Mystical Journey 180 เข้าใกล้ (2)

Now you are reading Mystical Journey Chapter 180 เข้าใกล้ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 180 เข้าใกล้ (2)

แจ็คในเครื่องแบบเต๋าสีดำของสำนักเมฆขาว เดินนำคนสามคนเข้ามา

คนสองคน กาเรนเคยพบมาก่อน ราชันมวยทั้งสองขององค์กรป้ายพยับ คนหนึ่งคืออันห์ และอีกคนก็คือมานีล่า พวกเขาสองคนไม่ได้แต่งตัวเหมือนตอนที่อยู่ที่องค์กรป้ายพยับอีกต่อไปแล้ว พวกเขาสวมเสื้อโค้ทสีขาวแบบกระดุมเรียงเป็นแถวและถุงมือลายเงินสีดำ

อีกคนก็คือแคริ่งจากสำนักเมฆขาว

ราชันมวยทั้งสองยืนนิ่งอยู่ด้านหลังกาเรน แล้วทำความเคารพเล็กน้อยด้วยสีหน้าเฉยเมย

“การเจรจาควบรวมองค์กรป้ายพยับเสร็จสิ้นแล้ว จากนี้ไป พวกเราคือราชันมวยแห่งสำนักเมฆขาว หัวหน้ากาเรน คุณมีทักษะยุทธ์ล้ำลึก พวกเราไม่กล้าต่อต้านหรอก พวกเราขอแค่สิ่งเดียว อย่าให้พวกเราได้รวมกลุ่มกับไอ้คนทรยศเลโอนั่นเลย!” มานีล่าพูดอย่างสงบ

กาเรนหมุนตัวกลับมามองสองสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พิจารณาถึงความขัดแย้งของพวกคุณ ผมจะระวัง พวกคุณแต่ละนำทีมและจัดตั้งทีมกันอย่างอิสระ ชื่อรหัสจะใช้ชื่อเดิม โดยแบ่งเป็นทีมป้ายและทีมพยับ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

“ไม่มีปัญหา”

กาเรนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“เลโอก็มีทีมสายฟ้า เป็นทีมอิสระเหมือนกัน ส่วนแจ็ค แคริ่ง แล้วก็ซินเทีย พวกคุณก่อตั้งอีกทีม ให้ชื่อว่าทีมเมฆา รับผิดชอบในการรวบรวมข่าวสารและข้อมูล แล้วยังมีอีกลุ่ม ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”

กาเรนแบ่งกองกำลังที่ซับซ้อนในปัจจุบันของสำนักเมฆขาวออกเป็นหลายส่วน

ทั้งหมดแบ่งออกเป็นห้าทีม นักสู้สามคนภายใต้ร่มธงแต่ละคนเป็นผู้นำทีมสามทีม จากนั้น ศิษย์สำนักเมฆขาวเดิมและผู้ใต้บังคับบัญชารวมตัวกันอีกหนึ่ง ทีมสุดท้ายเป็นกลุ่มนักศิลปะการต่อสู้ในเขตรัฐแกรนต์ที่อยู่รอบๆ และแวะเวียนมาทำงานให้ชั่วคราว โดยมีกาเรนนำทีมเอง

ทีมทั้งห้านี้ แบ่งตามกองกำลังของสำนักเมฆขาวโดยพื้นฐานอย่างชัดเจน คนที่ภักดีต่อกาเรนจริงๆ ก็คือราชันมวยเลโอและฝั่งคนในสำนักเมฆขาว ที่เหลือก็แค่ยอมศิโรราบชั่วคราวและมีโอกาสเปลี่ยนแปลง

ทว่า ช่วงเวลานี้ กาเรนคำนึงแค่ใช้ประโยชน์ได้ก็พอ ยิ่งกำลังมากเท่าไรก็ยิ่งดี

“ช่วงนี้มีข่าวอะไรพิเศษหรือเปล่า” กาเรนมองไปทางแคริ่ง

แคริ่งพยักหน้า “คุณซินเทียส่งข่าวมาค่ะ เรื่องแรกเป็นข่าวเกี่ยวกับคุณเซทท์และคุณซีลีน พวกเขาไปรวบรวมวัสดุหายากที่ทางตะวันตกของสหพันธรัฐ แล้วก็เข้าไปในเขตชายแดนที่กำลังวุ่นวาย ตอนนี้ไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด”

“วุ่นวาย?” กาเรนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ขอบเขตของความวุ่นวาย?”

“แค่สองเขตที่ชายแดนค่ะ ทางสหพันธรัฐได้ส่งทหารไปแล้ว คาดว่าอีกไม่นานจะต้องคลี่คลายค่ะ” แคริ่งผงกศีรษะ “เรื่องที่สอง ทหารเวสต์แมนได้เข้ายึดเรือของสหพันธรัฐขณะโดยสารนักศึกษาที่ไปเรียนต่อต่างประเทศกลับมาค่ะ นักศึกษาจำนวนสิบสามคนถูกยิงเสียชีวิต ขณะนี้ ในเมืองใหญ่บางแห่งมีการเดินขบวนเพื่อต่อต้านความโหดร้ายของรัฐบาลเวสต์แมน…”

“พูดให้ตรงประเด็น” กาเรนขัดจังหวะเธอ

“ค่ะ สหพันธรัฐและเวสต์แมนได้เริ่มระดมขบวนเรือรบในน่านน้ำ การสู้รบกำลังจะเกิดขึ้น” แคริ่งพูดสั้นๆ “ข่าวนี้มาจากน้องสาวของคุณเซทท์ค่ะ”

กาเรนสังเกตเห็นว่า แคริ่งไม่ได้ใช้คำว่า ‘อาจจะ’ แต่ใช้คำว่า ‘กำลังจะ’ เห็นได้ชัดว่าข่าวนี้แน่นอน 100%

“เรื่องของเซทท์ ทางพ่อของเขาน่าจะมีการจัดการ มานีล่า นายไปที่ชายแดนตะวันตก ถ้าจำเป็น พยายามช่วยพวกของเซทท์ด้วย แล้วก็รวดสืบหาประเทศที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวาย…”

“ได้ครับ” มานีล่าพยักหน้า หลังจากบีบมือของอันห์เบาๆ แล้ว เขาก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป

ตอนนี้ความแข็งแกร่งขององค์กรป้ายพยับทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งคือทีมป้ายที่เขารับผิดชอบ กลุ่มเหล่านี้สมบูรณ์และเป็นอิสระต่อกัน ความสามารถในการต่อสู้ที่เป็นอิสระของพวกเขานั้นสูงมาก นับเป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมขององค์กรป้ายพยับเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากโกลเด้นริงที่อยู่เบื้องหลังกาเรน รวมถึงแรงกดดันของตัวเขาที่ยืนอยู่บนศักยภาพที่แข็งแกร่งระดับสูงสุด องค์กรป้ายพยับก็คงจะไม่ยอมจำนนง่ายๆ แบบนี้

แน่นอน ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้นในปัจจุบัน หากไม่ยืนหยัดอยู่ฝั่งเดียวกับกาเรน แล้วลงมือกับกาเรนภายใต้ความแค้นก่อนหน้า องค์กรป้ายพยับก็คงหนีไม่พ้นคำว่าตายไปได้

มานีล่าและอันห์ได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว หากกาเรนให้พวกเขาไปเป็นเบี้ยหมากคอยรับกระสุนปืน พวกเขาก็จะหนี ยังดีที่กาเรนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม ไม่มีอะไรไม่ดี ค่าตอบแทนยังคงเหมือนเดิม หรืออาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ

กาเรนมองตามหลังมานีล่าที่เดินออกไป

สามทีมจากองค์กรป้ายพยับ อย่างน้อยๆ แต่ละทีมมีกำลังรบหลายร้อยถึงหลายพันคน นี่ยังไม่รวมถึงอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ข่าวกรอง กองหนุน เป็นต้น นอกจากหัวหน้าทีมแล้ว ผู้ใต้บัญชาการของแต่ละทีมยังได้รวบรวมบุคลากรเก่งๆ ไว้จำนวนหนึ่งด้วย อาทิเช่น นักศิลปะการต่อสู้ที่กระจัดกระจาย ทหารรับจ้าง นักฆ่า เป็นต้น

เรื่องพวกนี้เขาจะไม่ไปก้าวก่าย ตราบใดที่คนเหล่านี้สามารถออกแรงทำงานให้เขาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว เบื้องหลังของเขายังมีโกลเด้นริงที่กระจายตัวอยู่ทุกหนแห่ง สำนักเมฆขาวและเลโอ ที่คอยช่วยเขาควบคุมและสังเกตการณ์ ขอเพียงไม่เรียกร้องอะไรที่เกินเลย ก็คงไม่มีปัญหา

“อันห์ หลังจากทำการโยกย้ายเรียบร้อยแล้ว ทีมของคุณจะรับผิดชอบงานด้านความปลอดภัยของรัฐแกรนต์ทั้งหมด พวกคุณจะเป็นคนจัดหาบอดี้การ์ดสำหรับบุคลลสำคัญทั้งหมด ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

อันห์พยักหน้า ก่อนจะทำความเคารพอย่างเงียบๆ แล้วหันหลังจากไป

เหลือแคริ่งและแจ็คที่ยังยืนอยู่ในป่าเพื่อรอคำสั่งของกาเรน

“แจ็ค สถานการณ์ทางเลโอเป็นอย่างไรบ้าง หาขุนพลเทพลูกน้องของอังศราที่เหลือเจอหรือยัง” กาเรนเบี่ยงสายตาไปที่แจ็ค

แจ็คและซินเทียยังคงมีบทบาทที่แน่นอนในด้านการข่าว แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ก็ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาล้วนเป็นคนฉลาดที่ได้รับการฝึกฝนจากบริษัททหารรับจ้างชั้นนำของโลก

“คนจากทีมสายฟ้าส่งโทรเลขมาบอกว่า พวกเขาพบเบาะแสของอังศราและชาร์ลอตต์ที่แถบแม่น้ำซาร์ ดูเหมือนข่าวที่เราปล่อยออกไปก่อนหน้านี้จะได้ผล” แจ็คตอบทันที “ตอนนี้อังศราได้รับบาดเจ็บและสูญเสียความแข็งแกร่งไปมาก เขาถูกไล่ออกจากการเป็นสมาชิกของวิหารแห่งทวยเทพ ตอนนี้เขาและชาร์ลอตต์ถูกศัตรูตามล่า ทันทีที่เราปล่อยข่าวออกไป พวกเขาก็ตอบสนองกลับและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ดูท่าแล้วคงจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

กาเรนพยักหน้า

“อังศรากับผมไม่ได้มีความแค้นที่ปล่อยวางไม่ได้ต่อกัน เขาน่าจะรู้เรื่องการต่อสู้ของผมกับปาโร่ด้วย ตอนนี้เลือดอมตะที่สำนักมารวารณซ่อนเอาไว้ได้ตกมาอยู่ในมือของพวกเรา สำหรับเขาแล้ว คงเป็นความเย้ายวนที่ยากจะทนไหว ตอนนี้ก็รอดูว่าเขาจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกับพวกเรา ตอนนั้นผมเสียเปรียบ แต่ตอนนี้ กลับกันแล้ว”

แจ็คพยักหน้า “เรื่องสุดท้าย พวกเราได้ข่าวของนักสู้ที่ทำร้ายอาจารย์เฟ่ยแล้ว”

“โอ๋?” สีหน้าของกาเรนจริงจัง

“นักศิลปะการต่อสู้ชื่อซิเซโร ซัลดิน กับชุคฟา ซัลดิน ศิษย์คนเดียวของเขา แล้วก็เป็นลูกชายของเขาด้วย พวกเขาได้ขึ้นเรือเดินสมุทรมุ่งหน้าไปทางตะวันออกตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว พวกเราตรวจสอบเจอจากรายชื่อผู้โดยสาร”

กาเรนลุกยืนขึ้น และขยี้ใบไม้สีแดงที่ร่วงหล่นลงมาในมือของเขาเบาๆ

“ทางตะวันออกอีกแล้ว…”

เขาเองก็เคยคิดมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเหมือนกัน แต่ที่นี่มีครอบครัวของเขา น้องสาว พ่อแม่ น้าชาย และเพื่อนๆ หากออกทะเลไป เวลาที่สูญเสียไประหว่างนั้น มันไม่ใช่ยาวนานธรรมดาๆ แม้ว่าในตอนนี้ เส้นทางการเดินเรือจะมั่นคงแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีกว่าจะไปถึงฝั่งตะวันออก นี่คือกรณีที่ราบรื่นนะ ถ้าไม่ราบรื่นล่ะ…

“เรื่องนี้เราวางไว้ก่อน พวกเรายังทำอะไรไม่ได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ อ้อใช่ ทางเทียรี่ เมอร์คิวรี่ เป็นอย่างไรบ้าง” จู่ๆ เขาก็นึกถึงนักสืบชื่อดังที่เขาขอให้แจ็คไปตรวจสอบเมื่อสองสามวันก่อน

ความสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแจ็ค

“หัวหน้า นักสืบคนนั้นยังคงอยู่ในเมืองเมืองบลูเบย์ในเขตเอเวรา ไม่รู้ว่าทำอะไร ดูเหมือนเขาจะถูกใครบางคนจับตาอยู่ แล้วดูเหมือนจะค้นพบเงื่อนงำความลับบางอย่างเกี่ยวกับวิหารแห่งทวยเทพด้วย”

“พวกเขาหยุดอยู่ที่นั่นนานมากจริงๆ” กาเรนลูบเคราที่ขึ้นเล็กน้อยบนคางของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ตอนนี้เขามีเพียงสองเป้าหมาย เป้าหมายแรกคือการสังหารตัวการที่ทำร้ายอาจารย์ อย่างที่สองคือการตามหาซานฟราน คนของวิหารแห่งทวยเทพที่ฆ่าตาเฒ่า ซานฟรานไม่เพียงแค่ฆ่าตาเฒ่าเท่านั้น แต่ยังเคยทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

ดูเหมือนวิหารแห่งทวยเทพที่แสนจะลึกลับจะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้

ตอนนี้เป้าหมายแรกไม่สามารถลุล่วงได้เป็นการชั่วคราว อย่างนั้นก็เริ่มเป้าหมายที่สองก่อน

“น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ” กาเรนกดหน้าอกของตัวเองเบาๆ เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากอาการบาดเจ็บทันที

“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ถ้าทางเทียรี่ เมอร์คิวรี่ มีความเคลื่อนไหวใหม่ รีบมาแจ้งผมด้วย”

“ครับ”

“หัวหน้า คุณพักผ่อนให้ดีๆ นะคะ”

แคริ่งและแจ็คหันหลังจากไปพร้อมกัน

กาเรนกลับมานั่งที่เก้าอี้

“ความลับของวิหารแห่งทวยเทพ…” ตอนนี้ คู่ปรับคนเดียวของเขาก็คือวิหารแห่งทวยเทพที่แสนลึกลับ ความแค้นที่มีต่อซานฟราน ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องถูกสะสางไปด้วยกัน

“ซานฟราน…คิดว่านายเองก็ได้ยินเสียงของฉันสินะ” กาเรนแหงนหน้ามองท้องฟ้าเหนือป่าเมเปิ้ล ท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาวดูสงบจะน่าประหลาดใจ

***************

ที่ไหนสักแห่งในใจกลางของสามทวีป

บนเกาะกลางทะเลเล็กๆ สีขาว

เกาะนี้มีรูปร่างเป็นวงรี ดูเหมือนจุดเล็กๆ สีเขียวที่มีขอบสีขาว ฝังอยู่กลางทะเลสีฟ้าที่ไร้จุดสิ้นสุด

กลางเกาะเป็นป่าทึบเขียวขจี บนหน้าผาสูงตรงกลางมีวิหารหินสีขาวขนาดใหญ่ที่ค้ำด้วยเสาหินกลมสีขาว

วิหารหินสีขาวนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนยอดหน้าผาสีดำ พื้นดินโดยรอบเต็มไปด้วยหินสีดำเปลือย ไม่มีพืชสีเขียวหรือแมลงใดๆ เลย

วิหารหินเป็นรูปทรงคล้ายเจดีย์สามเหลี่ยมที่อยู่บนสี่เหลี่ยมผืนผ้า โครงสร้างเรียบง่าย แต่เมื่อมองจากการแกะสลักลวดลายที่ละเอียดอ่อน ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายโบราณ

ประตูวิหารมีเสาหินขนาดยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสองเมตรถึงสี่เสา บนเสามีงูสีขาวหูแหลมพันอยู่รอบๆ

บนหน้าผาสีดำนอกประตู มีเสาหินสีขาวสั้นๆ ตั้งตระหง่านอยู่ ด้านบนมีแอ่งหินทรงสี่เหลี่ยมซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่วางของอะไรบางอย่าง

ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า มีชายผมสั้นใบหน้าหม่นหมองยืนอยู่บนแท่นหิน ท่ามกลางลมแรง ผมของเขาปลิวไสวเป็นคลื่นสีแดงเข้ม

ชายหนุ่มยื่นมือลงไปลูบในอ่างหิน ทันใดนั้น นิ้วมือของเขาก็เปื้อนเลือดสีแดงทันที เมื่อสะบัดเบาๆ หยดเลือดก็บินตรงไปที่ด้านล่างของหน้าผา และถูกลมพัดจนคดเคี้ยวตกลงสู่ป่าเบื้องล่าง

“ซานฟราน รีบหาคนมาแทนตำแหน่งของอังศราให้เร็วที่สุด”

เงาร่างที่บอบบางในผ้าคลุมสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าทางเข้าวิหารซึ่งอยู่ด้านหลังของเขา เงาร่างนั้นถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์ภายใต้ผ้าคลุม อะไรก็มองไม่เห็น มีเพียงน้ำเสียงชราภาพที่ดังลอดออกมาจากด้านใน

“นายคิดจะไปเมื่อไร”

“ตอนนี้ฉันไม่อยากไป” ชายผมสั้นใบหน้าเปื้อนยิ้ม “จะไปนายก็ไปเองสิ ที่แท้ก็แค่ขยะที่ไม่มีความสามารถ อ่อนแอ แค่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ไหวเสียแล้ว แล้วยังทำเลือดอมตะหายอีก”

ซานฟรานบิดศีรษะมองไปด้านขวา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่มีสตรีผู้งดงามและอ่อนโยนยืนอยู่ตรงนั้น หญิงคนนั้นมีดวงตาที่บริสุทธิ์เป็นสีฟ้าราวกับน้ำทะเล ผิวของเธอเป็นสีขาวราวกับหิมะ ขาวจนไม่มีเลือดฝาด

“พี่หรือ พี่มาเมื่อไร ตั้งแต่ที่ผมฆ่าพี่ชาย พี่ก็มาหาผมบ่อยขึ้นนะ พี่รู้ว่าผมไม่ผิด!” ทันใดนั้น ซานฟรานก็รู้สึกดีใจ เขาหยุดการเคลื่อนไหวในมือ แล้วรีบเช็ดมือทั้งสองข้างให้สะอาด ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พี่ พี่ว่าครั้งนี้ผมควรไปหรือเปล่า คราวก่อนผมบาดเจ็บ ยังไม่หายดีเลย ออกไปก็คงจะเหนื่อยมาก แต่ถ้าไม่ออกไป แผนการก็ได้มาถึงจุดสำคัญแล้ว…”

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด