Artifact Reading Inspector 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ 

 

“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี??

 

สิ่งที่แฮจินเห็นจากการใช้เวทมนตร์คือแม่ทัพคนหนึ่งที่กําลังเขียนบางอย่างขณะดื่มชาระหว่างการต่อสู้ที่ดูสิ้นหวัง

 

เขาเขียนโดยใช้ภาษาจีนแต่แฮจินก็สามารถอ่านมันได้ และดูเหมือนว่ากําลังเขียนบางสิ่งที่สําคัญ

 

ฉันยังมีเรือเหลืออีกสิบสองลํา หากฉันสู้ตาย ฉันจะสามารถหยุดพวกมันได้

 

ชาวเกาหลีทุกคนรู้เรื่องนี้

 

(ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นกําลังบุกเกาหลีเพื่อพิชิตจีนต่อไป บรรทัดบนเป็นส่วนหนึ่งของจดหมายที่นายพลอี ซุนชินเขียนถึงกษัตริย์ของเขา อี ซุนซินเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ชนะการรบ 23 ครั้งจากทั้งหมด 23 ครั้งในการรบกับญี่ปุ่น หลังหกปีของสงครามกองทัพเรือเกาหลี(ตอนนั้นเป็นโชซอน)เหลือเรือเพียง 13ลํา ส่วนทางด้านกองทัพญี่ปุ่นยังมีเรือรบมากถึง 133ลํา แต่อี ซุนชินคิดว่าเขายังสามารถชนะได้ เขาจึงเขียนจดหมายถึงกษัตริย์เพื่อเกลี้ยกล่อมเขา สุดท้ายมันก็จบลงที่เขาชนะในขณะที่เขาทําลายเรื่อญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไปได้ เขาถูกขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาหลี)

 

น่าประหลาดใจที่ถ้วยชานี้เคยเป็นของแม่ทัพอี ซุนชิน

 

เวทมนตร์สิ้นสุดลงหลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและการเสียชีวิตของแม่ทัพ

 

(อี ซุนชินโจมตีชาวญี่ปุ่นเมื่อพวกเขากําลังล่าถอยเพราะเขา ไม่สามารถปล่อยพวกเขาไปอย่างสงบได้หลังจาก 7ปีแห่งการรุกราน เขาถูกยิงระหว่างสู้รบและเสียชีวิตลง คําพูดสุดท้ายของเขาคือ “อย่าประกาศการตายของฉัน” เพื่อไม่ให้ทหารเสียกําลังใจ)

 

มานาของแฮจินไม่เพียงพอที่จะดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันก็เพียงพอแล้วที่จะมั่นใจได้ว่าถ้วยชานี้เป็นของ อี ซุนชิน

 

ปัญหาคือเขาไม่มีทางพิสูจน์ได้ หากมีบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชา เขาคงโกหกและใช้บันทึกเป็นหลักฐานได้ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถนึกสิ่งที่จะพูดออกมาได้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจปล่อยให้มรดกล้ําค่านี้กลับไปญี่ปุ่นได้เช่นกัน

 

“อืมม… ผมให้ได้แค่คําแนะนําคุณในฐานะนักประเมิน เจ้าของถ้วยชาอย่างคุณควรตัดสินใจเอง อย่างไรก็ตามโดย ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคุณไม่ควรขายมัน”

“แต่ทําไมล่ะ?”

 

“ผม… มันยากที่จะอธิบาย”

 

แฮจินยิ้ม เขาไม่สามารถทําอย่างนั้น เขาไม่สามารถทําอย่างงี้…ฮโยยอนโกรธและเริ่มตะโกน

 

“งั้นก็บอกเหตุผลหน่อยสิ! ฉันหมดความอดทนแล้วนะ!”

 

จู่ๆแฮจินก็สงสัยขึ้นมา คนญี่ปุ่นรู้เรื่องของถ้วยชาได้ยังไง? เว้นแต่พวกเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้เช่นเดียวกับเขา หรือไม่พวกเขาก็ต้องมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“คุณจําเป็นต้องตัดสินใจตอนนี้เลยไหม?”

 

อึนแฮดูเหมือนจะตระหนักว่ามีบางอย่างที่ซับซ้อน

 

“ไม่ ฉันยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ เมื่อพูดถึงวัตถุโบราณที่มีราคาแพงมาก การตัดสินใจทันทีหลังจากการประเมินจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างหายาก”

 

“งั้นผมขอเวลาหน่อย”

 

“นานแค่ไหน?”

 

“สามวันก็เพียงพอแล้ว และสําหรับแม่หญิงช่างพูด ไปบอกพ่อของคุณว่าผมจะรายงานผลในสามวัน บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเพราะผมจะไม่ขอค่าธรรมเนียมถ้าผมล้มเหลว”

 

“นายเอาแต่เรียกฉันว่าแม่หญิงช่างพูด แต่ความจริงแล้วฉันเป็นคนเงียบๆ และเราก็ไม่สนใจเรื่องค่าธรรมเนียมนั่นด้วย…”

 

แฮจินยืนขึ้นเพราะเขาไม่สามารถทนฟังเสียงของเธอได้อีก

 

“จริงสิผมต้องขอให้คุณช่วยผมด้วย โปรดตรวจสอบให้ผมหน่อยว่าคนญี่ปุ่นที่ต้องการถ้วยชาและผู้ดูแลสาวของโซจินคือใคร คุณทําได้ใช่ไหม?”

 

อึนแฮลังเลและมองไปที่ฮโยยอนที่กําลังยักไหล่และจ้องกลับมา

 

“อะไรนะ? คุณกําลังถามฉัน?”

 

“ผมไม่ได้ถามคุณ แต่เป็นเธอ อย่าลืมมาบอกผมด้วยล่ะ ผม จะมาเจอคุณสามวันหลังจากนี้ อย่าบอกนะว่าคุณทําไม่ได้?”

“หึ… นายเมินฉัน…”

 

แฮจินตัดบทเธออีกครั้ง

 

“ผมถามเพราะผมรู้ว่าฮวาจินทําอะไรได้บ้าง ส่งข้อความหาผมทันทีที่คุณพบ แล้วผมจะมาเจอคุณในอีกสามวัน คุณบยองกุกเราไปกันเถอะ”

 

“ฮะ? โอ้ โอเค ไปกันเถอะ”

 

เมื่อพวกเขาออกมา แฮจินก็โค้งคับนับโซจินที่รออยู่ด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็ออกจากแกลเลอรี่และกลับไปยังบ้านของแฮจิน น่าแปลกใจที่แฮจินได้รับข้อความเรื่องที่เขาต้องการก่อนที่เขาจะถึงบ้านเสียด้วยซ้ํา

 

“มิซโน โทรุ อายุ 56ปี ประธานบริษัทไมซารุอิเล็กทรอนิคส์”

 

“เจ้าของศิลาดล?”

 

บยองกุกตามเขามาโดยที่ไม่ได้เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม ซูจองกําลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันและเนื่องจากสนามบินอยู่ใกล้ๆ เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะจากไป

 

“ใช่ ผมคิดว่าผมคงต้องไปญี่ปุ่น”

 

“อะไรนะ? เธอคิดจะไปจริงๆ? แล้วเธอจะไปทําอะไรที่นั่น?”

 

“ผมจะไปพบพวกเขา”

 

แม้ว่าแฮจินจะขอเวลาสามวัน เขาก็ไม่มีแผนอยู่ในหัวเลย หากเขาคิดไม่ออกว่าจะทํายังไง เขาก็จะไปพบชาวญี่ปุ่นคนนั้นและใช้เวทมนตร์เพื่อทําให้พวกเขาบอกความจริง 

 

หากเขารู้ว่าชาวญี่ปุ่นรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้อย่างไร สิ่งต่างๆก็จะง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้จากความทรงจําของถ้วยชา มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลําบาก แต่…

 

“ชายคนนั้นยากที่จะพบ”

 

บยองกุกให้ความช่วยเหลือที่ไม่คาดคิด

 

“คุณรู้จักเขา?”

 

“ใช่ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียง ปู่ของเขาเป็นมือขวาของเทราอุจิ มาซาทาเกะผู้สําเร็จราชการญี่ปุ่นคนแรกที่ปกครองเกาหลี ในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น เธอเคยได้ยินชื่อของเขาไหม?”

 

“โอ้ ผมรู้จักเขา เขาทําธุรกิจโดยการขุดสุสานของเกาหลีและนําเอาวัตถุโบราณจํานวนมหาศาลออกไป”

 

ฝั่งญี่ปุ่นสนใจสะสมโบราณวัตถุมากกว่าเกาหลี แน่นอนว่าพวกเขามักปล้นสุสานเพื่อจุดประสงค์นั้น ดังนั้นในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นเมื่อญี่ปุ่นตกเป็นอาณานิคมของเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาจึงไม่ได้ปล่อยสุสานที่มีมากมายเอาไว้เฉยๆ

 

ในบรรดาหลายๆคนที่ขโมยวัตถุโบราณของเกาหลี เทราอุจิ มาซาทาเกะเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุด

 

เขาได้รับและเก็บวัตถุโบราณของเกาหลีไปประมาณหมื่นชิ้น เขาบริจาคพวกมันให้โรงเรียนเก่าของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นคนดีในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม สําหรับชาวเกาหลีแล้ว เขาสมควรถูกโยนทิ้งและปล่อยให้เน่าตาย 

 

“ฉันเดาว่าเธอคงได้ยินเรื่องของเขาจากพ่อของเธอ ซึ่งเขาเกลียดคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามมิซโน โทรุก็ยังได้รับมรดกเป็นวัตถุโบราณจํานวนมากจากปู่ของเขาและปัจจุบันเขาก็เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่อีกด้วย”

 

“ทําไมคุณถึงรู้จักเขาดีขนาดนี้”

 

บยองกุกยิ้มอย่างขมขื่น

 

“เฮ้อ… เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าของฉัน เขารับซื้อวัตถุโบราณล้ําค่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของเกาหลี ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่ไทยเขาก็ซื้อ เขาให้ราคาดี ดังนั้นโจรปล้นสุสานหลายคนที่เป็นแบบฉันจะไม่สามารถอยู่รอดได้เลยหากไม่รู้จักเขา”

 

“ผมหวังว่าคุณคงไม่ขายวัตถุโบราณของเกาหลีหรอกใช่ไหม?”

 

แฮจินแหย่เขาอย่างสนุกสนาน บยองกุกดีดตัวขึ้น

 

“ฉันไม่ทําแบบนั้น! หากฉันทํา พ่อของเธอก็จะไม่มาทํางานกับฉัน!”

 

“ฮ่าฮา ผมแค่ล้อเล่น แต่คุณบอกว่าการจะพบเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย?”

 

“ใช่ ฉันเคยขายของให้เขามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ฉันไม่เคยพบเขาเลย มันจะมีคนมาติดต่อกับฉันและซื้อของแทนเสมอ”

“อืมม… นั่นคือปัญหา”

 

“แต่ช่วยบอกฉันทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันอยากรู้จะแย่แล้ว เพราะเจ้าเครื่องลายครามดอกฟ้าสีขาวมันดูไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น ทําไมเธอถึงไม่เห็นด้วยกับการแลกเปลี่ยนล่ะ?”

 

แฮจินไม่รู้จะพูดอะไร ทันใดนั้นเองเขาก็ได้รับข้อความอีกครั้ง

“มันมาจากฮวาจิน ผู้ดูแลหญิงคนนั้นชื่อคิตากาวะ โมโมโกะ ไม่ทราบอายุของเธอ แต่เธอไม่ได้ทํางานที่แกลเลอรี่ของหยาง โซจินแน่นอน ผมคิดว่าเธอทํางานให้กับมิซโน โทรุ” 

 

“การค้นหาเธอใช้เวลานานกว่าของมิซโน โทรุ ฉันเดาว่าเธอคงไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่นัก”

 

“คุณบยองกุก พรุ่งนี้คุณจะกลับไปฮันบิทแกลเลอรี่กับผมไหม? ผมไม่สามารถบอกคุณได้ในวันนี้ว่าทําไมผมจึงหยุดการแลกเปลี่ยนเอาไว้ก่อน ผมจะบอกคุณพรุ่งนี้หลังจากที่ตรวจสอบบางอย่างแล้ว”

 

บยองกุกหยิบเสื้อแจ็คเก็ตของเขาแล้วลุกขึ้นยืน

 

“ตกลง ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันควรกลับโรงแรมและพัก พรุ่งนี้เช้าใช่ไหม?”

“ใช่ครับ ผมจะไปพบคุณที่หน้าฮันบิทแกลเลอรี่ตอนประมาณ 10โมง”

 

แม้ว่าผลที่ตามมาจะน้อยลง แต่แฮจินก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี หลังจากบยองกุกกลับไปแล้วเขาก็ไปหาอะไรกินและเข้านอนทันที

 

วันต่อมา เขาพบบยองกุกที่หน้าแกลเลอรี่ เขายิ้มให้แฮจินเมื่อทักทาย ดูเหมือนจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น

 

“ซูจองอยู่บนเครื่องแล้ว อา…”

 

“ใกล้ถึงแล้ว? ผมคิดว่าเธอน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันซะอีก”

 

“ฉันบอกเธอว่าฉันกําลังทํางานกับเธอ ดังนั้นเธอจึงบอกว่าเธอจะมาถึงให้เร็วขึ้น เธออุส่ารีบมาเพื่อเธอเลยนะ ดังนั้นเรามารีบจบงานนี้ให้เร็วที่สุดกันเถอะ”

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่าแต่เธอจะไปปูซานกับคุณไหม?”

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะเธอไม่ได้มีธุระที่ปูซาน ยังไงเราก็เข้าไปกันเถอะ”

 

บยองกุกยังคงยิ้มเพราะเขากําลังจะได้เห็นหน้าลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้วพวกเขาก็ขอให้พนักงานแจ้งผู้อํานวยการ

 

ไม่นานโซจินก็เดินเข้ามาในห้องจัดแสดง เช่นเดียวกับเมื่อวานโมโมโกะก็อยู่กับเธอด้วย

 

“ฉันคิดว่าเมื่อวานคุณประเมินมันเสร็จไปแล้ว”

 

“ยังครับ ผมกลับมาเพราะต้องการตรวจสอบศิลาดลอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นงานของรองประธานกรรมการ ผมจึงไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ”

 

มันสมเหตุสมผล โซจินพยักหน้าและพาพวกเขาไปที่ศิลาดล ระหว่างทางแฮจินบอกว่าเขาหิวน้ําเขาจึงหยิบแก้วน้ํามาด้วย เมื่อมาถึงก็จะพบศิลาดลที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนเช่นเดียวกับเมื่อวาน

 

“ต้องใช้เวลาแค่ไหน?”

 

แฮจินกําลังคิดหาวิธีกําจัดโซจิน แต่เธอก็ออกอาการว่าเธอกําลังรีบ บางทีเธออาจจะยุ่งเพราะงานนิทรรศการที่กําลังใกล้เข้ามา

 

“ค่อนข้างนานเลยครับ ทําไมคุณไม่ไปทําธุระของคุณแล้วค่อยกลับมาทีหลัง? ส่วนตรงนี้ก็ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ดูผม”

 

แฮจินชี้ไปที่โมโมโกะ โซจินพยักหน้าและพูดกับเธอด้วยภาษาญี่ปุ่น ดูเหมือนเธอจะขอให้โมโมโกะอยู่ที่นี่และคอยจับตาดูแฮจิน

 

โซจินเหลือบมองกล้องรักษาความปลอดภัยระหว่างที่เธอ กําลังเดินออกไปราวกับจะบอกให้แฮจินอย่าพยายามทําอะไรโง่ๆ

 

“ว่าแต่ทําไมเธอถึงต้องมาตรวจสอบมันอีกครั้ง?”

 

บยองกุกกระซิบหลังจากที่โซจินออกไปแล้ว

 

“คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ใช่ไหม? ช่วยแปลให้ผมหน่อย”

 

“แปลเหรอ? ได้สิ”

 

จากนั้นแฮจินก็แสร้งทําเป็นตรวจดูศิลาดลและแอบใช้เวทมนตร์ มานาไหลออกมาจากอกของเขาไม่นานผลที่ตามมาของมันก็เกิดขึ้นซึ่งตอนนี้เขาสามารถทนได้

 

“ถามเธอว่าเธอพบตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้ยังไง”

 

หน้าของบยองกุกราวกับถามว่า ทําไม?” ไม่ใช่ว่าเธอจะให้คําตอบกับพวกเขาและเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า “ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชา” หมายถึงอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นแฮจินยืนกราน เขาจึงมองไปที่โมโมโกะและถามเป็นภาษาญี่ปุ่น

 

“คุณรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาในแซยอนแกลเลอรี่ได้ยังไง?”

 

โมโมโกะสะดุ้ง จากนั้นเธอก็โบกมือและพูดอะไรบางอย่าง เธออาจจะพยายามบอกว่าเธอไม่รู้ว่าเขากําลังพูดถึงอะไร แต่คราวนี้เป็นบยองกุกที่ต้องสะดุ้งแทน

 

“อะไรนะ? เธอบอกว่ามันถูกเขียนอยู่บนสมบัติของตระกูลเทราอุจิ! นั้นมันเป็นความลับไม่ใช่เหรอ? ทําไมเธอถึงบอกพวกเรา?”

 

โมโมโกะสารภาพความจริง หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงและไม่รู้ว่าจะต้องทํายังไง ส่วนบยองกุกก็ประหลาดใจพอๆกับเธอ เขาชี้ไปที่โมโมโกะก่อนจะมองไปที่แฮจินราวกับจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

“งั้นช่วยถามเธอต่อที่ว่ามันมีอะไรเขียนเกี่ยวกับถ้วยชาบ้าง

“ห๊า? อา… โอเค อืมม… ได้เลย”

 

โมโมโกะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ดูเหมือนเธอจะคิดหาวิธีอธิบายเรื่องนี้เมื่อบยองกุกถามคําถามอื่น แต่เธอก็ตะกุกตะกักและบอกความจริงอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็ตื่นตระหนกและทรุดลง

 

“ฮะ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทําไมเธอถึงสารภาพทุกอย่าง?”

 

“เธอพูดอะไร?”

 

“เธอบอกว่าชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งขโมยมันมาจากลูกหลานของ อี ซุนชินเมื่อประมาณศตวรรษที่แล้ว แต่มันได้สูญหายไปในปี 1985. หลังจากนั้นตระกูลเทราอุจิก็ได้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เพื่อจะได้หามันพบ! อะไรนะ? ถ้วยชานั่นเป็นของแม่ทัพอี ซุนชิน?” บยองกุกตะโกน

 

เสียงตะโกนของเขาทําให้โมโมโกะรู้สึกตัว เธอรีบลุกและวิ่งหนีไปทันที

 

“ไปกันเถอะ ไว้เดียวผมจะมาอธิบายที่หลัง”

 

“อะ โอเค แต่ทําไมเธอถึงพูดแล้วตกใจเอง? มันควรเป็นฉันมากกว่าไม่ใช่เหรอที่ต้องตกใจ?”

 

“ออกไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน เร็วเข้า”

 

แฮจินพาบยองกุกที่กําลังมึนงงออกจากแกลเลอรี่อย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับเขาเพิ่งขโมยวัตถุโบราณ จากนิทรรศการ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Artifact Reading Inspector 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้

Now you are reading Artifact Reading Inspector Chapter 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 18 มรดกที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ 

 

“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี??

 

สิ่งที่แฮจินเห็นจากการใช้เวทมนตร์คือแม่ทัพคนหนึ่งที่กําลังเขียนบางอย่างขณะดื่มชาระหว่างการต่อสู้ที่ดูสิ้นหวัง

 

เขาเขียนโดยใช้ภาษาจีนแต่แฮจินก็สามารถอ่านมันได้ และดูเหมือนว่ากําลังเขียนบางสิ่งที่สําคัญ

 

ฉันยังมีเรือเหลืออีกสิบสองลํา หากฉันสู้ตาย ฉันจะสามารถหยุดพวกมันได้

 

ชาวเกาหลีทุกคนรู้เรื่องนี้

 

(ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นกําลังบุกเกาหลีเพื่อพิชิตจีนต่อไป บรรทัดบนเป็นส่วนหนึ่งของจดหมายที่นายพลอี ซุนชินเขียนถึงกษัตริย์ของเขา อี ซุนซินเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ชนะการรบ 23 ครั้งจากทั้งหมด 23 ครั้งในการรบกับญี่ปุ่น หลังหกปีของสงครามกองทัพเรือเกาหลี(ตอนนั้นเป็นโชซอน)เหลือเรือเพียง 13ลํา ส่วนทางด้านกองทัพญี่ปุ่นยังมีเรือรบมากถึง 133ลํา แต่อี ซุนชินคิดว่าเขายังสามารถชนะได้ เขาจึงเขียนจดหมายถึงกษัตริย์เพื่อเกลี้ยกล่อมเขา สุดท้ายมันก็จบลงที่เขาชนะในขณะที่เขาทําลายเรื่อญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไปได้ เขาถูกขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาหลี)

 

น่าประหลาดใจที่ถ้วยชานี้เคยเป็นของแม่ทัพอี ซุนชิน

 

เวทมนตร์สิ้นสุดลงหลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและการเสียชีวิตของแม่ทัพ

 

(อี ซุนชินโจมตีชาวญี่ปุ่นเมื่อพวกเขากําลังล่าถอยเพราะเขา ไม่สามารถปล่อยพวกเขาไปอย่างสงบได้หลังจาก 7ปีแห่งการรุกราน เขาถูกยิงระหว่างสู้รบและเสียชีวิตลง คําพูดสุดท้ายของเขาคือ “อย่าประกาศการตายของฉัน” เพื่อไม่ให้ทหารเสียกําลังใจ)

 

มานาของแฮจินไม่เพียงพอที่จะดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันก็เพียงพอแล้วที่จะมั่นใจได้ว่าถ้วยชานี้เป็นของ อี ซุนชิน

 

ปัญหาคือเขาไม่มีทางพิสูจน์ได้ หากมีบันทึกเกี่ยวกับถ้วยชา เขาคงโกหกและใช้บันทึกเป็นหลักฐานได้ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดมากแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถนึกสิ่งที่จะพูดออกมาได้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจปล่อยให้มรดกล้ําค่านี้กลับไปญี่ปุ่นได้เช่นกัน

 

“อืมม… ผมให้ได้แค่คําแนะนําคุณในฐานะนักประเมิน เจ้าของถ้วยชาอย่างคุณควรตัดสินใจเอง อย่างไรก็ตามโดย ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าคุณไม่ควรขายมัน”

“แต่ทําไมล่ะ?”

 

“ผม… มันยากที่จะอธิบาย”

 

แฮจินยิ้ม เขาไม่สามารถทําอย่างนั้น เขาไม่สามารถทําอย่างงี้…ฮโยยอนโกรธและเริ่มตะโกน

 

“งั้นก็บอกเหตุผลหน่อยสิ! ฉันหมดความอดทนแล้วนะ!”

 

จู่ๆแฮจินก็สงสัยขึ้นมา คนญี่ปุ่นรู้เรื่องของถ้วยชาได้ยังไง? เว้นแต่พวกเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้เช่นเดียวกับเขา หรือไม่พวกเขาก็ต้องมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

“คุณจําเป็นต้องตัดสินใจตอนนี้เลยไหม?”

 

อึนแฮดูเหมือนจะตระหนักว่ามีบางอย่างที่ซับซ้อน

 

“ไม่ ฉันยังไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ เมื่อพูดถึงวัตถุโบราณที่มีราคาแพงมาก การตัดสินใจทันทีหลังจากการประเมินจะเป็นกรณีที่ค่อนข้างหายาก”

 

“งั้นผมขอเวลาหน่อย”

 

“นานแค่ไหน?”

 

“สามวันก็เพียงพอแล้ว และสําหรับแม่หญิงช่างพูด ไปบอกพ่อของคุณว่าผมจะรายงานผลในสามวัน บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเพราะผมจะไม่ขอค่าธรรมเนียมถ้าผมล้มเหลว”

 

“นายเอาแต่เรียกฉันว่าแม่หญิงช่างพูด แต่ความจริงแล้วฉันเป็นคนเงียบๆ และเราก็ไม่สนใจเรื่องค่าธรรมเนียมนั่นด้วย…”

 

แฮจินยืนขึ้นเพราะเขาไม่สามารถทนฟังเสียงของเธอได้อีก

 

“จริงสิผมต้องขอให้คุณช่วยผมด้วย โปรดตรวจสอบให้ผมหน่อยว่าคนญี่ปุ่นที่ต้องการถ้วยชาและผู้ดูแลสาวของโซจินคือใคร คุณทําได้ใช่ไหม?”

 

อึนแฮลังเลและมองไปที่ฮโยยอนที่กําลังยักไหล่และจ้องกลับมา

 

“อะไรนะ? คุณกําลังถามฉัน?”

 

“ผมไม่ได้ถามคุณ แต่เป็นเธอ อย่าลืมมาบอกผมด้วยล่ะ ผม จะมาเจอคุณสามวันหลังจากนี้ อย่าบอกนะว่าคุณทําไม่ได้?”

“หึ… นายเมินฉัน…”

 

แฮจินตัดบทเธออีกครั้ง

 

“ผมถามเพราะผมรู้ว่าฮวาจินทําอะไรได้บ้าง ส่งข้อความหาผมทันทีที่คุณพบ แล้วผมจะมาเจอคุณในอีกสามวัน คุณบยองกุกเราไปกันเถอะ”

 

“ฮะ? โอ้ โอเค ไปกันเถอะ”

 

เมื่อพวกเขาออกมา แฮจินก็โค้งคับนับโซจินที่รออยู่ด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็ออกจากแกลเลอรี่และกลับไปยังบ้านของแฮจิน น่าแปลกใจที่แฮจินได้รับข้อความเรื่องที่เขาต้องการก่อนที่เขาจะถึงบ้านเสียด้วยซ้ํา

 

“มิซโน โทรุ อายุ 56ปี ประธานบริษัทไมซารุอิเล็กทรอนิคส์”

 

“เจ้าของศิลาดล?”

 

บยองกุกตามเขามาโดยที่ไม่ได้เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม ซูจองกําลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันและเนื่องจากสนามบินอยู่ใกล้ๆ เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะจากไป

 

“ใช่ ผมคิดว่าผมคงต้องไปญี่ปุ่น”

 

“อะไรนะ? เธอคิดจะไปจริงๆ? แล้วเธอจะไปทําอะไรที่นั่น?”

 

“ผมจะไปพบพวกเขา”

 

แม้ว่าแฮจินจะขอเวลาสามวัน เขาก็ไม่มีแผนอยู่ในหัวเลย หากเขาคิดไม่ออกว่าจะทํายังไง เขาก็จะไปพบชาวญี่ปุ่นคนนั้นและใช้เวทมนตร์เพื่อทําให้พวกเขาบอกความจริง 

 

หากเขารู้ว่าชาวญี่ปุ่นรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้อย่างไร สิ่งต่างๆก็จะง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้จากความทรงจําของถ้วยชา มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลําบาก แต่…

 

“ชายคนนั้นยากที่จะพบ”

 

บยองกุกให้ความช่วยเหลือที่ไม่คาดคิด

 

“คุณรู้จักเขา?”

 

“ใช่ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียง ปู่ของเขาเป็นมือขวาของเทราอุจิ มาซาทาเกะผู้สําเร็จราชการญี่ปุ่นคนแรกที่ปกครองเกาหลี ในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น เธอเคยได้ยินชื่อของเขาไหม?”

 

“โอ้ ผมรู้จักเขา เขาทําธุรกิจโดยการขุดสุสานของเกาหลีและนําเอาวัตถุโบราณจํานวนมหาศาลออกไป”

 

ฝั่งญี่ปุ่นสนใจสะสมโบราณวัตถุมากกว่าเกาหลี แน่นอนว่าพวกเขามักปล้นสุสานเพื่อจุดประสงค์นั้น ดังนั้นในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นเมื่อญี่ปุ่นตกเป็นอาณานิคมของเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาจึงไม่ได้ปล่อยสุสานที่มีมากมายเอาไว้เฉยๆ

 

ในบรรดาหลายๆคนที่ขโมยวัตถุโบราณของเกาหลี เทราอุจิ มาซาทาเกะเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุด

 

เขาได้รับและเก็บวัตถุโบราณของเกาหลีไปประมาณหมื่นชิ้น เขาบริจาคพวกมันให้โรงเรียนเก่าของเขาก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นคนดีในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม สําหรับชาวเกาหลีแล้ว เขาสมควรถูกโยนทิ้งและปล่อยให้เน่าตาย 

 

“ฉันเดาว่าเธอคงได้ยินเรื่องของเขาจากพ่อของเธอ ซึ่งเขาเกลียดคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามมิซโน โทรุก็ยังได้รับมรดกเป็นวัตถุโบราณจํานวนมากจากปู่ของเขาและปัจจุบันเขาก็เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่อีกด้วย”

 

“ทําไมคุณถึงรู้จักเขาดีขนาดนี้”

 

บยองกุกยิ้มอย่างขมขื่น

 

“เฮ้อ… เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าของฉัน เขารับซื้อวัตถุโบราณล้ําค่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของเกาหลี ญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่ไทยเขาก็ซื้อ เขาให้ราคาดี ดังนั้นโจรปล้นสุสานหลายคนที่เป็นแบบฉันจะไม่สามารถอยู่รอดได้เลยหากไม่รู้จักเขา”

 

“ผมหวังว่าคุณคงไม่ขายวัตถุโบราณของเกาหลีหรอกใช่ไหม?”

 

แฮจินแหย่เขาอย่างสนุกสนาน บยองกุกดีดตัวขึ้น

 

“ฉันไม่ทําแบบนั้น! หากฉันทํา พ่อของเธอก็จะไม่มาทํางานกับฉัน!”

 

“ฮ่าฮา ผมแค่ล้อเล่น แต่คุณบอกว่าการจะพบเขามันไม่ใช่เรื่องง่าย?”

 

“ใช่ ฉันเคยขายของให้เขามากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ฉันไม่เคยพบเขาเลย มันจะมีคนมาติดต่อกับฉันและซื้อของแทนเสมอ”

“อืมม… นั่นคือปัญหา”

 

“แต่ช่วยบอกฉันทีว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันอยากรู้จะแย่แล้ว เพราะเจ้าเครื่องลายครามดอกฟ้าสีขาวมันดูไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น ทําไมเธอถึงไม่เห็นด้วยกับการแลกเปลี่ยนล่ะ?”

 

แฮจินไม่รู้จะพูดอะไร ทันใดนั้นเองเขาก็ได้รับข้อความอีกครั้ง

“มันมาจากฮวาจิน ผู้ดูแลหญิงคนนั้นชื่อคิตากาวะ โมโมโกะ ไม่ทราบอายุของเธอ แต่เธอไม่ได้ทํางานที่แกลเลอรี่ของหยาง โซจินแน่นอน ผมคิดว่าเธอทํางานให้กับมิซโน โทรุ” 

 

“การค้นหาเธอใช้เวลานานกว่าของมิซโน โทรุ ฉันเดาว่าเธอคงไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่นัก”

 

“คุณบยองกุก พรุ่งนี้คุณจะกลับไปฮันบิทแกลเลอรี่กับผมไหม? ผมไม่สามารถบอกคุณได้ในวันนี้ว่าทําไมผมจึงหยุดการแลกเปลี่ยนเอาไว้ก่อน ผมจะบอกคุณพรุ่งนี้หลังจากที่ตรวจสอบบางอย่างแล้ว”

 

บยองกุกหยิบเสื้อแจ็คเก็ตของเขาแล้วลุกขึ้นยืน

 

“ตกลง ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันควรกลับโรงแรมและพัก พรุ่งนี้เช้าใช่ไหม?”

“ใช่ครับ ผมจะไปพบคุณที่หน้าฮันบิทแกลเลอรี่ตอนประมาณ 10โมง”

 

แม้ว่าผลที่ตามมาจะน้อยลง แต่แฮจินก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี หลังจากบยองกุกกลับไปแล้วเขาก็ไปหาอะไรกินและเข้านอนทันที

 

วันต่อมา เขาพบบยองกุกที่หน้าแกลเลอรี่ เขายิ้มให้แฮจินเมื่อทักทาย ดูเหมือนจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น

 

“ซูจองอยู่บนเครื่องแล้ว อา…”

 

“ใกล้ถึงแล้ว? ผมคิดว่าเธอน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันซะอีก”

 

“ฉันบอกเธอว่าฉันกําลังทํางานกับเธอ ดังนั้นเธอจึงบอกว่าเธอจะมาถึงให้เร็วขึ้น เธออุส่ารีบมาเพื่อเธอเลยนะ ดังนั้นเรามารีบจบงานนี้ให้เร็วที่สุดกันเถอะ”

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่าแต่เธอจะไปปูซานกับคุณไหม?”

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะเธอไม่ได้มีธุระที่ปูซาน ยังไงเราก็เข้าไปกันเถอะ”

 

บยองกุกยังคงยิ้มเพราะเขากําลังจะได้เห็นหน้าลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้วพวกเขาก็ขอให้พนักงานแจ้งผู้อํานวยการ

 

ไม่นานโซจินก็เดินเข้ามาในห้องจัดแสดง เช่นเดียวกับเมื่อวานโมโมโกะก็อยู่กับเธอด้วย

 

“ฉันคิดว่าเมื่อวานคุณประเมินมันเสร็จไปแล้ว”

 

“ยังครับ ผมกลับมาเพราะต้องการตรวจสอบศิลาดลอีกครั้ง เนื่องจากมันเป็นงานของรองประธานกรรมการ ผมจึงไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ”

 

มันสมเหตุสมผล โซจินพยักหน้าและพาพวกเขาไปที่ศิลาดล ระหว่างทางแฮจินบอกว่าเขาหิวน้ําเขาจึงหยิบแก้วน้ํามาด้วย เมื่อมาถึงก็จะพบศิลาดลที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนเช่นเดียวกับเมื่อวาน

 

“ต้องใช้เวลาแค่ไหน?”

 

แฮจินกําลังคิดหาวิธีกําจัดโซจิน แต่เธอก็ออกอาการว่าเธอกําลังรีบ บางทีเธออาจจะยุ่งเพราะงานนิทรรศการที่กําลังใกล้เข้ามา

 

“ค่อนข้างนานเลยครับ ทําไมคุณไม่ไปทําธุระของคุณแล้วค่อยกลับมาทีหลัง? ส่วนตรงนี้ก็ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ดูผม”

 

แฮจินชี้ไปที่โมโมโกะ โซจินพยักหน้าและพูดกับเธอด้วยภาษาญี่ปุ่น ดูเหมือนเธอจะขอให้โมโมโกะอยู่ที่นี่และคอยจับตาดูแฮจิน

 

โซจินเหลือบมองกล้องรักษาความปลอดภัยระหว่างที่เธอ กําลังเดินออกไปราวกับจะบอกให้แฮจินอย่าพยายามทําอะไรโง่ๆ

 

“ว่าแต่ทําไมเธอถึงต้องมาตรวจสอบมันอีกครั้ง?”

 

บยองกุกกระซิบหลังจากที่โซจินออกไปแล้ว

 

“คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้ใช่ไหม? ช่วยแปลให้ผมหน่อย”

 

“แปลเหรอ? ได้สิ”

 

จากนั้นแฮจินก็แสร้งทําเป็นตรวจดูศิลาดลและแอบใช้เวทมนตร์ มานาไหลออกมาจากอกของเขาไม่นานผลที่ตามมาของมันก็เกิดขึ้นซึ่งตอนนี้เขาสามารถทนได้

 

“ถามเธอว่าเธอพบตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาได้ยังไง”

 

หน้าของบยองกุกราวกับถามว่า ทําไม?” ไม่ใช่ว่าเธอจะให้คําตอบกับพวกเขาและเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า “ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชา” หมายถึงอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นแฮจินยืนกราน เขาจึงมองไปที่โมโมโกะและถามเป็นภาษาญี่ปุ่น

 

“คุณรู้ตัวตนที่แท้จริงของถ้วยชาในแซยอนแกลเลอรี่ได้ยังไง?”

 

โมโมโกะสะดุ้ง จากนั้นเธอก็โบกมือและพูดอะไรบางอย่าง เธออาจจะพยายามบอกว่าเธอไม่รู้ว่าเขากําลังพูดถึงอะไร แต่คราวนี้เป็นบยองกุกที่ต้องสะดุ้งแทน

 

“อะไรนะ? เธอบอกว่ามันถูกเขียนอยู่บนสมบัติของตระกูลเทราอุจิ! นั้นมันเป็นความลับไม่ใช่เหรอ? ทําไมเธอถึงบอกพวกเรา?”

 

โมโมโกะสารภาพความจริง หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงและไม่รู้ว่าจะต้องทํายังไง ส่วนบยองกุกก็ประหลาดใจพอๆกับเธอ เขาชี้ไปที่โมโมโกะก่อนจะมองไปที่แฮจินราวกับจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

“งั้นช่วยถามเธอต่อที่ว่ามันมีอะไรเขียนเกี่ยวกับถ้วยชาบ้าง

“ห๊า? อา… โอเค อืมม… ได้เลย”

 

โมโมโกะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ดูเหมือนเธอจะคิดหาวิธีอธิบายเรื่องนี้เมื่อบยองกุกถามคําถามอื่น แต่เธอก็ตะกุกตะกักและบอกความจริงอีกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็ตื่นตระหนกและทรุดลง

 

“ฮะ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ทําไมเธอถึงสารภาพทุกอย่าง?”

 

“เธอพูดอะไร?”

 

“เธอบอกว่าชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งขโมยมันมาจากลูกหลานของ อี ซุนชินเมื่อประมาณศตวรรษที่แล้ว แต่มันได้สูญหายไปในปี 1985. หลังจากนั้นตระกูลเทราอุจิก็ได้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้เพื่อจะได้หามันพบ! อะไรนะ? ถ้วยชานั่นเป็นของแม่ทัพอี ซุนชิน?” บยองกุกตะโกน

 

เสียงตะโกนของเขาทําให้โมโมโกะรู้สึกตัว เธอรีบลุกและวิ่งหนีไปทันที

 

“ไปกันเถอะ ไว้เดียวผมจะมาอธิบายที่หลัง”

 

“อะ โอเค แต่ทําไมเธอถึงพูดแล้วตกใจเอง? มันควรเป็นฉันมากกว่าไม่ใช่เหรอที่ต้องตกใจ?”

 

“ออกไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน เร็วเข้า”

 

แฮจินพาบยองกุกที่กําลังมึนงงออกจากแกลเลอรี่อย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับเขาเพิ่งขโมยวัตถุโบราณ จากนิทรรศการ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+