การกลับมาของฮีโร่ 106

Now you are reading การกลับมาของฮีโร่ Chapter 106 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

การกลับมาของฮีโร่

ตอนที่ 106

 

คฤหาสน์หลังใหญ่โตออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจงภายในประดับประดาด้วยประทีปล้ําสมัยดูหรูหรา ห้องนั่งเล่นกว้างโอ่โถง เพดานยกสูงปลอดโปร่งมีชายคนหนึ่งกําลังแสดงใบหน้ายับยู่ยี

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เรียนนายท่าน นักเวทย์แห่งความมืดที่อาศัยอยู่หมู่บ้านด้านล่างเสียชีวิตเกือบหมด มีคาลวินรอดชีวิตเพียงคนเดียวภายในหมู่บ้านกลิ่นเลือดเหม็นคาวคละคลุ้ง”

เมื่อได้รับรายงานจากลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชาการแสดงออกทางสีหน้าของโรมันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ไอ้หมาตัวไหน กล้าสังหารพวกมัน?”

“ทางเราก็ไม่แน่ใจเช่นกัน”

 

“เจ้าหมายความว่าไง ทําไมถึงไม่แน่ใจ?”

“ในจุดเกิดเหตุมีสัญญาณบ่งชี้ว่ามีการใช้พลังเวทย์ แต่บางศพมีรอยบาดแผลลึกจากวิถีดาบ กระผมสันนิษฐานว่าอาจมีผู้ก่อเหตุมากกว่าหนึ่งคนในการสังหารพวกเขา”

 

“กลุ่มอริเก่า?”

“ไม่น่าใช่ครับ กลุ่มใหญ่ๆคงไม่กล้าฆ่าพวกเขา อย่างที่กระผมเคยพูดไปผู้ก่อเหตุอาจมีมากกว่าหนึ่ง ซึ่งจากร่องลอยการต่อสู้อาจมีผู้เชี่ยว 2 ถึง 3 คนเป็นอย่างน้อย”

“2 ถึง 3 งั้นเหรอ…”

โรมันหยิบสุราที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาจิบ น้ําเมาค่อยๆไหลลงลําคอเขารู้สึกว่าลําคอร้อนผ่าว สติที่เคยปั่นปวนกลับมาสงบลง

 

“เจ้าบอกว่าตามร่างกายของพวกเขามีบาดแผลจากดาบด้วยใช่ไหม?”

 

“ใช่ครับ”

 

“อืม…เป็นไปได้ไหมที่อีกฝ่าย คือนักดาบไม่ใช่นักเวทย์”

 

คาลวินและนักเวทย์แห่งความมืดที่อาศัยอยู่ด้านล่างคือกลุ่มที่มีสกิลการต่อสู้น้อยที่สุด หมู่บ้านด้านล่างมีนักเวทย์แห่งความมืดรวมตัวอยู่ประมาณ 100 คน

 

คํากล่าวที่ว่า (ยิ่งเยอะ ยิ่งแข็งแกร่ง] เหมือนจะเป็นคําที่ไม่ถูกนักนักเวทย์แห่งความมืดที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้านล่างเป็นตัวพิสูจน์ชั้นดีเพราะพวกเขาตายทั้งหมด

 

“จริงสิ เจ้าบอกข้าว่า เมื่อ 2-3 วันก่อน มีอาคันตุกะมาเยือนเมืองโมรอส?”

 

“ใช่ครับ กระผมเคยบอกท่านไว้แบบนั้น”

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญวิชาดาบ? อย่างที่รู้กัน ภายในเมืองโมรอสไม่มีนักดาบอาศัยอยู่”

“แต่มันก็มีข้อบกพร่องอยู่นะครับ เพราะนักดาบไม่อนุญาตให้เข้าเมือง”

 

“เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าอาคันตุกะทุกคนถูกกําหนดให้เป็นเครื่องสังเวยอันดับต้นๆ ไม่สําคัญว่าเขาจะเป็นนักดาบหรือนักเวทย์สุดท้ายทหารยามเฝ้าประตูก็ต้องอะลุ้มอล่วยให้เขาเข้ามาให้เมืองอยู่ดีไม่ทางใดทางหนึ่ง”

 

“ท่านคิดอย่างงั้นเหรอครับ?”

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของโรมมันเกิดข้อกังขาแคลงใจพลางยกมือเกาหัวแกรกๆตามประวัติศาสตร์ของโมรอสที่ดําเนินมาอย่างช้านานมีกฎตายตัวนั่นก็คือใครก็ตามที่ไร้พลังเวทย์จะไม่สามารถก้าวเข้ามาในเมืองแห่งนี้ได้ นักเวทย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างภาคภูมิใจกฎที่เข้มงวดของเมืองโมรอส..

“ช่างเถิดอย่าพึ่งไปสนใจเขา พวกเราต้องจับตัวผู้กระทําผิดมาให้ ได้เจ้าลองไปสื่อหาพยานบุคคลหรือตามร่องรอยของพลังเวทย์ที่เหลืออยู่ไม่แน่นอาจรู้ว่าเป็นฝีมือใคร”

“หากเจอตัวท่านจะให้กระผมจัดการอีกฝ่ายเยี่ยงไร?”

“หึ เจอตัวก็ฆ่ามันทิ้งซะ ต่อให้ประชาชนพื้นเมืองที่อาศัยจะถูกฆ่าตายก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเอาเรื่องกับพวกเราอยู่ดี เพราะนักเวทย์แห่งความมืดมีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองโมรอส”

มาหลายศตวรรษ

ผู้คนนับไม่ถ้วนดูหมิ่นนักเวทย์แห่งความมืดมาหลายศตวรรษความน้อยเนื้อต่ําใจอันแน่นอยู่เต็มทรวงอก

 

พวกเขาจึงหันหน้าเข้าหากันและพัฒนาความสัมพันธ์ในแน่นแฟ้นระหว่างนักเวทย์แห่งความมืดด้วยกัน

เมื่อเทียบกับนักเวทย์สามัญ พวกเขาให้ความสําคัญกับประโยชน์ส่วนตน คบหาสมาคมต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน แตกต่างกับนักเวทย์แห่งความมืดที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยค้ําจุนกันและกัน

 

“ยิ่งไปกว่านั้นพักหลังๆมานี้ พวกปริปากดูหมิ่นพวกเราเหมือนจะเงียบหายไปจคงเป็นเพราะการคงอยู่ของอูโรโบรอสข่มขวัญพวกเขา…”โรมมันขบฟันแน่นแล้วเด้งตัวออกมาจากเก้าอี้

“พวกเราไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว”

โรมันก้าวไปตามโถงทางเดินของคฤหาสน์ หายนะในหมู่บ้านเล็กๆทําให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี

เขากระวนกระวายจนนั่งไม่ติด

 

ซูฮยอนพินิจมองกําแพงที่ตั้งอยู่ไกลๆ มันเป็นกําแพงที่ทั้งสูงและชันทําหน้าที่ล้อมรอบเมืองโมรอสเอาไว้

 

มัลคอล์มเหลือบมองซูฮยอนและถามว่า “เจ้าอยากหนีไปจากที่นี่ไหมถ้าอยากข้าจะช่วย”

 

ซูฮยอนละสายตากลับมามองมัลคอล์ม “ผู้อาวุโสบอกว่า ไม่เคยมีใครหนีรอดไปเลยสักคนไม่ใช่เหรอครับ”

 

“ใช่ข้าเคยพูด ต่อให้เจ้าข้ามกําแพงไปได้ เจ้าก็หลบไปไหนไม่พ้นเพราะโมรอสเป็นประเทศหมู่เกาะรายล้อมไปด้วยมหาสมุทร”

 

“และยังมีอูโรโบรอสแหวกว่ายอยู่ใต้มหาสมุทรด้วยสินะครับ”

“ถูกต้อง”

“ผู้อาวุโสรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว ยังคิดจะช่วยผมอีกไหม?”

มัลคอล์มพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอน ถ้ามันเป็นจุดประสงค์ของเจ้าการช่วยเหลือเจ้าก็เป็นหน้าที่ของข้าเหมือนกัน”

ซูฮยอนเหมือนจะตระหนักดี ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นเครื่องสังเวยมัลคอล์มเดาว่าสาเหตุที่สายตาของซูฮยอนจ้องมองกําแพงเพราะกําลังพยายามหาทางหนีทีไล่..

“นั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ไม่ใช่แนวทางของผมซะด้วยสิ” ซูฮยอนพูด

 

“งั้นเจ้า…”

“ไม่ครับ ผมยังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส” ซูฮยอนพูดจบก็ดันหลังออกจากผนังและออกเดินไปที่ไหนสักแห่ง

 

“เดียวผมกลับมา.”

มัลคอล์มไม่ได้รั้งซูฮยอนไว้ แต่เขามองแผ่นหลังซูฮยอนด้วยสายตาเศร้าใจที่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้

 

ซูฮยอนเดินห่างออกมาจากบ้านของมัลคอล์มพอสมควรหยุดยืนอยู่ริมถนนนักเวทย์เดินสวนทางกันไปมาเนืองแน่น

 

“ฉันมีเวลาเหลืออีก 27 วัน

เวลา 27 วัน คือเวลาที่เขาสามารถเดินทัศนาจรตามส่วนต่างได้ ทั่วเมืองก่อนกลายเป็นเครื่องสังเวยให้แก่อูโรโบรอส

“มีเวลาเหลือเฟือ

เมื่อไม่นาน มีนักเวทย์แห่งความมืดโผล่ขึ้นป้วนเปี้ยนบนเกาะโมรอสพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในหลืบมีด ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาให้คนอื่นพบพานอย่างไรก็ตามเรื่องทุกอย่างเริ่มกลับตาลปัตรหลังจากพวกเขาสามารถอัญเชิญและควบคุมอูโรโบรอสเมืองโมรอสทั้งหมดก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาในบัดดล

ความจริงนักเวทย์แห่งความมืดไม่ได้ทรงพลังอย่างในข่าวลือแต่นักเวทย์สามัญคนอื่นๆไม่กล้าหุนหันพลันแล่นเพราะสัตว์อสูรโรโบรอสถูกพวกมันชักใยอยู่เบื้องหลัง นักเวทย์สามัญทําได้เพียงกล้ํากลืนปล่อยให้พวกมันลอยหน้าลอยตาโดยไร้ทางเลือก

“ตายยากจริงๆ นึกถึงก็โผล่ออกมา

ซูฮยอนชะเง้อมองนักเวทย์แห่งความมืดหลายสิบคนสวนใส่ชุดคลุมสีดําขลับ กลุ่มของพวกเขายืนอยู่กลางถนน สายตาแลซ้ายแลขวาปริปากซักถามนักเวทย์ที่กําลังผ่านไปผ่านมา ท่าที่เหมือนกําลังตามหาใครบางคน

 

กลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดจี้ซักถามทุกคนที่ผ่านหน้าพวกเขาเรื่องที่พวกเขากําลังสืบสาวคือเรื่องที่ซูฮยอนก่อวีรกรรมไว้ในหมู่บ้านด้านล่างของนักเวทย์แห่งความมืด

 

ซูฮยอนหยิบหมวกไม้ไผ่ซึ่งนําออกมาจากบ้านของมัลคอล์มนมาสวมบนศีรษะเขาเดินเร้นกายท่ามกลางฝูงชน ค่อยติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดอยู่ห่างๆ

 

“บัดซบ!!”

โรมันหัวฟัดหัวเหวี่ยง เตะก้อนหินเล็กๆบนทางเดินระบายความโกรธนักเวทย์แห่งความมืดรวมตัวอยู่รอบตัวโรมัน ภายในตรอกเปลี่ยวๆไร้เงาคน

 

“ไม่มีใครพบเห็นผู้ต้องสงสัย เป็นไปได้ไง?”โรมันตะโกนเสียง

แข็ง

“ท่านครับ พวกเราควรตรวจค้นบ้านของมัลคอล์มด้วยดีหรือ ไม่?”

โรมมันมองผู้ใต้บังคับบัญชาตาขวาง

“แกนี้มันโง่บรม ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่มย่ามกับเขาแกมีวิธีเลี่ยงปัญหาไหม หากเขาเกิดคลุ้มคลั่งและตัดสินใจฆ่า ทุกคน”

“ทะ..ท่านพูดถูก กระผมเลินเล่อเอง”

“ไม่มีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับอูโรโบรอสมากไปกว่าเขา เพื่อผลประโยชน์ในการควบคุมอูโรโบรอสต่อไป พวกเราต้องไม่กระเซ้ากระกับมัลคอล์มมากนัก เข้าใจไหม?”

 

“กระผมขอโทษครับท่าน กระผมไตร่ตรองไม่รอบคอบเอง”

 

“เข้าใจได้ก็ดี เจ้าที่ม”

 

แม้โรมันจะตําหนิผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยถ้อยคํารุนแรงแต่เขารู้อยู่แกใจว่าทําไมผู้ใต้บังคับบัญชาถึงเสมอความคิดนั้นออกมาการหาเบาะแสของผู้ก่อเหตุเต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะนักเวทย์ส่วนใหญ่ปลีกวิเวกรักการอยู่อย่างสันโดษ เมินเฉยต่อสิ่งรอบข้าง

“เจ้าคาลวิน ก็กลายเป็นคนพิกลพิการใช้การไม่ได้”

คาลวินผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวและเป็นความหวังสุดท้ายในการตามหาผู้ก่อเหตุ ก็ตกอยู่ในอาการเลื่อนลอย จิตใจไม่อยู่กับเนี้อกับตัว

 

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือปาว สีหน้าอมทุกข์เชียว?”

น้ําเสียงชายหนุ่มที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวล ดังออกมาจากตรอกตรงข้ามนักเวทย์แห่งความมืดหันขวับไปมองต้นตอเสียงนั้น

 

“มันเป็นใคร?”

“ไม่รู้สิ ข้าไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของอีกฝ่ายมาก่อนเหมือนกัน”

“เขาเป็นพวกเดียวกันกับเราหรือป่าว มีใครรู้จักเขาบ้าง?

ชายหนุ่มที่พวกเขาเห็นสวมใส่เสื้อคลุม หมวกไม้ไผ่แฉลบต่ําลงจนมองไม่เห็นดวงตา

พวกเขาบอกไม่ได้ว่าชายหนุ่มเป็นนักเวทย์แห่งความมืดหรือนักเวทย์สามัญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขายืนยันได้ คือไม่มีใครรู้จักตัวตนของชายหนุ่มเลยสักคน

“ฉันมั่นใจว่าพวกคุณรู้จักฉัน” ซูฮยอนถอดหมวกไม้ไผ่ทรงกลมและปลดเสื้อคลุมกองลงกับพื้น

“ฉันคือคนที่พวกคุณกําลังตามหาตัวยังไงล่ะ”

“นักดาบ?”

“เขาเหรอ…??

 

เมื่อซูฮยอนถอดเสื้อคลุมออก พวกเขาสังเกตเห็นบริเวณข้างเอวมีฝักดาบเหน็บไว้

 

นักเวทย์แห่งความมืดมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงพรึงเพริดผู้ต้องสงสัยที่พวกเขากําลังตามหาตัวกันให้ควั่กกลับมามอบตัวเสียเอง

 

“จับตัวไอ้สารเลวนั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!!”โรมันชี้นิ้วที่กําลังสั่นเทาด้วยความโกรธไปทางซูฮยอนและตะโกนออกคําสั่งเสียงดังตอนนี้เขาเริ่มทําความเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆได้แล้ว

 

“เดี๋ยวก่อน” ซูฮยอนยกมือห้ามปรามและพูดต่อว่า “ฉันมาหาพวกนายไม่ได้ต้องการต่อสู้ ใจเย็นๆสงบสติอารมณ์ พวกเรามาคุยด้วยสันติวิธีดีกว่า”

 

“พล่ามมาก”

โรมันเมินเฉยต่อคําแนะนํา เพราะเขาไม่ต้องการพูดคุยกับซูฮยอนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกฝ่ายสังหารนักเวทย์แห่งความมืดไปหลายร้อยคนมีเหตุผลอะไรทําไมเขาต้องลดตัวไปคุยกับศัตรูด้วย?

วุป!!

นักเวทย์แห่งความมืด ปลดปล่อยพลังเวทย์ของตนเองโจมตีใส่ซูฮยอน มนต์ดําที่ลอยออกมาจากร่างกายของพวกเขาเกรี้ยวกราดเหมือนคลื่นสึนามิคําสาปเฉื่อยชาพยายามตรึงร่างกายของซูฮยอนเอาไว้เปลวเพลิงสีดําและสายฟ้าถาโถมโจมตีซูฮยอนพร้อม

โรมันเลียริมฝีปากอย่างอุ่นใจ

“ พวกเราฆ่าอีกฝ่ายง่ายเกินไปหรือป่าว? น่าจะทารุณกรรมอีกหน่อย”

 

“แม้พวกเราจะด่วนจัดการอีกฝ่ายเร็วเกินไป แต่สุดท้ายพวกเราก็ยังสามารถนําศพของเขา ไปข่มขวัญพวกต่อต้านได้อยู่ใครก็ตามที่กระตุกหนวดของพวกเราจะมีจุดจบยังไง”

ทันใดนั้นเอง หูพวกเขาก็ได้ยินเสียงแว่วๆ

“อ๊ย เจ็บเหมือนกันแฮะ”

 

โรมันประหลาดใจคิดว่าตัวเองหูฝาด เมื่อจากได้ยินเสียงรําพึงของซูฮยอนดังออกมาจากหลังม่านเปลวเพลิงสีดํา อีกฝ่ายควรถูกไฟครอกหรือไม่ก็กลายเป็นเถ้าธุลี แต่ภาพตรงหน้าไม่เหมือนในจินตนาการซูฮยอนยืนอยู่ที่เดิมตามตัวไม่มีคราบเขม่าควันเปรอะ เปื้อนเลยสักจุด

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

“ดูจากพฤติกรรมของพวกนาย ฉันเดาว่าคงยังไม่พร้อมคุยกับคนแปลกหน้าสินะ” ซูอยอนจับคางทําท่าครุ่นคิดและพูดขึ้น

 

เสียงขานรับก้องกังวานมาจากด้านบน นักเวทย์แห่งความมืดแหงนหน้าขึ้นมอง…

“ใช้สกิล เงียบงัน”

 

มิรุที่กําลังโบกบินบนท้องฟ้าคํารามออกมาเป็นนัยๆว่ารับทราบไม่นานเสียงมังกรพลันเงียบหายไป

เมื่อไม่ได้ยินเสียงของมังกร นักเวทย์แห่งความมืดแหงนมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ พวกเขาไม่เคยตระหนักถึงตัวตนของมังกรมาก่อนทั้งๆที่มันบินวนอยู่ด้านบน..

 

“มนต์แห่งความเงียบงัน?”

โรมันสํารวจรอบตัวด้วยความแปลกใจ มนต์แห่งความเงียบงันเป็นหนึ่งในรูปแบบเวทย์สัมพันธ์กับอากาศ คุณสมบัติหลักๆสามารถปิดกั้นเสียงรอบตัวได้ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สามา รถใช้พลังเวทย์ได้โดยเฉพาะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทมังกร มนต์แห่ง ความเงียบงัน ไม่เกินความสามารถของมันเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตามโรมันข้องใจเหตุใดซูฮยอนถึงตัดสินใจใช้มนต์แห่งความเงียบงันจะดีกว่านี้หลายเท่าหากเขาลงมือโจมตีนักเวทย์แห่งความมืดก่อนที่พวกโรมมันจะทันสังเกตเห็นเจ้ามังกร

 

นักเวทย์แห่งความมืดบางคนพยายามอ้าปากพะงาบๆ หวังพูดอะไรบางอย่างแต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงคําพูดเปล่งออกมาจากลําคอของพวกเขา

มนต์แห่งความเงียบงันปิดกั้นเสียงพูดคุยของพวกเขาทั้งหมดแม้แต่เสียงดาบฟันลมยังไม่มี

 

ขณะที่พวกเขากําลังแสดงสีหน้าหวั่นวิตก ซูฮยอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหายไปจากครรลองสายตาอย่างรวดเร็วเสียงลมกระพือยังไม่มี

 

“เขาหายไปไหน?”

ศัตรูยืนอยู่ตรงหน้าทนโท่ เผลอกระพริบตาแป๊บเดียวร่างกายของศัตรูกับหายไป

เนื่องจากรอบข้างไร้เสียง ทําให้พวกเขาคาดเดาตําแหน่งที่แน่ชัดของซูฮยอนไม่ได้

พวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของซูฮยอนมิได้ ความกลัวจึงเริ่มกระจุกรวมอยู่กลางอก ไม่มีใครรู้เลยว่าดาบของซูฮยอนจะฟันออกมาจากมุมไหน

สภาพแวดล้อม ไร้เสียง ไร้กลิ่นอาย เป็นชัยภูมิได้เปรียบสําหรับซูฮยอนเพราะสามารถโจมตีออกมาได้ทุกเมื่อ

โรมันยกมือขึ้นมา ปากท่องคาถาหวังคลายอิทธิฤทธิ์ มนต์แห่งความเงียบงัน

 

ฉัวะ!!

โรมันรู้สึกแสบร้อนบริเวณคอหอย เขายกเลิกบริกรรมคาถายกมีอขึ้นสัมผัสลําคอเบาๆ ก่อนแสดงสีหน้าตกตะลึก ช่วงบริเวณลําค อมีเลือดซิบไหลออกมาแนวนอน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

 

โรมันเลิกสนใจตัวเองและหันมองนักเวทย์แห่งความมืดคนอื่นพวกเขาก็มีรอยแผลบริเวณคอหอยไม่ต่างกัน

ฟรีบ!!

ชั่วอึดใจเสียงลมกระโชกดังขึ้นข้างกกหู โรมันสัมผัสถึงกลิ่นอายซูฮยอนจากด้านหลัง

“ถ้าฉันอยากเด็ดหัวแกจริงๆปานนี้หัวแกหลุดจากบ่าไปแล้ว”

 

คําพูดเรียบง่ายของซูฮยอนเรียกสติของโรมันกลับคืนมา เขาเหลียวมองพินิจรอบตัว บนคอหอยของนักเวทย์แห่งความมืดทุกคนมีริ้วสีแดงของเลือดซิมออกมาให้เห็นรางๆ

ชายหนุ่มตรงหน้าใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที สามารถทิ้งรอยแผลบนคอหอยของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แม้บาดแผลไม่ได้ชะเวิกชะวากมากแต่คนไร้ปัญญายังมองสถานการณ์ออก หากซูฮยอนต้องการบันคอพวกเขาจริงๆ หัวคงหลุดออกจากบ่าโดยที่เจ้าของไม่อาจขัดขึ้น

สิ่งที่โรมันหวาดกลัวมากที่สุดคือการควบคุมแรงฟันของซูฮยอนคนปกติถ้าอยากตัดหัว ง้างมือสุดวงแขนก็สามารถตัดหัวผู้อื่นได้ง่ายๆแต่การสร้างบาดแผลตื่นๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวมันยากกว่าตัดหัวให้ขาดหลายเท่า

“รู้ไหม ตอนนี้ฉันสามารถฆ่านายได้ หากต้องการ”

โรมันสบตาซูฮยอนและกลั้นลมหายใจ แม้มนต์แห่งความเงียบฉันจะถูกซอยอนคลายออกไปได้สักพักใหญ่ๆ แต่นักเวทย์แห่งความมืดไม่มีใครกล้าปริปากพูดสักคน

ทุกอย่างรอบตัวเงียบกริบราวกับว่าอิทธิฤทธิ์มนต์แห่งความเงียบฉันยังคงอยู่มีแค่ซูฮยอนคนเดียวที่พูดฉะฉาน

“ฉันคิดว่า คงถึงเวลาที่พวกเราต้องมาตั้งโต๊ะคุยกันอีกครั้งแล้ว” ซูฮยอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่ประจักษ์ออกมา

 

คุย?”

ใบหน้าของโรมันซีดเผือดขณะสายหัวไปมา การพูดคุยโดยมีดาบพร้อมบันคอพวกเขาตลอดเวลาไม่ควรเรียกว่าเป็นการพูดคุยมันควรเรียกว่าขู่เข็ญทางอ้อมมากกว่า

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด