Artifact Reading Inspector 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3)

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ARI ตอนที่ 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3)

“เอ่อ…”

 

บยองกุกหันกลับมาและสบกับสายตาของแฮจินที่กําลังมองมา เขาบอกเป็นนัยว่ามันขึ้นอยู่กับแฮจิน

 

ท้ายที่สุดซองจุนก็ชี้ให้แฮจินนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม

 

แฮจินไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถหนีได้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับ ลากบยองกุกไปนั่งข้างๆเขาด้วยเป็นการแสดงให้เห็นว่าบยองกุกก็ สมควรได้นั่งเช่นกัน

 

 

“อืมม..”

 

ใบหน้าของซองจุนแข็งกร้าว เขาไม่ชอบพ่อค้างานศิลปะที่นั่งตรงข้ามกับเขา เพราะเขาถือว่าพวกพ่อค้างานศิลปะส่วนใหญ่เป็นพวกที่ซื้อขายสินค้าที่ขโมยมา

 

แต่เขาก็ไม่สามารถบอกให้บยองกุกลุกขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขาเดินมานั่งลงข้างๆ

 

“ลูกจะนั่งทําไม? ลุกขึ้น”

 

“หนูก็อยากฟังด้วย แม้ว่าพ่อจะบอกให้หนูซื้อภาพนั้น แต่สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อมันมากับมือก็คือหนู ดังนั้นหนูมีสิทธิ์ฟัง สิ่งที่พ่อกําลังจะพูด”

 

ข้ออ้างของเธอมันจะฟังดูไม่ขึ้น แต่ซองจุนก็ไม่คิดจะเถียงกับลูกสาวของเขาอีก เขาถอนหายใจและพูดต่อ

 

“อืมม.. เธอเก่งเรื่องเซรามิกด้วยรึเปล่า?”

 

แม้ว่าแฮจินจะไม่รู้ว่าซองจุนต้องการอะไรจากเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะอยู่ฟัง เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เลิกคิ้วใส่เขาและยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ต้องการที่จะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนเนื่องจากความเหนี่ อยล้าหลังจากใช้เวทมนตร์

 

โชคดีที่มันปวดน้อยลงมาก เพราะถ้าหากมันยังรุนแรงเหมือนตอนที่เขาอยู่หน่วยงานประเมินราคาชอนจินเขาคงจะถูกโยนออก จากที่นี่

 

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เก่ง ผมมาที่นี่เพราะลุงของผมชวนมาไม่ใช่เพราะผมเป็นนักประเมินที่ยอดเยี่ยม”

 

ซองจุนดูตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งเป็นครั้งแรก เขาต้องการถามให้ แน่ใจก่อนที่จะเข้าเรื่อง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าแฮ จินจะตอบกลับเขาแบบนั้น

 

“เธอมาที่นี่เพื่อช่วยลุงของเธอขายศิลาดล แต่เธอไม่เก่งเรื่องเซรามิก?”

 

“ใช่ครับ ดังนั้นโปรดคิดให้ดีก่อนหากคุณอยากจะจ้างผมอีกอย่างคุณก็ต้องมั่นใจด้วยว่าคุณจะไม่ลากผมให้ไปรับผิดชอบเรื่องกําไรหรือขาดทุนจากการประเมินของผม”

 

ซองจุนไม่เคยได้ยินคนที่พูดตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อนเขาถึง กับลืมปิดปากเลยด้วยซ้ํา

 

“นายไม่ใช่ผู้ประเมินเพียงคนเดียวในประเทศนี้ พ่อคะเราลืมเขาไปเถอะ เราสามารถหาคนอื่นได้”

 

“เงียบ! ถ้าลูกไม่อยากลุกก็อยู่นิ่งๆ” ซองจุนตะคอกใส่ลูก สาวของเขาจากนั้นเขาก็พูดต่อ “พ่อค้างานศิลปะคนหนึ่งที่ซื้อว่าหยาง โซจินมาเยี่ยมฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอเคยได้ยินชื่อของเธอไหม?”

 

ซองจุนมาถึงจุดที่ตัดการสนทนาที่ไร้ประโยชน์ออกไปเมื่อเขารู้ว่ากับแฮจินแล้วไม่จําเป็นต้องมีพิธีการ

 

แฮจินไม่เคยได้ยินชื่ออยาง โซจินมาก่อนดังนั้นเขาจึงมองไป ทาง

บยองกุก

 

เขาอธิบาย “เธอเป็นผู้อํานวยการของฮานึลแกลเลอรี่และยัง เป็นตัวแทนจําหน่ายศิลปะที่ดีที่สุดในเกาหลีอีกด้วย เธอทํางานเกี่ยวกับวัตถุโบราณทุกประเภททั้งตะวันออกและตะวันตก” 

 

“ใช่ เธอโชว์บางอย่างให้ฉันดูและเสนอข้อตกลงที่ยากลําบากให้”

 

ซองจุนลุกขึ้นและเดินไปที่ไหนสักแห่งก่อนจะกลับมาพร้อม กับนารูปถ่ายมาวางไว้บนโต๊ะ

ก่อนที่แฮจินจะเห็นมันในความคิดของเขามีแค่อยาก จะกลับบ้าน…

 

อย่างไรก็ตามในขณที่เขาเห็นศิลาดลในภาพถ่าย เขาก็เริ่มเอนตัวไปข้างหน้า

“มันคือศิลาดลสีเทาอมฟ้า”

 

แม้มันจะเป็นเพียงคําพูดสั้นๆ แต่ซองจุนก็จับคําพูดนั้นและ พยักหน้า

 

“เป็นไง? มันสวยใช่ไหม?”

 

ของในภาพถ่ายคือศิลาดลสีเทาอมฟ้า แฮจินไม่สามารถวัดขนาดของมันได้เนื่องจากมันเป็นภาพถ่าย แต่เส้นที่เริ่มต้นจากกว้าง และค่อยๆสั้นลงเมื่อไปถึงด้านล่างนั้นดูน่าประทับใจ

 

นอกจากนี้มันก็ยังมีรูปแบบเกลียวหนาที่วิ่งลงมาจากบนลงล่าง ที่เด่นชัด โดยรวมแล้วมันค่อนข้างดูดี

 

“ครับ มันสวยจริงๆ”

 

“แต่ปัญหาคือเจ้าของที่เป็นคนญี่ปุ่นอยากจะเอามันมาแลกกับของบางอย่างที่ฉันเป็นเจ้าของ ดังนั้นมันจึงทําให้ฉันปวดหัว”

 

“เขาไม่ได้จะขายมัน?”

 

“เขาไม่คิดจะขายมันไม่ว่าฉันจะเสนอราคาไปมากเท่าไหร่ก็ตาม และเขาก็ยืนกรานที่จะแลกกับของในแกลเลอรี่ของฉันเท่านั้น” 

 

“แกลเลอรีของคุณ…”

 

“แซยอนแกลเลอรี่ ฉันเป็นเจ้าของที่นั้น”

 

แฮจินรู้สึกว่ามันบังเอิญมากที่เขาจะได้พบกับอนแฮอีกครั้ง

 

“งั้นแปลว่าคุณต้องการให้ผมประเมินสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นต้องการแลก”

 

“ใช่ ฉันเคยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินมันแล้วแต่พวกเขาเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ ดังนั้นฉันจึงต้องการให้เธอไปที่ นั่นและประเมินมันด้วยตัวเธอเอง”

 

“แม้ว่าผมจะไปประเมินด้วยตัวเอง แต่ผมก็อาจจะบอกกับคุณคล้ายกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นพูด”

 

“มันเกิดขึ้นได้”

 

“และที่ผมต่างจากพวกเขาคือค่าธรรมเนียมของผมนั้นสูงมาก”

 

“ฉันรู้”

 

งั้นคุณมีเหตุผลอะไรไหมที่เลือกผมรึเปล่า? หรือเป็นเพราะ ผมพบว่าภาพวาดชิ้นนั้นเป็นของปลอม?”

 

ลูกสาวของซองจุนเห็นด้วยกับแฮจิน เธอพยักหน้าและมองไปที่พ่อของเธอ

 

“ฉันเคยเห็นคนจํานวนมากที่พยายามทําให้ตัวเองดูมีค่าอย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่ต่อหน้าฉันพวกเขากลับขี้ขลาด พวก เขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะต้องการเป็นที่ชื่นชอบ แต่เธอ นั้นต่างออกไป มันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าของเงินหลายสิบล้าน ต่อหน้าฉัน ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าเธอแค่บ้าหรือมั่นใจ”

 

“ผมบอกไปแล้วว่าผมไม่มั่นใจเรื่องเซรามิก”

 

“แปลว่าเธอจะปฏิเสธงานนี้?”

 

แน่นอนว่าไม่ ศิลาดลสีเทาอมฟ้าในรูปมีมูลค่าอย่างน้อยห้าพันล้าน

 

“ไม่ครับ ผมจะรับงานนี้”

 

“เห็นไหม? หากเธอไม่มั่นใจจริงๆเธอคงไม่รับมัน”

 

ซองจุนยิ้มราวกับรู้ทัน แต่ลูกสาวของเขาคัดค้าน

 

“เขาอาจจะบ้าจริงๆ ไม่สิ เขาอาจจะมั่นใจมากเกินไปหรือไม่ก็ ต้องการเงินจริงๆ”

 

เธอไม่สามารถพูดว่าแฮจินบ้าได้อย่างเต็มปากเพราะเขาเพิ่งเปิดเผยว่าภาพวาดเป็นของปลอม

 

“ถ้าเขาบ้าจริงนั้นก็นับว่าเป็นความสามารถเช่นกัน”

 

ซองจุนไม่แม้แต่กระพริบตาเมื่อลูกสาวของเขาบ่น เขามองไปที่ แฮจิน

 

“อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ค่าธรรมเนียมของผมคือ 1% ของ สิ่งที่ประเมิน แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของปลอมแต่ผมก็จะคิด 1% ของ สิ่งที่ประเมินตามเดิม คุณต้องการให้ผมประเมินของชิ้นไหน เซรา มิกที่อยู่ในภาพถ่ายหรือของที่อยู่ในแกลเลอรี่ของคุณ?”

 

“ทั้งคู่ ฉันต้องการรู้ว่าชิ้นไหนมันมีค่ามากกว่ากัน แต่ทําไมเธอถึง ไม่แสดงความใจกว้างบ้างล่ะ? ฉันอุตส่าห์จ้างเธอในราคาสูง ดังนั้น เอาเป็น 1 แถม 1 เป็นไง?”

ซองจุนยอมรับค่าธรรมเนียม 1% ของเขาอย่างใจเย็น ดังนั้น หากแฮจินบอกว่าไม่ได้มันคงจะเย็นชาไปหน่อย

 

“เอาล่ะ งั้นผมขอ 1% ของราคาชิ้นที่แพงที่สุดจากทั้งสองชิ้น คุณเห็นด้วยไหม?”

 

“หืมม… ไม่เป็นไรนั้นดีพอแล้ว”

 

มินซองที่ยืนดูอยู่รีบขัดจังหวะ

 

“แต่ท่านครับ ค่าธรรมเนียมมันอาจเกินกว่าร้อยล้าน”

 

“ไม่เป็นไร ตอนที่หยาง โซจินให้รูปนี้กับฉันมันดูเหมือนว่าเธอจะ ไม่ได้มีแค่รูปเดียว เธอคงต้องการบางอย่างเพิ่มจากแซยอน จะเป็นอย่างไรหากฉันกลายเป็นคนเดียวที่ถูกหลอก”

 

“งั้นแปลว่าเธออาจมีสิ่งที่อยากได้จากแกลเลอรี่อื่น”

 

“ยังไงเธอก็ต้องไปที่แซยอนแกลเลอรี่ให้เร็วที่สุด และก็อย่างที่ ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ค่าธรรมเนียมสําหรับการประเมินที่เธอเพิ่งประ เมินไปจะเข้าบัญชีของเธอภายในวันนี้”

 

“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมก็เดาว่าเราคงจะได้พบกันอีกครั้งหลัง จากที่ผมทํางานที่ได้รับมอบเสร็จแล้ว”

 

“ขอให้เป็นช่วงเวลาที่ดีนะครับ”

 

บยองกุกกําลังจะออกไปเมื่อซองจุนกล่าวเสริม

 

“โอ้ สําหรับเธอผู้อํานายการลี มินซองจะเป็นคนจัดการเรื่องเงิน

 

ซองจุนลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องศึกษาของเขาราวกับเขาไม่มีอะไรจะพูดอีก อย่างไรก็ตามลูกสาวของเขากลับยืน ขึ้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“ฉันจะไปเจอนายที่แกลเลอรี่พรุ่งนี้”

 

“คุณไม่ต้องมา… หากคุณจะไปที่นั่นเพื่อกวนผมทําไมคุณไม่ รอผลอยู่ที่นี่ล่ะ?”

 

“ฉันฉันจะไม่… ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไป”

แม้ว่าเธอจะมีผิวที่หนา แต่เธอก็อดนึกไม่ได้ว่าวันนี้เธอทําอะไร ลงไปบ้าง นั่นเป็นสาเหตุที่ทําให้เธอจากไปด้วยหน้าที่เปลี่ยนเป็นสี

แดง

 

แฮจินและบยองกุกกลับไปที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ด้วยรถ คันเดิมที่พวกเขาใช่ก่อนหน้านี้ เมื่อถึงแล้วแฮจินก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ทันที

 

“บยองกุกผมว่าเราค่อยไปอินซาดงกันที่หลังเถอะ ตอนนี้ ผมขอพักก่อน”

 

“ทําไมเธอถึงอ่อนแอตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้? เธอแน่ใจนะว่าจะ ไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล?”

 

อันที่จริงอาการของแฮจินดีขึ้นมากกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่เขาก็ไม่สามารถบอกกับบยองกุกได้ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเพิก เฉยมัน

 

“กินเนื้อเป็นอาการเย็นกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”

“เราออกไปกินข้าวกันเถอะ”

 

“ไม่ ตอนนี้ผมแค่อยากจะนอน”

“เยี่ยมมาก เฮ้แต่เธอรู้ได้ยังไงว่าภาพวาดมันเป็นของปลอม?”

 

“ผมเคยไปอิตาลีกับพ่อครั้งหนึ่งและได้เห็นภาพวาดของจริงที่นั่น ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นของปลอม”

 

“ฉันเกือบหัวใจวายตาย เขาแขวนมันไว้ในจุดที่ดีที่สุดดังนั้นเขา ต้องชอบมันมากแน่ๆ และเธอก็ดันไปบอกว่ามันเป็นของปลอม ตอนนั้นฉันถึงกับรู้สึกว่ากําลังจะได้ไปเยือนนรก”

 

แม้ว่าบยองกุกจะมีความกล้ามาก แต่ตอนนี้เขากลับดูโล่งใจ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาต้องตกใจมากจริงๆ

 

“ระหว่างที่ฉันคุยกับลิม ซองจุน ฉันก็รู้ว่าทําไมเขาถึงแขวนมันในจุดที่ดีที่สุด”

 

“จริงเหรอ? มันมีความหมายด้วย?”

 

“เขามองไปที่ชายที่กําลังฝึกสิงโตให้เชื่องโดย คิดว่าตัวเขาเองเป็นเหมือนชายคนนั้นแต่ต่างตรงที่เขากําลังควบคุ มประเทศ เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นราชาของประเทศนี้”

 

“ก็เขาเป็นอันดับหนึ่งของฮวาจิน ดังนั้นเขาจึงมี สิทธิ์คิดแบบนั้น”

 

“จริงสิ ทําไมก่อนหน้านี้คุณถึงบอกว่ามันราคาสามพันล้าน?”

 

บยองกุกหยิบขวดน้ําออกมาจากตู้เย็น เขาดื่มมันและขยิบตา

 

“เธอคิดว่าเขาจะซื้อมันเหรอหากฉันบอกว่ามันราคาสองพันล้าน? แน่นอนว่าเขาจะไม่ซื้อมันอยู่แล้ว”

 

“เขาจะไม่ซื้อมัน?”

 

“ใช่ ฉันรู้ได้ทันทีที่เห็นเขาว่าเขาจะซื้อมันหลังจากนัดเจออย่างน้อยสองสามครั้ง”

 

“โหว… ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าคุณเป็นหมอดูด้วย” 

 

“คิคิเฮ้ ดูเหมือนเธอจะดูถูกฉันเพียงเพราะฉันไปเรียนแค่สอ งสามวัน แต่ฉันถือว่าเป็นคนร้ายที่มีความผิดเฉพาะในเกาหลีเท่า นั้น ในจีนฉันค่อนข้างมีชื่อเสียงเพียงแต่ฉันโชคร้ายและถูกจับก็เท่า นั้น… อืมม… อย่างไรก็ตามฉันว่าเขาคงจะตรวจสอบประวัติของฉัน ไปแล้ว”

 

“ห้ะ? งั้นเขาก็รู้ว่าคุณเป็นโจรปล้นสุสาน!”

 

“แน่นอนว่าเขารู้ เขาคงคิดว่าศิลาดลอาจเป็นวัตถุโบราณที่ถูกขโมยมา”

 

“แต่นั่นคงไม่ได้หยุดเขาจากการซื้อมัน…”

 

เขาสามารถซื้อวัตถุโบราณที่ไม่ได้บันทึกไว้และถูกขุดค้นอย่างผิดกฎหมายได้ในราคาถูก ซองจุนคงไม่ปฏิเสธที่จะซื้อมันเพียงเพราะมันเป็นของดีที่ถูกขโมยมา

 

“ใช่ แต่เขาไม่ต้องการซื้อมันในราคาที่เหมาะสม ส่วนฉันไม่สา มารถพูดได้ว่าฉันจะลดราคาให้นะตรงนั้นได้เหมือนที่พ่อค้าข้าง ถนนทํา และเขาก็ไม่สามารถพูดว่า “ฉันจะซื้อมันที่… วอนได้ ดังนั้นเขาจึงไล่ฉันออกมาและดูแนวโนมว่าสิ่งต่างๆจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ปฏิกิริยาของฉันต่างจากที่เขาคาดไว้ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจ”

 

แฮจินสามารถเขาใจสถานการณ์ก่อนหน้านี้ได้แล้ว

 

“งั้นที่คุณบอกว่ามันราคาสามพันเพราะ…”

 

“ฉันคิดว่าเขาจะเรียกฉันอีกครั้งก็ต่อเมื่อฉันลดราคาลงมากกว่า 50% ดังนั้นที่ฉันเรียกไปสามพันล้าน…. หากฉันรู้ว่าอะไรมันจะ เกิดขึ้นฉันน่าจะบอกเขาไปว่ามันราคาสี่พันล้าน น่าเสียดายจริงๆ”

 

เขามีรายได้สามพันล้านภายในไม่กี่นาทีแล้วยังมาเสียดายที่ไม่ได้ รับเพิ่มอีกหนึ่งพันล้าน… ฉันควรเรียกเขาว่าอะไรดี หน้าด้าน? หรือ พวกฉ้อโกง?

 

“ดังนั้นคุณคิดจะเอาแค่ 1.5พันล้าน?”

 

“ใช้ ฉันเห็นในสายตาของเขาว่าเขารู้ว่าฉันเป็นใครดังนั้นฉันจึ งคิดจะขายมันที่ 1.5พันล้าน แต่หลานชายคนใหม่ของฉันกลับให้ ฉันเพิ่มอีก 1.5!”

 

เมื่อเขามาคิดดูแล้วที่บยองกุกได้เงินเพิ่มขึ้น 1.5พันล้านต้องขอบ คุณแฮจิน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยมันไปได้

 

“คุณพูดถูก ถ้าอย่างนั้นคุณไม่คิดว่าควรให้ส่วนแบ่งกับผม บ้างเหรอ?”

 

“อืม…. แต่เดิมเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นคนอื่นจะพยายาม เก็บทุกอย่างไว้ แต่เธอกับฉันมันกลับกัน ถึงยังไงฉันก็ขายศิลาดลได้ แล้วดังนั้นส่วนแบ่งของเธอเอาเป็นห้าร้อยล้านล่ะเป็นไง?

 

แฮจินชูมือขึ้น

“เย้!”

“ฮ่าฮาฮา! แต่เธอไม่ควรตื่นเต้นแบบนั้น”

 

“ทําไม?”

 

“เธอคิดว่าพวกเขาจะให้เธอสามพันล้านในครั้งเดียว? นั่นเธอคงกําลังฝัน”

 

แฮจินผิดหวังเล็กน้อย แต่เงินห้าร้อยล้านมันก็เป็นเงินก้อนใหญ่ มาก! เขาจะกินสเต็กเป็นมื้อค่ําอย่างแน่นอน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Artifact Reading Inspector 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3)

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ARI ตอนที่ 15 ความตั้งใจของคนฝึกสิงโต (3)

“เอ่อ…”

 

บยองกุกหันกลับมาและสบกับสายตาของแฮจินที่กําลังมองมา เขาบอกเป็นนัยว่ามันขึ้นอยู่กับแฮจิน

 

ท้ายที่สุดซองจุนก็ชี้ให้แฮจินนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม

 

แฮจินไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถหนีได้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับ ลากบยองกุกไปนั่งข้างๆเขาด้วยเป็นการแสดงให้เห็นว่าบยองกุกก็ สมควรได้นั่งเช่นกัน

 

 

“อืมม..”

 

ใบหน้าของซองจุนแข็งกร้าว เขาไม่ชอบพ่อค้างานศิลปะที่นั่งตรงข้ามกับเขา เพราะเขาถือว่าพวกพ่อค้างานศิลปะส่วนใหญ่เป็นพวกที่ซื้อขายสินค้าที่ขโมยมา

 

แต่เขาก็ไม่สามารถบอกให้บยองกุกลุกขึ้นได้ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ จากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขาเดินมานั่งลงข้างๆ

 

“ลูกจะนั่งทําไม? ลุกขึ้น”

 

“หนูก็อยากฟังด้วย แม้ว่าพ่อจะบอกให้หนูซื้อภาพนั้น แต่สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อมันมากับมือก็คือหนู ดังนั้นหนูมีสิทธิ์ฟัง สิ่งที่พ่อกําลังจะพูด”

 

ข้ออ้างของเธอมันจะฟังดูไม่ขึ้น แต่ซองจุนก็ไม่คิดจะเถียงกับลูกสาวของเขาอีก เขาถอนหายใจและพูดต่อ

 

“อืมม.. เธอเก่งเรื่องเซรามิกด้วยรึเปล่า?”

 

แม้ว่าแฮจินจะไม่รู้ว่าซองจุนต้องการอะไรจากเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะอยู่ฟัง เขาไม่ชอบผู้หญิงที่เลิกคิ้วใส่เขาและยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ต้องการที่จะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อนเนื่องจากความเหนี่ อยล้าหลังจากใช้เวทมนตร์

 

โชคดีที่มันปวดน้อยลงมาก เพราะถ้าหากมันยังรุนแรงเหมือนตอนที่เขาอยู่หน่วยงานประเมินราคาชอนจินเขาคงจะถูกโยนออก จากที่นี่

 

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เก่ง ผมมาที่นี่เพราะลุงของผมชวนมาไม่ใช่เพราะผมเป็นนักประเมินที่ยอดเยี่ยม”

 

ซองจุนดูตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งเป็นครั้งแรก เขาต้องการถามให้ แน่ใจก่อนที่จะเข้าเรื่อง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าแฮ จินจะตอบกลับเขาแบบนั้น

 

“เธอมาที่นี่เพื่อช่วยลุงของเธอขายศิลาดล แต่เธอไม่เก่งเรื่องเซรามิก?”

 

“ใช่ครับ ดังนั้นโปรดคิดให้ดีก่อนหากคุณอยากจะจ้างผมอีกอย่างคุณก็ต้องมั่นใจด้วยว่าคุณจะไม่ลากผมให้ไปรับผิดชอบเรื่องกําไรหรือขาดทุนจากการประเมินของผม”

 

ซองจุนไม่เคยได้ยินคนที่พูดตรงไปตรงมาขนาดนี้มาก่อนเขาถึง กับลืมปิดปากเลยด้วยซ้ํา

 

“นายไม่ใช่ผู้ประเมินเพียงคนเดียวในประเทศนี้ พ่อคะเราลืมเขาไปเถอะ เราสามารถหาคนอื่นได้”

 

“เงียบ! ถ้าลูกไม่อยากลุกก็อยู่นิ่งๆ” ซองจุนตะคอกใส่ลูก สาวของเขาจากนั้นเขาก็พูดต่อ “พ่อค้างานศิลปะคนหนึ่งที่ซื้อว่าหยาง โซจินมาเยี่ยมฉันเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอเคยได้ยินชื่อของเธอไหม?”

 

ซองจุนมาถึงจุดที่ตัดการสนทนาที่ไร้ประโยชน์ออกไปเมื่อเขารู้ว่ากับแฮจินแล้วไม่จําเป็นต้องมีพิธีการ

 

แฮจินไม่เคยได้ยินชื่ออยาง โซจินมาก่อนดังนั้นเขาจึงมองไป ทาง

บยองกุก

 

เขาอธิบาย “เธอเป็นผู้อํานวยการของฮานึลแกลเลอรี่และยัง เป็นตัวแทนจําหน่ายศิลปะที่ดีที่สุดในเกาหลีอีกด้วย เธอทํางานเกี่ยวกับวัตถุโบราณทุกประเภททั้งตะวันออกและตะวันตก” 

 

“ใช่ เธอโชว์บางอย่างให้ฉันดูและเสนอข้อตกลงที่ยากลําบากให้”

 

ซองจุนลุกขึ้นและเดินไปที่ไหนสักแห่งก่อนจะกลับมาพร้อม กับนารูปถ่ายมาวางไว้บนโต๊ะ

ก่อนที่แฮจินจะเห็นมันในความคิดของเขามีแค่อยาก จะกลับบ้าน…

 

อย่างไรก็ตามในขณที่เขาเห็นศิลาดลในภาพถ่าย เขาก็เริ่มเอนตัวไปข้างหน้า

“มันคือศิลาดลสีเทาอมฟ้า”

 

แม้มันจะเป็นเพียงคําพูดสั้นๆ แต่ซองจุนก็จับคําพูดนั้นและ พยักหน้า

 

“เป็นไง? มันสวยใช่ไหม?”

 

ของในภาพถ่ายคือศิลาดลสีเทาอมฟ้า แฮจินไม่สามารถวัดขนาดของมันได้เนื่องจากมันเป็นภาพถ่าย แต่เส้นที่เริ่มต้นจากกว้าง และค่อยๆสั้นลงเมื่อไปถึงด้านล่างนั้นดูน่าประทับใจ

 

นอกจากนี้มันก็ยังมีรูปแบบเกลียวหนาที่วิ่งลงมาจากบนลงล่าง ที่เด่นชัด โดยรวมแล้วมันค่อนข้างดูดี

 

“ครับ มันสวยจริงๆ”

 

“แต่ปัญหาคือเจ้าของที่เป็นคนญี่ปุ่นอยากจะเอามันมาแลกกับของบางอย่างที่ฉันเป็นเจ้าของ ดังนั้นมันจึงทําให้ฉันปวดหัว”

 

“เขาไม่ได้จะขายมัน?”

 

“เขาไม่คิดจะขายมันไม่ว่าฉันจะเสนอราคาไปมากเท่าไหร่ก็ตาม และเขาก็ยืนกรานที่จะแลกกับของในแกลเลอรี่ของฉันเท่านั้น” 

 

“แกลเลอรีของคุณ…”

 

“แซยอนแกลเลอรี่ ฉันเป็นเจ้าของที่นั้น”

 

แฮจินรู้สึกว่ามันบังเอิญมากที่เขาจะได้พบกับอนแฮอีกครั้ง

 

“งั้นแปลว่าคุณต้องการให้ผมประเมินสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นต้องการแลก”

 

“ใช่ ฉันเคยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินมันแล้วแต่พวกเขาเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระ ดังนั้นฉันจึงต้องการให้เธอไปที่ นั่นและประเมินมันด้วยตัวเธอเอง”

 

“แม้ว่าผมจะไปประเมินด้วยตัวเอง แต่ผมก็อาจจะบอกกับคุณคล้ายกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นพูด”

 

“มันเกิดขึ้นได้”

 

“และที่ผมต่างจากพวกเขาคือค่าธรรมเนียมของผมนั้นสูงมาก”

 

“ฉันรู้”

 

งั้นคุณมีเหตุผลอะไรไหมที่เลือกผมรึเปล่า? หรือเป็นเพราะ ผมพบว่าภาพวาดชิ้นนั้นเป็นของปลอม?”

 

ลูกสาวของซองจุนเห็นด้วยกับแฮจิน เธอพยักหน้าและมองไปที่พ่อของเธอ

 

“ฉันเคยเห็นคนจํานวนมากที่พยายามทําให้ตัวเองดูมีค่าอย่างไรก็ตามเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่ต่อหน้าฉันพวกเขากลับขี้ขลาด พวก เขาไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะต้องการเป็นที่ชื่นชอบ แต่เธอ นั้นต่างออกไป มันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าของเงินหลายสิบล้าน ต่อหน้าฉัน ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าเธอแค่บ้าหรือมั่นใจ”

 

“ผมบอกไปแล้วว่าผมไม่มั่นใจเรื่องเซรามิก”

 

“แปลว่าเธอจะปฏิเสธงานนี้?”

 

แน่นอนว่าไม่ ศิลาดลสีเทาอมฟ้าในรูปมีมูลค่าอย่างน้อยห้าพันล้าน

 

“ไม่ครับ ผมจะรับงานนี้”

 

“เห็นไหม? หากเธอไม่มั่นใจจริงๆเธอคงไม่รับมัน”

 

ซองจุนยิ้มราวกับรู้ทัน แต่ลูกสาวของเขาคัดค้าน

 

“เขาอาจจะบ้าจริงๆ ไม่สิ เขาอาจจะมั่นใจมากเกินไปหรือไม่ก็ ต้องการเงินจริงๆ”

 

เธอไม่สามารถพูดว่าแฮจินบ้าได้อย่างเต็มปากเพราะเขาเพิ่งเปิดเผยว่าภาพวาดเป็นของปลอม

 

“ถ้าเขาบ้าจริงนั้นก็นับว่าเป็นความสามารถเช่นกัน”

 

ซองจุนไม่แม้แต่กระพริบตาเมื่อลูกสาวของเขาบ่น เขามองไปที่ แฮจิน

 

“อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ค่าธรรมเนียมของผมคือ 1% ของ สิ่งที่ประเมิน แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของปลอมแต่ผมก็จะคิด 1% ของ สิ่งที่ประเมินตามเดิม คุณต้องการให้ผมประเมินของชิ้นไหน เซรา มิกที่อยู่ในภาพถ่ายหรือของที่อยู่ในแกลเลอรี่ของคุณ?”

 

“ทั้งคู่ ฉันต้องการรู้ว่าชิ้นไหนมันมีค่ามากกว่ากัน แต่ทําไมเธอถึง ไม่แสดงความใจกว้างบ้างล่ะ? ฉันอุตส่าห์จ้างเธอในราคาสูง ดังนั้น เอาเป็น 1 แถม 1 เป็นไง?”

ซองจุนยอมรับค่าธรรมเนียม 1% ของเขาอย่างใจเย็น ดังนั้น หากแฮจินบอกว่าไม่ได้มันคงจะเย็นชาไปหน่อย

 

“เอาล่ะ งั้นผมขอ 1% ของราคาชิ้นที่แพงที่สุดจากทั้งสองชิ้น คุณเห็นด้วยไหม?”

 

“หืมม… ไม่เป็นไรนั้นดีพอแล้ว”

 

มินซองที่ยืนดูอยู่รีบขัดจังหวะ

 

“แต่ท่านครับ ค่าธรรมเนียมมันอาจเกินกว่าร้อยล้าน”

 

“ไม่เป็นไร ตอนที่หยาง โซจินให้รูปนี้กับฉันมันดูเหมือนว่าเธอจะ ไม่ได้มีแค่รูปเดียว เธอคงต้องการบางอย่างเพิ่มจากแซยอน จะเป็นอย่างไรหากฉันกลายเป็นคนเดียวที่ถูกหลอก”

 

“งั้นแปลว่าเธออาจมีสิ่งที่อยากได้จากแกลเลอรี่อื่น”

 

“ยังไงเธอก็ต้องไปที่แซยอนแกลเลอรี่ให้เร็วที่สุด และก็อย่างที่ ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ค่าธรรมเนียมสําหรับการประเมินที่เธอเพิ่งประ เมินไปจะเข้าบัญชีของเธอภายในวันนี้”

 

“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมก็เดาว่าเราคงจะได้พบกันอีกครั้งหลัง จากที่ผมทํางานที่ได้รับมอบเสร็จแล้ว”

 

“ขอให้เป็นช่วงเวลาที่ดีนะครับ”

 

บยองกุกกําลังจะออกไปเมื่อซองจุนกล่าวเสริม

 

“โอ้ สําหรับเธอผู้อํานายการลี มินซองจะเป็นคนจัดการเรื่องเงิน

 

ซองจุนลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องศึกษาของเขาราวกับเขาไม่มีอะไรจะพูดอีก อย่างไรก็ตามลูกสาวของเขากลับยืน ขึ้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“ฉันจะไปเจอนายที่แกลเลอรี่พรุ่งนี้”

 

“คุณไม่ต้องมา… หากคุณจะไปที่นั่นเพื่อกวนผมทําไมคุณไม่ รอผลอยู่ที่นี่ล่ะ?”

 

“ฉันฉันจะไม่… ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไป”

แม้ว่าเธอจะมีผิวที่หนา แต่เธอก็อดนึกไม่ได้ว่าวันนี้เธอทําอะไร ลงไปบ้าง นั่นเป็นสาเหตุที่ทําให้เธอจากไปด้วยหน้าที่เปลี่ยนเป็นสี

แดง

 

แฮจินและบยองกุกกลับไปที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ด้วยรถ คันเดิมที่พวกเขาใช่ก่อนหน้านี้ เมื่อถึงแล้วแฮจินก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ทันที

 

“บยองกุกผมว่าเราค่อยไปอินซาดงกันที่หลังเถอะ ตอนนี้ ผมขอพักก่อน”

 

“ทําไมเธอถึงอ่อนแอตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้? เธอแน่ใจนะว่าจะ ไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล?”

 

อันที่จริงอาการของแฮจินดีขึ้นมากกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่เขาก็ไม่สามารถบอกกับบยองกุกได้ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเพิก เฉยมัน

 

“กินเนื้อเป็นอาการเย็นกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”

“เราออกไปกินข้าวกันเถอะ”

 

“ไม่ ตอนนี้ผมแค่อยากจะนอน”

“เยี่ยมมาก เฮ้แต่เธอรู้ได้ยังไงว่าภาพวาดมันเป็นของปลอม?”

 

“ผมเคยไปอิตาลีกับพ่อครั้งหนึ่งและได้เห็นภาพวาดของจริงที่นั่น ดังนั้นผมจึงมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นของปลอม”

 

“ฉันเกือบหัวใจวายตาย เขาแขวนมันไว้ในจุดที่ดีที่สุดดังนั้นเขา ต้องชอบมันมากแน่ๆ และเธอก็ดันไปบอกว่ามันเป็นของปลอม ตอนนั้นฉันถึงกับรู้สึกว่ากําลังจะได้ไปเยือนนรก”

 

แม้ว่าบยองกุกจะมีความกล้ามาก แต่ตอนนี้เขากลับดูโล่งใจ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาต้องตกใจมากจริงๆ

 

“ระหว่างที่ฉันคุยกับลิม ซองจุน ฉันก็รู้ว่าทําไมเขาถึงแขวนมันในจุดที่ดีที่สุด”

 

“จริงเหรอ? มันมีความหมายด้วย?”

 

“เขามองไปที่ชายที่กําลังฝึกสิงโตให้เชื่องโดย คิดว่าตัวเขาเองเป็นเหมือนชายคนนั้นแต่ต่างตรงที่เขากําลังควบคุ มประเทศ เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นราชาของประเทศนี้”

 

“ก็เขาเป็นอันดับหนึ่งของฮวาจิน ดังนั้นเขาจึงมี สิทธิ์คิดแบบนั้น”

 

“จริงสิ ทําไมก่อนหน้านี้คุณถึงบอกว่ามันราคาสามพันล้าน?”

 

บยองกุกหยิบขวดน้ําออกมาจากตู้เย็น เขาดื่มมันและขยิบตา

 

“เธอคิดว่าเขาจะซื้อมันเหรอหากฉันบอกว่ามันราคาสองพันล้าน? แน่นอนว่าเขาจะไม่ซื้อมันอยู่แล้ว”

 

“เขาจะไม่ซื้อมัน?”

 

“ใช่ ฉันรู้ได้ทันทีที่เห็นเขาว่าเขาจะซื้อมันหลังจากนัดเจออย่างน้อยสองสามครั้ง”

 

“โหว… ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าคุณเป็นหมอดูด้วย” 

 

“คิคิเฮ้ ดูเหมือนเธอจะดูถูกฉันเพียงเพราะฉันไปเรียนแค่สอ งสามวัน แต่ฉันถือว่าเป็นคนร้ายที่มีความผิดเฉพาะในเกาหลีเท่า นั้น ในจีนฉันค่อนข้างมีชื่อเสียงเพียงแต่ฉันโชคร้ายและถูกจับก็เท่า นั้น… อืมม… อย่างไรก็ตามฉันว่าเขาคงจะตรวจสอบประวัติของฉัน ไปแล้ว”

 

“ห้ะ? งั้นเขาก็รู้ว่าคุณเป็นโจรปล้นสุสาน!”

 

“แน่นอนว่าเขารู้ เขาคงคิดว่าศิลาดลอาจเป็นวัตถุโบราณที่ถูกขโมยมา”

 

“แต่นั่นคงไม่ได้หยุดเขาจากการซื้อมัน…”

 

เขาสามารถซื้อวัตถุโบราณที่ไม่ได้บันทึกไว้และถูกขุดค้นอย่างผิดกฎหมายได้ในราคาถูก ซองจุนคงไม่ปฏิเสธที่จะซื้อมันเพียงเพราะมันเป็นของดีที่ถูกขโมยมา

 

“ใช่ แต่เขาไม่ต้องการซื้อมันในราคาที่เหมาะสม ส่วนฉันไม่สา มารถพูดได้ว่าฉันจะลดราคาให้นะตรงนั้นได้เหมือนที่พ่อค้าข้าง ถนนทํา และเขาก็ไม่สามารถพูดว่า “ฉันจะซื้อมันที่… วอนได้ ดังนั้นเขาจึงไล่ฉันออกมาและดูแนวโนมว่าสิ่งต่างๆจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ปฏิกิริยาของฉันต่างจากที่เขาคาดไว้ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจ”

 

แฮจินสามารถเขาใจสถานการณ์ก่อนหน้านี้ได้แล้ว

 

“งั้นที่คุณบอกว่ามันราคาสามพันเพราะ…”

 

“ฉันคิดว่าเขาจะเรียกฉันอีกครั้งก็ต่อเมื่อฉันลดราคาลงมากกว่า 50% ดังนั้นที่ฉันเรียกไปสามพันล้าน…. หากฉันรู้ว่าอะไรมันจะ เกิดขึ้นฉันน่าจะบอกเขาไปว่ามันราคาสี่พันล้าน น่าเสียดายจริงๆ”

 

เขามีรายได้สามพันล้านภายในไม่กี่นาทีแล้วยังมาเสียดายที่ไม่ได้ รับเพิ่มอีกหนึ่งพันล้าน… ฉันควรเรียกเขาว่าอะไรดี หน้าด้าน? หรือ พวกฉ้อโกง?

 

“ดังนั้นคุณคิดจะเอาแค่ 1.5พันล้าน?”

 

“ใช้ ฉันเห็นในสายตาของเขาว่าเขารู้ว่าฉันเป็นใครดังนั้นฉันจึ งคิดจะขายมันที่ 1.5พันล้าน แต่หลานชายคนใหม่ของฉันกลับให้ ฉันเพิ่มอีก 1.5!”

 

เมื่อเขามาคิดดูแล้วที่บยองกุกได้เงินเพิ่มขึ้น 1.5พันล้านต้องขอบ คุณแฮจิน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยมันไปได้

 

“คุณพูดถูก ถ้าอย่างนั้นคุณไม่คิดว่าควรให้ส่วนแบ่งกับผม บ้างเหรอ?”

 

“อืม…. แต่เดิมเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นคนอื่นจะพยายาม เก็บทุกอย่างไว้ แต่เธอกับฉันมันกลับกัน ถึงยังไงฉันก็ขายศิลาดลได้ แล้วดังนั้นส่วนแบ่งของเธอเอาเป็นห้าร้อยล้านล่ะเป็นไง?

 

แฮจินชูมือขึ้น

“เย้!”

“ฮ่าฮาฮา! แต่เธอไม่ควรตื่นเต้นแบบนั้น”

 

“ทําไม?”

 

“เธอคิดว่าพวกเขาจะให้เธอสามพันล้านในครั้งเดียว? นั่นเธอคงกําลังฝัน”

 

แฮจินผิดหวังเล็กน้อย แต่เงินห้าร้อยล้านมันก็เป็นเงินก้อนใหญ่ มาก! เขาจะกินสเต็กเป็นมื้อค่ําอย่างแน่นอน

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+