Memorizeเล่มที่ 20 24

Now you are reading Memorize Chapter เล่มที่ 20 24 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผมตอบออกไปอย่างนิ่งเฉยก็จริง แต่ข้างในใจกลับเต้นโครมคราม แล้วก็รู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงได้กวาดสายตามองหาขวดเหล้าอีก สถานการณ์ในขณะนี้คือ เรื่องที่ผมได้เล่าออกไปหมดทุกอย่าง มันพังทลายไปหมดแล้วล่ะ

“งั้น”

“พี่บอกว่า อย่ามาช่วยพี่ แล้วก็บอกให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อ แล้วจงเดินไปให้ถึงสุดทางให้ได้”

โฟ่ว! โฟ่ว!

วินาทีนั้น เวลาของคริสตัลแห่งความสัตย์จริงก็ได้หมดลงพร้อมกับคำถามสุดท้ายจากพี่ชาย

ผมคิดว่า ตอนนี้คงหมดเวลาแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ผละมือออกจากคริสตัลลูกใสอย่างช้าๆ และเบามือที่สุด ก่อนที่จะหันหน้าไปเจอเข้ากับพี่ชายที่ยืนตัวตรงแน่ว และตอนนี้เขาก็กำลังสาวเท้าเข้ามาหาผมอีกด้วย

ในขณะที่ผมกำลังจะลอบสังเกตใบหน้าของพี่เขาอยู่นั่นเอง

เพล้ง!

“…!”

“นี่…”

มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย

ผมก้มหน้ามองด้วยความงุนงง แล้วก็ได้เห็นคริสตัลแห่งความสัตย์จริงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้นเบื้องล่าง วินาทีนั้น ผมสับสนวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ใดๆ ได้เลย แต่แล้วช่วงเวลาที่ผมได้เห็นหน้าพี่ชายอีกครั้งหนึ่งนั้นเอง จู่ๆ ผมก็เผลอหยุดหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

พี่ชายก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับผมเช่นกัน

สีหน้าของพี่เขาดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้วพอพี่เขาได้เห็นหน้าผมอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงรีบปิดปากฉับลงทันที สีหน้าของเขาดูสับสนเป็นอย่างมาก อารมณ์ต่างๆ ที่ยากเกินบรรยายฉายให้เห็นเด่นชัดอยู่ในใบหน้าของพี่

ในตอนนั้น พี่ผมได้พูดออกมาว่า

“ทำไม… ทำไม…”

“ทำไม…เป็นแบบนั้นไปล่ะ”

ผมรีบตีสีหน้าให้กลับมานิ่งเฉย จริงๆ แล้วตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบไหนกันแน่ สีหน้าของผมแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่ พี่ชายถึงได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาเช่นนั้น

“อะ อึ๊ก!”

พี่ชายดูเหมือนจะพูดอะไรออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายเขากลับร้องโอดโอยเบาๆ ออกมา เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้ และจู่ๆ ก็นั่งตัวคด ตัวงออยู่กับพื้นห้องอย่างกะทันหัน พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม

“อะ…ไอ้บ้าเอ๊ย!”

น้ำเสียงที่เค้นออกมาจากลำคอได้อย่างหวุดหวิด และเสียงสั่นพร่าของเขาเช่นนั้น ก็ทำให้ผมรู้โดยสัญชาตญาณทันที พี่เขายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่อยากจะเล่าให้ผมฟัง แต่สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดเหล่านั้นล้วนถูกบีบอัดให้เหลือเพียงคำนั้น เพียงแค่คำสั้นๆ คำเดียว

และแล้วผมก็รู้สึกได้ถึงมือนุ่มๆ อันแสนอบอุ่นของพี่ชายที่วางทับอยู่กลางหน้าผาก

วินาทีนั้นเอง

“…ที่ผ่านมา นายเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”

ผมได้ยินเช่นนั้น จึงรีบกัดฟันโดยเร็ว ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างของพี่ชายก็ค่อยๆ เริ่มออกอาการสั่นไหวน้อยๆ ขึ้นมา ผมจึงรีบหลับตาลงโดยอัตโนมัติ

ผมไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าตอนนี้ผมรู้สึกเช่นไร เพียงแค่รู้สึกว่า ประโยคนั้นประโยคเดียวที่พี่ชายผมพูด มันได้ตอบแทนในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเผชิญหน้ามาตลอดระยะเวลาสิบปี ตอบแทนในทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ และทุกความเจ็บปวด

ตอนนี้ดูเหมือนผมจะพอเข้าใจอารมณ์ของพี่ชายตัวเองเมื่อครู่ก่อนหน้าสักเล็กน้อยแล้วล่ะ ถึงจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันเป๊ะๆ ก็เถอะ ไม่สินะ ถึงจะรู้สึกตรงกันข้ามกับเขาก็ช่างเถอะ

ผมพยายามข่มทุกคำพูด ทุกประโยคที่ตัวเองอยากจะพรั่งพรูออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะพูดออกไปสั้นๆ ว่า

“ไม่หรอก ผมไม่เป็นไร”

หลังจากพูดจบ ผมก็รู้สึกได้ถึงมือของอีกฝ่ายที่ค่อยลูบปลอบประโลมผมอย่างอ่อนโยน ผมจึงลืมตาขึ้นมา พอเห็นภาพสั่นไหวยังคงปรากฏอยู่ให้เห็นดังเดิม จึงได้ยอมหลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง

ผมรับรู้ได้ถึงพลังสายตาของพี่ชายที่สอดส่องผมทั่วทุกส่วนอยู่พักใหญ่ พร้อมกับอ้อนวอน ภาวนากับตัวเองว่าขอให้เวลาเดินผ่านไปเร็วๆ เสียทีจะได้ไหม และในขณะเดียวกันก็อยากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไปอีกหน่อยด้วย

ในห้วงอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาตรงข้ามกันเช่นนั้น ผมก็คิดอะไรบางอย่างออกมาว่า

การยอมสารภาพความจริง แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่การเลือกที่เลวร้ายเสมอไป

เข้าสู่ช่วงเย็น

ดวงอาทิตย์ที่ลอยตระหง่านอยู่กลางฟากฟ้า ตอนนี้กลับเริ่มซ่อนตัวอยู่หลังเมฆแล้ว สายลมเย็นแปรเปลี่ยนมาเป็นสายลมอุ่นๆ พัดผ่านร่างกาย จู่ๆ ผมก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เห็นทีคงจะเป็นเพราะลมที่พัดพามาจากเมืองเป็นแน่

เวลาผ่านไปได้สามเดือนหลังสงครามยุติลง

โมนิก้าเป็นเมืองหนึ่งเลี่ยงจากภัยสงครามได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สามารถฟื้นฟูให้สภาพเมืองกลับมาเป็นดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งได้ไปผนึกกำลังรวมกับความพยายามอันหาญกล้าของอีสตันเทลลอว์ด้วยแล้ว จึงทำให้บ้านเมืองในขณะนี้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

พอผมได้มาคิดถึงเรื่องนี้ดูแล้ว ก็พบว่าฮันโซยองช่างเป็นผู้เล่นที่สุดยอดเกินคนจริงๆ หล่อนสามารถจัดการจลาจลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้อยู่หมัด แถมยังใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาตัวเมืองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นด้วย

จังหวะนั้นเอง ผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแหวกอากาศอย่างรุนแรงดังแว่วเข้ามาในหู ผมจึงค่อยๆ หันหน้าไปมองยังต้นเสียง แล้วจึงได้พบเข้ากับอันฮยอน เขาถอดเสื้อคลายร้อน พร้อมกับกำลังฝึกร่ายรำหอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงหอกดังแหวกอากาศนั้นดูคล่องแคล่วไม่ใช่เล่น ท่าทางของเขาก็ไม่ได้ดูแย่อะไร เขาตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก แทบไม่ได้พักผ่อนเลยหลังจากวันนั้นมา ดูเหมือนว่าความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

อันฮยอนเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนักหน่วงอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เขาพยายามรักษาท่าทางไว้ให้มั่น พลางยืนเอียงคอสงสัยอะไรบางอย่าง ท่าทางดูเหมือนยังมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางพอกับการเป็น ‘มือหอกจี้กง’

เขาคงรู้สึกได้ถึงสายตาของผมล่ะมั้ง เพราะจู่ๆ เจ้าหมอนั่นก็รีบหันหน้าขวับ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ยืนอยู่ตรงระเบียง โอ้โฮ ตอนนี้ดูเหมือนประสาทสัมผัสของเขาไวขึ้นมากแล้วนี่

วินาทีนั้น ผมเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา จึงได้ส่งยิ้ม พลางโบกมือให้เขาอย่างอารมณ์ดี

ทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นใบหน้าอึ้งเหมือนกับตกใจ แต่แล้วเขาก็มองกลับมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ดูสงสัยอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเริ่มใช้มือเช็ดเหงื่อด้วยสีหน้าขวยเขิน

…?

ผมเห็นดังนั้นก็คิดขึ้นมาว่า ทำไมจู่ๆ เขาถึงกลายเป็นเช่นนั้นไปเสียได้ แล้วเอื้อมมือไปคว้าดาบทันที เจ้าหมอนั่นก็รีบส่ายหน้าบอกไม่ใช่ๆ เป็นพัลวัน แล้วจึงหัวเราะแหะๆ พยักหน้ากลับมาให้ผม

พอเขาส่งสัญญาณ(?)ที่ผมไม่รู้แน่ชัดว่าหมายถึงสิ่งใดมาให้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มจัดท่าทางใหม่อีกครั้ง สีหน้าดูเคร่งเครียด จริงจังมาก ผมมองอันฮยอนที่เป็นเช่นนั้น พลางพยักหน้าน้อยๆ กลับไปให้ด้วย

เขาคงโตพอที่จะลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วล่ะมั้ง

พวกเด็กๆ เริ่มแสดงความเปลี่ยนแปลงออกมาให้เห็นอย่างช้าๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์การสิ้นใจของชินซังยง แน่นอนว่าแต่ละคนล้วนมีจุดที่แตกต่างกัน แต่ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด สมาชิกเผ่าที่ดูเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าใครเพื่อน เห็นทีก็คงจะเป็นอันฮยอนนี่แหละ

ก่อนหน้านั้นผมก็พอเห็นแล้วว่าเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้หลงลืมหน้าที่ที่ตัวเองพึงกระทำไป

ผมยืนมองอันฮยอนที่กำลังฝึกร่ายรำหอกอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะหมุนกาย เดินกลับเข้าไปห้องทำงาน ผมเปิดประตูเดินออกไปตรงบริเวณทางเดิน แล้วจึงก้าวลงบันไดเพื่อไปยังโกดังเก็บของชั้นสาม

ผมคิดว่าจะลองไปจัดระเบียบให้โกดังดูสักหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้เข้าไปดูเสียเลยว่า อุปกรณ์ยังครบถ้วน อยู่ในสภาพดีเหมือนเดิมหรือไม่

ในเวลาต่อมา

เมื่อผมเดินทางมาถึงโกดังเก็บของชั้นสาม ก็ได้รู้ว่ามีใครบางคนอยู่ในนั้น ผมจึงหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ

ประตูที่ควรจะปิดให้สนิทเรียบร้อย กลับเปิดแง้มอยู่น้อยๆ แล้วผมก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างบานประตู

ผมจึงค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง แล้วก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มีของรายล้อม ผมเห็นดังนั้นจึงรีบสอดส่องสืบหาตัวจริงของอีกฝ่าย

ริมฝีปากปิดสนิท ดูแล้วแสนเย็นชาอยู่บนผิวกายขาวเนียน ทันใดนั้นเมื่อผมได้สบตาเข้ากับดวงตาคู่สวยอันแสนเย็นยะเยือก ก็จึงได้รู้ทันทีเลยว่าหญิงสาวผู้นี้คือ ฮันบยอลนี่เอง

หล่อนสะดุ้งทันทีที่เห็นผม ก่อนที่จะหลบสายตามองไปทางอื่น

“พี่นี่เอง สวัสดีค่ะ”

“อืม สวัสดี”

“คะ…คือว่า…”

“รู้แล้วล่ะ เมื่อวานท่านผู้เฒ่าบอกมา เห็นว่าช่วงนี้กำลังเรียนเกี่ยวกับอัญมณีอยู่เหรอ”

ผมจำได้ว่าเมื่อวานท่านผู้เฒ่าได้เข้ามาขอร้องให้เปิดโกดังเก็บของ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่คิดว่ามันแปลกอะไรกับการที่ฮันบยอลได้เข้ามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้

ฮันบยอลได้ยินดังนั้น จึงเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที แล้วจึงค่อยพยักหน้าตอบรับ

พร้อมกันนั้น ผมก็ปลุกพลังดวงตาที่สามในการสอดส่องข้อมูลของอีกฝ่าย

ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)

1. ชื่อ (Name) : คิมฮันบยอล (ปีที่ 1)

2. คลาส (Class) : จอมขมังเวทอัญมณี (Secret, Jewel Mage, Runner)

3. ถิ่นกำเนิด (Nation) : ทหารรับจ้างอิสระ (Free)

4. ชนเผ่า (Clan) : เมอร์เซนต์นารี่ (Clan Rank : อยู่ในช่วงประเมิน.)

5. นามแท้ · สัญชาติ : ผู้ถือกำเนิดจากดวงดาว, ผู้ดูแลแห่งแสงและความรุ่งโรจน์ · สาธารณรัฐเกาหลีใต้

6. เพศ (Sex) : หญิง (22)

7. ส่วนสูง · น้ำหนัก: 170.5 ซม. · 51.3 กก.

8. อุปนิสัย : เย็นชา · มุ่งมั่น (Cool · Effort)

-ก่อนการเปลี่ยนแปลง-

[พละกำลัง 51] [ความทนทาน 59] [ความคล่องแคล่ว 70] [ความแข็งแกร่ง 53] [พลังเวท 88] [โชค 68]

-หลังการเปลี่ยนแปลง-

[พละกำลัง 51] [ความทนทาน 59] [ความคล่องแคล่ว 71] [ความแข็งแกร่ง 54] [พลังเวท 89] [โชค 68]

(คะแนนพลังเหลือ 4 พอยต์)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด