การกลับมาของฮีโร่ 65

Now you are reading การกลับมาของฮีโร่ Chapter 65 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 65

“เกิดอะไรขึ้น โหวกเหวกโวยวายเสียงดังเชียว”ซูฮยอนถาม

“อ้าว..นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกอกตกใจหมด”ลีจุนโฮตอบ

หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของลีจุนโฮ ซูฮยอนก็เดินตามเสียงมาเรื่อยๆจนมาเจอกับลีจุนโฮกลางทาง ส่วนทางฮักจุนกับยันซอน ก็เดินตามหลังมาติดๆ

“ที่ฉันต้องเสียงดัง เพราะมีคนอยากเจอนายนะสิ”ลีจุนโฮพูด

“ใครกันที่อยากเจอฉัน?”

“จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากพัคจีย็อน กิลด์มาสเตอร์ของกิลด์ริปเปอร์ และที่สำคัญเธอยังเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S อีกต่างหาก”

พัคจีย็อน? เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน….

<<รู้สึกเธอจะเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่อายุน้อยที่สุดด้วยสินะ>>

ซูฮยอนพอจำใบหน้ากับชื่อของเธอได้อยู่บ้าง แต่ทั้งพัคจีย็อนและซูฮยอนไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง

“ทำไมเธอถึงมาหาฉัน”

“ตามความคิดของฉัน เธออาจมาเพื่อชักชวนนายเข้าร่วมกิลด์ก็เป็นได้.”

“เธอมาหาฉันด้วยตัวเองเลยงั้นเหรอ”

นับว่าหายากจริงๆที่แรงค์ S สักคน จะมาเชิญคนอื่นในเข้าร่วมกิลด์ด้วยตัวเอง เพราะเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเขามักอยู่เป็นประจำ คือ หอคอยแห่งการทดสอบเพียงเท่านั้น

ไม่แน่ว่า…หลังจากที่เธอนำลูกทีมไปช่วยเคลียร์ดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่เมืองอันซาน เธออาจสนใจตัวซูฮยอนมานาน เพราะเขามีข่าวลือที่เป็นปริศนามากมาย…แถมยังเป็นผู้ตื่นขึ้นที่ผู้คนต่างจับจ้อง…

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็อยากเจอเธอสักครั้ง” ซูฮยอนกล่าว

เขาหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อทำอะไรสักอย่าง ก่อนพูดปิดท้าย “แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่มีคนอยู่ในอาคารเท่านั้น ฉันถึงจะออกไปพบกับเธอ”

***********

ภายในล็อบบี้ของสำนักงานเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของฝูงชนและนักข่าว สาเหตุที่พวกเขายังปักหลักอยู่ที่นี่เพราะต้องการพบกับซูฮยอน แต่คนที่พวกเขาเจอกลับไม่ใช่ซูฮยอน แต่เป็นผู้ตื่นขึ้นคนดัง ที่นานๆครั้งจะออกมาสู่โลกภายนอก…

“ฉันต้องรออีกนานแค่ไหน?”

“เอ่อคือ….ทางเราก็บอกไม่ได้ แค่คำขอของคุณ ทางเราได้ไหว้วานคนอื่นไปแล้ว ฉะนั้นอีกไม่นานเจ้าตัวคงออกมาพบคุณเองครับ”

พนักงานต้อนรับหน้าล็อบบี้ตอบกลับไปด้วยเหงื่อที่แตกพลั่ก แม้จะมีสาวงามมายืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจเชยชมได้

เธอจัดเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ ไม่ว่าจะใบหน้าที่เรียวยาว ผิวพรรณผ่องใส่ดุจไข่มุกที่เปล่งประกาย เส้นผมสีดําคล้ําเหมือนท้องฟ้ายามคืนก็ถูกมัดไว้เป็นมวยผมอย่างเป็นระเบียบ จนเธอเหมือนกับเทพธิดาผู้ผู้เลอโฉมที่จุติมายังโลกมนุษย์

“อย่างงั้นเหรอคะ…” เธอคิดสักครู่ก่อนพยักหน้ารับพนักงาน “ขอบคุณมากค่ะ งั้นฉันจะรอเขาที่นี่”

“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย”

พนักงานต้อนรับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากที่พัคจีย็อนตอบกลับมาด้วยท่าทีปกติ

หากเธอไม่พอใจการกระทำของเขา แม้แต่ผู้จัดการที่มีอํานาจบาตรใหญ่ก็ช่วยเขาไม่ได้..

เมื่อพัคจีย็อนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป เธอก็ไปนั่งโซฟารับรองหน้าล็อบบี้ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์เล่น เธอมองไปบนหน้าจอของมือถือสักพักและลุกขึ้นจากที่นั่ง

พัคจีย็อนยืดเส้นยืดสายก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เดี๋ยวฉันกลับมา”

“เธอจะไปไหน?”คิมซ็อกจินถาม

“ไม่ต้องห่วง ใช่เวลาไม่นานหรอก”

“งั้นเหรอ….ระวังนักข่าวด้วย”คิมซ็อกจินกล่าวเตือน

“ได้ นายไม่ต้องกังวล”

พรึ่บ

เมื่อสิ้นเสียงของเธอ ร่างกายของพัคจีย็อนก็อันตรธานหายไป การเคลื่อนไหวของเธอมันเร็วมากๆ ต่อให้เป็นนักข่าวหรือผู้ตื่นขึ้นคงติดตามเธอไปไม่ได้

“ฉันเดาว่าเธอคงไปหาเขาด้วยตัวเองแน่ๆ”

คิมซ็อกจินยิ้มขึ้นเล็กน้อย หลังจากร่ายกายของเธอหายไป

*********

หวือ

ร่างกายของพัคจีย็อนไปปรากฏตัวอยู่ด้านนอกของสำนักงาน เธอไต่กำแพงไปเรื่อยๆจนไปถึงชั้นที่ 20 เมื่อเธอไปถึงที่หมาย เสียงร้องทักปริศนาก็ดังออกมา

“คุณจีย็อน ทำไมถึงทำตัวลับๆล่อๆ อย่างงั้นล่ะครับ”

จีย็อนรีบหันหน้าไปมองเจ้าของเสียง ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามมาก่อน แต่เธอก็พอเดาได้ว่าเขาเป็นใคร

“ซูฮยอน?”

ซูฮยอนผู้รออยู่บนดาดฟ้าทำหน้าบูดบิ้งเล็กน้อยก่อนพูดออกไป “ทำไม คำพูดของคุณ ถึงไม่มีห่างเสียงเลย ฉันอุตส่าห์พูดอย่างไพเราะแล้วแท้ๆ”

“ก็นายอายุน้อยกว่าฉันไม่ใช่หรือไง”พัคจีย็อนพูด

อายุของพัคจีย็อนมากมว่าซูฮยอนเพียง 1 ปีเท่านั้น ไม่แน่เธออาจเคยได้ยินเรื่องราวของซูฮยอนมาบ้าง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่มีทางรู้อายุที่แท้จริงของเขาได้แน่…

“ก็จริงอย่างที่คุณพูด แต่พวกเราพึ่งเจอกับครั้งแรก ก็น่าจะมีห่างเสียงกันหน่อย แต่ช่างมันเถอะในเมื่อคุณมีอายุมากกว่าฉันแค่ 1 ปี การพูดของพวกเราคงไม่ต้องทางการมากก็ได้”

“ฉันเห็นด้วย”พัคจีย็อนเดินไปหาซูฮยอนอย่างช้าๆก่อนถามข้อสงสัยออกไป “ฉันได้ยินมาว่า นายพาเพื่อนๆมาด้วย พวกเขาไปไหนหมดแล้ว?”

“อ่อ…พอดีฮักจุนกับลีจุนโฮมีธุระสำคัญ ฉันเลยให้พวกเขากลับไปก่อน แต่ไม่ต้องห่วง พวกเปรียบเสมือนพี่น้อง หากอยากเจอกันจริงๆโทรกริ๊งเดี๋ยว พวกเราก็ไปหากันแล้ว”

“งั้นเหรอ…แต่ฉันคิดว่า นายคงไม่อยากให้พวกเขามาได้ยินเรื่องของพวกเรามากกว่า”

“ตามนั้น คนยิ่งเยอะยิ่งวุ่นวาย เธอน่าจะเคยได้ยินคำว่า เวลาเป็นสิ่งมีค่า ไม่ว่าจะมีเงินเยอะแค่ไหน ก็ไม่สามารถซื้อมันได้ ดังนั้นฉันจึงอย่างจบธุระจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อไปทำอย่างอื่น” ซูฮยอนพูดพร้อมกับมองไปที่ดวงตาที่กระจ่างใสของพัคจีย็อน

“ฉะนั้น หากธุระของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอก็ควรสรุปมันให้สั่นๆและเรียบง่าย จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น”

“นั่นสินะ ฉันก็ชอบแบบนั้นเหมือนกัน”พัคจีย็อนพูด

เมื่อสิ้นเสียงของพัคจีย็อน พวกเขาก็จ้องมองดวงตาของกันและกัน เนื่องจากบนดาดฟ้าไม่มีที่นั่ง ทำให้ซูฮยอนและพัคจีย็อน ต้องหันมาเผชิญหน้ากันเอง…

“นายสนใจเป็นสมาชิกของกิลด์ริปเปอร์หรือป่าว”เธอถาม

“เจอกันครั้งแรก เธอยังพูดจาไม่มีห่างเสียงกับฉันอยู่เลย แถมยังมองฉันเป็นเด็กน้อยอีก ไหงตอนนี้กลับมาชวนเข้ากิลด์ซะได้”

“ดูเหมือนนายจะมั่นใจตัวเอง จนไม่อยากเข้าร่วมกิลด์กับพวกเราสินะ”

คำพูดของเธอค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่หากฟังดูดีๆมันก็เหมือนเป็นคำดูถูกอยู่เหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนอื่น พวกเข้าคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปแล้ว หลังจากได้ฟังน้ำเสียงของเธอ..

<<จะว่าไปในอดีต..เหมือนฉันเคยได้ยินจากปากคนอื่นมาว่า นิสัยของเธอในอดีตก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน>>

แม้ในอดีตซูฮยอนจะไม่เคยเจอตัวจริงของเธอมาก่อน แต่เขาก็ได้ยินเรื่องเล่ามาจากผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ ว่าเธอเป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ จนคาดเดาอะไรได้ยาก….

“ที่เธออยากมาเจอกับฉัน เพราะอะไรกันแน่”ซูฮยอนถาม

“ก็อย่างที่เคยพูดไป ฉันอยากได้นายมาเข้าร่วมกิลด์จริงๆ”พัคจีย็อนพูด

“แต่เธอก็อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันขอปฏิเสธ แต่เธอก็ยังดื้อรันอีกนะ”

“ฉันก็แค่อยากลองดู เพื่อนายสนใจ”

“หัวข้อสำคัญที่เธออยากสื่อกับฉันคืออะไรกันแน่?”ซูฮยอนถาม

“เมื่อใดก็ตาม หากนายตกลงเข้าร่วมกับกิลด์ริปเปอร์จริงๆ นายต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน แต่ฉันก็รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า นายไม่มีทางอยู่ใต้คำสั่งของฉันแน่ๆ”

“ในเมื่อเธอรู้อยู่แล้วว่าฉันจะปฏิเสธ เป้าหมายที่แท้จริงของเธอคือการขอความร่วมมือสินะ”

พัคจีย็อนยิ้มเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ “ใช่ สิ่งที่นายพูดถูกต้อง”

หลังจากซูฮยอนได้ยินคำพูดของพัคจีย็อน เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ในอนาคตซูอยอนเคยคิดอยากติดต่อกับกิลด์ริปเปอร์อยู่เหมือนกัน ฉะนั้นทำความรู้จักเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆคงไม่เสียหายอะไร

“เธออยากขอความร่วมมือจากฉัน พอจะบอกได้ไหมว่า ความร่วมมือที่พวกเราต้องช่วยกันและกันคือเรื่องอะไร”

“ฉันไปยินมาว่า นายไม่ค่อยลงรอยกับกิลด์ดัมพ์มากเท่าไหร่ ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือป่าว”พัคจีย็อนพูด

ซูฮยอนพยักหน้ารับคำพูดของพัคจีย็อน แน่นอนคำว่า [ ไม่ลงรอย ] ขอเธอไม่ได้มาจากสาเหตุที่ซูฮยอนไล่ฆ่าสมาชิกของกิลด์ดัมพ์ แต่เธอหมายถึงการกระทำของเขาต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะกล้าหาญถึงขนาดเปิดเผยชื่อของกิลด์ดัมพ์ ให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงตัวตนของพวกมัน….

“ตอนแรก ฉันก็ให้รองหัวหน้ากิลด์มาหานายด้วยตัวเอง แต่เมื่อรู้ว่านายมีปัญหากับกิลด์ดัมพ์ ฉันก็ตัดสินใจมาหานายเองดีกว่า เพราะฉันอยากพูดคุยกับนายเป็นการส่วนตัว”พัคจีย็อนกล่าว

“อ่อ…นั่นเป็นเหตุทำให้เธอต้องมาหาฉันด้วยตัวเองสินะ”

“ถูกต้อง”ใบหน้ายิ้มแย้มของพัคจีย็อน ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเคียดแค้น แม้เธอจะพยายามอดทนต่อมัน แต่ดูเหมือนเธอจะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

“การทำลายกิลด์ดัมพ์ให้สิ้นซาก คือเป้าหมายหลักของฉัน”

<<ว่าแล้ว…ตามความคิดของฉันเป๊ะๆ>>

ถ้าไม่ใช่เรื่องราวของกิลด์ดัมพ์ ซูฮยอนคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเธอแน่ๆ

หากไม่มีกิลด์ดัมพ์มาเกี่ยวข้อง คำที่เธอควรพูดกับเขาเมื่อเจอหน้ากัน ต้องเป็นการเชื้อเชิญซูฮยอนให้เข้ากิลด์มากว่า เพราะมันเหมาะแกสถานการณ์มากที่สุด…

“ทำไมเธอถึงขัดแย้งกับกิลด์ดัมพ์มากขนาดนั้น เป็นเพราะพวกมันทำให้เธอโกรธหรือเหตุผลส่วนตัวของเธอกันแน่”ซูฮยอนสันนิษฐานไปต่างๆนาๆ

ในอดีต ซูฮยอนทราบข่าวมาว่ากิลด์ริปเปอร์กับกิลด์ดัมพ์เปิดสงครามกันอย่างดุเดือด แต่ด้วยกิลด์ดัมพ์ที่มีความโหดร้ายมากกว่า ทำให้กิลด์ริปเปอร์ถูกลบออกไปจากระบบ แม้แต่หัวหน้ากิลด์ก็หายสาบสูญไปเช่นกัน เมื่อลองนึกย้อนกลับไป ดูเหมือนกิลด์ริปเปอร์กับกิลด์ดัมพ์จะเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน

แต่ซูฮยอนก็ไม่เคยทราบว่าการต่อสู้ของทั้ง 2 กิลด์เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเขาจะพอเดาเรื่องราวได้คร่าวๆแล้ว…

<<ฉันขอเดาเลยว่า การที่กิลด์ริปเปอร์กับกิลด์ดัมพ์ต่อสู้กัน เป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวของเธอ>>

สาเหตุที่ซูฮยอนเชื่อเช่นนี้ เพราะแววตาของเธอเมื่อเอ่ยชื่อถึงกิลด์ดัมพ์ออกมา แววตาที่ไม่สนโลกกลับเต็มไปด้วยความดุร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุส่วนตัว จะเป็นอะไรไปได้อีก…

“ฉันว่า พวกคงต้องคุยรายละเอียดกันอีกยาว..”ซูฮยอนพูดพร้อมกับก้มลงไปมองด้านล่าง ซึ่งฝูงชนก็ยังรวมตัวอยู่เช่นเดิม

“เธอสนใจไปหาที่เงียบๆ คุยกันไหม?”

********

เมื่อลีจุนโฮออกมาเผชิญหน้ากับฝูงชนหน้าสำนักงาน เหงื่อของเขาก็ไหลโชกเต็มใบหน้าไปหมด

เพราะรอบๆตัวของลีจุนโฮต่างถูกผู้คนมากหน้าหลายตารุมล้อมจนอากาศเริ่มอบอ้าว ที่สำคัญพวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับซูฮยอน จนสมองของลีจุนโฮประมวลผลไม่ทัน..

 “ไม่ทราบว่า คุณช่วยยืนยันความชัดเจนของคุณคิมซูฮยอนให้หน่อยได้หรือไม่ ตกลงเขาอยู่แรงค์ S จริงๆใช่ไหมครับ”

“คุณรู้จักกับคิมซูฮยอนได้ยังไงครับ จากข่าวลือที่ได้ยินมา คุณรู้จักกับเขาก่อนเหตุการณ์ในเมืองอันยังจริงหรือเปล่าครับ”

“ทุกหลีกทางให้หน่อย ลีจุนโฮ นายจำฉันได้ไหม เราเคยเจอกันมาก่อนที่….”

ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือนักข่าว ต่างถามเรื่องเกี่ยวกับซูฮยอนด้วยความสามัคคี แต่ลีจุนโฮได้ยินไม่คอยชัดเพราะเสียงมันตีกันมั่วไปหมด ในหมู่ฝูงชนมีผู้ตื่นขึ้นจากหลายๆกิลด์เสแสร้งปลอมตัวทำเป็นรู้กับลีจุนโฮมาก่อน แต่เป้าหมายจริงๆของพวกเขาคือความลับของซูฮยอนต่างหาก…

<<ถ้าหากพระเจ้ามีจริง ได้โปรดทำให้ลูกช้างหลุดพ้นไปจากที่นี่ทีเถอะ>>ลีจุนโฮคิด

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลีจุนโฮต้องออกมารับหน้าแทนซูฮยอน แต่ครั้งก่อนเมื่อนานมาแล้ว….ลีจุนโฮเป็นคนอาสาปิดบังตัวตนให้ซูฮยอนด้วยตัวเอง แต่มาคราวนี้ซูฮยอนกลับขอร้องวิงวอนให้ลีจุนโฮช่วยเหลืออีกสักรอบ

ซูฮยอนกำชับมาว่าให้ตอบปัดๆไปก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขามาก แต่ลีจุนโฮคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดี เพราะถ้าเขาทำอย่างที่ว่าจริงๆ ภาพลักษณ์ของซูฮยอนคงเสื่อมลง ที่สำคัญ พวกที่มาส่วนใหญ่ยังเป็นกิลด์ชื่อดัง และนักข่าวมากฝีมือ หากลีจุนโฮปล่อยปะละเลย ซูฮยอนอาจโดนเกรียดชังที่หลังก็ได้ใครจะรู้…

แต่ด้วยความดันทุรังของซูฮยอน ทำให้ลีจุนโฮไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องได้..

“ในเมื่อเธอมาหาฉันถึงที่ ฉันก็ควรไปพบเธอด้วยตัวเอง”ซูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนวางมือลงบนไหล่ของลีจุนโฮ “พี่ชาย น้องมีเรื่องอยากให้พี่ช่วยหน่อย”

<<ตั้งแต่รู้จักกันมาซูฮยอนไม่เคยเรียกเขาว่า [พี่ชาย] เลยสักครั้ง แต่เมื่อลีจุนโฮได้ยินครั้งแรก หัวใจของเขากับอ่อนยวบยาบ>>

ดังนั้นลีจุนโฮจึงไม่มีทางเหลืออื่นนอกจากตอบรับปากซูฮยอน ต้องโทษความใจอ่อนของเขาแท้ๆ ถ้าหากลีจุนโฮมีจิตใจเข้มแข็งมากกว่า เขาคงไม่ต้องมาลำบากตอบคำถามทีละข้อหรอก

************

สถานทีที่ซูฮยอนและพัคจีย็อนเลือกมาคือร้านกาแฟเล็กๆที่เงียบสงบ แต่ด้วยความสวยและความดังของเธอ ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการเริ่มหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อแอบถ่ายรูปของเธอ

การปรึกษาธุระสำคัญระหว่างซูฮยอนและพัคจีย็อนกินเวลาไปแค่ 30 นาทีเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาคุยกันได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด

พัคจีย็อนยกนิ้วของเธอขึ้นมาพร้อมกับเคาะโต๊ะไปพลางๆ

“นายเคยได้ยินคำว่า ศัตรูของศัตรูคือมิตร หรือป่าว เหมือนพวกเราจะอยู่ในหมวดนั้นนะ”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่สิ่งที่พวกเราทำอยู่ คือการร่วมมือกันต่างหาก”

หลังจากซูฮยอนพูดจบ เขาก็ยกน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย ในระยะเวลา 30 นาที ซูฮยอนไม่ได้จิบน้ำเลยสักหยก ทำให้คอของเขาเริ่มฝืดเคือง แต่สุดท้ายเป้าหมายที่ซูฮยอนวางไว้ก็สำเร็จไปอีกขั้น เขาไม่จำเป็นต้องเข้ารวมกิลด์ เขาก็สามารถของความช่วยเหลือจากกิลด์ริปเปอร์ได้ ซึ่งมันเป็นเครื่องมีอำนวยความสะดวกชั้นดี..

<<และที่สำคัญ ข้อมูลและข่าวกรองคงหาได้ง่ายขึ้น>>

พลังของกิลด์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิกเพียงอย่างเดียว แต่มันยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆอีกด้วย

ในโลกผู้ตื่นขึ้นแม้ว่าหัวหน้ากิลด์จะมีอภิสิทธิ์ควบคุมสมาชิกกิลด์ แต่หัวหน้ากิลด์ก็ไม่ใช่ผู้รอบรู้

ดังนั้นยิ่งในกิลด์มีหน่วยข่าวกรองที่มากฝีมือและมีประสิทธิภาพ กิลด์แห่งนั้นก็เตรียมเป็นกิลด์อันดับหนึ่งในโลกได้เลย เพราะหน่วยข่าวกรองจะทำให้สมาชิกในกิลด์ทำงานต่างๆได้สะดวกขึ้น สมมุติว่ามีการปะทะระหว่างกิลด์เกิดขึ้น หน่วยข่าวกรองจะกลายเป็นตัวแปรหลักในการเอาชนะ

เพราะสามารถทำให้สมาชิกภายในกิลด์รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวจากฝ่ายตรงข้าม จะบอกว่าหน่วยข่าวกรองของกิลด์ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญก็ไม่ผิด ดังนั้นซูฮยอนจึงเห็นด้วยกับการร่วมมือกับพัคจีย็อน เพราะเขาก็ต้องการข้อมูลเหมือนกัน …..

เหตุที่ซูฮยอนและพัคจีย็อนตัดสินใจร่วมมือกันไม่ใช่เป็นเพราะความสัมพันธ์แบบฉันมิตร แต่เป็นเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกับต่างหาก..

“นายจำเอาไว้ให้ดี เฉพาะเรื่องของกิลด์ดัมพ์เท่านั้น ฉันถึงจะช่วยนาย ถ้าเป็นเรื่องอื่นนายต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”พัคจีย็อนพูด

เธอขีดเส้นตายเอาไว้ ด้วยวิธีเช่นนี้ทำให้คำสัญญาที่พูดไปก่อนหน้า ใช้ได้เฉพาะเรื่องกิลด์ดัมพ์เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นเธอจะปล่อยให้เขาจัดการด้วยตัวเอง….

ซูฮยอนพยักหน้าเข้าใจตามคำพูดของเธอ ก่อนลุกจากที่นั่ง

“เธอไม่ต้องกังวล นอกจากกิลด์ดัมพ์ ฉันไม่ขอความช่วยเหลือจากกิลด์ริปเปอร์หรอก เธอสบายใจได้”

“แล้วต่อจากนี้ นายจะทำอะไรต่อ?”

“เฮ้อ…เธอถามจุกจิกยิ่งกว่าแม่ของฉันอีก..”ซูฮยอนบ่นออกไป

ในโลกแห่งความจริงธุระที่ซูฮยอนคอยกังวลเริ่มถูกจัดการไปบ้างแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงเหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องทำมันต่อไป….

“ฉันก็คงมัวเมาอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบต่อล่ะมั้ง”

สำหรับซูฮยอน แรงค์ S ก็เป็นแค่ทางผ่าน ในอดีตซูฮยอนได้มีโอกาสพบเจอประสบการณ์ความสำเร็จมากมายจนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน เพราะเขาคือ ผู้ตื่นขึ้นที่เก่งที่สุดในโลก

แต่ ณ. ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของซูฮยอนก็เปรียบเสมือนเพชรดิบที่รอวันเจียระไน…..

“แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น หนทางยังอีกยาวไกล”

*ปล. นางเอกมาแล้วใช่ไหมเนี่ย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด