การกลับมาของฮีโร่ 62

Now you are reading การกลับมาของฮีโร่ Chapter 62 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 62

อากาศของเช้าวันใหม่ต้อนรับด้วยความหนาวเย็นจากหิมะ ไม่ว่าจะเป็นถนนหรือบ้านเรือนต่างโดนหิมะทับถมจนขาวโพลนไปหมด

การจราจรบางเส้นทางเป็นอัมพาตเนื่องจากหิมะทัมถมหนาเกินไป ทำให้รถบางคันต้องจอดทิ้งไว้กลางทาง แต่ถึงอย่างงั้นรอบๆสำนักงานกลับมีรถจอดเต็มไปหมด ที่สำคัญท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก กลับมีคนมารวมตัวกันเยอะไปหมด เพื่อมารอดูอะไรสักอย่าง….

“ถึงอากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่เพื่อความอยากรู้ ผู้คนก็ยังมารวมตัวกันสินะ”

ชายวัยกลางคนพึมพำออกมา ให้ปากของเขากำลังดูดซิการ์พลางมองหิมะที่กำลังตกโปรยปราย รอบๆตัวของชายวัยกลางคนมีกลุ่มคนอยู่ราวๆ 3 กลุ่ม ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ทักทายอะไรกันมาก เพราะพวกเขารู้จักกันมาบ้าง

“ได้ยินมาว่าข้อมูลมันถูกเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมคนมาเยอะจัง”ผู้ช่วยชายพูด

“นายไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า กำแพงมีหู ประตูมีช่อง มั้งเหรอ อีกอย่างถ้าคนอยากรู้ มันมีอีกตั้งหลายวิธีในการสืบค้น พวกเราก็เป็นหนึ่งในกลุ่มที่สืบค้นจนเจอข้อมูลของเขาไม่ใช่หรือไง”ชายวัยกลางคนตอบกลับ

กิลด์ริปเปอร์ เป็นกิลด์ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในประเทศเกาหลี แค่จำนวนผู้ตื่นขึ้นที่มีอยู่ในสังกัด ก็มากกว่ากิลด์อื่นๆถึง 2 เท่า

ชาววัยกลางคนที่ดูดซิการ์คือรองหัวหน้ากิลด์ริปเปอร์ เขามีชื่อว่าคิมซ็อกจิน

หลังจากคิมซ็อกจินได้รับตำแหน่งรองหัวหน้ากิลด์ ไม่ว่าจะเป็น เงิน อำนาจ หรือแม้กระทั่งชื่อเสียง ทางกิลด์ก็ประเคนมาให้เขาหมด

ว่ากันตามจริงคิมซ็อกจินสมควรเป็นหัวหน้ากิลด์ตัวจริงมากกว่า เพราะหัวหน้าตัวจริงของพวกเขาไม่ค่อยออกมาสูดอากาศจากโลกภายนอกมากนัก แน่นอนว่าสมาชิกในกิลด์หลายคนอยากให้คิมซ็อกจินเป็นหัวหน้ากิลด์ก็จริง แต่ความฝันของพวกเขาก็ไม่มีทางเป็นจริงได้………..

<<เหตุผลที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ เพราะการประเมินแรงค์ของไอ้บ้านั้นแท้ๆ>>

คิมซ็อกจินพ้นควันของซิการ์ออกมาตามกลางหิมะ พลางนึกถึงหัวหน้ากิลด์ของเขาที่ชื่อว่า พัคจีย็อน

เธอเป็นหนึ่งในผู้ตื่นขึ้น แรงค์ S ซึ่งในประเทศเกาหลีมีแค่ 5 คนเท่านั้น

สาเหตุที่กิลด์ริปเปอร์สามารถมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะคิมซ็อกจินเพียงคนเดียว ต้องขอขอบคุณพัคจีย็อนด้วยเช่นกันที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับกิลด์ ทำให้กิลด์ริปเปอร์เป็นที่รู้จักไปทั่ว..

ที่สำคัญความดังของเธอไม่ได้มีแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่เธอยังมีความงดงามที่หาตัวจับได้ยาก ความงดงามของเธอถึงขนาดทำให้ผู้ตื่นขึ้นในกิลด์ครึ่งหนึ่ง ตัดสินใจเข้าร่วมกับกิลด์ริปเปอร์เพราะอยากเห็นความสวยของ พัคจีย็อน กับตาตัวเอง…..

“ให้ตายสิ..ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย มันไม่เป็นธรรมกับฉันจริงๆ”คิมซ็อกจินพูดกับตัวเองเบาๆ

“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรครับ?”

“ป่าวไม่มีอะไร”

คิมซ็อกจินทิ้งซิการ์ในมือ ก่อนใช้เท้าบี้ทำลายมัน เขาในตอนนี้ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่….

<<ฉันคนนี้ ผู้เป็นรองหัวหน้ากิลด์กลับต้องมาทำหน้าที่เช่นนี้เนี่ยนะ ฉันไม่ใช่เด็กรับใช้สักหน่อย>>

ที่คิมซ็อกจินอารมณ์เสียเป็นเพราะเขาไม่อยากมาอยู่ตรงนี้จริงๆ ว่ากันตามจริง หากต้องการสังเกตใครสักคน ส่งคนอื่นมาแทนก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องส่งคิมซ็อกจินมาเลยสักนิด

เขาเองก็อยากส่งลูกกิลด์คนอื่นมาสังเกตการณ์แทนเหมือนกัน แต่โชคร้ายที่พัคจีย็อนไม่อนุญาต

“รองหัวหน้ากิลด์ ฉันไม่ว่าอะไร หากคุณเอาคนอื่นไปด้วย แต่คุณต้องไปกลับพวกเขาด้วย เข้าใจคำสั่งของฉันใช่ไหม?”

พัคจีย็อนบังคับเขาให้ออกมารับหน้าแทน เพราะเธอมัวแต่ยุ่งอยู่กับการไต่หอคอยแห่งการทดสอบจนหาเวลาปลีกตัวออกมาไม่ได้ สุดท้ายหน้าที่ชักชวนแรงค์ S หน้าใหม่ให้เข้าร่วมกิลด์จึงตกมาอยู่กับคิมซ็อกจิน……

“ขอดูหน่อยสิ ว่ามีกิลด์อะไรมาบ้าง”

เขาหันไปมองบริเวณรอบๆ จนเห็นกิลด์ชื่อดังมากมายมารวมตัวกัน

“กิลด์มาสเตอร์ของกิลด์มังกรครามมาเองเลยงั้นเหรอ…มีกิลด์ไม่ว่าจะหน้าใหม่หน้าเก่ามารวมตัวกันเยอะจริงๆ”

ดูเหมือนการแย่งชิงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่าน เพราะรอบๆมีหลายกิลด์มารวมตัวกันมากกว่า 100 กิลด์ ไม่ใช่แค่กิลด์เท่านั้นที่มา ยังมีสำนักข่าวจากที่ต่างๆมารอทำข่าวกันเต็มพื้นที่

คิมซ็อกจินไม่รู้จริงๆว่าทางสำนักข่าวไปได้ข้อมูลมาจากไหน กว่ากิลด์ริปเปอร์จะได้ข่าวเกี่ยวกับการประเมินแรงค์ S พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

ถึงแม้จะมีผู้คนมารวมตัวกันมากขนาดนี้ แต่คิมซ็อกจินก็ไม่แปลกใจอะไรมาก เพราะตอนที่ พัคจีย็อน มาประเมินแรงค์ใหม่ ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตามารอดูจนไม่มีที่ให้ยืน….

คิมซ็อกจินจุดซิการ์อีกแท่งขึ้นมาและถามผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ “แรงค์ S คนใหม่ มีอายุ 20 กว่าปีแล้วสินะ”

“ใช่ครับ นอกจากกิลด์มาสเตอร์ของเรา เขากลับเป็นคนที่ 2 ที่สามารถก้าวมาอยู่แรงค์ S ได้โดยมีอายุแค่ 20 กว่าปี เมื่อลองย้อนกลับไปดูผลงานที่เขาเคยสร้างวีรกรรมไว้ในเมืองอันยัง เขาก็สมควรอยู่แรงค์ S จริงๆครับ”

“ฉันคิดว่าปัญหาต่อจากนี้คือ เขาจะมีพลังถึงแรงค์ S จริงๆหรือป่าวสินะ”

“ใช่ครับ พวกเราต้องหาค่าสเตตัสของปัจจัยเวทย์และความสามารถของคิมซูฮยอนให้ได้ แต่เพราะคิมซูฮยอนยังเป็นผู้ตื่นขึ้นได้ไม่นาน ทำให้ผมคิดว่าเขาน่าจะอ่อนด้อยกว่าแรงค์ S คนอื่นๆอีกมาก”

“อย่างงั้นเหรอ ถึงเขาจะสู้แรงค์ S คนอื่นๆไม่ได้ แต่ขอยอมรับเลยว่าคิมซูฮยอนเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ”

ในระยะเวลาที่ผ่านมา มีการประเมินเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของคิมซูฮยอนหลายครั้งในหมู่ผู้ตื่นขึ้น

แต่คิมซูฮยอนเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ทำให้พวกเขาไม่มีข้อมูลมากนัก ความสำเร็จที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคงเป็นการโค่นล้มบอสของดันเจี้ยนระดับสีเขียวในเมืองอันยังเท่านั้น…..

ถึงแม้คิมซูฮยอนจะทำคุณงามความดีต่อประเทศเกาหลี แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกมายืนยันเสียงแข็งว่าคิมซูฮยอนคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เต็มตัว ฉะนั้นการประเมินครั้งนี้ จะเป็นตัวพิสูจน์ว่าคิมซูฮยอนเหมาะสมกับตำแหน่งแรงค์ S จริงๆหรือไม่

ทันใดนั้นในหมู่นักข่าวก็เกิดการกระซิบกระซาบกันเพื่อเก็บข้อมูลอะไรสักอย่าง แต่หูของผู้ตื่นขึ้นดีกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ทำให้พวกเขาได้ยินสิ่งที่นักข่าวคุยกันทั้งหมด

<<มาแล้วงั้นเหรอ>>คิมซ็อกจินคิดและรีบเดินไปตามทางอย่างรวดเร็ว

****************

“ทำไมคนมารวมตัวเยอะจัง?”

“นายไม่เคยได้ยินคำว่า ความลับไม่มีในโลกหรือไง แต่ฉันก็ไม่แปลกใจนะว่าทำไมคนถึงมารวมตัวกัน เพราะตอนที่พัคจีย็อนมาประเมินแรงค์ใหม่อีกครั้ง คนก็เยอะแบบนี้แหละ”

“นายหมายถึงนักข่าวใช่ไหม?”

“ไม่ใช่แค่นักข่าว แต่มีกิลด์หลายร้อยกิลด์ก็มารวมกันที่นี่ด้วย”

ซูฮยอนและลีจุนโฮพูดคุยถึงผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าสำนักงาน มันมีคนรวมตัวกันอยู่มากกว่าร้อยคน ตอนแรกซูฮยอนตั้งใจประเมินเงียบๆ แต่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ซะแล้ว

“พี่ซูฮยอนทางนี้”

เสียงที่ซูฮยอนรู้จักดีตะโกนออกมาจากฝูงชน เมื่อเขาหันหน้าไปมอง ฮักจุนกับยันซอนก็โบกไม้โบกมือทักทาย ซึ่งสีหน้าของฮักจุนกับยันซอนดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนมาก

ในหมู่คนที่มารวมกันแทบไม่มีคนที่ซูฮยอนรู้จักเลยสักคน ทำให้เขาโบกมือทักทายฮักจุนและยันซอนก่อนเดินไปหา แต่ในขณะที่กำลังเดินไป…

“ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าคุณใช่คิมซูฮยอนหรือป่าว เรามาจาก แดวูนนิวส์ ไม่ทราบคุณมีเวลาให้สัมภาษณ์กับทางเราหรือป่าวคะ”

ฝูงชนจำนวนมากเริ่มมาล้อมรอบจนซูฮยอนเดินไปด้านหน้าต่อไปไม่ได้ “ใจเย็นๆนะทุกคน ผมขอผ่านทางไปก่อนได้ไหม”

เสียงที่ซูฮยอนเปล่งออกไปมันเป็นเหมือนมนต์สะกด จนบางคนก็เผลอหลบทางโดยไม่รู้สึกตัว แต่บางคนที่มีจิตใจแห่งการสอดรู้ก็ยังปิดกั้นเส้นทางของซูฮยอนเหมือนเดิม

“ทางเราขอเวลาคุณแค่ 5 นาทีเท่านั้น ในฐานะที่คุณคือผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนใหม่”

“คุณสามารถหยุดภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในเมืองอันยังได้ทันเวลา ทางเราอยากรู้ว่า คุณรู้ได้ยังไงว่าเมืองอันยังจะเกิดภัยพิบัติขึ้นครับ?”

ผู้คนที่มารุมล้อมซูฮยอนส่วนใหญ่เป็นนักข่าวทั้งสิ้น ซึ่งแต่ต่างจากประชาชนคนธรรมดาที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อสังเกตการซูฮยอน

เหตุผลที่นักข่าวกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาต้องการเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับซูฮยอนให้ได้เป็นกลุ่มแรกๆ

ในฐานะนักข่าวมืออาชีพยิ่งเขียนคอลัมน์ได้ก่อนใคร สำนักข่าวของพวกเขาคงเป็นที่รู้จักมากขึ้น….

“รู้ไหมว่า พวกคุณทุกคนกำลังทำให้ผมอารมณ์เสียอยู่”ซูฮยอนพูดออกไปพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของนักข่าวทีละคน

“พวกคุณรู้ไหม ผมมีความจำที่ดีกว่าคนทั่วไป ผมจะจำใบหน้าของพวกคุณเอาไว้ ถ้าในอนาคตผมเจอพวกคุณ ผมไม่มีทางให้สัมภาษณ์กับพวกคุณแน่ๆ”

เมื่อนักข่าวทุกคนได้ยินคำพูดของซูฮยอน พวกเขาก็อ้ำอึ้งกันหมด ข้อเสนอที่ซูฮยอนพูดออกมา ถ้าพวกเขาไม่ยอมเปิดทางให้กับซูฮยอนดีๆ เจ้าตัวจะไม่ยอมสัมภาษณ์ข่าวให้กับสำนักข่าวนั้นๆอีก

ถ้าพวกเขายังดื้อดึงต่อไปมีหวังโดนผู้บริหารด่าหัวโตแน่ๆ ใช่เวลาไม่นานเส้นทางที่นักข่าวปิดกั้นเอาไว้ก็ถูกเปิดโล่ง ทำให้ซูฮยอนเดินไปหาฮักจุนได้อย่างง่ายดาย

“โห่…คำพูดของพี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”ฮักจุนยกนิ้วโป้งให้กับการกระทำของเขา

ซูฮยอนไม่ได้ตอบโต้อะไรมาก นอกจากยิ้มและมองไปยัง ฮักจุน กับ ยันซอน “พวกนายสบายดีนะ”

“สบายมากครับ แต่ผมกังวลว่าจะมีคนมารบกวนพวกเราอีก”ฮักจุนพูด

“ไม่น่ามีปัญหาอะไร เสี้ยนหนามตัวฉกาจอย่างจองดงย็องก็ตายไปแล้ว นายก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ”

“ผมรู้ แต่พี่จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”ฮักจุนถาม

“ถ้ามีปัญหาจริงๆ ฉันคงต้องลี้ภัยไปอยู่บนดวงจันทร์ หรือไม่ฉันก็บินลี้ภัยไปยังประเทศใกล้เคียงก่อน”

ฮักจุนหัวเราะให้กับมุกตลกฝืดๆของซูฮยอน ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของฮักจุนดูสดใสกว่าเมื่อก่อนมาก

“ที่พวกเรามาในวันนี้ เพื่อกล่าว คำ ขอบคุณกับพี่”

ยันซอนเปิดปากพูดด้วยท่าที่เกรงอกเกรงใจ เพราะเธอกลัวว่าการพูดของเธออาจทำให้ซูฮยอนอารมณ์เสีย

ซูฮยอนมองไปทางยันซอนด้วยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกเพราะเธอก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังสำนึกผิดอะไรสักอย่าง

“อ่า…ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันตั้งใจกำจัดกิลด์เทพสงครามมานานแล้ว”

“แต่ถ้าไม่ได้พี่ช่วย ผู้หญิงโง่ๆอย่างหนูคงทุกข์ทรมานมากกว่านี้ ทุกๆวันหนูต้องอดทนกับพิษตลอดเวลา จนร่างกายเหมือนแตกสลาย”ยันซอนกล่าว

“ทุกๆครั้งที่ฉันเห็นเธอต้องอดทนกับพิษ หัวใจของฉันเจ็บปวดทุกที”ฮักจุนพูดติดตลกเล็กน้อย ก่อนลูบหลังมือของยันซอนเบาๆ

ยันซอนมองไปทางฮักจุนเหมือนกำลังส่งสัญญาณให้อยู่เงียบๆ “สมองเต่าอย่างนายพูดคำแบบนี้ออกมาเป็นด้วยเหรอ”

“อ่า…ก็ฉันโล่งใจนี่นา”ฮักจุนตอบ

“พูดกัน 2 ต่อ 2 ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่พวกเรากำลังขอบคุณพี่ซูฮยอนอยู่ไม่เห็นหรือไง”

“เอ๊ะ…ไม่เห็นต้องรีบเลย ยังไงพี่ซูฮยอนกับพวกเราก็มีโอกาสเจอกันอยู่แล้ว”

“เจ้าบื้อ นายจะผัดวันประกันพรุ่งไปถึงเมื่อไหร่”

ฮักจุนและยันซอนทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอายุของฮักจุนกับยันซอน อายุแค่ 20 ต้นๆเท่านั้น

ใบหน้าของฮักจุนในอดีตที่ซูฮยอนเคยเห็นไม่ใช่แบบนี้ ใบหน้าของฮักจุนที่ซูฮยอนเคยเห็นเมื่อชีวิตที่แล้วเต็มไปด้วยความมืดมน ซึ่งมันไม่เหมาะกับอายุของเขาเลยสักนิด

ดูเหมือนอารมณ์ด้านมืดของฮักจุนจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เลยทำให้เขาต้องเดินไปในเส้นทางแห่งความมืด

ตัดมาที่ภาพในปัจจุบัน….ออร่ารอบๆตัวของฮักจุนกลับเต็มไปด้วยความสดใส ซึ่งมันต่างกับบุคลิกที่ซูฮยอนจินตนาการไว้จริงๆ

<<ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แม้แต่เธอก็เปลี่ยนไปด้วย>>

ซูฮยอนหันไปมอง ฮักจุนกับยันซอนอีกครั้ง แม้เวลาจะผ่านมานานแต่พวกเขาก็ยังทะเลาะกันเป็นเด็กไม่ยอมเลิก เหมือนหมากับแมวเวลาเจอกัน ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเปิดฉากกัดกันตลอด

ซูฮยอนอมยิ้มขึ้นเล็กน้อยและหันไปพูดกับลีจุนโฮที่อยู่ด้านข้าง “ยังไม่ถึงเวลาใช่ไหม”

“ยังนะ เหลืออีกประมาณ 3 นาที”

“งั้นพวกเราเข้าไปรอกันเถอะ ปล่อยให้พวกเขาพูดตามภาษาแฟนไปก็แล้วกัน”

“ได้สิ”

เมื่อซูฮยอนและลีจุนโฮหันกายกำลังจากไป ฮักจุนกับยันซอนก็เลิกทะเลาะกันและเริ่มคิดว่าพวกเขาทำอะไรให้ซูฮยอนไม่พอใจหรือป่าว

“พี่ซูฮยอน พี่คงไม่ได้อารมณ์เสียเพราะพวกเราใช่ไหม”

“ผมขอโทษ ถ้าทำให้พี่อารมณ์ไม่ดี”

ซูฮยอนหันกลับไปมองด้านหลัง จนเห็นทั้ง 2 คนอยู่ในอาการกระวนกระวาย เขาส่ายหัวและพูดตามความรู้สึกออกไป…

“นายไม่ต้องขอโทษ นายก็เปรียบเสมือนน้องชายที่ดีของฉัน ดังนั้นนายไม่ต้องขอบคุณ และที่สำคัญ ฮักจุน….”

“ครับ?”

“นายติดค้างหนี้ของฉันอยู่ นายเข้าใจในสิ่งที่จะสื่อใช่ไหม”

หลังจากได้ยินคำพูดของซูฮยอน ฮักจุนก็กระพริบตาไปมาก่อนฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“แน่นอนครับ ไม่ว่าจะเหนือหรือลงใต้ ไม่ว่าศึกเล็กศึกใหญ่ ถ้าพี่ต้องการตัวผม ผมจะไปกับพี่เอง”

ฮักจุนรู้สึกสบายใจเล็กน้อยที่ซูฮยอนพูดกับเขาเช่นนี้ เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าซูฮยอนก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเขา

“ดีมาก จำคำพูดของนายให้ดี”เมื่อซูฮยอนพูดจบ เขาก็เดินไปทางเข้าตึกของสำนักงาน

การประเมินแรงค์ S คือสิ่งที่ผู้คนมากมายต่างให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอำนาจหรือประชาชน

ทำให้รอบๆพื้นที่เต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกัน สาเหตุที่พวกเขาดั้นด้นมาแต่เช้ามืด เพื่อมารอดูคิมซูฮยอน ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S คนใหม่โดยเฉพาะ..

ซูฮยอนหยิบบัตรประจำตัวผู้ตื่นขึ้นออกมาให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูตรวจสอบ แต่เจ้าหน้าที่กลับหันไปมองฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านหลังของซูฮยอนแทนซะงั้น

เจ้าหน้าที่ก้มลงไปตรวจสอบบัตรของซูฮยอนสักครู่ก่อนถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณอยากให้ คนที่มารอ ไปชมการประเมินของคุณหรือป่าวครับ”

ที่เจ้าหน้าที่ต้องถาม เพราะการประเมินของซูฮยอนครั้งนี้ เขาเป็นเจ้าภาพของการประเมิน ดังนั้นเขาจึงสามารถกำหนดได้ว่าจะเปิดให้คนอื่นเข้าชมหรือจะปิดเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว….

ประเด็นสำคัญรอบๆสำนักงานยังเต็มไปด้วยฝูงชน ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวที่คอยรายงานข่าวฉากต่อฉาก หรือจะเป็นกองกำลังกิลด์อีกนับร้อยที่คอยเก็บข้อมูล และยังมีประชาชนมารอชมอีกมากล้น ถ้าหากซูฮยอนไม่อนุญาต มันคงเสียมารยาทมากเกินไป แต่ทว่า….

“ผมให้อยู่แค่ 3 คนก็พอ…”ซูฮยอนชี้นิ้วไปทาง ลีจุนโฮ ฮักจุน และยันซอน

“ส่วนที่เหลือ คงต้องขอร้องให้พวกเขากลับไปก่อน”

“คุณหมายถึงทั้งหมดเลยใช่ไหม?”

เจ้าหน้าที่อดตกใจไม่ได้หลังจากได้ยินการตัดสินใจของซูฮยอน เพราะผู้ที่อยู่รอบๆสำนักงาน เป็นสมาชิกจากกิลด์ที่มีอำนาจพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น กิลด์มังกรคราม กิลด์ไซเลนซ์ กิลด์ริปเปอร์

นอกจากนี้ยังมีนักข่าวจากสำนักชั้นนำมาด้วย ทางสำนักข่าวสามารถเผยแพร่ข่าวเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับซูฮยอนได้ง่ายๆ แต่ซูฮยอนกลับปฏิเสธความหวังดีแบบไร้เยื่อใย…

“พี่ซูฮยอน ถ้าการปะเมินผ่านไปได้ด้วยดี พี่จะเป็นทหารรับจ้างใช่หรือป่าว”ฮักจุนที่อยู่ด้านหลังของซูฮยอนถามออกไปด้วยความสงสัย

ทหารรับจ้าง คือ ผู้ตื่นขึ้นที่ไม่ได้สังกัดกิลด์หรือองค์กรไหนอย่างเป็นทางการ พวกเขารับงานจากผู้ว่าจ้างเท่านั้น…

“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่ได้คิดเลย”ซูฮยอนพูดไปพร้อมกับเดินลึกเข้าด้านในอาคาร  ตอนแรกเขากะพูดอีกคำออกมา แต่เขากลับคิดว่ามันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาจึงกลืนมันกลับเข้าไปในลำคอเหมือนเดิม

คำที่ซูฮยอนอยากจะพูดออกมาคือ <<ฉันไม่อยากเป็นของเล่น ให้เด็กๆมาจับ มาดมหรอกนะ>>

กิลด์ สำนักข่าว องค์กร  3 สิ่งที่กล่าวมาก็เปรียบเสมือนเด็กที่ต้องการของเล่นอย่างซูฮยอน

ในอนาคตการแข่งขันของทั้ง กิลด์ สำนักข่าว องค์กร จะเต็มไปด้วยความดุเดือด เพราะยิ่งพวกเขาได้สมาชิกที่ทรงพลังมากขึ้น ชื่อเสียงก็พวกเขาก็ยิ่งก้าวกระโดด แต่หารู้ไม่ ชื่อเสียงที่เก็บสะสมมากลับช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะโลกมนุษย์ถูกมอนเตอร์ยึดครอง สุดท้ายชะตากรรมที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าคือความตาย ดังนั้นซูฮยอนจึงไม่อยากเป็นเครื่องมือให้กับใคร………

<<ในอนาตคตถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจัดการเรื่องต่างๆตามลำพังมากกว่า เพราะมันสะดวกที่สุด…..>>

แต่ก่อนที่ซูฮยอนจะพูดจบประโยคเขากับส่ายหัวไปมา ก่อนหันหลังไปมองใบหน้าของฮักจุนที่กำลังคุยกับแฟนอย่างกระหนุงกระหนิง….

<<ไม่สิต้องพูดว่า พวกเรา 2 คนต่างหาก>>

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด