การกลับมาของฮีโร่ 103

Now you are reading การกลับมาของฮีโร่ Chapter 103 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การกลับมาของฮีโร่

 

ตอนที่ 103

 

ซูฮยอนพลิกหน้าหนังสืออ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ สายตาไม่วอกแวก

 

“อยากรู้จริงๆว่าเจ้าหนุ่มนั่นกําลังคิดอะไรอยู่?”

 

มัลคอล์มปิดปากเงียบ สายตาเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาซูฮยอน

 

ผ่านไปได้สักพักหลังจากอีกฝ่ายอ่านเนื้อหาในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือปฏิกิริยา ไร้การเปลี่ยนแปลง เฉยชายังไงก็เฉยชาอยู่วันยังคํ่า

 

“เจ้าหาหนังสือเล่นนั้น เจอได้ยังไง” มัลคอล์มถาม

 

“มิรุเป็นคนชี้นํา ผมเลยหยิบขึ้นมาอ่าน”

 

“มิรของเจ้างั้นเหรอ…”มัลคอล์มปลงอนิจจัง อดถอนหายใจไม่ได้กับคําตอบของซูฮยอน

 

“มังกรแดงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวสมคําร่ำลือจริงๆ ไม่รู้ภายในร่างกายของมันครอบครองพลังเทพประเภทใด”

 

“มังกรแดง ผู้อาวุโสหมายถึงอะไรครับ?”ซูฮยอนบิดหนังสือช้อนตามองมัลคอล์มที่กําลังส่ายหัวไปมาไม่หยุด สีหน้าเหยเกคล้ายยอมจํานน

 

“เจ้าเนี่ยไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยหรือไง ประเด็นสําคัญปรากฏตรงหน้าทนโท่ ยังไม่วาย วกกลับมาถามให้ข้าคลายข้อสงสัยอีกงั้นรึ”

 

“งั้นผู้อาวุโสคิดว่าอะไรคือประเด็นสําคัญ ที่พวกเราต้องคุยกัน?”

 

“อูโรโบรอส ข้า…”

 

“โอ้ เกี่ยวกับเจ้านั้นเก็บไว้คุยที่หลังก็ยังไม่สายครับ”

 

พูดตรงๆซูฮยอนไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนอัญเชิญอูโรโบรอส

 

การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้กําหนดให้ตามหาตัวผู้อัญเชิญอูโรโบรอส มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ตัวนั้น

 

แน่นอนซูฮยอนไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว ว่าการพบกันระหว่างเขาและมัลคอล์มจะเป็นเรื่องบังเอิญ

 

<<สิ่งที่สําคัญที่สุดตอนนี้ คือข้อมูลของมิรุมากกว่า>>

 

แม้แต่ซงฮย็องกิที่ทุกคนตั้งฉายาให้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ยังหาคําตอบไม่ได้ ว่ามิรุอยู่จําพวกใด

 

หากซูฮยอนปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป ข้อมูลเกี่ยวกับมิรุคงเป็นเงื่อนงําต่อไป สําหรับตอนนี้ต่อให้คนตรงหน้าจะเป็นผู้อัญเชิญอูโรโบรอสก็ไม่ใช่เรื่องสลักสําคัญ ข้อมูลเกี่ยวกับมังกรของซูฮยอนต่างหากสําคัญเหนือสิ่งอื่นใด..

 

“เป็นเด็กที่มีนิสัยแปลกประหลาดจริงๆ หรือเขาจะไม่รู้ว่าอูโรโบรอสมีชีวิตอยู่?”

 

มัลคอล์มยิ้มขมขื่น ขณะมองหน้าซูฮยอน

 

ซูฮยอนเผยรอยยิ้มจุ่มง่ามและวางหนังสือลงที่เดิม “ผมต้องขอโทษผู้อาวุโสที่ถือวิสาสะหยิบขึ้นมาอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมให้คํามั่นสัญญาว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2”

 

“ช่างปะไร มีหนังสือหลายเล่มกองสุมเก็บอยู่ที่นี่ หากไม่มีหนังสือดึงดูดสายตาเจ้าได้ ถึงจะเป็นเรื่องแปลก อ่านจบแล้วใช่ไหม? ตามข้ามา”

 

มัลคอล์มพาซูฮยอนเดินออกจากห้องใต้ดิน หลักจากออกจากห้องวิจัยที่เต็มไปด้วยละอองฝุ่น

 

ทั้ง 2 คนกลับมาสู่ห้องนั่งเล่นที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ

 

มัลคอล์มนํากาน้ำชาออกมาแล้วรินใส่แก้ว 2ใบ ใบหนึ่งของตัวเองและอีกใบของซูฮยอน

 

ซูฮยอนประคองถ้วยชาด้วย 2 มือ จิบชิมรสชาติเล็กน้อย กลิ่นชาหอมกรุ่น รสชาติโอชากว่าชาทั่วไป

 

“เจ้าเป็นคนที่พิลึกจริงๆ” มัลคอล์มบ่นพึมพํา

 

“ หมายความว่าไงครับ?”

 

“บ้างที่เจ้าอาจไม่ทราบว่านักเวทย์แห่งความมืดชั่วช้าแค่ไหน หรือเจ้าอยากลองดี เลยคิดท้าทายข้า? แต่จากท่าทางของเจ้า ไม่เหมือนอย่างที่ข้าคิดไว้”

 

“ผู้อาวุโสกําลังจะบอกผมว่า “ข้าอาจใส่ยาพิษลงไปในชาของเจ้าก็ได้ ไม่กลัวเลยหรือ?” สินะครับ”

 

“ถูกต้อง ข้าหมายความว่าแบบนั้น”

 

“ผมสังเกตจากสีหน้าท่าทางของผู้อาวุโสเอานะครับ ผู้อาวุโสไม่ใช่พวกชอบแทงข้างหลังและก็ไม่มีเจตนาทําร้ายผมด้วย ผมจึงมั่นใจว่าท่านคงไม่ใช้กลอุบาย เช่นใส่ยาพิษในน้ำชา”

 

“กลอุบายงั้นเหรอ?”

 

ซูฮยอนไม่เชื่อว่าการทดสอบชั้นที่ 30 จะต้องยุติลงเพราะถ้วยน้ำชาเคลือบยาพิษ แน่นอนว่าหากโดนอีกฝ่ายวางยาพิษจริงๆ เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถขับพิษออกจากร่างกายได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขายังมีภูมิคุ้มกันต่อสารพิษหลายชนิดอีกด้วย

 

“ฟู ผมมีบางเรื่องที่อยากบอกให้ผู้อาวุโสฟัง ก่อนที่พวกเราจะเริ่มสนทนากัน” ซูฮยอนวางถ้วยน้ำชาลง

 

“ผมไม่เคยมีอคติต่อนักเวทย์แห่งความมืดและไม่เคยเหมารวมว่าทุกคนที่ใช้ศาสตร์มืด ต้องชั่วร้ายเหมือนกันหมด เหรียญยังมี 2 ด้าน นิสัยคนเราก็เช่นกัน ดังนั้นผู้อาวุโสไม่ต้องเกร็ง ทําตัวตามสบายเถอะ อย่าระวังผมแจขนาดนั้น ผู้อาวุโสเป็นเจ้าบ้านแสดงกิริยาเกรงอกเกรงใจแบบนั้น ผมรู้สึกผิดเหมือนกันนะครับ”

 

ตอนนี้มัลคอล์มค่อนข้างระมัดระวังตัว ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือกิริยาท่าทาง เขาพยายามควบคุมพวกมันที่กําลังระสับระส่ายปั่นป่วนให้อยู่ในความสงบ

 

พอได้ยินคําพูดซูฮยอน มัลคอล์มรู้สึกว่าภูเขาในอกถูกยกออกไป

 

มัลคอล์มหยิบถ้วยชาของตัวเองขึ้นมาและนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามซูฮยอน

 

“ข้าขอบคุณที่เข้าใส่ใจความรู้สึกของคนแก่”

 

ชายชรายกถ้วยชาจิบ รสชาติขมปลายของชาทําให้จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านผ่อนคลายลง กลิ่นหอมจากชาคลุกกรุ่นอยู่ในปากหลังจากดื่มรสชาติ มัลคอล์มวางถ้วยชาลงและหยิบหนังสือที่เอาออกมาจากห้องใต้ดินวางไว้บนโต๊ะ

 

“นี่คือหนังสือที่ระบุรายเอียดเกี่ยวกับมิรุ”

 

คิ้ว?

 

มิรูจ้องมองหน้าปกหนังสือที่มีรูปมังกรโตเต็มวัยดูสง่างามผึ่งผาย แล้วเอียงหัวด้วยความฉงน ราวกับอยากถามประมาณว่า “ในรูปใช่ผมหรือป่าวฮะ?”

 

“หนังสือเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ?”

 

นอกจากปกหนังสือจะเป็นรูปมังกร คําเกริ่นนําสักหน่อยก็ไม่มี

 

มัลคอล์มได้ยินคําถาม ก็หยิบหนังสือขึ้นมาเปิดไล่ที่ละหน้าเร็วๆ “หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อธิบายและจําแนกประเภทของมังกรผ่านโทนสี”

 

“โทนสีเหรอครับ?”

 

“อย่างที่รู้ทั่วกันว่ามังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนจุดสูงสุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล แต่ความจริงพวกมังกรยังมีการแบ่งชั้นวรรณะไม่ต่างจากมนุษย์ หนังสือเล่มนี้อธิบายวรรณะของมังกรผ่านโทนสี”

 

ชั้นวรรณะของมังกร ซูฮยอนค่อนข้างให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ย้อมกลับไปตอนที่ซงฮย็องกิอัญเชิญมังกรฟ้าออกมา มังกรฟ้าไม่รู้กินยาผิดมาหรือไร ก้มหัวให้กับมิรุที่พึ่งฟักไข่ออกมาไม่นานซะงั้น

 

“ผู้อาวุโสบอกว่าใช้โทนสีในการแบ่งชั้นวรรณะ งั้นมังกรฟ้าอยู่วรรณะไหนเหรอครับ” ซูฮยอนถามไถ่ พลางจินตนาการถึงมังกรฟ้าของซงฮย็องกิ

 

เมื่อได้ยินคําถาม มัลคอล์มผู้ทําหน้าที่ไขความกระจาง พลิกหน้าหนังสือหาข้อมูล

 

“มังกรฟ้าอยู่วรรณะเกือบรั้งท้าย สีม่วงคือวรรณะล่างสุดและมังกรม่วงยังเป็นสีที่พบเห็นได้มากที่สุดในประชากรมังกรด้วยกัน หนังสือบอกไว้อย่างงี้”

 

“สีม่วงคือวรรณะล่างสุด?”

 

การแบ่งชั้นวรรณะมีความคล้ายคลึงกับดันเจี้ยน แต่โทนสีที่ใช้ระบุสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

 

ดันเจี้ยนที่มีความยากสูงสุดคือสีม่วง ทว่ามังกรที่มีวรรณะตําสุดกลายเป็นสีม่วงซะงั้น

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น

 

“หรือว่ามังกรแดงอยู่วรรณะสูงสุด?”

 

“ถูกต้อง”

 

สายตาของมัลคอล์มจดจ่ออยู่บนหนังสือหน้าสุดท้าย คําอธิบายมีความแตกต่างจากมังกรโทนสีอื่นมากเป็นพิเศษ เพราะคําอธิบายมังกรแดงมีแค่ไม่กี่แผ่น เรียกได้ว่าเป็นคําอธิบายสั้นๆโดยสังเขปมากกว่า

 

“มังกรแดงคาดคะเนกันว่าอาจเป็นมังกรวรรณะสูงสุด”

 

“คาดคะเนเหรอครับ?

 

“ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ อุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับการค้นคว้าวิจัยวรรณะของเหล่ามังกร จนถึงบั้นปลายชีวิต เขาไม่เคยค้นพบมังกรแดงหรือศิลาจารึกที่บันทึกการพบเห็นตัวมันเลยสักครั้ง จากสีทั้งหมดที่ผู้เขียนเคยเห็นและมีบันทึกตามตํานานปรัมปรา <<สีแดง>> ถูกประเมินว่าอยู่วรรณะสูงสุด หนังสือระบุไว้อย่างนั้น”

 

เดาได้ง่ายๆเหตุใดบันทึกเกี่ยวกับมังกรแดงถึงมีหย็อมแหย็ม เพราะมังกรแดงตั้งแต่ในอดีตหรือตอนนี้มีอัตราการเกิดต่ำมาก ยากต่อการพบเห็น

 

“หนังสือรู้แค่ไหนข้าก็รู้แค่นั้น หากเจ้าอยากได้หนังสือเล่มนี้ ข้ายกให้เจ้า เก็บไว้กับข้าเสียคุณค่าเปล่าๆ”

 

มัลคอล์มผลักหนังสือไปตรงหน้าซูฮยอน สําหรับเขาหนังสืออธิบายเกี่ยวกับมังกร อยู่ในมือของซูฮยอนมีประโยชน์มากกว่า

 

ซูฮยอนรีบโบกมือปฏิเสธพัลวันและพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณผู้อาวุโสที่หวังดี แต่ผมไม่อยากเก็บมันไว้”

 

“แน่ใจ? เจ้าไม่สนใจแล้วงั้นรึ?”

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่ว่า…”

 

หากอยากเอาหนังสือเล่มนี้พกติดตัวไปด้วย ซูฮยอนต้องกรอกแบบฟอร์มใบสินทรัพย์ต่างมิติ

 

มีแค่วิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถนําสิ่งของออกจากหอคอยแห่งการทดสอบ สําหรับหนังสืออธิบายเกี่ยวกับมังกร เขาคิดว่าไม่มีความจําเป็นเร่งด่วนอะไรต้องนํามันไปด้วย

 

“ผมขอยืมผู้อาวุโสอ่านสัก 2-3 วันอาจจําเนื้อหาคร่าวๆได้บ้าง ผมรู้ดีว่าผมทําให้ผู้อาวุโสไม่สบายใจ แต่ผมขอพักอยู่ที่นี่ช่วงสั้นๆได้ไหมครับ รบกวนผู้อาวุโสหรือป่าว”

 

“อย่างงั้นเหรอ?”

 

มัลคอล์มหัวเราะหึๆ และยืนขึ้นหลังค่อมพยายามยืดตรง

 

“ไม่รบกวนเลย เจ้าสามารถพักห้องใดก็ได้บนชั้นที่ 2 แต่ต้องดูด้วยนะว่ามีร่องลอยการใช้งานหรือยัง ถ้าไม่มีเจ้าเข้าไปนอนพักผ่อนได้ตามสบาย ส่วนความสะอาดหมดห่วง ห้องพักส่วนใหญ่สะอาดไร้ฝุ่น เดี๋ยวเย็นๆข้าจะนําผ้าปูเตียงไปใส่ให้”

 

“ผู้อาวุโส”

 

“หืม?”มัลคอล์มกําลังเดินออกจากห้อง หันหลังกลับมาตามเสียงเรียกซูฮยอน

 

ซูฮยอนยังไม่ลุกจากโซฟาปากจิบชาล้างคอ “ผมอยากถามว่า ทําไมผู้อาวุโสถึงดีกับผมจัง?”

 

เมื่อได้ยินคําถาม มัลคอล์มนิ่งเงียบสายตาเหม่ยลอย เขากัดริมฝีปากแห้งผากแล้วกล่าวทําลายบรรยากาศอึมครึม

 

“เจ้าควรไปหาห้องพักได้แล้ว ข้ารู้สึกอ่อนเพลียนิดหน่อย ขอตัวก่อน”

 

พูดจบมัลคอล์มก็ก้าวเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น เสียงย่ำเท้าหนักๆดังก้องไปทั่ว

 

ซูฮยอนจิบชาที่เหลือให้หมด พลางสังเกตแผ่นหลังชายชราที่กําลังเดินขึ้นบันได

 

คิ้ว!! คิ้ว!!

 

เสียงร้องของมิรุเรียกสติซูฮยอนกลับคืนมา เขาอุ้มมันมาไว้บนตักแล้วพูดคุยสิ่งที่สงสัยให้มันฟัง

 

มิรุคํารามออกมาอย่างมีความสุข ไม่รู้เพราะมันฟังรู้เรื่อง หรือ ดีใจที่ซูฮยอนลูบหัวมัน

 

“ดูไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้แฮะ ว่าไหมมิรุ”

 

คิ้ว?

 

มิรเอียงคอทําท่าไม่รู้ประสีประสา มันยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องราวที่ซูอยอนเล่าให้ฟัง

 

ซูฮยอนวางถ้วยชาลงแล้วเอื้อมมือหยิบหนังสือที่มัลคอล์มผลักให้ขึ้นมา

 

อีกหนึ่งเดือนกว่าอูโรโบรอสจะโผล่ออกมาอีกครั้ง เขามีเวลาว่างพักผ่อนทําเรื่องสัพเพเหระนานมาก

 

ซูฮยอนคิดว่า หมกตัวอยู่ที่นี่หาความรู้ใส่หัว คงดีกว่าเร่ร่อนตามท้องถนน

 

บ้านที่มัลคอล์มอาศัยใหญ่โตอลังการมาก มันไม่ควรเรียกว่าบ้าน ควรเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะเหมาะสมกว่า

 

ซูฮยอนเลือกห้องว่างที่ยังไม่มีใครใช้งาน ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เขากักตัวอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่ สายตามั่นคงจ้องอ่านหนังสือ

 

แม้จะไม่เคยศึกษาภาษาของโลกใบนี้มาก่อน แต่การทําความเข้าใจภาษาไม่ยากเกินไปสําหรับซูฮยอน หมกมุ่นอยู่กับหนังสือทําให้ซูฮยอนเริ่มเหมือนนักเวทย์ของเมืองนี้เข้าไปทุกที

 

ก๊อก ก๊อก

 

“เจ้าหนุ่มได้เวลาอาหารแล้ว”

 

เสียงมัลคอล์มดังออกมาจากหลังประตู

 

ซูฮยอนบิดหนังสือ 2 วันที่ผ่านมาเขาอ่านหนังสือไม่หยุด นับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ขยับร่างกายไปไหนมาไหน

 

เขาเดินไปเปิดประตู หน้าห้องพบร่างของมัลคอล์มกําลังยืนรออยู่

 

ทั้ง 2 คนมุ่งหน้าไปห้องอาหารด้วยกันโดยไร้คําพูด มิรุกระพือปีกบินตามอยู่ด้านหลังซูฮยอนมาติดๆ

 

บนโต๊ะอาหารมีซุปและขนมปังอบใหม่ๆ วางตระเตรียมไว้ ควันสีขาวหอมกรุ่นลอยอบอวลยั่วน้ำลาย

 

“เจ้าอ่านจบแล้วงั้นรึ?” เมื่อเห็นว่าซูฮยอนไม่ได้พกหนังสือติดตัวมาด้วย มัลคอล์มจึงถามออกไปอย่างสงสัยใคร่รู้

 

ช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมา ซูฮยอนกินอาหารพร้อมอ่านหนังสือเสมอ แต่วันนี้เจ้าตัวกับมาตัวเปล่า มัลคอล์มจึงสันนิษฐานว่า เขาอาจอ่านหนังสือจบแล้วก็ได้

 

“ใช่ครับผมอ่านจบแล้ว เดี๋ยวผมจะเอาไปเก็บไว้ที่เดิมให้ครับ”

 

“ไม่ต้องหรอกเจ้าหนุ่ม ข้าจัดการเองดีกว่า”

 

มัลคอล์มโบกมือปฏิเสธความหวังดี ก่อนหยิบขนมปังจุ่มซุปร้อนๆ

 

ซูฮยอนมองอากัปกิริยาของอีกฝ่าย แล้วก้มหน้าจัดการกินอาหารตัวเอง

 

ตลอด 2 วัน มัลคอล์มดูแลปรนนิบัติซูฮยอนดีมาก จนเขาคิดว่ามันมากเกินไปสําหรับคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ

 

“วันนี้ผมวางแผนจะออกไปข้างนอก เพื่อหาตัวนักเวทย์แห่งความมืดคนอื่น”

 

เคล้ง!

 

คําพูดเนิบๆของซูฮยอน ทําให้ช้อนตักซุกหล่นกระทบชาม

 

มัลคอล์มค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองซูฮยอนโดยตรง

 

ซูฮยอนไม่สนสายตาของมัลคอล์ม เขาตักซุปใส่ปากพลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมแค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตารับรู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตในเมืองกันยังไง”

 

“งั้นเหรอ แล้วทําไมเจ้าต้องเจาะจงนักเวทย์แห่งความมืดด้วย?”

 

“สองวันที่ผ่านมา ผม…” ซูฮยอนลังเลใจสักครู่ ก่อนพูดต่อว่า

 

“นอกจากอ่านหนังสือเกี่ยวกับมังกรแล้ว ผมยังอ่านหนังสือศึกษาประวัติของอูโรโบรอสด้วย” พูดจบซูฮยอนก็วางช้อนลง

 

ริมฝีปากของมัลคอล์มสั่นสะเทือนขึ้นลงอย่างหนัก เขาวางช้อนลงแล้วผลุนผลันลุกขึ้นจากเกาอี้

 

สองมือปิดปากราวกับกําลังกลั้นไม่ให้อาการขยักขย้อนพุ่งกระฉุดออกมาจากปาก

 

“มันเป็นความผิดพลาดของข้าและยังเป็นตราบาปที่ไม่มีวันให้อภัย”

 

“ความผิดพลาดของผู้อาวุโสงั้นเหรอ?”ซูฮยอนหลับตาลง

 

ฟังจากน้ำเสียงสํานึกผิด ซูฮยอนเริ่มมั่นใจเรื่องราวมากขึ้นปมปริศนาภายในหัวที่กลัดกลุ้มมาหลายวันคลี่คลายลง

 

“หลังจากอิ่มท้อง ผมจะแวะไปหาพวกเขา”

 

“เจ้าต้องไปพบพวกเขาจริงๆรึ?”

 

“ใช่ครับ มันเป็นเรื่องจําเป็น ผมต้องไป”

 

ตอบตามตรงตอนนี้ซูฮยอนรู้สึกกระวนกระวายใจมาก มัลคอล์มต้อนรับขับสู้ซูฮยอนเป็นอย่างดี แต่เขากลับกินบนเรือนขี้บนหลังคา

 

“ผมขอโทษ”

 

“ขอโทษ? เจ้ากําลังพูดเรื่องอะไร”

 

“ก็เรื่องที่ผมหยิบหนังสือมาอ่านโดยพลการไงครับ อุตส่าห์สัญญาว่าจะไม่มีครั้งที่ 2 แล้วแท้ๆ แต่ผมสงสัยในตัวของผู้อาวุโสเลยขโมยแอบมาอ่านลับๆ” ซูฮยอนยืนขึ้น ค้อมหัวไปทางมัลคอล์ม

 

“ผมขอโทษจากใจจริง”

 

“เฮ้อ..ช่างเถอะ ต่อให้ข้าเอ่ยปากห้าม เจ้าก็ไม่ฟังอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”

 

“แหะๆ ผู้อาวุโสเข้าใจผมจริงๆด้วย”

 

มัลคอล์มพินิจมองซูฮยอนเงียบๆ ไม่นานเขาก็เดินออกจากห้องอาหาร ก่อนไปเขาไม่ลืมหันหน้ากลับมากล่าวอีกหนึ่งประโยค “เจ้าไม่ควรขอโทษ ข้าต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษ”

 

ปัง!!

 

ห้องอาหารกว้างใหญ่เหลือซูฮยอนนั่งเด่นอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าความซึ้งเคียดอัดอั้นอยู่ส่วนไหนของจิตใจ จู่ๆมันก็ระเบิดออกมาจนเลือดลมของซูฮยอนเดือดพล่าน

 

ช้อนที่อยู่ในมือซูฮยอน โค้งงอลงตามแรงโน้มถ่วง

 

หลังจากเก็บตัวอยู่ในห้องถึง 2 วันเต็ม ในที่สุดซูฮยอนก็มีโอกาสออกมากินลมชมวิวด้านนอกอีกครั้ง เขาเดินเตร่ไปตามท้องถนน

 

ที่ผ่านมาเซ้นส์ในการเดาทางของซูฮยอนเรียกได้ว่ามหาเฮง แต่การตามหาตัวนักเวทย์แห่งความมืดในเมืองโมรอสคราวนี้ให้ความรู้สึกเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เพราะอัตราส่วนของนักเวทย์แห่งความมืดมีจํานวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับนักเวทย์สามัญ

 

หลังจากใช้เวลา 2 ชั่วโมงเดินทอดน่องทั่วเมือง ซูฮยอนค้นพบที่ตั้ง “หมู่บ้าน” เล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อาศัยน่าสงสัยคาดว่าอาจเป็นแหล่งที่มั่นของเหล่านักเวทย์แห่งความมืดก็ได้

 

การค้นพบหมู่บ้านของพวกมัน เป็นผลงานจากการเดินสํารวจสุ่มสี่สุ่มห้ารอบๆเมืองโมรอส สืบเสาะจากร่องรอยเล็กๆน้อยๆที่นักเวทย์แห่งความมืดเหลือทิ้งไว้ขจัดไม่หมด จนนําทางมาถึงที่มั่นของพวกมัน

 

“มิรุ”

 

คิ้ว?

 

มิรุเอียงหัวแสดงท่าทางสับสน ย่างก้าวของซูฮยอนเร็วขึ้นเสียงเรียกมังกรน้อยก็แข็งกร้าวขึ้น

 

“ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อของนาย ฉันเคยสอนวิธีการจัดการกับพวกเส็งเคร็งแล้วใช่ไหม?”

 

คิ้ว!! คิ้ว!! คิ้ว!!

 

“ลูกพูดได้ถูกต้อง สําหรับพวกเส็งเคร็ง ”

 

ปัง!

 

กําปั้นของซูฮยอนกระแทกกันและกันจนเกิดเสียงดังสนั่น ลมอ่อนๆพัดออกมาจากบริเวณหน้าอก

 

“ยาเทวดาที่รักษาอาการหลายแหล่ได้อย่างชะงัดนัก ต้องมีฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นส่วนประกอบสําคัญ”

 

คิ้ว!!

 

มิรุตอบกลับอย่างกระฉับกระเฉงและขยับหัวขึ้นลงหลายครั้ง ทันใดนั้นมันปิดปากเงียบเพื่อให้ตัวเองดูน่าเคร่งขรึม มีความองอาจ

 

ซูฮยอนมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเป้าหมาย ระหว่างทางมีนักเวทย์มากหน้าหลายตาเดินส่วน

 

เดินมาได้สักพักในที่สุดเขาก็มาถึงหมู่บ้านต้องสงสัย หน้าทางเข้าหมู่บ้านมีบรรยากาศมืดมนสะอิดสะเอียนลอยปกคลุม

 

แค่มองผ่านๆก็สัมผัสได้ทันที ว่าที่นี่ต้องเป็นแหล่งอาศัยของเหล่านักเวทย์แห่งความมืดรวมตัวกันอยู่แน่นอน…

 

“ไปกันเถอะมิรุ”

 

ซูฮยอนเดินเข้าสู่หมู่บ้านของนักเวทย์แห่งความมืดด้วยฝีเท้าเร็วขึ้น

 

“ถึงเวลาประเคนยาเทวดาให้ผู้ป่วย”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด