Mystical Journey 182 ความลึกลับและข้อเสนอ (2)

Now you are reading Mystical Journey Chapter 182 ความลึกลับและข้อเสนอ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 182 ความลึกลับและข้อเสนอ (2)

กลิ่นหอมของดอกไม้ฟุ้งขจรขจายไปรอบๆ ลานประลองสีขาว บวกกับดอกไม้สีฟ้าเล็กๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย

ทั้งสองเดินไปหยุดที่กลางลานประลองหินสีขาว แล้วก็นั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน

กาเรนเริ่มอธิบายหลักการของพลังแห่งขุนพลสวรรค์ให้แก่อันเดอร์เลชท์ฟัง วิชานี้จะใช้นิ้วทำให้เลือดลมเฉพาะส่วนรวมตัวกันไปกระตุ้นส่วนลับของร่างกายเพื่อให้พลังเพิ่มขึ้นในพริบตา ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย

ในการใช้หนึ่งครั้ง ความแข็งแรงของพละกำลังที่ระเบิดออกมาจะเทียบเท่า 150% จากของเดิม

สำหรับการระเบิดพลังของอันเดอร์เลชท์นั้นทรงพลังอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัวมาก บวกกับความแข็งแรงที่พัฒนาขึ้น ยิ่งทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ภาวะความแข็งแรงของร่างกายและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสามารถต้านทานโรคภัยไข้เจ็บได้ เดิมทีที่เขาไม่สามารถพัฒนาความเร็วให้เพิ่มขึ้นได้เป็นเพราะภาระทางร่างกาย แต่เคล็ดวิชานี้ช่วยชดเชยข้อบกพร่องนี้ของเขาได้พอดี

เช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการตอบแทน อันเดอร์เลชท์ก็ถ่ายทอดหนึ่งจุดสามดาราซึ่งเป็นหนึ่งในสามเคล็ดวิชาที่เขารู้แจ้งให้กับกาเรน

ในระหว่างการแลกเปลี่ยนของคนทั้งสอง นอกเหนือจากการกิน การนอน และการพักผ่อนแล้ว พวกเขาทั้งสองใช้เวลาทั้งหมดไปกับการยืนยันวิชาลับและส่งต่อความรู้ความเข้าใจของตนเองให้แก่กัน

หนึ่งจุดสามดาราเป็นวิชาลับที่อันเดอร์เลชท์คิดค้นขึ้นเองทั้งหมด ผลข้างเคียงก็น้อยมากเช่นกัน เป็นสมบัติก้นหีบเหมือนกับเคล็ดวิชาประกายแสงกระพริบ คราวนี้ก็ถือเป็นการตอบแทนกันและกัน

กาเรนเคยเจอกับเคล็ดวิชานี้มาก่อน มันเข้าข่ายเทคนิคการระเบิดพลังในชั่วพริบตา

การโจมตีสามครั้งจะถูกซ้อนทับในคราวเดียว ทำให้พลังสังหารเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า ตอนนั้น อันเดอร์เลชท์อาศัยเคล็ดวิชานี้ทำให้พลังปราณแข็งของเขาบาดเจ็บ

ในขณะที่กำลังทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอยู่นั้น กาเรนก็เริ่มใช้ยาต้มที่ปรุงเสร็จแล้วฝึกฝนพลังเทวรูปทองคำ

ในเมื่อไม่สามารถพัฒนาคุณสมบัติได้ เขาจึงหันไปพัฒนาศิลปยุทธ์ลับแทน

เป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกันที่ทั้งสองหมกมุ่นอยู่กับการแลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ การฝึกฝนเคล็ดวิชาหนึ่งจุดสามดารานั้นค่อนข้างซับซ้อน ต้องค่อยๆ กระตุ้นส่วนที่ซ่อนอยู่ที่แขนด้วยแรงภายนอกทีละขั้นตอน ในส่วนของพลังแห่งขุนพลสวรรค์นั้น ต้องลดเวลาการสำแดงพลังให้สั้นลง การใช้นิ้วก็ต้องแม่นยำเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นหากเผลอไผลจิ้มผิดจุดก็จะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ

ในที่สุด กระทั่งคนทั้งสองเชี่ยวชาญกลเม็ดของเคล็ดวิชาในขั้นต้นแล้ว จึงได้ค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความหมกมุ่น

ด้วยความช่วยเหลือจากอันเดอร์เลชท์ ในที่สุด กาเรนก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหนึ่งจุดสามดาราเสียที หากอ้างอิงตามเงื่อนไขของเคล็ดวิชานี้ที่ปรากฏในแถบทักษะก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกจะต้องมีทักษะดาบพื้นฐานและศิลปยุทธ์ลับดาราจักรอยู่ในระดับสูงขึ้นไป ถึงจะสามารถฝึกได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของอันเดอร์เลชท์ทำให้ กาเรนปรับปรุงให้หนึ่งจุดสามดาราเป็นแบบที่ตัวเองสามารถใช้ได้สำเร็จ อันเดอร์เลชท์เองก็สมแล้วกับฉายาว่าอัจฉริยะ เขาก็ควบคุมและใช้งานพลังแห่งขุนพลสวรรค์ได้สำเร็จเช่นกัน เมื่อทั้งสองลองประมือกัน กาเรนประเมินว่าอันเดอร์เลชท์ในปัจจุบันไม่แตกต่างไปจากคลาร์กผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักดาบทรายแดง

หลายวันต่อมา

ทั้งสองคุยกันอีกครั้งถึงเรื่อง 179 เคล็ดวิชาของปาโร่ เคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงอย่างเก้าสิบเก้าคืนรากที่ทำให้กำปั้นปักษาขาวกลายเป็นปักษาขาวกำปั้นเทวดาที่แท้จริง เป็นเคล็ดวิชาที่หลุดออกไปจากเขตแดนของวิชาฝ่ามือทั่วไป จนทำให้ผู้คนมองเห็นเขาเป็นเทวดา

“เหนือกว่าเคล็ดวิชา น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น” อันเดอร์เลชท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปักษาขาวกำปั้นเทวดาน่าจะไปสัมผัสอะไรเข้า ถึงได้สร้างสรรค์เคล็ดวิชาที่สุดยอดอย่างเก้าสิบเก้าไมโครไพล์และเก้าสิบเก้าคืนรากได้”

“คุณเองก็เคยพูดว่าคุณไล่ตามสิ่งที่อยู่เหนือขีดจำกัดมาโดยตลอด มีเบาะแสอย่างนั้นหรือ?” กาเรนจุ่มมือลงในเตาอั้งโล่ซ้ำๆ เผามือทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่องเพื่อสะสมพิษร้อนของกรงเล็บเพลิงที่ลึกขึ้นอีกขั้น

“พอจะมีเบาะแสบ้างนิดหน่อยจริงๆ” อันเดอร์เลชท์พยักหน้า “เคล็ดวิชาลับโบราณในตำนาน มีบางอย่างที่มีอานุภาพทะลุขีดจำกัดพวกนั้นที่ผมแสวงหา ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ผมเก็บตัว ผมได้ค้นหาไปทั่ว แล้วก็เจอเบาะแสเล็กน้อยจริงๆ”

อันเดอร์เลชท์และกาเรนไม่ได้มีความลับมากมายต่อกันอีกต่อไป ความสัมพันธ์ของคนทั่งคู่ดีขึ้นไปอีกขั้น จึงไม่จำเป็นต้องปิดๆ บังๆ กันอีกต่อไปแล้ว

“ผมค้นพบว่า ในเคล็ดวิชาโบราณ มีนักสู้คนหนึ่งชื่อตอร์เรส เขาใช้เคล็ดวิชาชนิดหนึ่งที่ทำให้ต่อสู้ได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครั้งหนึ่งเขาต่อสู้กับผู้คนเป็นเวลาสามวันสามคืน หลังจากนั้นยังเดินทางไกลไปที่กองบัญชาการหลักของศัตรู ความอึดอยู่ในระดับที่เขย่าขวัญมาก”

ใบหน้าของกาเรนก็เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ต่อให้เป็นเขาในเวลานี้ การต่อสู้ด้วยกำลังทั้งหมดแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสามวัน แค่วันเดียวก็ทนไม่ไหวแล้วล่ะ

“แล้วเบาะแสที่คุณพูดถึงล่ะ?”

“ผมค้นพบความสัมพันธ์ที่ลึกลับมาก” อันเดอร์เลชท์ฉีกยิ้ม “คุณน่าจะเคยได้ยินเลือดอมตะใช่ไหม” เมื่อเห็นกาเรนพยักหน้า เขาก็พูดต่อ

“เลือดอมตะคือเลือดที่มีสายพันธุ์อายุยืน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาสายเลือดของเผ่าพันธุ์อมนุษย์”

“เผ่าพันธุ์อมนุษย์?”

“ถูกต้อง ในตอนนี้ เผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่รู้จักกันบนโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่พวก มนุษย์หมาป่า มนุษย์แมว มนุษย์หนู เผ่าพันธุ์อื่นๆ แทบจะไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นเลย ผมได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจากเพื่อนที่พอมีอยู่บ้างในเผ่าพันธุ์เหล่านี้ แล้วลองเปรียบเทียบประเด็นสำคัญดูก็ได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ” อันเดอร์เลชท์ยื่นมือออกไปวาดรูปบนพื้นหินสีขาว

ไม่นานนัก แผนภาพความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายก็ปรากฏขึ้นบนพื้น

“ในบันทึกของเผ่าพันธุ์อมนุษย์ ความสามารถทางสายเลือดต่างๆ ที่บรรพบุรุษโบราณครอบครอง มีบางอย่างมีความคล้ายคลึงกันมากกับเคล็ดวิชาโบราณที่นักสู้เคยใช้ที่มีอยู่ในบันทึก”

“คุณหมายความว่าเคล็ดวิชาของนักสู้อย่างพวกเรามีความเป็นไปได้ว่าจะเลียนแบบพลังสายเลือดของเผ่าพันธุ์อมนุษย์อย่างนั้นหรือ” กาเรนถามด้วยความสงสัย

“ไม่” อันเดอร์เลชท์ส่ายหัวอย่างเคร่งขรึม “ผมยังพูดไม่จบเลย “การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมไม่ใช่ตรงนี้ แต่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง”

“เอ๋?” ตอนนี้กาเรนรู้สึกอึ้งจริงๆ แล้ว นี่ยังไม่ถือว่าเป็นการค้นพบที่ใหญ่ที่สุดอีกเหรอ

จิตสังหารบนตัวของอันเดอร์เลชท์ระเบิดขึ้นทันที จากนั้นก็มีกากบาทสีดำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นข้างหลังเขา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งลานประลอง

“เพื่อความลับ แบบนี้ก่อนเถอะ” เขาลดเสียงลง

หลังจากจิตสังหารมั่นคงแล้ว และมั่นใจว่าไม่มีใครแอบฟังอยู่ เขาจึงพูดถึงการค้นพบของตนด้วยเสียงเบาๆ

“ผมสงสัยว่าเคล็ดวิชาที่พวกเราใช้กันน่าจะมาจากวิชาคาถาอาคมของนักเวทในตำนานโบราณ! เป็นวิธีการกระตุ้นแบบพิเศษที่พวกเขาใช้ปลุกเร้าพลังสายเลือดของตัวเอง!”

สีหน้าของกาเรนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในหัวใจของเขาเริ่มปั่นป่วน

แม้จะเคยเห็นมนุษย์หมาป่าและนักล่าปีศาจ ยังมีพลังจิต รวมถึงความร้ายกาจของศิลปยุทธ์ลับที่น่าเหลือเชื่อ แต่เขาก็คิดเสมอว่าโลกที่เขากำลังอาศัยอยู่นั้นเป็นสังคมสมัยใหม่จริงๆ เพียงแต่การพัฒนาเทคโนโลยียังไม่เท่ากับดาวโลกเท่านั้น แต่ตอนนี้ อันเดอร์เลชท์กลับบอกเขาว่าโลกใบนี้เคยมีนักเวทมาก่อน เคล็ดวิชาก็คือหลักฐานที่พวกนักเวทเหลือทิ้งไว้

“คุณอ้างอิงจากอะไร!” เขาถามตรงๆ

“อันนี้ย่อมมีแน่นอน” อันเดอร์เลชท์พยักหน้า “อันที่จริงประกายแสงกระพริบของผมไม่ใช่เคล็ดวิชาของสำนักดาราจักร แต่ได้มาจากสำนักโบราณอื่น การฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จะต้องใช้เลือดสิงโตตัวผู้โตเต็มวัยมาละเลงสัญลักษณ์พิเศษแปดสิบเอ็ดอย่างลงบนร่างกาย”

“นี่ไม่ใช่ความเชื่อใช่ไหม คุณทำแบบนี้จริงๆ หรือ”

“แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นแค่ความเชื่อ จึงเพิกเฉยต่อขั้นตอนนี้แล้วข้ามไปฝึกฝนขั้นตอนต่อไปที่อยู่ด้านหลัง น่าเสียดาย มันไม่ได้ผลอะไรเลย” อันเดอร์เลชท์เล่าจากความทรงจำ “ผมเคยคิดว่าเคล็ดวิชามีปัญหา หรือไม่ก็เป็นความแตกต่างทางร่างกายของคนโบราณและคนสมัยนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ ผมก็ฉุกคิดขึ้นมา แล้วก็ลองดู ปรากฏว่ามันได้ผลทันทีจริงๆ!”

เขาเหลือบมองกาเรนที่กำลังตั้งใจฟังแล้วพูดต่อ

“ต่อมา ผมบังเอิญได้เห็นสัญลักษณ์แบบเดียวกันนี้ในประวัติศาสตร์การวิจัยเทพปกรณัมด้วย สัญลักษณ์ที่ผมใช้ในการฝึกเคล็ดวิชานั่นแหละ”

“คุณเคยลองดัดแปลงสัญลักษณ์ดูไหม”

“แน่นอนว่าเคยลองแล้ว แค่ดัดแปลงนิดหน่อยก็ใช้ไม่ได้แล้วล่ะ” อันเดอร์เลชท์ส่ายหัว “ผมเห็นสัญลักษณ์นี้จากหนังสือประวัติศาสตร์การวิจัยเทพปกรณัม ซึ่งในยุคนั้นเป็นตัวแทนของสิงโต หลังจากนั้น ผมก็เกิดความสนใจต่อนักเวทเทพนิยาย ผมรวบรวมข้อมูลเรื่องพวกนี้จากหลายๆ พื้นที่ ท้ายที่สุด รวมกับเคล็ดวิชาที่ปรากฏในยุคแรกสุด ก็ได้การคาดเดาที่น่าอัศจรรย์นี้ไง”

“การคาดเดาอะไร” กาเรนตั้งใจฟัง

“เป็นไปได้มากที่โลกใบนี้จะเคยมีนักเวท ผมเคยเห็นบันทึกดังกล่าวในคัมภีร์โบราณที่แปลเกี่ยวกับเรื่องตำนานศาสนาโบราณโดยเฉพาะ” อันเดอร์เลชท์หยุดครู่หนึ่ง

“ในนั้นเขียนไว้ว่า [เหล่านักเวทได้ปกครองโลกมากว่าร้อยล้านปีแล้ว พวกเขาเรียกสิ่งที่แตกต่างจากตัวเองว่าปีศาจ ทั้งยังควบคุมและกดขี่พวกเขา]”

กาเรนขมวดคิ้วแน่น สมองของเขาย้อนนึกถึงเทพนิยายที่เกี่ยวกับนักเวทของโลกใบนี้

“ถ้าสมมติฐานที่ว่าพวกเขามีอยู่จริง อย่างนั้นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังแบบนี้หายไปได้ยังไงกัน”

“เรื่องนี้ ผมก็ไม่รู้แล้ว แต่ยังไงผมก็สงสัยว่าเคล็ดวิชาของพวกเราน่าจะมาจากคาถาอาคมที่พวกนักเวทหลงเหลือทิ้งไว้”

“อย่างนั้นคุณคิดจะทำยังไงต่อ” กาเรนมองไปที่อันเดอร์เลชท์ “ต่อให้เป็นเรื่องจริงก็เถอะ คุณมีแผนยังไง”

“ผมได้ทำกำหนดแหล่งอารยธรรมโบราณที่อาจจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างส่วนหนึ่งแล้ว ผมเตรียมจะเชิญสหายและยอดฝีมือไปสำรวจด้วยกัน แม้ว่าแหล่งอารยธรรมโบราณเหล่านี้จะถูกสำรวจไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตามที แต่ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด ไม่แน่อาจจะได้อะไรติดมือกลับมาก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ทะเลขนาดใหญ่อีก มีหลายที่ที่มนุษย์ยังไม่เคยย่างกรายเข้าไป จะต้องมีอะไรดีๆ แน่” อันเดอร์เลชท์มองกาเรนแล้วพูดเสียงเบาๆ “นอกจากนี้ ผมยังสงสัยว่าวิหารแห่งทวยเทพและสำนักมารวารณอาจจะใช้การเสาะหาเลือดอมตะที่หาได้เฉพาะในซากอารยธรรมโบราณเป็นแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็อาจจะกำลังสำรวจความจริงของประวัติศาสตร์เพื่อหาหนทางทะลุขีดจำกัดเหมือนกับพวกเรา”

กาเรนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

“ตอนนี้คุณดึงคนมาได้เท่าไรแล้วล่ะ”

“ถ้าคุณตกลง รวมผมด้วย ก็เป็นสอง” อันเดอร์เลชท์ตอบอย่างจริงจัง

“อย่าพูดมั่วซั่วสิ” กาเรนพูดไม่ออก อันเดอร์เลชท์ก็ล้อเล่นเป็นกับเขาด้วย “ขอแค่คุณควักหลักฐานออกมาได้ ผมก็ไม่มีปัญหา แล้วตัวเลือกที่เหมาะสมคนอื่นๆ ล่ะ?”

“หลักฐานนั้นง่ายมาก ที่ผมมีข้อมูลชุดหนึ่งที่รวบรวมไว้ สามารถเอาให้คุณดูได้ ข้อมูลในนั้นทั้งหมดสามารถสอบถามได้ทันที ห้องสมุดของสหพันธรัฐหรือห้องสมุดส่วนตัวบางแห่งก็สามารถค้นได้ ข้อมูลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาและประวัติศาสตร์เผ่าพันธุ์อมนุษย์ ข้อมูลพวกนี้ตรวจสอบได้ทั้งหมด ไม่มีของปลอม เพียงแต่ต้องใช้ความพยายามและเวลามากหน่อยในการเชื่อมโยงเข้าหากัน

สำหรับตัวเลือกอื่น มีคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติพอที่จะไล่ตามวิถีแห่งขีดจำกัดได้ อย่างน้อยๆ ก็เป็นคนที่บรรลุจุดสูงสุดของมนุษย์ คนแบบนี้ในทวีปหุบเขาหินส่วนใหญ่ถูกวิหารแห่งทวยเทพกวาดต้อนไปหมด สำนักมารวารณก็ดึงดูดคนเก่งที่มีศักยภาพและพยายามเพาะบ่มพวกเขาด้วยตัวเอง แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับนักสู้ที่มีความขัดแย้งกับวิหารแห่งทวยเทพ” อันเดอร์เลชท์เหยียดมือลงไปเขียนชื่อหนึ่งบนพื้น

‘สตีเว่น ราล์ฟ’

กาเรนเหลือบมองชื่อที่ไม่รู้จักนี้

“เขาเป็นใคร”

“พื้นที่ของเขาไม่เหมือนกับเรา เป็นคนป่วยโรคจิต แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นนักสะกดจิตที่แข็งแกร่งและน่ากลัวที่สุดในโลก ว่ากันว่าแค่ได้ยินเสียงของเขาก็อาจจะถูกสะกดจิตได้ แค่สัมผัสกับเขา ก็อาจจะประสาทหลอน เขาเคยสร้างโศกนาฏกรรม 914 ที่น่าสยดสยองในทวีคราม ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน นอกจากนี้ ยังเคยก่อตั้งองค์กรก่อการร้ายภูติทะเลในทวีปห้าดาราอีกด้วย เขาถูกระบุว่าเป็นบุคคลอันตรายที่สุดอันดับสี่ในแฟ้มลับสุดยอดของสามประเทศใหญ่

เขาสามารถสะกดจิตคนอื่นได้ ก็สามารถสะกดจิตตัวเองได้เหมือนกัน เพราะการสะกดจิตทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปไกลจากคนธรรมดาและบรรลุถึงขีดสุดของร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน” เมื่ออันเดอร์เลชท์พูดถึงบุคคลนี้ ดวงตาของเขาดูอึดอัดและสับสน

………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด