Memorizeเล่มที่ 17 27

Now you are reading Memorize Chapter เล่มที่ 17 27 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 27
โดย

แต่น้ำเสียงของชินซังยงก็ฟังดูจริงจังเกินกว่าที่ผมจะพูดอะไรได้ การฟังเขาเงียบๆ คือทางเลือกเดียวที่ผมสามารถทำได้ในเวลานี้

“แต่แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ นั่นคือคลาสหายาก ของขวัญนั้นทำให้ผมที่เคยเป็นผู้เล่นที่ไร้ประโยชน์ ดูเหมือนจะมีประโยชน์ขึ้นมา ผมปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปไม่ได้ จึงคว้ามันเอาไว้ และแคลนลอร์ดเองก็อนุญาตให้ร้องขอในสิ่งที่มากเกินไปได้ด้วยครับ และผมยังคงจำคำปฏิญาณที่ได้เคยให้ไว้เมื่อครั้งได้รับคลาสหายากได้อยู่เลยครับ ว่าจะไม่ลังเลที่จะทำ”

“ผู้เล่นชินซังยง ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดนะ แต่ช่วยฟังก่อนสักนิด จริงๆ แล้วนั้นคุณก็จะเข้าร่วมในสงครามเช่นกันนะครับ เพียงแค่คอยช่วยเหลือในการป้องกันอยู่ที่เมืองเท่านั้นเอง ได้รับหน้าที่ในแบบที่ต่างออกไปครับ”

“ผมไม่ต้องการหลบอยู่อย่างขลาดกลัวนะครับ ผมตัดสินใจแล้วว่าอยากจะให้โอกาสตัวเองผ่านสงครามครั้งนี้ครับ”

“โอกาสเหรอครับ”

ในแวบแรก นัยน์ตาของชินซังยงปรากฏแววเด็ดเดี่ยวขึ้นมา ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“แคลนลอร์ด ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว ผมอยากเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพครับ”

“ตอนนี้คุณก็ช่วยเหลือได้มากแล้วครับ นอกจากนั้นไม่ว่าใครก็อยากอยู่ในตำแหน่งของคุณชินซังยง…”

“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้นครับ”

แม้ว่าน้ำเสียงของชินซังยงจะนิ่งเฉย แต่ผมสามารถบอกได้ว่าเขามั่นใจกับความคิดตนเองมากทีเดียว

“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เราจะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเมื่อนานมาแล้วนะครับ”

“…”

“ผมพูดจริงนะครับ ผมอยากให้การมีตัวตนของผมถูกใช้เพื่ออะไรสักอย่าง และถ้ามีอะไรที่พอเป็นประโยชน์ได้ก็จะดีครับ เพื่อสิ่งนั้นแล้วผมจึงตั้งใจเตรียมตัวมาตลอดครับ แคลนลอร์ด หากคุณเป็นห่วงผมจริงๆ และหากคุณจะให้โอกาสนี้กับผมอีกสักครั้ง ผมจะขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ”

หลังจากที่พูดทุกอย่างออกมาจนหมดแล้ว ชินซังยงก็หยุดหายใจและปล่อยไหล่ให้ลู่ตกลง

ผมเองก็พูดไม่ออกไปครู่หนึ่งเช่นกัน พูดตามจริงแล้วในตอนแรกผมคิดแค่ว่าเขาจะมาขอโทษเพื่อลดความละอายหรือความบ้าบิ่นของเขาลงเท่านั้น แต่หลังจากที่ผมได้รับฟังคำพูดที่จริงใจของชินซังยง ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าเขาคิดมากขนาดไหนและต้องกัดฟันทนมามากเพียงใด

ผมจ้องมองดูชินซังยงอยู่เงียบ ๆ แม้ผมจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่ผมเข้าใจ เพราะผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมคิดว่าในตอนนี้ชินซังยงเองก็มีส่วนช่วยมามากพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำจนเกินตัว ผมเก็บคำตอบที่คิดจะพูดกับเขาในตอนแรกลงไปจนลึกสุดใจ ในตอนนี้ผมยอมรับจนหมดใจเลยว่าไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบใดก็อาจสร้างแผลใหญ่ให้กับชินซังยงได้ทั้งนั้น

ผมหยุดเคาะนิ้วกับโต๊ะแล้วส่งมือไปทางเขาก่อนจะพูดขึ้นมาช้าๆ

“ก็ได้ครับ หากคุณยึดมั่นขนาดนั้นแล้ว ผมจะอนุญาตให้เข้าร่วมสงครามได้ครับ”

“คะ แคลนลอร์ด!”

“กำหนดการออกเดินทางจะยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยนะครับ”

ทันใดนั้นชินซังยงก็เผยรอยยิ้มยินดีก่อนจะจับมือผมเอาไว้

แม้จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียว แต่ผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากมือของเขาได้

 เช้าวันต่อมา ความมืดมิดของค่ำคืนที่ผ่านมาสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงยามเช้าที่สดชื่นและแจ่มใส ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า แต่สภาพอากาศกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังอำนวยอวยพรให้กับหนทางในอนาคตของเมอร์เซนต์นารี่

การเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือการเดินทางไปยังพรินซิก้าและกระโจนเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัวเท่านั้น

คาลิโก อาบรักซัส, เกียรติยศแห่งวิคตอเรีย, เกียรติยศแห่งสวรรค์, เกียรติยศแห่งตะวัน, ร์โธรส ลอง บู๊ทส์, เสื้อโนเบิลมิธริล, เสื้อคลุมของอัศวินมังกรสีน้ำเงิน, ใบโคลเวอร์สี่แฉก, TOPG

หลังจากตรวจสอบอุปกณ์เป็นครั้งสุดท้ายผมก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเข้าไปในสวน สมาชิกประมาณสิบคนกำลังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบร้อยอยู่ด้านหน้าประตูหน้า สมาชิกที่เหลือและเหล่าลูกจ้างยืนอยู่รอบๆ และยังมียูนิคอร์นน้อยอยู่อีกหนึ่งตัวด้วยกัน

ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินข้ามไปยังทางเข้าที่กำลังต้องแสงตะวันทันที

ปัจจัยใดที่จะเป็นตัวกำหนดการแพ้ชนะในโลกที่เรียกว่า ‘ฮอลล์เพลน’ แห่งนี้กัน?

แม้จะมีปัจจัยและตัวแปรมากมาย แต่ผมคิดว่าจำนวนของ ‘นักเวท’ นั้นมีอิทธิพลมากที่สุด

ชีวิตในฮอลล์เพลนมีเพียงแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น ดังนั้นนักเวทที่สามารถแสดงพลังเปลวเพลิงอันทรงพลังในระยะไกลได้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นคลาสที่สูงที่สุดในสงคราม

เมื่อมีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นสามารถแสดงพลังเพลิงออกมาได้แข็งแกร่งเพียงใด และสามารถสกัดเวทที่แผ่เข้ามาได้มากขนาดไหน หากสามารถถือไพ่เหนือกว่าได้ด้วยสองอย่างนี้ สงครามนั้นจะเป็นสงครามที่จะมีโอกาสชนะถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์หรือมากกว่านั้น

และบทบาทที่สามารถพลิกภาวะสงครามให้เป็นเช่นนั้นได้ ก็คือคลาสลับและคลาสหายากนั่นเอง

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม สภาพการณ์ของสงครามที่กำลังเกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้นับว่าเกือบจะเหมือนกันเลยทีเดียว

สายใกล้เคียงกันจะคอยคุ้มกันเหล่านักเวท ในขณะที่พวกนักเวทใช้เวทโจมตีเข้าไปยังค่ายของศัตรูอย่างเต็มกำลัง ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่กันที่ผู้เล่นสายใกล้เคียงกันจะเลิกคุ้มกันแล้วก้าวออกมาข้างหน้า

ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ผู้เล่นสายใกล้เคียงกันจะก้าวออกมาด้านหน้าโดยตรงทั้งในเวลาที่เรามั่นใจในชัยชนะ ไปจนถึงเวลาที่จำเป็นต้องไล่ตามศัตรูอย่างรวดเร็ว

ยูนิคอร์นน้อยทำตัวไม่ดีบ้างเป็นครั้งคราวตั้งแต่งานชุมนุมเมื่อครั้งก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม ยูนิคอร์นน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของแพคฮันกยอลตอนนี้ ดูไม่ค่อยสบายใจต่างกับเมื่อก่อน สายตาของมันกำลังแสดงความหวั่นวิตกเพราะรับรู้บรรยากาศที่หนักอึ้งซึ่งล่องลอยอยู่ระหว่างเหล่าสมาชิกได้

ฮี้!

เมื่อมาถึงยังประตูหน้า ยูนิคอร์นน้อยที่ถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนอยู่ในอ้อมแขนของแพคฮันกยอลก็ตะเกียกตะกายออกมาแล้วรีบวิ่งมาทางผม

ผมหยุดคอยมัน ก่อนจะค่อยๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เมื่อครั้งก่อนผมหายไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำและได้ยินมาว่ามันไม่กินข้าวเลยแม้แต่คำเดียว ดังนั้นตอนนี้ผมคิดว่าผมจำเป็นจะต้องบอกกับมันให้ชัดเจนก่อนที่ผมจะไป

“เด็กน้อย ช่วงนี้เราคงต้องแยกจากกันสักพักนะ”

ฮี้…

“ฉันขอโทษจริงๆ ที่ครั้งก่อนไม่ได้บอกลา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ฉันลืมไปเสียสนิท จริงๆ นะ”

ฮี้ ฮี้ ฮี้

ทันทีที่ผมลูบหัวเพื่อปลอบโยน ยูนิคอร์นน้อยก็ส่ายหัวไปมาก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผม ดวงตาปริ่มน้ำตาของมันเหมือนจะระเบิดร้องไห้อยู่รอมร่อ

ต้องรีบไปเสียแล้วสิ

เมื่อคิดดังนั้นผมก็ลุกขึ้นยืนพลางลูบหัวเจ้ายูนิคอร์นน้อยอีกสามสี่ครั้งเป็นการส่งท้าย

“เอาล่ะ ฉันจะกลับมาแน่ถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้างก็ตาม ระหว่างนี้ต้องกินข้าวแล้วก็เชื่อฟังดีๆ ด้วยนะ เข้าใจไหม”

ฮี้ ฮี้ฮี้

งั่บ

เมื่อผมหันกลับไป เจ้ายูนิคอร์นน้อยก็ตามมางับข้อเท้าผมอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นการบอกว่า ‘ต่อไปนี้ข้าจะเชื่อฟังท่าน อย่าไปเลย’ แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถบอกกับมันได้ว่าผมจะไม่ไปและก็ไม่สามารถพามันไปกับผมได้ด้วย

“ถ้ากลับมาแล้ว จะตั้งชื่อให้นะ”

หลังจากพูดจบผมก็ถอยหลังไปช้าๆ และในที่สุดเสียงคร่ำครวญที่แสนเปราะบางก็ดังแว่วมาให้ผมได้ยิน

หลังจากก้าวขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าสมาชิกด้วยหัวใจที่หนักอึ้งแล้ว ผมก็ค่อยๆ กวาดสายตามองใบหน้าของทุกคนโดยรอบช้าๆ

แม้ว่าบางคนจะดูสบายๆ เหมือนอย่างโกยอนจู แต่ก็ยังมีสมาชิกอีกจำนวนมากที่ยังมีสีหน้าวิตกกังวล

ผมควรจะพูดอะไรต่อหน้าพวกเขาดี

แม้ผมจะกังวลใจไปพักหนึ่งแต่ผมก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้มันยืดเยื้อจนเกินไป ผมไม่มีความคิดจะใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อปลุกขวัญกำลังใจหรอก เพราะจู่ๆ ผมก็คิดว่ามันคงดีกว่าถ้าผมจะพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูด

“ไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะกินเวลานานเพียงใด มันอาจจะจบลงในระยะเวลาอันรวดเร็วก็ได้ หรืออาจจะยืดเยื้อนานมากกว่าที่เราคิดไว้ก็ได้เช่นกัน”

“…”

ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา สมาชิกทุกคนต่างมีสมาธิจดจ่ออยู่กับคำพูดของผม

“แต่ไม่ว่าจะกินเวลานานกี่เดือนก็ตาม ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมต้องการ เมื่อสงครามจบลงและเราได้มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง หวังเพียงว่าจะได้เห็นสมาชิกทุกคนกลับมาโดยสวัสดิภาพนะครับ”

ระหว่างที่ผมกำลังพูดอยู่นั้นเอง ใบหน้านิ่งเฉยของชินซังยงก็เข้ามาในสายตา จู่ๆ ผมก็เห็นเขาหันไปมองทางตึกแล้วหันกลับมามองเบื้องหน้าอีกครั้งด้วยใบหน้าว่างเปล่า

เมื่อกี้ชินซังยงกำลังคิดอะไรกันแน่นะ

“ผมจะไม่พูดยาวไปมากกว่านี้แล้ว สุดท้ายนี้ขอขอบใจทุกคนที่ทำตามการตัดสินใจของผมโดยไม่คัดค้านใดๆ นะครับ”

ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าคำพูดของผมนั้นจะมีผลอย่างไรต่อเหล่าสมาชิกบ้าง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือผมได้เปิดเผยความจริงในใจผมออกไปให้ทุกคนได้รับรู้แล้ว นอกเหนือจากการเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้แล้วนั้น ผมหวังจริงๆ ว่าสมาชิกทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัย

“ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลยครับ”

การร่ำลาทุกอย่างเรียบร้อยและก็ได้พูดทุกสิ่งที่อยากจะพูดไปหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะรอช้าอยู่อีกต่อไป ผมหันไปอย่างไม่รีรอแล้วเดินผ่านประตูหน้าออกไป

หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าของคนกว่าสิบคนที่ดังตามมาจากข้างหลังของผมก็ดังก้องไปทั่วทั้งแผ่นดิน

หลังออกจากประตูหน้าของแคลนเฮาส์เราก็เดินทางไปยังพรินซิก้าโดยผ่านทางวาร์ปเกต

โดยภาพรวมแล้วพรินซิก้าและโมนิก้านับว่ามีบรรยากาศที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แม้แต่ที่นี่เองก็มีกลิ่นอายของสงครามแผ่เข้ามาปกคลุมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของผู้เล่นที่อยู่บริเวณโดยรอบที่แสดงออกมานั้นค่อนข้างแตกต่างกับของผู้เล่นของโมนิก้า ในทางตรงข้ามกัน ท่าทีด้านบวกกลับแข็งแกร่งมากจนดูมั่นใจว่าเราจะชนะสงครามนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขแน่นอน

ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านั้น ผมนำสมาชิกมุ่งตรงไปยังเผ่าแฮมิล เพราะได้มีการติดต่อมาล่วงหน้าแล้วพี่จึงออกมาต้อนรับผมด้วยความยินดีพร้อมกับสมาชิกเผ่าแฮมิลที่ติดตั้งอุปกรณ์เป็นอย่างดีแล้วเรียบร้อย คนดูเยอะกว่าครั้งที่แล้วที่ผมมา อาจเพราะพี่เรียกสมาชิกที่ส่งไปทำงานนอกสถานที่กลับมาหมดแล้ว

“ซูฮยอน กินข้าวมาหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว พี่น่ะรีบๆ พูดเรื่องการจัดทัพมาเถอะ”

“ไอ้หนูเอ๊ย นึกไว้แล้วเชียว อย่างนั้นก็รอแป๊บนึงนะ”

พี่หัวเราะอย่างขมขื่นเพราะคำพูดเฉียบขาดของผมก่อนจะหันไปสั่งลูกจ้างให้นำทางสมาชิกเผ่าของเมอร์เซนต์นารี่ไป ส่วนผมก็เดินขึ้นบันไดตามพี่ไปหลังจากที่ได้นัดหมายกับเหล่าสมาชิกแล้วว่าหากคุยเสร็จแล้วผมจะตามพวกเขาไป

หลังจากนั้นพี่ก็พาผมมาที่ห้องทำงานชั้นสาม และที่นั่นเอง ผมก็ได้พบกับบุคคลที่ผมคาดไม่ถึง

“ไม่เจอกันนานเลยน้า~”

อีฮโยอึลนั่งไขว่ห้างโบกมือไหวๆ อยู่บนโซฟาภายในห้อง

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่พี่ แต่พี่กลับส่งสายตาทีเล่นทีจริงกลับมาให้เป็นสัญญาณว่าแม้ผมจะไม่พอใจแต่ก็ช่วยทนไปก่อนสักหน่อย

“เธอมาทำอะไรที่นี่”

“หะ หืม?”

ผมบ่นพึมพำก่อนนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามหล่อน และทันทีที่ผมเปิดปากถาม รอยยิ้มอ่อนโยนของอีฮโยอึลก็ถูกลบออกไปก่อนหล่อนจะตอบกลับมาด้วยความไม่เต็มใจ

“แล้วจะทำไม! ฉันยังเป็นสมาชิกของแฮมิลอยู่ ฉันก็ต้องอยู่ที่นี่น่ะสิ และก็อยากอธิบายเรื่องการจัดทัพให้นายฟังด้วย…”

“…”

“ถะ ถ้าไม่พอใจฉันไปก็ได้นะ”

เมื่อผมพยายามจะตอบ ‘อืม’ ไปด้วยเสียงยินดี พี่ก็เดินเข้ามาด้านในพอดี

“ซูฮยอน การจัดทัพครั้งนี้มีความคิดของเธออยู่เยอะมากทีเดียว ดังนั้นเธอจะสามารถอธิบายให้นายฟังได้ละเอียดกว่าพี่น่ะ”

คำพูดของพี่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในยามสงครามการทำตามการควบคุมในเบื้องต้นนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นทหารรับจ้างอิสระก็ไม่สามารถละเว้นได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เพราะยังมีเรื่องการจัดทัพของเราอยู่ ผมจึงอยากพักความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้แล้วตั้งใจฟังอีฮโยอึลก่อน

“อะแฮม ถ้าอย่างนั้นเข้าเรื่องเลยนะ ไม่มีปัญหาเนอะ”

อีฮโยอึลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงขึ้นหลังจากยืนยันปฏิกิริยาของผมเป็นที่เรียบร้อย

ผมพยักหน้าให้หล่อนเบาๆ

อีฮโยอึลอธิบายเสียยืดยาวน้ำท่วมทุ่ง แต่เมื่อลองมาสรุปดูแล้วก็มีแค่นี้เท่านั้น

ในครั้งนี้มีกำลังพลจากทางตะวันออกเข้าร่วมทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นหกพันคนและเราวางแผนจะแบ่งกองกำลังออกเป็นสี่กองเท่าๆ กันเป็นทัพเหนือ, ใต้, ออก และตกแล้วบุกเข้ายึดในเวลาเดียวกัน ถ้าหากการเข้าโจมตีล่าช้า เราจะเข้าร่วมกับทัพของทางใต้และทางเหนือที่ทำหน้าที่คุ้มกันวาร์ปเกตของเมืองอยู่และเข้าโจมตีอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด