Memorizeเล่มที่ 15 21

Now you are reading Memorize Chapter เล่มที่ 15 21 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วาร์ปเกตไม่ทำงานเเหรอคะ” 

 

 

“ครับ ดูเหมือนพวกเร่ร่อนจะทำอะไรสักอย่างกับวงแหวนเวท” 

 

 

เมื่อผมยืนยันคำตอบที่ชัดเจน สีหน้าของสมาชิกเผ่าก็หมองลง ตอนนี้เราเกือบจะหนีออกไปได้แล้ว แต่หนทางนั้นก็สลายไปเหมือนฟองสบู่ ผมจึงรู้สึกกังวล มองสมาชิกเผ่าที่กำลังมองมาที่ผมพลางครุ่นคิด 

 

 

ตอนนี้เหลือแค่ทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องออกไปทางประตูปราสาท 

 

 

‘ปัญหาก็คือจะออกไปทางไหน… ‘ 

 

 

จากนี้ไปจำเป็นต้องเลือกอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตามเส้นทางก็คล้ายคลึงกับทางไปวาร์ปเกตที่อยู่เกือบๆ ใจกลาง ดังนั้นต้องเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ที่ที่น่าจะไม่มีพวกเร่ร่อน 

 

 

ผมนึกภาพที่เห็นจากด้านบนร้านอัญมณีเมื่อครู่ พวกเร่ร่อนเข้าโจมตีจากสามทิศทาง คือประตูตะวันออก, ประตูตะวันตก และประตูเหนือ ดังนั้นการหนีไปทางประตูทิศใต้น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่จะวิ่งไปทางประตูทิศใต้ มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เกิดจากประสบการณ์การต่อสู้ในรอบแรก 

 

 

หลังจากวางแผนกำจัดพวกเร่ร่อน ความโกรธแค้นที่พวกเขามีต่อพวกผู้เล่นก็มากมายมหาศาล ดูจากการข้ามทวีปและเตรียมการแก้แค้นแบบเป็นขั้นเป็นตอนก็พอจะรู้ได้ 

 

 

ผมพอจะรู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะเปิดประตูทางใต้จึงยากที่จะส่งพวกผู้เล่นที่กำลังหลบหนีไปทางนั้น อย่างน้อยถ้าผมเป็นพวกเร่ร่อนที่รู้ดีก็มั่นใจได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น 

 

 

ผมพยายามและจัดการสิ่งต่างๆ มากมายภายในช่วงเวลาหนึ่งนาที และในขณะที่กำลังพูดกับสมาชิกเผ่า จู่ๆ ก็นึกถึงอันซลขึ้นมา เธอกำลังดูดนิ้วด้วยใบหน้าเป็นกังวล เมื่อผมมองเธอก็นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ 

 

 

“อันซล” 

 

 

“คะ ค่ะ” 

 

 

“มานี่หน่อยสิ” 

 

 

อันซลกะพริบตาเล็กน้อยและวิ่งมาหาผมทันที 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พรึ่บ! 

 

 

ถนนที่มืดสนิทสว่างขึ้นและมืดลงอีกครั้ง ไฟที่ลุกโชนมาจากที่ไกลๆ ไม่สามารถสองสว่างไปถึงส่วนที่ห่างไกลของเมืองได้ ถนนใหญ่มีเพียงแสงสลัว มีเพียงไลท์สโตนที่กะพริบส่องแสงเป็นครั้งคราวตามถนนที่มืดมิด 

 

 

หญิงสาวคนหนึ่งกำลังคลานไปตามทางนั้นอย่างสุดกำลัง หล่อนเคลื่อนตัวไปได้ครู่หนึ่งก็ต้องหยุดคลานเพราะไปต่อไม่ไหวและนอนลง 

 

 

สภาพของหญิงสาวบาดเจ็บสาหัส เสื้อผ้าท่อนล่างฉีกขาด ใต้เชิงกรานถูกเปิดเผย ต้นขาขาวถูกเจาะทะลุสองรูและมีเลือดไหลออกมาจากรูนั้นไม่หยุด 

 

 

หญิงสาวซึ่งพักหายใจชั่วครู่ไม่รู้สึกว่ามีคนอยู่ในบริเวณนี้ หล่อนรวบรวมเรี่ยวแรงและดันร่างส่วนบนขึ้น วางสองมือลงบนพื้นและค่อยๆ เริ่มยันตัวขึ้นจากพื้น 

 

 

หลังจากพิงร่างกับซากปรักหักพังของอาคาร หญิงสาวก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หล่อนพบศพเหวอะหวะอยู่ไม่ไกลนัก ซากศพฉีกขาดรุ่งริ่งเกลื่อนกลาดไปทั่วราวกับถูกพวกเร่ร่อนจัดการในคราวเดียว 

 

 

หญิงสาวที่มองดูอยู่ครู่หนึ่งส่งเสียงสะอื้นไห้เมื่อไม่อาจทนได้อีกต่อไป ในตอนนั้นเอง 

 

 

“ลูกแมวที่น่ารักของฉัน~ หายไปไหนกันนะ~” 

 

 

เสียงต่ำๆ ดัดเป็นท่วงทำนองที่ไม่เข้ากับเสียงแหบห้าวดังขึ้น หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที หล่อนยังคงสะอื้น คางและไหล่สั่นเทาแต่ก็อดทนอย่างสุดชีวิต 

 

 

เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่หล่อนกลืนน้ำลาย เสียงรองเท้าหนังดังกระทบพื้นก็ดังถี่ขึ้น หล่อนหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลง จากนั้นก็กัดฟันแน่นพลางลุกจากที่ ไม่สิ พยายามจะลุกจากที่ต่างหาก 

 

 

“อยู่นี่เอง~ พี่ชายหาตั้งนาน~” 

 

 

วัตถุกลมๆ ลอยผ่านบรรยากาศมืดมิดพร้อมคำว่าหาเจอแล้ว 

 

 

ตุ้บ! ขลุกๆ 

 

 

วัตถุทรงกลมที่ตกลงบนพื้นกลิ้งไปหยุดตรงหน้าของหญิงสาว หล่อนก็มองโดยอัตโนมัติและเมื่อเห็นลำคอส่วนล่างที่ถูกฉีกออกมาอย่างน่ากลัวกับเลือดที่ไหลทะลัก หล่อนก็กรีดร้องเสียงดัง 

 

 

“กรี๊ด!” 

 

 

“ฮ่าๆ” 

 

 

ตึง! กร๊อบ! กร๊อบ! 

 

 

ชายร่างใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนหัวเราะเสียงดังลั่นและบดขยี้ศีรษะนั้น เขาขยี้ฝ่าเท้าเหนียวๆ สามสี่ครั้งและยื่นมือที่เปรอะเลือดไปหาหญิงสาว 

 

 

“เป็นยังไง ลูกแมวของฉัน ดูเหมือนพรรคพวกของเธออยากจะช่วยเธอนะ แต่เป็นแบบนี้ไปแล้วละ” 

 

 

“อ้า…” 

 

 

ฝ่ามือใหญ่แตะเบาๆ ที่แก้มของหล่อน หญิงสาวตัวสั่นเทาได้แต่ส่งเสียงอยู่ในลำคอ 

 

 

“ในที่สุดก็จับได้แล้ว! จับได้แล้ว! ฮ่าๆ!” 

 

 

“ไม่! ไม่นะ!” 

 

 

ฟิ้ว! 

 

 

เสียงลมหวีดวิวพัดผ่านชายร่างยักษ์และหญิงสาวไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปและก้าวเดินก็หยุดชะงัก ในตอนนั้นเองดวงตาของชายร่างยักษ์ก็เบิกกว้าง เขายกสองมือขึ้นมาเพื่อป้องกันใบหน้าอย่างรวดเร็ว 

 

 

ฉับ! 

 

 

มีสองสิ่งสุดท้ายที่ชายร่างยักษ์รู้สึกก่อนที่จะทันยกมือขึ้นมา นั่นก็คือความรู้สึกประหลาดที่ผ่านลำคอไปราวกับสายลม 

 

 

“จัดการเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” 

 

 

และเสียงเยือกเย็นน่าขนลุก 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก เราก็ตัดสินใจหนีไปทางประตูตะวันออก ถ้าพูดให้ชัดๆ ก็คือเราวางแผนอ้อมไปบริเวณกำแพงรอบนอกทิศตะวันออกเพื่อออกไปทางประตูตะวันออก แน่นอนว่าผมไม่ได้เลือกประตูตะวันออก แต่เกิดจากการคิดคำนวณ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเดิมพัน แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงเมื่อได้รับการยืนยันจากตัวนำโชค 

 

 

ดังนั้นพวกเราจึงอ้อมไปได้สำเร็จ และไปถึงเขตพักอาศัยของชาวเมืองที่กำแพงรอบนอกทิศตะวันออกได้อย่างปลอดภัย และเริ่มต้นการหลบหนี ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากเข้าสู่บริเวณกำแพงรอบนอกก็คงเป็นการที่โกยอนจูเริ่มช่วยเหลือผมอย่างจริงจัง 

 

 

จำนวนของพวกเร่ร่อนไม่ได้มากเกินกว่าที่คิดไว้ พวกเราบุกเข้าไปให้เงียบที่สุดและเมื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันไม่ได้ เราก็จะจัดการให้เร็วที่สุด 

 

 

พวกเร่ร่อนที่ออกปล้นบริเวณกำแพงรอบนอกนั้นเคลื่อนไหวหลากหลายรูปแบบ มีทั้งคนที่ลุยเดี่ยวและพวกที่รวมกันเป็นกลุ่มสี่ห้าคน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากที่จะจัดการกับคนพวกนี้ พวกเราแค่จัดการเบาๆ ก็สามารถขับไล่ออกไปได้ถึงระดับกลางๆ  

 

 

แต่แน่นอนว่าการหนีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน 

 

 

เมื่อเราจวนจะถึงส่วนกลางของบริเวณกำแพงรอบนอก เราก็ปะทะกับพวกเร่ร่อนจำนวนสิบเจ็ดคน พวกเขาเป็นพวกเร่ร่อนที่บุกมาจากภายนอกและมีความสามารถเหนือกว่าพวกที่รับคำสั่งจากด้านใน 

 

 

โชคดีที่เวทมนตร์เงาขนาดใหญ่ของโกยอนจู่โจมตีพวกมันทั้งหมด เราจึงไม่เสียเวลามากนักในการฉวยโอกาสที่พวกมันกำลังสับสนแล้วเริ่มจัดการไปสี่ห้าคน 

 

 

การหลบหนีเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่พวกเร่ร่อนก็ไม่ได้มีแค่พวกโง่เง่า หากพวกเราลงจากด้านบนไปด้านล่าง พวกเร่ร่อนก็จะขึ้นจากด้านล่างมาด้านบน พวกเร่ร่อนก็คงมีวิธีติดต่อกันในแบบของตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะเห็นศพของพรรคพวกที่อยู่ในระหว่างยึดครองเมือง 

 

 

ยิ่งไปไกลก็ยิ่งปะทะกับพวกเร่ร่อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็มีพวกเร่ร่อนที่ถูกฆ่าไปมากกว่าหกสิบคนในระหว่างบุกมาที่บริเวณกำแพงรอบนอก พวกเขาคงรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกไปในสถานการณ์เช่นนี้ 

 

 

เสียงกรีดร้องที่ได้ยินอย่างต่อเนื่องของชาวเมืองเงียบหายไปแล้ว เริ่มมีบางส่วนกระจายตัวไปทั่ว บางส่วนก็เริ่มรวบรวมกลุ่มขึ้นใหม่ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาหยุดการยึดครองเมืองและตามหาคนที่สังหารพรรคพวก 

 

 

ตอนนี้พวกเรากำลังเฝ้าดูสถานการณ์และพักหายใจชั่วครู่จากสัญญาณนับสิบที่รู้สึกได้จากด้านหน้า 

 

 

“ซูฮยอนทำยังไงดีคะ” 

 

 

ผมค่อยๆ หันไปตามเสียงที่ได้ยิน โกยอนจูกำลังเหลือบมองอันซลซึ่งตัวสั่นและเบียดร่างเข้าหากำแพง ข้างๆ เธอก็คือ ท่านผู้เฒ่าที่กำลังหอบหายใจ และคิมฮันบยอลที่หน้าซีดเผือด 

 

 

“ดูเหมือนด้านหน้าจะมีพวกเร่ร่อนอยู่และกำลังมาทางที่พวกเราอยู่ตอนนี้” 

 

 

“ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นค่ะ” 

 

 

ผมพยักหน้าอย่างใจเย็น มองเห็นกำแพงขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ เราก็จะไปถึงประตูปราสาท จำนวนคนที่ผมรู้สึกได้จากด้านหน้ามีประมาณยี่สิบคน หากได้การช่วยเหลือของโกยอนจู ผมมั่นใจว่าเราจะจัดการได้ในพริบตา เพียงแต่ว่าติดอยู่อย่างหนึ่ง 

 

 

“โกยอนจู นอกจากด้านหน้าแล้ว คุณรู้สึกถึงพวกเร่ร่อนคนอื่นๆ จากบริเวณใกล้ๆ นี้ไหมครับ” 

 

 

“รู้สึกค่ะ ตรงที่พวกเราผ่านมากลุ่มหนึ่งและทางขวาอีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนจะขึ้นมาด้านบนแล้วก็ลงไป คงกำลังจะมองหาร่องรอย” 

 

 

“ถ้างั้นตอนนี้พวกเขาอยู่ไกลแค่ไหนเหรอครับ” 

 

 

“ระยะทางค่อนข้างใกล้ค่ะ แต่ว่า…” 

 

 

โกยอนจูเหลือบมองด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็เอียงคอพลางพูดต่อ 

 

 

“ที่จริงกลุ่มที่อยู่ด้านหลังหยุดการเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ ส่วนหนึ่งของกลุ่มที่อยู่ทางขวากำลังหันไปทางนั้น” 

 

 

“หรือว่า… “ 

 

 

ขณะนั้นเองความคิดหนึ่งที่ว่าเราถูกประกบก็แวบเข้ามาในหัว โกยอนจูที่อ่านความคิดของผมออกส่ายหน้า 

 

 

“ฉันคิดว่าพวกเขาเข้าใจผิดว่าผู้เล่นคนอื่นเป็นพวกเรา” 

 

 

“ผู้เล่นคนอื่นงั้นเหรอ” 

 

 

“ค่ะ ฉันเป็นกองหลังตอนที่ซูฮยอนกำลังต่อสู้ในจัตุรัสเมื่อครู่นี้ใช่ไหมล่ะคะ ถึงจะมีไม่มาก แต่ก็มีผู้เล่นบางคนตามหลังซูฮยอนมาตั้งแต่จัตุรัสและวาร์ปเกตค่ะ ดูจากร่องรอยที่ทับซ้อนกันตอนนี้ บางทีอาจจะถูกพบแล้วก็ได้” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น… “ 

 

 

ผมเข้าใจคำพูดของโกยอนจูทันที ผมจำได้ว่ามีผู้เล่นบางคนเรียกผมและตามติดมาในระหว่างทางที่มาที่นี่ แน่นอนว่าผมปฏิเสธทันที แต่ถ้าที่หล่อนพูดเป็นเรื่องจริง นี่อาจจะเป็นโอกาส 

 

 

เรามีอยู่สองวิธี คือจัดการกับพวกข้างหน้าในระหว่างที่ผู้เล่นคนอื่นกำลังดึงดูดความสนใจของพวกเขา หรือไม่ก็ไปในแนวทแยง 

 

 

ผมถามโกยอนจูทันที 

 

 

“โกยอนจู ถ้าเราเปลี่ยนไปทางแนวทแยงจะออกไปได้ไหม” 

 

 

“นั่นสิคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเกือบจะรวมกลุ่มไล่ล่าได้แล้ว… “ 

 

 

“…” 

 

 

“ประตูปราสาทอยู่ข้างหน้านี้ไม่ใช่เเหรอคะ มีทางไปง่ายๆ จำเป็นต้องไปทางที่ยาก…” 

 

 

ความคิดของโกยอนจูและผมสอดคล้องกัน ยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกผู้เล่นที่ตามหลังผมมาจะอดทนได้นานแค่ไหน และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเราอาจเจอพวกเร่ร่อนได้ทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนเส้นทางจะทำให้ล่าช้าและอาจจะมีพวกเร่ร่อนจากพื้นที่อื่นเข้ามาเพิ่ม ดังนั้นถึงจะเสี่ยงเล็กน้อย แต่การเลือกจัดการพวกเร่ร่อนตรงหน้าน่าจะดีกว่า 

 

 

‘หลังจากจัดการพวกมันโดยเร็วที่สุด เราจะออกไปทันที’ 

 

 

หลังจากตัดสินใจแล้วผมก็มองสมาชิกเผ่าและพูดต่อ 

 

 

“บางทีนี่อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย” 

 

 

“…” 

 

 

“ฉันจะไม่พูดยาวนะ เพราะมันก็เหมือนเดิม ทันทีที่จัดการกับพวกนั้นแล้วเราจะหนีไปจากที่นี่” 

 

 

“พะ พี่คะ” 

 

 

“เพราะฉะนั้นโกยอนจูช่วยทำเหมือนเมื่อกี้ด้วยนะครับ” 

 

 

ถึงจะได้ยินเสียงฮันบยอลเรียก แต่ผมก็หันไปทันที ผมกระโดดไปด้านหน้าเต็มแรง ในขณะเดียวกันก็เห็นเงามากมายไหลลงมาตามพื้นดิน 

 

 

ผมกระโดดข้ามอาคารหนึ่งในพริบตา ที่นั่นมองเห็นพวกเร่ร่อนด้านบนได้ พวกเขารู้สึกแปลกจึงเงยหน้าขึ้นระหว่างที่กำลังเดินช้าๆ และเมื่อสบตากับผม เงานับไม่ถ้วนที่โกยอนจูส่งมาก็โจมตีพวกเร่ร่อน 

 

 

“อั่ก!” 

 

 

“อ๊าก!” 

 

 

เมื่อลงมายังสถานที่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเร่ร่อนหลายคนก็กระเด็นขึ้นไปกลางอากาศและส่งเสียงกรีดร้อง จู่ๆ ผมก็นึกถึงดาบอัคนีขึ้นมา แต่ก็ส่ายหน้าทันที ผมใช้ที่วาร์ปเกตไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าจะสามารถใช้งานได้อีกนานเท่าไหร่ ถ้านึกถึงแผนในอนาคตผมจำเป็นต้องเก็บความแข็งแกร่งเอาไว้ให้มากที่สุด 

 

 

ดังนั้นเมื่อลงมาด้านล่าง ผมก็ก้าวเข้าหาพวกเขาอย่างน่ากลัวและแทงดาบออกไป 

 

 

ผมไม่ได้ต่อสู้ให้ดูดี ในหัวของผมคิดเพียงแต่จะต่อสู้เพื่อหนีเท่านั้น ดังนั้นในระหว่างที่เงาของโกยอนจูกำลังทำให้พวกเร่ร่อนสับสน ผมต้องลดจำนวนพวกเขาให้ได้มากที่สุด ผมไม่คิดอะไรและตัดสินใจใช้สมาธิไปกับการต่อสู้ ดังนั้นผมจึงเหวี่ยงดาบไปทางสามคนที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่กลางอากาศในตอนเริ่มแรก 

 

 

ฉึก! ฉึก! ฉึก! 

 

 

ผมพุ่งเข้าไประหว่างพวกเขาหลังจากฆ่าสามคนนั้น พริบตาเดียวพวกเร่ร่อนก็ตกอยู่ในความวุ่นวายจากการถูกจู่โจมกะทันหัน พวกเขาตั้งสติและตะโกนโหวกเหวก 

 

 

“เจอแล้ว! เตรียมพร้อมต่อสู้! เตรียมพร้อมต่อสู้!” 

 

 

“บ้าเอ๊ย! มันอยู่ในความมืด! อย่าดูถูกมันเชียว!” 

 

 

‘เล่นด้วยสักหน่อยแล้วกัน’ 

 

 

ควับ! ควับ! 

 

 

ผมรู้สึกได้ว่าพวกเร่ร่อนที่รวมกลุ่มกันในบริเวณนี้กำลังหลั่งไหลเข้ามาทันทีที่ส่งสัญญาณออกไป  

 

 

ผมหมุนตัวอย่างรวดเร็วและวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่ตนเองสามารถทำได้ ผมรู้สึกว่ามีพวกเร่ร่อนที่วิ่งเข้ามาหาผมบางคนสะดุ้ง คงจะตกใจพอสมควรที่ผมวิ่งเข้ามาใกล้ 

 

 

พลั่ก! พลั่ก! 

 

 

ถึงจะได้ยินเสียงบางอย่างทิ้งลงมาบริเวณที่ผมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมพุ่งตัวอย่างว่องไวใส่กลุ่มพวกเร่ร่อน หลังจากหลบเลี่ยงเวทมนตร์ที่ลอยมาจากด้านหน้า 

 

 

“บะ บ้าน่า! ทำไมเร็วขนาดนี้!” 

 

 

“ระวัง!” 

 

 

เมื่อกวัดแกว่งดาบไปยังคนที่อยู่หน้าสุด เขาก็ยกโล่ขึ้นมาด้วยความมั่นใจ  

 

 

เคร้ง! 

 

 

ดาบล่องหนผ่าโล่หนาเข้าไป สีหน้ามั่นอกมั่นใจของพวกเร่ร่อนหายไปเกือบครึ่ง บางอย่างร้อนผ่าวจนผมเปียกชุ่ม วิสัยทัศน์ถูกย้อมเป็นสีแดง 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด