Memorizeเล่ม 14 24

Now you are reading Memorize Chapter เล่ม 14 24 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ต่น้อย พอฟังคำพูดนั้น ผมจึงพยักหน้าให้ บางทีถ้าเปรียบเทียบกับตอนใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าสิงโตทอง ตอนนี้คงสามารถมีความสุขได้จริงๆ ถ้าเธอรู้สึกอย่างนั้นด้วยใจจริงก็เป็นตามนั้นละ 

 

“คิดดูแล้ว เธอไม่ได้รับส่วนแบ่งอุปกรณ์ในครั้งนี้นี่” 

 

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ แค่ใช้อัญมณีอย่างเดียวก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ” 

 

“รู้สึกผิดอะไรกัน แน่นอนว่าเวทอัญมณีก็ดี แต่ห้ามมองข้ามเวทสายตรงนะ รู้ใช่ไหม” 

 

“ค่ะ พี่ จะตั้งใจฝึกค่ะ” 

 

พอได้ฟังคำตอบอันชัดถ้อยชัดคำ ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังมองเด็กสาวผู้อ่อนโยน พวกเราเดินไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกอยู่พักหนึ่งแล้วผมจึงเก็บ TOPG ที่ติดตั้งเอาไว้ตรงมือซ้าย จากนั้นก็ถอดแหวนที่ส่วมไว้ตรงนิ้วนางออกยื่นให้เธอ 

 

“พี่…” 

 

“รับไปสิ มันคือแหวนที่ลงเวทแอนตี้เมจิกเอาไว้ ใช้ได้สามครั้ง ตัดรอบในหนึ่งวัน ถึงจะสู้พวกอุปกรณ์จากการออกเดินทางไกลครั้งนี้ไม่ค่อยได้แต่ก็ใช้ได้ดีทีเดียว” 

 

“มะ ไม่เป็นไรค่ะ พี่ ถ้าเป็นห่วงฉันก็ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉัน…” 

 

“รับไปเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้เจ้านี่อยู่แล้ว เคยเห็นความสามารถในการต้านทานพลังเวทของฉันไม่ใช่เหรอ” 

 

ผมกระดิกแหวนไปมาเป็นความหมายว่าให้รีบๆ รับไป แต่คิมฮันบยอลไม่ยอมยื่นมือออกมาง่ายๆ แม้ว่าจะเร่งเธออยู่สองสามครั้งแล้ว แต่เธอก็เพียงแค่กระดิกมือไปมาเท่านั้น เพราะอย่างนั้นผมจึงตั้งใจจะเอาใส่มือของเธอโดยตรง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกางมือออกกว้างเพื่อขัดขืน เพราะอย่างนั้นสุดท้ายผมจึงสวมเข้าที่นิ้วนางของเธอด้วยตัวเอง 

 

“พะ พะ พี่” 

 

“เฮ้อ จริงๆ เลย ตั้งใจจะให้แหวนวงเดียวแต่เล่นตัวซะเยอะเลยนะ” 

 

“เอ่อ อ้า อ๊ะ ขะ ขอบ…” 

 

“…” 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่คิมฮันบยอลถึงได้พูดตะกุกตะกักและหน้าแดงลามไปถึงหู ดูจากการที่เธอใช้มือขวากุมรอบมือซ้ายที่สวมแหวนในท่าทางนั้น ดูท่าจะดีใจมาก ผมมองเธอที่ก้มหน้างุดๆ อีกครั้งแล้วผมจึงยักไหล่ครั้งหนึ่ง 

 

‘ชอบมากขนาดนั้นเลยเหรอ’ 

 

 

 

ห้องฝึกศิลปะป้องกันตัวชั้นใต้ดินอันเงียบสงบ ผมค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นจึงกำมือเข้าหากันแล้วเรียกพลังเวทออกมาช้าๆ พร้อมกับรู้สึกได้ถึงพลังที่เคยหลับใหลอยู่ข้างในใจ 

 

[สวัสดี] 

 

‘ใครกันน่ะ ‘ 

 

[เจ้าโง่ ไม่รู้แม้แต่สิ่งที่อยู่ข้างในตัวแกเหรอ] 

 

‘จู่ๆ พูดขึ้นมาก็ต้องตกใจสิ’ 

 

[ไอ้โง่! นั่นเป็นเพราะแกอ่อนแอ ที่ผ่านมาก็เลยพูดอะไรไม่ได้เลยไง แล้วก็ตอนเข้ามาในตัวแกครั้งแรกก็เคยทักทายไปแล้วนะ] 

 

‘งั้นเหรอ’ 

 

 

 

คิดดูแล้ว ผมก็จำได้ว่าเป็นแบบนั้น สิ่งที่หลงเหลือไว้เป็นอย่างสุดท้ายในขั้นตอนการรับเอาฮวาจองเข้ามาก็คือเสียงกระซิบแว่วๆ ว่า ‘จะหยุดไหมล่ะ’ 

 

[ดูเหมือนจะจำได้แล้วสินะ เจ้าโง่เอ๊ย ยังไงก็ตาม ตอนนี้ก็พอใช้ได้ขึ้นมานี้ด~หน่อยแล้วนะ ถึงอย่างนั้นก็ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ เพราะยังมีความสามารถไม่พอ ถ้างั้นก็ไว้เจอกันครั้งหน้านะ~] 

 

พอสิ้นสุดคำพูดนั้น ผมก็ไม่ได้ยินเสียงกระซิบที่ได้ยินมาจากข้างในใจไปมากกว่านี้อีก ผมลองพูดทักเพิ่มไปอีก แต่สิ่งที่ย้อนคืนกลับมามีเพียงความเงียบสงบเท่านั้น พอผมเอียงหัวด้วยความสงสัยเล็กน้อยแล้วลืมตาโพลงขึ้น ผมก็มองเห็นเปลวไฟสว่างไสวที่ลุกโหมขึ้นมาอย่างโชติช่วง 

 

ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำมาเป็นพูดว่าทดสอบ แต่เพราะยังคงอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกายจึงไม่จำเป็นจะต้องระเบิดพลังออกมา 

 

พอเรียกเก็บฮวาจองกลับคืนอย่างสุขุม เปลวไฟก็ค่อยๆ หายไปช้าๆ แต่ต่อให้บอกว่าเอาฮวาจองออกไป แต่ไอของพลังเวทที่หลงเหลืออยู่ก็ยังคงคั่งค้างอยู่ตรงกำปั้นและมีพลังอันน่ากลัวพวยพุ่งออกมา 

 

“ระวังตัว” 

 

ผมพูดซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาไปตรงด้านหน้า จากนั้นผมจึงเหวี่ยงกำปั้นไปทางขวาอย่างสุดแรงที่มี 

 

เปรี้ยง! 

 

“จ๊าก!” 

 

ในตอนที่กำปั้นที่เหวี่ยงออกไปฝ่ากลางอากาศแล้วเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นกลางอากาศอันว่างเปล่า บรรยากาศสั่นไหวอย่างหนักและแรงกระทบที่ตามกันมาก็ไล่มาตามกำแพงของห้องฝึกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง ผมรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวน้อยๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจากฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่บนพื้น จากนั้นผมจึงเก็บมือเงียบๆ 

 

พอจ้องมองไปยังด้านหน้า ผมก็เห็นอันซลกำลังมองผมในสภาพอ้าปากค้าง เธอกะพริบตาถี่ๆ ไม่หยุดราวกับตกใจมากแล้วจึงกลืนน้ำลายดังเอื้อกจนคอขยับ 

 

“ทะ ท่านพี่ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” 

 

“อือ ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากเลยละ ร่างกายเบาหวิวเลย” 

 

“ว้าว ท่านพี่สุดยอดจริงๆ ค่ะ!” 

 

“อะไรล่ะ คงเพราะได้รับการรักษาจากเธอเมื่อคืนละมั้ง” 

 

แน่นอนว่าผู้ที่ผมติดหนี้บุญคุณจริงๆ ยังมีอยู่อีกหนึ่งคน แต่อันซลก็คงชอบใจมาก เธอจึงบิดตัวไปมาอย่างวุ่นวายพร้อมกับฉีกยิ้ม 

 

พอผมเก็บมือลงช้าๆ แล้วตรวจเช็คสภาพร่างกาย ผมจึงรู้สึกถึงจุดที่แตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน ร่างกายที่เคยหนักอึ้งกลับเบาลงราวกับขนนกและการฟื้นคืนสภาพร่างกายที่เคยเชื่องช้าก็เริ่มเร็วขึ้นอย่างมาก ขนาดค่าความแข็งแกร่งจะแค่เก้าสิบ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ดีขนาดนี้ ถ้ามันขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยเอ็ดแล้วจะแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขนาดไหนนะ 

 

‘คงต้องเอาค่าความแข็งแกร่งหนึ่งร้อยเอ็ดไว้เป็นอันดับแรกแล้วสินะ’ 

 

แน่นอนว่านี่คือปัญหาที่ควรค่าในการลองคิดคำนึงดู พอคิดแบบนั้น อันซลซึ่งเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้จึงจับแขนเสื้อของผมแล้วกระตุกเบาๆ 

 

“ท่านพี่ ท่านพี่ค้า ทุกคนกำลังรออยู่ชั้นสามนะคะ” 

 

“ห้องประชุมเล็กเหรอ อยู่กันทุกคนเลยเหรอ” 

 

“ค่า!” 

 

“เข้าใจแล้ว ไปกัน” 

 

ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระปรี้ประเปร่าแล้วจึงออกจากห้องฝึกฝนส่วนตัวชั้นใต้ดินไปพร้อมกันกับอันซล 

 

จากนั้นพอขึ้นมายังชั้นสามแล้วผลักประตูห้องประชุมเล็กเข้าไป ก็เห็นว่าแต่ละคนกำลังจับจองที่นั่งกันอยู่ตามที่อันซลบอก คงเพราะมีสมาชิกเผ่าเกินสิบคนมานิดเดียวจึงเห็นที่ว่างเหลืออยู่เยอะ ถึงแม้จะเป็นห้องประชุมเล็กก็ตาม 

 

ผมตอบรับการกระทำของสมาชิกเผ่าที่ทักทายมา จากนั้นผมจึงนั่งลงตรงหัวโต๊ะแล้วหันมองดูทุกคน ทันใดนั้น จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงของยูนิคอร์นที่ร้องหงุงหงิงอยู่ใต้เก้าอี้ของผม ผมรีบอุ้มมันขึ้นมาวางไว้บนตัก มันจึงพับขาเข้าหากันพร้อมหลับตาลงอย่างสงบเสงี่ยม 

 

หลังจากเห็นภาพนั้นแล้ว ผมจึงสามารถเปิดปากพูดขึ้นมาเป็นคำแรกเพื่อการประชุมได้ 

 

“สวัสดีตอนเช้าครับ อ้อ สายไปนิดหน่อยที่จะพูดว่าตอนเช้าสินะครับ ยังไงก็ตาม เหตุผลที่ผมเรียกสมาชิกทุกคนมาในวันนี้ ทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วนะครับ” 

 

“ค่ะ/ครับ” 

 

“เราเข้ามาอยู่ในแคลนเฮาส์ได้สองสามวันแล้วนะครับ ผมคิดว่าพักผ่อนกันได้อย่างเพียงพอแล้วนะครับ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะตั้งหลักแหล่งอย่างจริงจังและเริ่มจัดการเรียบเรียงอีกครั้งแล้วครับ” 

 

“…” 

 

นิ่งเงียบ พอเบนสายตาลงไปด้านล่างเล็กน้อย อย่าว่าแต่บันทึกเป็นปึกๆ เลย ผมเห็นเพียงแค่บันทึกหนึ่งแผ่นเท่านั้น พอตรวจสอบดูผู้ส่งบันทึกแผ่นนั้นมาก็เห็นว่ามีชื่อของโกยอนจูถูกจดไว้อยู่ ผมมองดูบันทึกนั้นแล้วจิ๊ปากสองสามครั้ง จากนั้นจึงเบนสายตาขึ้นมาพลางพูดขึ้น 

 

“ผู้เล่นชินซังยง ตอนนี้ก็มีแคลนเฮาส์แล้ว ทีนี้คุณไม่ต้องการห้องทดลองสำหรับแปรธาตุส่วนตัวเหรอครับ” 

 

“คะ ครับ มะ ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ มีเรื่องที่ยังจะต้องเรียนรู้จากท่านอาจารย์อีกมาก…ละ แล้วผมจะบังอาจร้องขอห้องทดลองส่วนตัวได้ยัง…” 

 

“ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เรียนครับ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ ตัวเองก็น่าจะมีสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ” 

 

“ฮ่าๆ ก็ใช่ละครับ” 

 

ชินซังยงเกาหัวพลางยิ้มอย่างประหม่า ผมมองท่าทีของเขาแล้วจึงเบนสายตาไปยังเหยื่อรายต่อไป 

 

“ผู้เล่นจองฮายอน คิมฮันบยอล” 

 

“ค่ะ” 

 

“ค่ะ” 

 

“ทั้งสองคนเป็นไงบ้างครับ นอกเหนือจากห้องพักในอาคารย่อยก็ต้องมีห้องทดลองในอาคารย่อยสักห้องไม่ใช่เหรอครับ” 

 

“หะ ห้องทดลองเหรอคะ อ้อ ค่ะ ก็…ถ้ามีก็ต้องดีอยู่แล้วละค่ะ” 

 

จองฮายอนตอบกลับอย่างเบลอๆ ส่วนคิมฮันบยอลก็เพียงแค่กะพริบตาปริบๆ อยู่เงียบๆ  

 

“พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ต้องการเหรอ” 

 

แล้วพอเบนเป้าไปทางสมาชิกที่เหลือซึ่งเอาแต่นั่งฟังอย่างเงียบเชียบ เด็กๆ จึงเงยหน้าพรึ่บขึ้นมาราวกับลูกม้าถูกเหล็กเสียบ แต่ดูจากที่พวกเขามองหน้ากันสลับไปมาก็คงจะไม่ต่างกัน ผมถอนหายใจออกมาสั้นๆ 

 

ผมรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจด้วย ถึงแม้ว่าโกยอนจูจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยากที่จะมองว่าที่เหลือใช้ชีวิตในเผ่าอย่างเป็นปกติ หรือไม่ก็ไม่เลย ใช้ชีวิตแบบถูกรบกวนอยู่เสมอแล้วพอจู่ๆ มาเผชิญกับการใช้ชีวิตแบบนี้อย่างกะทันหันก็เลยน่าจะไม่คุ้นเคยด้วย แต่อย่างน้อยจากนี้ไปก็จำเป็นจะต้องปรับตัวเข้ากับอะไรแบบนั้น 

 

“ครั้งก่อนผมน่าจะบอกว่าให้คิดว่าจำเป็นต้องใช้อะไรแล้วมาเสนอตอนประชุมแน่ๆ แล้วนะครับ แต่ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะยังยึดติดกับอดีตอยู่นิดหน่อยนะ ที่นี่คือแคลนเฮาส์ของเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ครับ ไม่ใช่อะไรมากกว่านี้และน้อยกว่านี้ด้วย ตอนนี้ไม่จำเป็นจะต้องหลับนอนที่โรงแรมเลยครับ มีสถานที่ฝึกซ้อมโดยไม่ต้องเกรงใจสายตาใครแล้วด้วย พื้นที่ว่างก็มีอยู่อย่างล้นหลามจนสามารถยอมรับคำขอของพวกคุณทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้ด้วยครับ” 

 

“…” 

 

“ผมเข้าใจครับว่าพวกคุณน่าจะสับสนกับสภาพการณ์ที่มีทุกอย่างเพียงพอซึ่งเผชิญกับมันอย่างกะทันหัน แต่ว่า…ถึงอย่างนั้น เครื่องใช้ สิ่งของ หนังสือที่จำเป็นในการฝึกส่วนตัว อีกทั้งยังอุปกรณ์ นอกเหนือจากของพวกนั้น รวมไปถึงสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในเผ่า หรือถ้าต้องการพื้นที่แบบนี้ หรืออะไรอื่นๆ อีก พวกคุณน่าจะคิดได้ว่ามีของพวกนั้นอยู่อย่างเพียงพอนะครับ” 

 

“…” 

 

“แน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปในครั้งเดียวเหมือนกับวิเวียนก็ได้ครับ เพราะมันไม่มีทางได้ครบภายในครั้งเดียวแน่ๆ แต่ที่สำคัญคงต้องกำจัดท่าทีที่จับจุดไม่ถูกเหมือนตอนนี้ทิ้งไปเสียให้หมดครับ” 

 

ผมไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคืองหรือตั้งใจพูดเสียงดังขึ้น ผมรักษาน้ำเสียงที่กล่าวตักเตือนอย่างนุ่มนวลในขอบเขตที่ไม่ทำลายบรรยากาศเดิมให้ได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จงใจทำหน้าแดงก่ำ แต่ถ้าเป็นสมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ ผมคิดว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารับรู้แล้ว 

 

ผมหยิบบันทึกที่วางไว้ตรงหน้าแล้วจึงพูดขึ้นกับสมาชิกเผ่าเป็นครั้งสุดท้าย 

 

“แคลนเฮาส์น่ะ พวกเราได้รับมาฟรีๆ และไม่นานมานี้ก็ได้รับห้าพันโกลด์มาจากอีสตันเทลลอว์ด้วยครับ เงินทุนที่มีอยู่เกือบๆ จะเก้าหมื่นโกลด์ และถ้ารวมกับอัญมณี ดีไม่ดีก็อาจจะถึงสองแสนโกลด์ครับ เงินพวกนี้ปล่อยทิ้งไว้แล้วจะได้อะไรครับ เอาไปปล่อยกู้ดีไหมครับ ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็ไม่ต้องเกรงใจสายตาคนอื่นแล้วบอกมาได้เลยครับ จะต้องจัดการเรื่องภายในโดยเร็ว ไม่งั้นจะไม่ทำอะไรกันเลยเหรอครับ ไม่ว่าจะออกเดินทางครั้งต่อไปหรือออกจากเมืองน่ะ” 

 

“คือ ถ้างั้น…” 

 

ในตอนที่ผมพูดกระตุ้นถึงตรงนี้และกำลังจะอ่านบันทึก จองฮายอนก็ปริปากพูดขึ้นกับผมอย่างระมัดระวัง พอผมพยักหน้าให้หนึ่งครั้ง เธอจึงกระแอมอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ 

 

“ไม่ทราบว่าแคลนลอร์ดมีสิ่งของหรือพื้นที่ที่คิดเอาไว้เป็นการส่วนตัวหรือเปล่าคะ” 

 

“เป็นการส่วนตัวเหรอครับ พื้นที่น่ะ ผมจัดเตรียมห้องฝึกซ้อมชั้นใต้ดินเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้นก็ตัดไป ส่วนเรื่องสิ่งของก็อยากซื้อหินเรียกตัวเหมือนกันนะครับ” 

 

ในตอนที่หยิบเรื่องหินเรียกตัวขึ้นมาพูด ใบหน้าของสมาชิกเผ่าบางคนก็มีสีหน้าเหมือนบอกว่าอ๋อพาดผ่านไป ถ้ามีหินเรียกตัว ถึงแม้จะไม่ได้ดันทุรังไปหาใครบางคนแล้วบอกหรือถ่ายทอดคำสั่งก็ตาม แต่ก็สามารถเรียกตัวสมาชิกเผ่ามาได้อย่างสะดวกสบาย แน่นอนว่ามีข้อเสียตรงที่ว่าเป็นการสื่อสารเพียงฝ่ายเดียวไม่ใช่ทั้งสองฝั่ง แต่ถึงแม้คำนึงถึงเรื่องนั้นแล้วก็เป็นสิ่งของที่น่าใช้ไม่น้อยหากมองในฐานะของแคลนลอร์ด 

 

“เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วยสินะคะ วันนี้ฉันว่าจะแวะไปที่ร้านขายของเวทมนตร์ เพราะฉะนั้นฉันน่าจะซื้อมาให้ได้ค่ะ” 

 

“ถ้างั้นเรื่องหินเรียกตัว ผมฝากจองฮายอนด้วยนะครับ” 

 

“อ้อ พวกเรื่องจำนวนหรือไม่ก็เงื่อนไขปลีกย่อยต่างๆ จะทำยังไงดีคะ” 

 

“พวกของที่ส่งต่อให้สมาชิกเผ่าถ้านับทีละอันก็ทั้งหมดเก้าอัน แล้วก็ถ้ารวมถึงพวกที่สอดคล้องกันนั้นก็อีกเก้าอัน เพราะฉะนั้นทั้งหมดสิบแปดอันก็น่าจะได้ครับ…ซื้อเพิ่มสักสี่ห้าอันเผื่อไว้แล้วกันครับ ขอบเขตน่ะ ทำให้มันสามารถครอบคลุมเมืองได้ก็พอแล้วครับ ขอบเขตระดับนั้นน่าจะมากที่สุดแล้วด้วย” 

 

แน่นอนว่าจองฮายอนคงฟังเข้าใจ เธอจึงยกยิ้มบางๆ ต่อจากนั้นผมก็อ่านบันทึกที่โกยอนจูส่งมา เนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ในบันทึกยาวกว่าที่คิด แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาอ่านนานมากนัก คงเพราะความสามารถในการจัดการข้อมูลสำคัญๆ ของเธอ มันจึงถูกเรียบเรียงแบบอ่านแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจ 

 

“ผู้เล่นโกยอนจูดูเหมือนจะอยากตั้งสมาคมช่วยเหลือเรื่องข้อมูลภายในเผ่านะครับ” 

 

“อ๋อ~แหม นั่นก็ชมกันเกินไปค่ะ ยังไม่ถึงระดับที่ตั้งสมาคมได้หรอกค่ะ โฮะๆ” 

 

พอผมอ่านบันทึกจนจบแล้วมองเธอ โกยอนจูจึงโบกไม้โบกมือด้วยใบหน้าสบายๆ 

 

“ผมอยากฟังเรื่องโดยละเอียดอีกสักหน่อยเกี่ยวกับบันทึกนี้ครับ” 

 

“ค่ะ แต่จะพูดที่นี่มันก็ยังไงๆ นิดหน่อยนะคะ ฉันอยากเตรียมที่ที่จะคุยตามลำพังค่ะ” 

 

ผมอนุญาตเรื่องที่โกยอนจูขอทันที ถ้าเธอถึงกับขอคุยเป็นการส่วนตัวแบบนี้ก็น่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน 

 

จากนั้นผมก็พลิกบันทึกที่อ่านจบแล้วให้คว่ำลงแล้ววางบนโต๊ะ จากนั้นจึงเบนสายตาขึ้นมามองทุกคน 

 

“ก่อนอื่น ผมจะจบการประชุมในวันนี้เพียงเท่านี้นะครับ ไม่ทราบว่ามีสมาชิกเผ่าที่มีธุระกับผมอีกไหมครับ” 

 

“ฉัน!” 

 

ทันทีที่ผมพูดจบ วิเวียนก็ยกมือพรวดขึ้น นึกดูแล้ว ผมเองก็มีธุระกับวิเวียนเช่นกัน เพราะฉะนั้นผมจึงพยักหน้าให้อย่างยินดี สมาชิกเผ่าคนอื่นๆ คงคิดจะดำเนินการตามคำสั่งของผมในวันนี้ทันที พวกเขาจึงส่ายหน้าเบาๆ 

 

“ทราบแล้วครับ ผมคิดว่าอีกไม่นานจะจัดประชุมอีกครั้ง เพราะฉะนั้นผมคาดหวังว่าตอนนั้นจะได้เห็นภาพลักษณ์ที่เตรียมพร้อมกันมากกว่าตอนนี้นะครับ แล้วก็…โกยอนจู วิเวียน แยกมาเจอผมที่ห้องทำงานชั้นสี่นะครับ ผู้เล่นโกยอนจู ขอโทษด้วย แต่ผมคงต้องขอคุยกับวิเวียนก่อนนะครับ” 

 

“ค่ะ ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นค่ะ” 

 

โกยอนจูยิ้มอย่างสบายๆ ด้วยใบหน้าบอกว่าไม่เป็นไร 

 

ผมประกาศจบการประชุมอย่างเป็นทางการแล้วลุกขึ้นทันที 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด