”

 

ชัดเจนเลยว่าลี เซียนกําลังล้อเลียนเขา หยาง ชูอินโกรธ แต่เขา ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเห็นของลี เชียนได้เนื่องจากเขาเป็นผู้ประเมินที่ดีที่สุดในประเทศจีน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถอนหายใจและ ลุกขึ้น

 

“ฉันเข้าใจ แล้วกล่องล่ะ?”

 

“ฉันยอมรับว่าวัสดุที่ใช้ทํามันแปลก ดังนั้นฉันคิดว่าคณะกรรมการประเมินต้องวิเคราะห์มัน”

 

ลี เซียนพูดอย่างเผ็ดร้อนจนหยาง ชูอินรู้สึกอึดอัดใจเกินกว่าที่จะ ขอคืน เขาไม่มีทางอื่นนอกจากต้องปล่อยมันไป

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาออกไปและปิดประตูแล้วการแสดงออก ของลี เชียนก็เปลี่ยนไป

 

“หมาล่าเนื้อได้กลิ่นแล้ว มันเริ่มยุ่งยาก…”

 

ลี เชียนพึมพํากับตัวเองและศึกษากล่องนั้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโลภ ครูต่อมาเขาก็หยิบโทรศัพ ท์ของเขาขึ้นมาและโทรหาใครบางคน

 

“ฉันพบร่องรอยบางอย่างแล้ว”

 

น่าแปลกที่เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับสําเนียงที่ออกเสียงยากอย่างบริติช เขาได้ยินใครบางคนพูดอยู่อีกด้าน เขาพยักหน้า จากนั้นก็พูดอีกครั้ง

 

“อย่างน้อยหนึ่งเดือน เดือนเดียวก็พอแล้วที่จะหาว่ามรดกของ เขาอยู่ที่ไหน”

 

ลี เชียนวางสาย เขาลูบกล่องอีกครั้งก่อนจะใส่มันลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

“ทําไมเธอไม่จําศีลไปเลยล่ะ?”

 

บยองกุกเอาแต่บ่นในขณะที่แฮจินตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เขารู้ สึกหิวมากจึงไปหาราเม็งกินจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ

 

“เฮ้…มันก็อาจเกิดได้กับทุกคน เอาน่าเดี๋ยววันนี้ผมเลี้ยงเอง ดังนั้นคุณกินเข้าไปเยอะๆได้เลย”

 

แฮจินตื่นขึ้นมาตอนประมาณเที่ยงคืนดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปที่ ร้านบาร์บีคิวใกล้กับทงแดมุน ข้อความในโทรศัพท์ของเขาบอกว่า เขาได้รับเงินสิบสองล้านดังนั้นเนื้อจึงไม่แพงเลย บยองกุกดีใจที่เห็น ว่ามันเป็นเนื้อวัว

 

พวกเขากินเนื้อหกส่วนในพริบตาและสั่งเพิ่มอีกสองส่วน

 

“ว่าแต่หยาง โซจินเธอมีชื่อเสียงงั้นเหรอ?”

 

ก่อนหน้านี้พวกเขายุ่งอยู่กับการกิน แต่ตอนนี้ พวกเขาค่อนข้างอิ่ม แฮจินจึงถามสิ่งที่เขาสงสัย

 

บยองกุกถือโซจูหนึ่งแก้วแล้วจิ้มโต๊ะด้วยตะเกียบของเขา

 

“เธอมีชื่อเสียงมาก ที่เธอไม่รู้จักก็เพราะพ่อของ เธอมักจะร่วมมือกับคนที่เขารู้จักดีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่ เธอจะรู้จักคนจากอินซาดงเพียงมีกี่คน”

 

“ก็ถูกของคุณ แถมผมก็ไม่ได้เข้าไปใกล้อินซาดงตั้งแต่มัธยมต้น เลยด้วยซ้ํา”

 

“เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าพวกพ่อค้างานศิลปะส่วนใหญ่ของอินซาดงเคยเป็นไกดาซิมาก่อน”

 

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่วัตถุโบราณส่วนใหญ่ของเกาหลีเป็น สินค้าที่ถูกขโมยมา เมื่อกว่า 30ปีก่อนผู้อํานวยการพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติคนหนึ่งถึงกับเขียนลงในหนังสือพิมว่า “ไม่มีนักโบราณคดีในเกาหลี โจรปล้นสุสานต่างหากคือนักโบราณคดี แถมพวกเขายัง รู้ดีกว่าเหล่าอาจารย์และนักโบรณคดีตัวจริงเสียอีก”

 

“อืม พวกเขาเอาวัตถุโบราณจากคนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพวกมันก่อนจะขายให้กับคนญี่ปุ่นและพวกคนรวย”

 

“ไกดาซิ” เป็นคําภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “ผู้ค้าปลีกที่ซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่ง” แต่ในเกาหลีไกดาซิไม่ใช่ผู้ค้าปลีก แต่เป็นเหล่า พ่อค้าคนกลางที่รวบรวมวัตถุโบราณและขายให้กับพ่อค้างานศิลปะ

 

พวกเขาเดินทางไปทั่วประเทศ และ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นบ้านหลังใหญ่พวกเขาก็จะเข้าไปดูข้างใน และเอาของที่ดูมีค่านํามาขายให้กับพ่อค้าของเก่า

 

“หยาง โซจินเป็นลูกสาวของไกดาซิที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศนี้ ชื่อของเขาคือหยาง แมนโชว เขาเป็นคนที่สุดยอดมาก เขาทําทุกอ ย่างเพื่อซื้อของในราคาต่ําและขายออกไปในราคาสูงมาก เขาไม่ได้มองข้ามชามสนขในชนบทด้วยซ้ํา เขาเป็นไอสารเลวในไอสารเลวอีกที่”

 

“อา…”

 

ชีวิตของโซจินคล้ายกับของแฮจิน ทั้งสองได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณจากพ่อของพวกเขา บยองกุกสังเกตเห็นว่าแฮจิน กําลังคิดอะไรอยู่และกล่าวเสริม

 

“อย่างไรก็ตามพ่อของเธอไม่เคยปล้นสุสานในประเทศนี้เมื่อใดก็ตามที่เขาได้วัตถุโบราณที่เคยเป็นของบรรพบุรุษของเรา เขาก็จะขายมันในราคาต่ําเพื่อให้มันได้ไปอยู่พิพิธภัณฑ์ของเกาหลี

 

“ผมยังคิดว่าพ่อของผมเป็นชายที่ยอดเยี่ยมแม้ว่าเขาจะทําสิ่งเลวร้ายไปมากมาย…”

 

“การปล้นสุสานเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ ดังนั้นเขาเลือกอะไรได้บ้าง? อย่างไรก็ตามหยาง โซจินคนนี้ได้รับมรดกเป็นวัตถุโบราณจํานวน มากและยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพ่อค้างานศิลปะชาวญี่ปุ่น และชาวจีนจากพ่อของเธออีก เธอใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อเปิดแกลเลอรี่ และตีสนิทกับพวกคนรวยและนักการเมือง อีกอย่างคือเธอเป็นคนที่ขายเก่งมาก ดังนั้นเมื่อเธอจัดนิทรรศการวัตถุโบราณเกือบทั้งหมดของเธอจะถูกขายออกไป”

 

“เธอน่าทึ่งมาก”

 

บยองกุกโกรธ เขาดื่มโซจูมากขึ้นพร้อมกับกินเนื้อก่อนจะพูดอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เริ่มแดง

 

“ใช่ ปัญหาคือเธอขายวัตถุโบราณของเกาหลีในต่างประเทศเพื่อ เงินเหมือนอย่างที่พ่อของเธอเคยทํา ส่วนใหญ่จะเป็นญี่ปุ่น พวกอัยการกับนักการเมืองไม่รู้เรื่องนี้? ไม่พวกเขาทุกคนรู้ แต่พวกเขาไม่สามารถแตะต้องเธอได้ เธอรู้ไหมว่าทําไม?”

 

เรื่องที่บยองกุกเล่าน่าสนใจทีเดียว

 

แฮจินถาม “ทําไม?”

“ลูกค้าคนสําคัญของเธอเป็นนักการเมืองญี่ปุ่นที่มีอํานาจมาก เธอน่าจะรู้ว่าญี่ปุ่นยังคงมีอิทธิพลอย่างมากในโลกการเมืองของเกาหลีถูกไหม? บวกกับที่พวกเขาทั้งหมดซื้อขายผ่านหยาง โซจิน ดังนั้นเธอจึงกําจุดอ่อนของพวกเขาเอาไว้ แน่นอนว่าเธอซื้อขาย วัตถุโบราณของบรรพบุรุษเรากับพวกญี่ปุ่น! ดังนั้นมันจึงไม่มีใครก ล้ายุ่งกับหยาง โซจิน”

 

“เธอเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก ว่าแต่ทําไมคุณถึงรู้เรื่องของเธอ ดีนัก?”

บยองกุกดูขมขื่น เขาดื่มโซจูเพิ่มอีกแก้ว

 

“เมื่อฉันยังเด็กบ้านของฉันมันมีเครื่องลายครามเก่าๆอยู่ หยาง แมนโชวพ่อของหยาง โซจินมาที่บ้านของฉันและกดดันให้ขายพว กมันในราคาต่ำ ดังนั้นแน่นอนว่าฉันต้องรู้เรื่องของเธอดี”

 

แฮจินไม่สามารถปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปได้

 

“เราจะทําให้เธอต้องชดใช้ !”

 

แฮจินตะโกนและทุบโต๊ะด้วยกําปั้นของเขา ตาของบยองกุก เบิกกว้าง

 

“ทําให้เธอต้องชดใช้? ยังไง?”

 

“มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอมีและสิ่งที่เธอต้องการ”

 

“อา…ใช่ นั่นน่าตื่นเต้นมาก!”

 

บยองกุกคิดว่ามันเป็นมุกตลก บางทีเขาอาจจะกําลังคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้

 

พวกเขากินเนื้อสัตว์ไปสิบส่วน วันรุ่งขึ้นแฮจินแวะไปที่บ้านใหม่ ของเขาเพื่อเปลี่ยนสูทและจัดทรงผมก่อนจะเดินทางไปแซยอนแกลเลอรี่

 

“หลังจากนี้เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของฮวาจินอีก” บยองกุกกล่าวเมื่อพวกเขาเกือบจะถึงแซยอนแกลเลอรี่

 

“ทําไม?”

 

“โจรปล้นสุสานที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคนรวยไม่เคยจบลงด้วยดี พ่อของเธอเป็นโจรปล้นสุสานที่เก่งที่สุดในเกาหลี แต่เขาไม่เคยใกล้ ชิดกับพวกคนรวย เธอรู้ใช้ไหมว่าฉันกําลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

 

“แน่นอน”

 

แม้ว่าแฮจินจะไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทําแบบนั้นได้หรือไม่ก็ตาม

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในแกลเลอรี่ก็มีหญิงวัย 30 ต้นๆเดินเข้า มาหาพวกเขา แฮจินไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เธอมีป้ายชื่อเขียนว่า ภัณฑารักษ์จอง     มินะติดอยู่

 

“ยินดีต้อนรับค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาที่นี่ใช่ไหมคะ?”

 

เธอไม่ได้สวยมาก แต่เธอดูเป็นคนใจเย็นและสุภาพ

 

“ไม่ครับ ผู้อํานวยการลิม อินแฮอยู่ที่นี่รีเปล่า?”

 

“ค่ะ เธออยู่ แต่… ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าคุณเป็นใคร?”

 

“ผมปาร์ค แฮจิน”

 

“โอเคค่ะ โปรดรอสักครู่

 

มินะจากไปขณะที่บยองกุกถามออกมา “หืม? เธอเคยมาที่นี่มาก่อน? แถมยังรู้จักใครบางคนที่ด้วย?”

 

“ด้วยเหตุผลบางอย่างผมจึงเคยทํางานให้เธอ แล้วคุณจะประหลาดใจเมื่อได้เจอเธอ”

 

“ประหลาดใจ? ทําไม?”

 

ประตูห้องทํางานของอ็นแฮเปิดออก ไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงเร่งรีบที่เกิดจากรองเท้าส้นสูง เป็นอื่นแฮที่สวมเสื้อผ้าสีสันสดใส ที่กําลังรีบเดินมาหาพวกเขาด้วยความประหลาดใจ

 

“ได้ยังไง… ไม่สิ คุณอยากเข้ามาไหม?”

 

“ขอบคุณครับ”

 

แฮจินกําลังจะตามเธอเข้าไปในห้องทํางาน แต่บยองกุก สะกิดข้างเขาเสียก่อน

 

แฮจินมองเขาในขณะที่บยองกุกกําลังทําหน้ามุ่ย เขาชี้คางไปทาง อึนแฮ

 

“เธอชอบเธอ?”

 

บยองพูดโดยไม่ส่งเสียง แฮจินส่ายหัวและพูดอย่างเงียบๆ

 

“ไม่ แต่คุณไม่คิดว่าเธอสวยเหรอ?”

 

“อืมม…”

 

บยองกุกไม่ชอบเธอ  เขานั่งลงบนโซฟาก่อนที่อื่นแฮจะเอ่ยถาม  แฮจินยิ้มและนั่งถัดจากเขา ส่วนอื่นแฮก็เอาน้ําผลไม้มาให้พวกเขา

 

“ทําไมคุณ… ฉันดีใจที่ได้พบคุณนะคะ แต่ครั้งสุดท้ายคุณชัดเจน แล้วว่าจะไม่กลับมาอีก”

 

การจ้องมองของบยองกุกเฉียบคมขึ้น แฮจินพยายามทําเป็นไม่ สนใจและตอบ

 

“ผมได้รับงานมา รองประธานลียังไม่ได้บอกคุณ?”

 

“โอ้ คุณหมายถึงเรื่องผู้อํานวยการหยาง โซจิน…”

 

“ใช่ครับ ผมเป็นนักประเมิน”

 

“แต่ฉันมีบางอย่างอยากจะถาม คุณเรียกค่าธรรมเนียม เดียวกัน…”

 

เธอถามว่าแฮจินได้ขอค่าธรรมเนียม 1% กับซองจุนหรือไม่ หน้า ของเธอมันบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เธอก็สงสัยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น”

 

“แน่นอนครับ ผมจะได้รับ 1%เป็นค่าธรรมเนียม”

 

“ว้าว…”

 

เธอประทับใจจริงๆ ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตูและเดินเข้ามา

 

“ผู้อํานวยการหยาง โซจินมาถึงแล้ว”

 

“โอ้ จริงเหรอ? งั้น”

 

อื่นแฮมองแฮจินที่กําลังยิ้มกว้างจากนั้นก็ลุกขึ้น

“งั้นเราไปกันเถอะ ฉันสงสัยจะแย่แล้วว่ามันจะเป็นของประเภท ไหน!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+