Memorizeเล่ม 14 10

Now you are reading Memorize Chapter เล่ม 14 10 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 10

 

 

อย่างไรก็ตาม ผมได้ฟังสถานการณ์ดำเนินงานส่วนที่สำคัญๆ แล้ว แต่การรออยู่เฉยๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียเวลาเปล่า ผมพยักหน้าครั้งสองครั้งแล้วหันไปพูดกับทุกคน 

“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมจะบอกแผนการจากนี้ไปให้ทุกคนทราบแบบกระชับๆ นะครับ ก่อนอื่น วันนี้ผมน่าจะยุ่งนิดหน่อยเพราะการรายงานการเดินทางไกลครับ” 

“การรายงานการเดินทางไกลเหรอ หรือว่าเขียนแล้วเหรอคะ” 

จองฮายอนเบิกตาโตพลางย้อนถาม ผมส่ายหน้าช้าๆ 

“ไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้วสิครับ ถึงอย่างนั้น ตอนนี้อีสตันเทลลอว์ก็น่าจะได้ยินข่าวคราวบ้างแล้ว บางทีน่าจะต้องการให้รายงานเร็วขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี วันนี้ผมจะไปแท่นบูชาด้วยตัวเองแล้วคิดจะรายงานแบบง่ายๆ ด้วยการพูดปากเปล่าครับ บางทีถ้าเป็นที่โมนิก้า เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอต่อการก่อตั้งทีมสำรวจแล้วครับ” 

เดิมทีเผ่าต้นบีชกับแท่นบูชาที่มิวล์ก็แค่เหมือนกับพวกโง่ๆ เซ่อๆ เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับระบบของโมนิก้าที่เผ่าอีสตันเทลลอว์จัดทำขึ้นมันแทบจะคนละเรื่องเลย บางทีตอนนี้ผู้เกี่ยวข้องของเผ่าอีสตันเทลลอว์น่าจะอยู่ที่แท่นบูชาก็ได้ 

“ผู้เล่นโกยอนจู” 

“พูดมาได้เลยค่ะ” 

“ผมบอกไว้เผื่อไม่รู้ ไปสืบเรื่องเกี่ยวกับวาร์ปเกตมาหน่อยสิครับ วันนี้ผมคิดจะกลับมาค่ำๆ ครับ” 

“น้อมรับคำสั่งของแคลนลอร์ดค่ะ” 

“ถ้างั้นฝากด้วยนะครับ แล้วก็…ผู้เล่นแพคฮันกยอล” 

“คะ ครับ!” 

“เสร็จประชุมแล้วตามฉันมาสักหน่อยนะ มีที่ที่จะต้องไปด้วยกันน่ะ” 

“ทราบแล้วครับ!” 

คงกำลังตื่นเต้นอยู่มาก แพคฮันกยอลจึงตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ผมหัวเราะในใจแล้วคราวนี้จึงเบนสายตาไปทางเด็กๆ 

อันฮยอน อันซล อียูจอง ผมไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษกับทั้งสามคน เพียงแค่บอกให้อยู่ดูแลลูกยูนิคอร์นเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่อันฮยอนกลับตอบว่าไม่ต้องเป็นห่วงราวกับเข้าใจความตั้งใจในการปกป้องยูนิคอร์นอย่างแน่นอนแล้วทุบหน้าอกของตัวเองดังป้าบๆ 

‘หมอนั่นจะต้องตาเป็นประกายในเวลาแบบนี้ทุกที’ 

ถ้าปกติเป็นแบบนั้นด้วยก็ดีนะ อย่างไรก็เถอะ มีงานที่วิเวียนกับชินซังยงกำลังทำอยู่ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องคุยแยกทีหลัง ถ้าอย่างนั้นสมาชิกเผ่าที่ผมยังไม่ได้เรียกก็มีอยู่สองคน ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมองทั้งสองคนพลางพูดขึ้น 

“ผู้เล่นจองฮายอน ผู้เล่นคิมฮันบยอล” 

“คะ” 

ผมได้ยินเสียงน่าฟังและสงบดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อกับเรื่องที่ผมจะสั่งพวกเขา 

“ทั้งสองคนเตรียมใบประเมินคุณค่าสิ่งของหน่อยนะครับ” 

“ถ้าเป็นประเมินคุณค่าสิ่งของ…อ้อ” 

“แล้วก็เอาพวกอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องเก็บของออกมาให้หมดด้วยครับ ช่วยเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ให้ดำเนินการตรวจสอบผลสำเร็จของงานและแบ่งแยกได้ทันทีที่ผมกลับมานะด้วยนะครับ” 

“ค่ะ ทราบแล้วค่ะ” 

“ถ้างั้นผมจะจบการประชุมลงเท่านี้ ตอนนี้ผมจะออกไปเลย ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” 

ผมพูดจบแล้วเดินเนิบๆ ไปทางประตู ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าแพคฮันกยอลก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งอย่างลุกลี้ลุกลนตามหลังมา ผมเปิดประตูห้องออกกว้างทันที 

 

“ยินดีต้อนรับการมาเยือนของลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ค่ะ” 

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับครับ” 

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ กำลังรออยู่เลย ถ้างั้นเชิญมาทางนี้ค่ะ” 

ทันทีที่มาเยือนแท่นบูชาของโมนิก้า เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับผมกับแพคฮันกยอล ดูจากที่เธอบอกว่ากำลังรออยู่ก็น่าจะได้รับการติดต่อเข้ามาล่วงหน้าไม่ผิดแน่ 

แน่นอนว่าบรรยากาศมันแตกต่างกับมิวล์ หญิงสาวที่ได้รับมอบ ‘อำนาจและสิทธิ’ ส่งกลิ่นอายที่แตกต่างกับพลเมืองคนไหนๆ อย่างแจ่มชัด เธอมีใบหน้าซีดขาวและดวงตาลึกโบ๋ แต่แววตาของเธอกลับดูดุดัน 

สิ่งที่ผมถูกใจที่สุดคือลักษณะท่าทางเป็นการเป็นงานมากๆ ถ้าดูจากสายตาแล้วก็เห็นได้ว่าไม่มีมารยาทสักเท่าไร แต่อย่างน้อยคนประเภทนี้ก็จะจัดการงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเหมือนๆ กัน 

ยิ่งเข้าไปด้านในก็ยิ่งเงียบเหงามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับทางเข้าที่แออัดไปด้วยพวกผู้เล่น พอผมนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะที่เจ้าหน้าที่ชี้มา เธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

“ดื่มอะไรไหมคะ” 

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะเริ่มรายงานเลยครับ” 

“ดีค่ะ ถ้างั้นฉันจะฟังดูค่ะ” 

แพคฮันกยอลอยู่ในสภาพใจฝ่ออย่างสุดขีด ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคิดอย่างถี่ถ้วนว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าเพราะท่าทีของเจ้าหน้าที่ที่แผ่ความเย็นยะเยือกออกมา ผมอดหัวเราะไม่ได้กับนิสัยที่ยังคงเหมือนเดิมนั้น และเมื่อผมก็เห็นเจ้าหน้าที่ีที่รับบันทึกกับปากกาขนนกมาเตรียมจดอยู่ตรงหน้า ผมเริ่มการรายงาน(อย่างไม่เป็นทางการ)ปากเปล่าทันที 

การรายงานการออกเดินทางไกลเป็นขั้นตอนที่สำคัญเป็นอย่างมาก ขั้นตอนนี้จะถูกจดไว้ในบันทึก จากนั้นบันทึกที่ถูกจดก็จะถูกโยกย้ายไปยังห้องสมุดและจัดวางไว้ตามประเภทที่เหมาะสม 

หลังจากนี้เป็นต้นไปพวกผู้เล่นที่จะไปภูเขาแห่งความเพ้อคลั่งหรือหุบเขามายาจำเป็นจะต้องแวะไปห้องสมุดและอาจจะอ่านบันทึกของผมได้ ถ้าหากข้อมูลผิดๆ ถูกจดลงในหนังสือบันทึก ก็มีความเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะทำให้เกิดสถานการณ์อันตรายจนไปพัวพันกับชีวิตของผู้เล่นได้ 

เพราะอย่างนั้น การรายงานเท็จตอนรายงานการออกเดินทางไกลไปสำรวจจึงเป็นเรื่องที่จะต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด ยิ่งถ้าหากคำพูดเกินจริงแพร่สะพัดออกไป อีกทั้งเรื่องโกหกนั้นถูกเปิดเผยออกมาจากองค์กรตรวจสอบ ก็จะไม่สามารถหาหนทางแก้ปัญหาได้เลย 

บางทีผมในตอนนี้ก็น่าจะกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์คล้ายๆ กัน นั่นก็คือการบุกรุกหุบเขามายาซึ่งเผ่าที่มีชื่อเสียงพอสมควรก็ยังล้มเหลวกันมากมาย แต่เผ่าที่อยู่ในแรงก์ D Zero แถมผู้เล่นในเผ่าก็ยังเป็นผู้เล่นใหม่ กลับเข้ายึดมันสำเร็จ 

ถ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็น่าจะถูกซักไซ้จนละเอียดยิบ แต่ไม่รู้ทำไม เจ้าหน้าที่หญิงจึงเพียงแค่รับฟังคำพูดของผมแล้วจดบันทึกอย่างสุขุมเท่านั้น บางทีน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของอีสตันเทลลอว์และอิทธิพลของผู้เล่นที่น่าจะกำลังรับการรักษาอยู่ที่ไหนสักแห่งในแท่นบูชา 

แพคฮันกยอลดูกระวนกระวายใจ แต่ผมกลับรู้สึกอุ่นใจพอสมควรแล้วเล่าเรื่องต่อไป 

“…พวกยูนิคอร์นให้พวกเราลงตรงสุดชายขอบของที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน พวกเราจึงกลับเข้าเมืองมาได้ครับ จบการรายงานครับ” 

จากนั้นผมจึงรายงานการเดินทางไกลเสร็จสิ้นลงได้โดยใช้เวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมง พอหลุบตาลงเล็กน้อยก็ได้เห็นบันทึกที่ถูกเขียนจนแน่นขนัดวางซ้อนกันไว้อย่างเรียบร้อย ถ้าเขียนถึงขนาดนั้นก็น่าจะเจ็บมือบ้าง แต่เจ้าหน้าที่หญิงกลับยังคงสภาพสีหน้าเหมือนในตอนแรกไว้ได้โดยใบหน้าไม่บิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย เธอกัดปลายปากกาขนนกแล้วพึมพำเบาๆ จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางพยักหน้า 

“ฟู่ ยอดเยี่ยมเลยค่ะ” 

“เหนื่อยหน่อยนะครับ” 

“นี่เป็นงานของฉันนะคะ ยังไงก็เถอะ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ตรงกลางๆ มีส่วนที่ไม่เข้าใจอยู่สองสามส่วนด้วย…” 

“ส่วนไหนครับ” 

“ไม่ค่ะๆ ตอนรายงาน คุณอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องไปแล้ว คุณบอกว่าเหมือนจะถูกไล่ตามใช่ไหมคะ” 

ผมพยักหน้าอย่างสุขุม เจ้าหน้าที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดแล้วควงปากกาขนนกไปด้วย 

“เรื่องอื่นๆ พอที่จะพิสูจน์ได้เพราะมีพวกผู้เล่นที่รอดชีวิตกลับมากับการเป็นพยานของอีสตันเทลลอว์ แต่ว่าเรื่องนี้…” 

“ไม่ใช่เรื่องโกหกครับ พวกเราน่าจะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้บนเส้นทางที่ผ่านไปน่ะครับ” 

“ฉันไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องโกหกค่ะ เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าไม่สามารถปล่อยข้ามไปได้อย่างไม่รอบคอบใช่ไหมล่ะคะ และเมอร์เซนต์นารี่ก็เป็นเผ่าที่รับมอบหมายงานจากอีสตันเทวลอว์ไปด้วย การที่บอกว่าไล่ตามคนที่ได้รับมอบหมายงานแบบนั้นหมายความว่าเสี่ยงด้วยเกียรติยศของโมนิก้าโดยตรงเลยนะคะ ถึงไม่ใช่อย่างนั้น ช่วงนี้…” 

เจ้าหน้าที่เลียริมฝีปากหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา 

“ยังไงก็ตาม ฉันจะลองทำการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษและจะรายงานต่ออีสตันเทลลอว์ด้วยค่ะ แน่นอนว่าจะติดต่อไปหาลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ด้วยค่ะ” 

“ดะ เดี๋ยวสิ ยังไงก็น่าจะยุ่ง ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาด…” 

“เผ่าอีสตันเทลลอว์มีความสนใจในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เป็นอย่างมากค่ะ อย่ามองว่าเป็นภาระเลยนะคะ เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วค่ะ ยังไงก็ตาม ยินดีที่ทำภารกิจและออกเดินทางสำรวจได้สำเร็จนะคะ ฉันจะตั้งองค์กรตรวจสอบ อย่างเร็วก็วันนี้ อย่างช้าก็ภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ ถ้าเป็นผลงานระดับนี้ก็น่าจะรอคอยหลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบได้นะคะ” 

‘พูดเร็วชะมัดเลยแฮะ’ 

ผมเตรียมใจมาพอสมควรเกี่ยวกับส่วนที่อาจจะถูกยื่นคัดค้านได้ แต่กลับไม่ได้รับการคัดค้านอย่างน่าตื่นเต้น(?)แบบนี้ ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ผมก็รู้สึกห่อเ**่ยวเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไร อะไรที่ว่าดีก็ย่อมดี ถ้ารับฟังด้วยความสนใจในแง่ดีก็จบแล้ว ผมพูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้แค่รอฟังผลเงียบๆ ก็พอ 

“ทราบแล้วครับ ถ้างั้นผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ ฮันกยอล ลุกได้แล้ว” 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” 

ในตอนที่กำลังจะลุกจากที่ คำพูดของเจ้าหน้าที่ก็รั้งผมเอาไว้ แพคฮันกยอลซึ่งลุกขึ้นตามผมกลับหยุดชะงักไปในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน 

“เช้าวันนี้มีการติดต่อมาจากอีสตันเทลลอว์ค่ะ” 

“ครับ” 

“บอกว่าถ้าวันนี้พอจะมีเวลาก็อยากจะขอพบลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่หน่อยน่ะค่ะ” 

“ฮ่าๆ ทราบแล้วครับ” 

อย่างไรก็จำเป็นจะต้องไปหาสักครั้งอยู่แล้ว พอผมพยักหน้าอย่างยินดี ถึงแม้จะแค่นิดเดียวแต่มุมปากของเจ้าหน้าที่ก็ยกยิ้มขึ้น พอเห็นภาพนั้นแล้ว ผมจึงคาดเดาความสัมพันธ์ของแท่นบูชากับอีสตันเทลลอว์ในตอนปกติได้ 

“วันนี้น่าจะยากหน่อยนะคะ เพราะมีเรื่องที่จะต้องทำเป็นพิเศษอีก พรุ่งนี้ฉันจะไปพบที่นั่นด้วยตัวเองค่ะ” 

“ครับ” 

ผมรายงานการออกเดินทางสำรวจเรียบร้อยแล้วจึงพาแพคฮันกยอลไปยังร้านเหล้า ‘บินไปสิเจ้าลูกเจี๊ยบ’ ตอนแรกผมคิดว่าจะซื้ออาหารข้างทางแล้วไปดูด้านในแคลนเฮาส์พร้อมกับกินไปด้วย แต่เพราะการรายงานการออกเดินทางไปสำรวจดันเสร็จเร็วกว่าที่คิด ผมจึงตัดสินใจว่าจะกินมื้อเย็นก่อนเวลา 

โครงสร้างภายในมองอย่างไรก็ดูหรูหรา อีกทั้งพนักงานที่นี่ยังทำให้นึกถึงคนรับใช้ของประเทศทางฝั่งตะวันตก แพคฮันกยอลก็คงมาที่แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาจึงมีท่าทีระแวดระวังไปหมด 

จากนั้นบริกรชายก็เริ่มนำอาหารที่สั่งมาวางลงบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ผมให้เหรียญเงินหนึ่งเหรียญเป็นทิป จากนั้นพวกเราจึงทานอาหารไปพร้อมๆ กับพูดคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ 

“อันฮยอนกับยูจองชมนายบ่อยมากเลยนะ” 

“แหะๆ พี่ก็…อ๊ะ ขะ ขอโทษครับ” 

“ไม่เป็นไร ตอนนี้นายก็เป็นสมาชิกเผ่าของพวกเราเหมือนกันนะ ตอนอยู่กันสองคนจะเรียกว่าพี่ก็ได้” 

“ขอบคุณครับ” 

“ขอบคุณอะไรกัน ว่าแต่มองดูนายเมื่อกี้แล้วเหมือนจะตัวแข็งทื่อเชียว เจ้าหน้าที่น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” 

แพคฮันกยอลบิขนมปังอุ่นๆ จุ่มลงในซุป แล้วจากนั้นคงจะนึกถึงเจ้าหน้าที่หญิงซึ่งเป็นชาวเมืองคนนั้น ตัวของเขาจึงสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง 

“ก็แค่ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุตอนเห็นครั้งแรกน่ะครับ ท่าทางก็ดูหยิ่งๆ อีก” 

“ฮ่าๆ ปกติพวกชาวเมืองที่ได้รับอำนาจและสิทธิก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราตัดสินพวกเขาจากท่าทางภายนอกแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือพวกเรา” 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอาแต่ทำท่าทางแบบนั้นแล้วจะไม่ทำให้เกิดเรื่องขัดหูขัดตากันกับผู้เล่นเหรอครับ” 

“ก็ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่เสียสติทำแบบนั้นน่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ พวกเรามีความสัมพันธ์กับพวกชาวเมืองแบบอยากจะตีก็ตีไม่ได้น่ะสิ ยิ่งสนิทสนมกันมากเท่าไร การทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น แล้วถ้ากลายเป็นตรงกันข้ามกับแบบนั้นจะเป็นยังไงล่ะ” 

“ก็ต้องไม่สะดวกสบายมากขึ้นน่ะสิครับ” 

‘ถึงแม้แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ใช้ได้แค่กับพวกมีประโยชน์ก็เถอะ’ 

ผมนึกถึงมิวล์แล้วพึมพำขึ้นมาในใจ แพคฮันกยอลทำแก้มป่องพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงัก พออยู่กับผมเพียงสองคนหลังจากไม่ได้อยู่แบบนี้มานานก็คงนึกถึงสถาบันผู้เล่น ผมจึงได้เห็นท่าทางที่ไม่เคยได้เห็นหลังจากเข้าร่วมเมอร์เซนต์นารี่อยู่บ้างเป็นครั้งคราว 

แพคฮันกยอลน่ารัก จู่ๆ ผมก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอย่างแรงกล้า สันจมูกโด่งกับดวงตาที่เหมือนกับกลุ่มดาวนับล้าน ใบหน้าที่ดูสุภาพอ่อนโยน และกระทั่งท่าทางที่กำลังเคี้ยวอาหารหนุบหนับๆ พร้อมกับขยับริมฝีปากสีชมพูขึ้นลงนั้นด้วย ขนาดบริกรยังเหลือบมองเขาแล้วถึงกับพูดว่า ‘ถ้างั้นขอให้เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารนะครับ’ เลย 

“แหะๆ อร่อยจังนะครับ พี่” 

“หืม อ้อ กินเยอะๆ นะ” 

“ครับ พี่ก็ทานเยอะๆ นะครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด