True Martial World พิภพเทพยุทธ์ 1086

Now you are reading True Martial World พิภพเทพยุทธ์ Chapter 1086 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
มุ่งสู่สระใส

เหยียนเทียนชงไม่กล้าพูดอะไรตรงๆ ต่อหน้าเจี้ยนอู๋เฟิง เขาคอยส่งเสียงกระตุ้นยอดฝีมือจากสำนักต่างๆ ที่ลังเลไม่หยุดเพื่อให้พวกเขาลงมือกับอี้อวิ๋น

‘เข็มทิศความลับสวรรค์อยู่ในมืออี้อวิ๋น หากเขาหนีไปได้ สมบัติทั้งหมดในทะเลทรายกลบอาทิตย์ก็จะเป็นของเขา! สังหารเขาแล้วสมบัติในร่างเขาจะเป็นพวกเรา ทั้งอี้อวิ๋นยังเป็นศัตรูของวังวิถีเจ็ดดารา เจ้าจะรอดไปได้อย่างไร?’

เหยียนเทียนชงส่งเสียงไปรอบด้านแต่ไม่มีใครสนใจเขา ตอนนี้เจี้ยนเสี่ยวซวงเข้าไปในเจดีย์ที่พำนักพกพาแล้ว

จีสุ่ยเยียนเข้าสู่ที่พำนักถัดจากเจี้ยนเสี่ยวซวง ก่อนที่นางจะเข้าเจดีย์ก็ได้บีบตราหยกชิ้นหนึ่งให้แตก แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้

คนสุดท้ายคืออี้อวิ๋น เขามองเหยียนเทียนชงกับอาจารย์เทียนเซียวอย่างมีความหมายและพูดช้าๆ ว่า “เหยียนเทียนชง เทียนเซียวซั่ว วันหน้าข้าจะไปเยี่ยมเยียนร้านขยายฟ้ากับสำนักความลับสวรรค์และกระฉากวิญญาณสกัดไขกระดูกพวกเจ้าแน่นอน ให้ร้านขยายฟ้ากับสำนักความลับสวรรค์สลายเป็นเถ้าธุลี!”

คำพูดของอี้อวิ๋นเป็นดังประกาศจากเทพแห่งความตาย เหยียนเทียนชงตัวสั่นและรู้สึกเหมือนจมลงในถ้ำน้ำแข็ง

ส่วนอาจารย์เทียนเซียวก็ยังคงส่ายพัด แม้เขาจะกลัวเล็กน้อยแต่ก็ยังคงสีหน้าดังเดิม “เหอะ! สำนักความลับสวรรค์ของข้าสืบทอดมาไม่รู้กี่หมื่นปี อย่างเจ้าน่ะหรือจะทำลายสำนักได้? น่าขัน!”

อี้อวิ๋นไม่โต้ตอบ เงาร่างเขาหายเข้าไปในเจดีย์ขนาดเล็ก เจี้ยนอู๋เฟิงโบกมือเก็บเจดีย์ จากนั้นร่างกายเขาก็กลายเป็นลำแสงกระบี่สายที่พุ่งไปยังเส้นขอบฟ้า!

นักพรตอวี้เหิงอยากขัดขวาง แต่เงาร่างของเจี้ยนอู๋เฟิงก็หายไปในชั่วพริบตา ความเร็วเช่นนี้ได้ทำลายความคิดที่จะไล่ตามของเขา ไม่พูดถึงความแข็งแกร่งของเจี้ยนอู๋เฟิง ลำพังแค่ความเร็วเขาก็เทียบไม่ได้แล้ว

“เจี้ยนอู๋เฟิง!”

นักพรตอวี้เหิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ว่าตัวเองต้องรับผิดชอบต่อเหตุอันไม่คาดคิดในวันนี้อย่างหนัก อาจถึงขั้นถูกประมุขวังวิถีเจ็ดดาราลงโทษ แต่แน่นอนว่ายังมีคนอีกผู้หนึ่งที่หนีความรับผิดชอบไม่พ้น

เขาหันไปมองผู้อาวุโสเฟิงสิง ผู้อาวุโสเฟิงสิงตกใจและรีบคุกเข่าลงบนพื้น “ท่านทูตขอรับ ท่านทูตขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยนะขอรับ”

“ก่อนหน้านี้ข้าถามเจ้าว่าจะมีใครช่วยอี้อวิ๋นหรือไม่ เจ้ารับประกันกับข้าว่าอี้อวิ๋นเพิ่งมาเมืองแสงหยกเป็นครั้งแรก ไม่มีใครช่วยเขาแน่นอน แต่ผลลัพธ์ล่ะ?”

นักพรตอวี้เหิงคว้ามือจับมาที่ผู้อาวุโสเฟิงสิงเหมือนจับลูกไก่ ผู้อาวุโสเฟิงสิงตัวสั่นอย่างไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย

“เจ้าเลิกดูแลร้านประมูลเจ็ดดาราของเมืองแสงหยกเถอะ กลับไปรับโทษที่นรกเจ็ดดารากับข้าเถอะ!”

ผู้อาวุโสเฟิงสิงตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่างเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นรกเจ็ดดาราคือสถานที่รับโทษหนักของวังวิถีเจ็ดดารา เขารู้ว่าตัวเองถึงคราวจบสิ้นแล้ว หากถูกส่งไปที่นรกเจ็ดดาราก็ต้องตายแน่นอน

เรื่องที่เกิดในวันนี้นักพรตอวี้เหิงไม่ต้องการแบกความรับผิดชอบหลัก เช่นนั้นผู้อาวุโสเฟิงสิงที่มีตำแหน่งต่ำจึงกลายเป็นแพะรับบาป

เหยียนเทียนชงหวั่นใจเมื่อเห็นผู้อาวุโสเฟิงสิงที่เมื่อวานยังฮึกเหิมและมีอำนาจในเมืองแสงหยกมาถูกนักพรตอวี้เหิงนำตัวไป เขารู้ว่าผู้อาวุโสเฟิงสิงคงมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี!

ผู้อาวุโสเฟิงสิงที่มีอำนาจในมือ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาให้ความเคารพยำเกรงสามส่วนกลับถูกจับเป็นนักโทษง่ายขนาดนี้ และทั้งหมดนี้ยังเกิดจากอี้อวิ๋น

ผู้อาวุโสเฟิงสิงทำหน้าที่ได้ไม่ดีในขณะที่เผชิญกับอี้อวิ๋นจึงมีจุดจบเช่นนี้

คิดถึงคำที่อี้อวิ๋นพูดกับเขาก่อนไปแล้วเหยียนเทียนชงก็ขาอ่อนและรู้สึกกดดันอย่างหนัก

……

ห่างออกไปหมื่นลี้ในเวลานี้ เจดีย์ขนาดเล็กหลังหนึ่งกลายเป็นลำแสงที่พุ่งผ่านอากาศด้วยความเร็วสูง เจดีย์นี้คือที่พำนักพกพาของเจี้ยนอู๋เฟิง

เจี้ยนอู๋เฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิ เขาควบคุมเจดีย์ไปด้วยนั่งสมาธิปรับลมหายใจไปด้วย ส่วนพวกอี้อวิ๋นกับเจี้ยนเสี่ยวซวงก็ไม่มีอะไรทำอยู่ในเจดีย์

เจี้ยนเสี่ยวซวงนั่งอยู่ตรงหน้าอี้อวิ๋นไม่ไกล ดวงตาคู่โตจ้องอี้อวิ๋นอย่างไม่กระพริบ

ในที่สุดอี้อวิ๋นก็กระแอมไออย่างทนไม่ไหวหลังจากที่ถูกจ้องมาหนึ่งเค่อเต็มๆ “แม่นางเสี่ยวซวง เจ้ามองข้าทำไมหรือ?”

“เจ้าถามว่าข้ามองเจ้าทำไม เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์ข้ากันแน่?”

เจี้ยนเสี่ยวซวงมองออกว่าที่ท่านอาจารย์เสี่ยงชีวิตช่วยอี้อวิ๋นก็ไม่ได้ธรรมดาแค่เพราะชื่นชมเขา สาเหตุสำคัญกว่านั้นคืออี้อวิ๋นกับเขามาจากเชื้อสายเดียวหรืออาจมากกว่านั้น นางไม่รู้เรื่องความเกี่ยวข้องนี้

อี้อวิ๋นรู้สึกสนใจที่เจี้ยนเสี่ยวซวงพูดตรงไปตรงมา เขาพูดว่า “ข้ากับสำนักกระบี่สระใสมีแหล่งกำเนิดบางอย่างเดียวกัน…”

เจี้ยนอู๋เฟิงลืมตาขึ้นมองอี้อวิ๋นเมื่อเขาพูดถึงตรงนี้

“ท่านผู้อาวุโสอู๋เฟิง ข้าน้อยเคยได้มรดกบางอย่างจากผู้อาวุโสราชาชิงหยาง เคยเห็นเจตนากระบี่ที่ท่านแสดงจากในค่ายกลบันทึกภาพ!”

คำพูดประโยคนี้ของอี้อวิ๋นทำให้ใจเจี้ยนอู๋เฟิงเต้นอย่างรุนแรง

ราชาชิงหยาง! เป็นราชาชิงหยางจริงๆ ด้วย! แม้ก่อนหน้านี้เจี้ยนอู๋เฟิงจะแน่ใจแล้วว่าอี้อวิ๋นมีความเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่สระใส แต่ความเกี่ยวข้องจะสืบสาวได้ถึงแค่ไหนเขากลับไม่แน่ใจ เมื่อตอนนี้มาได้ยินอี้อวิ๋นพูดเรื่องราชาชิงหยางแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร?

ราชาชิงหยางหายตัวไปหลายสิบล้านปี ความจริงแม้แต่ศิษย์ในสำนักกระบี่สระใสก็ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือราชาชิงหยาง เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่ชื่อของราชาชิงหยางเป็นคำพูดต้องห้ามของแคว้นจงแห่งดินแดนสวรรค์ ชาติกำเนิดของสำนักกระบี่สระใสจึงถูกปิดบัง มีเพียงเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสสูงสุดที่รู้เรื่องนี้

แม้แต่เจี้ยนเสี่ยวซวงก็ยังงุนงงเมื่อได้ยิน ก่อนหน้านี้นางรู้แค่ว่าสำนักกระบี่สระใสมีบรรพบุรุษที่สุดยอดมากคนหนึ่ง เมื่อตอนนี้มาเห็นท่าทีตื่นเต้นของเจี้ยนอู๋เฟิงก็พอเดาได้ว่าบรรพบุรุษท่านนี้คงจะเป็นราชาชิงหยาง

“ท่านผู้อาวุโสอู๋เฟิง ตอนนั้นราชาชิงหยางถูกศัตรูทำร้ายจึงเดินทางไปที่โลกระดับต่ำ เขาบรรลุเจตนากระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากที่นั่น แม้ระดับยุทธ์ของราชาชิงหยางจะไม่ดีเหมือนเก่า แต่หากเป็นเรื่องเจตนากระบี่แล้วก็เหนือกว่าตอนที่อยู่โลกสวรรค์เทพหยางเสียอีก ข้าน้อยเองก็เคยเห็นเจตนากระบี่นี้”

“หืม? เจตนากระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นหรือ?”

เจี้ยนอู๋เฟิงตกตะลึง ตลอดชีวิตที่เขาฝึกยุทธ์มานี้ก็เพื่อไล่ตามจุดสูงสุดของกระบี่ เดิมทีมรดกของราชาชิงหยางที่สำนักกระบี่สระใสมีในครอบครองก็ไม่สมบูรณ์จนทำให้เจี้ยนอู๋เฟิงอดเสียดายไม่ได้ ตอนนี้เขากลับมาได้ยินอี้อวิ๋นพูดว่าราชาชิงหยางไปที่โลกระดับต่ำแล้วมีการพัฒนาด้านวิถีกระบี่ จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?

วิถีกระบี่ไร้ขอบเขต เขารู้ว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้เห็นจุดสิ้นสุด แต่อย่างไรเขาก็ต้องปีนให้ยิ่งสูง มองให้ยิ่งไกล

“ผู้อาวุโสอู๋เฟิง ข้าน้อยยินดีแสดงเจตนากระบี่สุดท้ายของราชาชิงหยางให้ดู แต่น่าเสียดายที่ข้าน้อยเลียนแบบกลิ่นอายภายในได้แค่ไม่กี่ส่วน”

“ดี! ดีมาก!” เจี้ยนอู๋เฟิงใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินคำของอี้อวิ๋น การได้เห็นความลึกล้ำของกระบี่ที่สูงขึ้นไปอีกคือสิ่งที่ต่อให้อายุสั้นลงหมื่นปีก็ยอม

เขาไม่ได้พูดขอบคุณอะไรที่อี้อวิ๋นสามารถแสดงเจตนากระบี่ให้ดู แม้เขาจะเพิ่งเจออี้อวิ๋นเป็นวันแรกแต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นสหายต่างวัยที่คบกันมานาน คำพูดขอบคุณจึงไม่จำเป็นอีก

“ที่พำนักนี้ไม่เหมาะให้แสดง อีกเดี๋ยวพวกเราก็ถึงสำนักกระบี่สระใสแล้ว เจ้าค่อยแสดงตอนนั้นเพื่อให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเถอะ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด