[นิยายแปล] วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~ 51 ผมคิดว่ามันจำง่ายนะ

Now you are reading [นิยายแปล] วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~ Chapter 51 ผมคิดว่ามันจำง่ายนะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ตอนนี้คลาสเรียนก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

….หืม

อย่างแรกที่ได้เรียนรู้คือตัวอักษรเวทงั้นเหรอ ดูเหมือนจะเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานเลย

 

ตัวอักษรเวทมนตร์นั้นคือพื้นฐานของพื้นฐาน

การรวมกันของตัวอักษรจะทำให้เกิดคำ และการรวมกันของคำจะทำให้เกิดสมการ ดังนั้นถ้าหากคุณเป็นนักเวท มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัว

 

และคำอธิบายหลังจากนั้นก็ทำให้ผมมั่นใจ

 

“มีหลายท่านที่จำตัวสะกดและไวยกรณ์เหล่านี้ไม่ค่อยได้ นั่นเป็นเพราะสกิลของพวกคุณ คุณสามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ว่าคุณสามารถใช้เวทมนตร์ขั้นสูงกว่านั้นได้ แต่การที่จะทำแบบนั้นได้ คุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้” (อาจารย์) 

 

เป็นอย่างนี้เองสินะ?

มันแตกต่างจากผมที่ต้องสร้างสูตรเองตั้งแต่เริ่มต้น

 

แต่มันก็ไม่ได้ยากมาก

แค่ต้องท่องจำ

 

“แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจำได้ เพราะว่ามันมีอักขระมากกว่าหนึ่งร้อยตัว” (อาจารย์)

 

…ประมาณหนึ่งร้อยงั้นเหรอ มันไม่ง่ายเลยที่จะจำได้?

แต่ผมแน่ใจว่าผมจำมันได้ทั้งหมดในวันแรก

 

ผมลองมองไปรอบๆ

นักเรียนส่วนใหญ่นั้นแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา และจ้องมองตัวอักษรเวทที่เขียนเอาไว้บนกระดานดำ

ไคท์ที่นั่งข้างผมก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน

 

“อ๊าก ผมต้องจำพวกมันเยอะมาก……” (ไคท์)

 

ไม่ใช่หรอก นั่นมันไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องจำเกี่ยวตัวอักษรเวทเหล่านี้     

ถ้าหากนับรวม การนำตัวอักษรเวทมารวมเป็นคำแล้ว มันน่าจะมีประมาณเกือบหนึ่งพันได้?

 

อย่างไรก็ตามตัวอักษรเวท คำและไวยากรณ์ จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเวทมนตร์

ดังนั้นแล้วตัวอักษรเวทของสีแดงจึงไม่สามารถใช้งานกับเวทสีน้ำเงินได้

 

พูดตามตรงก็คือเวทสีแดงนั้นค่อนข้างงานใช้ง่าย

 

เวทที่ยากที่สุดก็คือเวทสีดำ

เพราะว่ามีตัวอักษรเวทมนตร์ตั้งสามประเภท

ความยากของสมการเวทมนตร์ อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เวทสีดำนั้นไม่ได้รับความนิยม

 

คลาสเรียนเวทสีน้ำเงินก็คล้ายๆกัน

อย่างแรกที่ได้เรียนรู้ก็คือตัวอักษรเวท                 

 

เวทสีแดงนั้นตัวอักษรเวทแต่ละตัวจะมีความหมาย แต่เวทสีน้ำเงินนั้นเน้นอักขระในการออกเสียง

จีงทำให้ตัวอักษรเวทนั้นมีน้อย แต่จำนวนคำที่สร้างโดยการนำอักษรเวทมารวมกันนั้น จะมีมากกว่าเวทสีแดง

 

“นี่~ นายจะไปเรียนทั้งหกสถาบันจริงๆงั้นเหรอ? จริงๆแล้วฉันคิดว่ามันยากมากเลย นี่แค่สถาบันเดียวนะ…” (คูฟา)

 

ผู้ที่เป็นห่วงผมก็คือคูฟา

 

“เอาล่ะ ฉันจะให้นายดูสมุดบันทึกของฉันก็ได้…”  (คูฟา)

“ขอบคุณมาก” (อาเรล)

 

ดูเหมือนว่าเนื้อหาที่ต้องศึกษาจะดำเนินมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ผมคิดว่ายังไม่ต้องใช้มัน เพราะผมเคยศึกษามาแล้ว

 

 

คลาสเรียนเวทสีเขียนนั้นผมเรียนกับคอลเล็ต

 

“โอ้ย~….ฉะนไม่สามารถจำมันทั้งหมดได้….” (คอลเล็ต)

 

เธอยังคงพยายามเรียนรู้ตัวอักษรเวทอยู่

 

ที่สถาบันสีแดงและสีน้ำเงินนั้นไม่มีอะไรพิเศษในภาคปฏิบัติ แต่ที่สถาบันสีเขียนนั้นมีเรื่องที่น่าสนใจนิดหน่อยสำหรับผม

มันเป็นการเรียนเวทบิน

 

การจ้างงานหลักของเวทสีเขียวคือชาวนา กะลาสีเรือ และอุตสาหกรรมการขนส่ง

สิ่งสำคัญของอุตสาหกรรมการขนส่งคือเวทบิน ซึ่งช่วยให้ควบคุมสภาพอากาศ และบินไปบนท้องฟ้าได้                                             

 

มันเร็วกว่าการเดินทางบนพื้นดินอย่างมาก และสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นมันจึงเหมาะกับการบรรทุกจดหมาย หรือสิ่งของที่น้ำหนักเบา

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานนั้นก็ตาม แต่มันก็ยังมีประโยชน์ถ้าสามารถบินไปบนท้องฟ้าได้

 

ผมนั้นเป็นผู้เริ่มต้นในเวทบิน

ผมนั้นไม่รู้แม้แต่สมการเวทที่ใช้

ซึ่งพ่ออาจจะคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับผมหรือเปล่า พ่อจึงไม่เคยสอนผมเลย

 

ไม่ใช่สิ นั้นเป็นเพราะว่าพ่อนั้นกลัวความสูง… ใช่แล้ว ที่เขาสอนไม่ได้ นั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นใช้ไม่ได้

 

“ก่อนอื่นเลย ลองจินตนาการถึงร่างการที่กำลังลอยขึ้นด้วยกระแสลม ฉันคิดว่ามันคงจะง่ายกว่า ถ้าหากกางแขนไปทางซ้ายและทางขวาเหมือนปีกนก” (อาจารย์)

 

ถึงแม้ว่าอาจารย์กำลังสอนอยู่ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันเหมาะกับผู้ที่มีสกิล

เพราะถ้าหากมีสกิล สมการเวทที่จำเป็นจะถูกสร้างขึ้นมาในสมองเองตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าหากมีจินตนาการก็จะสามารถทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาได้

 

ตอนนี้ มีนักเรียนอยู่จำนวนหนึ่งที่ร่างกายกำลังลอยอยู่ในอากาศ

 

“ว้าว~… ม-มันน่าทึ่งมากเลย… นี่ฉันกำลังบินได้จริงๆ—-ใช่ไหม ว้ายยย~!?” (คอลเล็ต)

 

คอลเล็ตนั้นสูญเสียการทรงตัวในอากาศและตกลงมาบนพื้น

 

เพราะมันตลก ดังนั้นจึงได้ยินเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง

คอลเล็ตนั้นอายจนหน้าแดง

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเธอฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมา เธอจะสามารถบินได้ตลอดเวลา

 

แต่ในทางตรงกันข้าม ผมนั้นไม่เหมือนกับพวกเขา

ผมนั้นไม่มีสกิล ถึงแม้ผมจะจินตนาการยังไง ก็ไม่มีสมการขึ้นมา

 

“หืม กระแสลมที่พัดขึ้นงั้นสินะ ถ้าแบบนั้นสูตรก็คงประมาณนี้… ไม่สิ ดูเหมือนว่ามันจะระเบิดออกไป คงต้องทำให้มันเบาลงสักหน่อย คงประมาณนี้สินะ?” (อาเรล)

 

ผมสร้างสูตรดำเนินการของตัวเอง และพยายามเปิดใช้งาน

 

“โอเค แบบนี้สินะ—!”

 

ทันทีที่ร่างกายผมลอยขึ้น มันก็เอียงไปจากจุดศูนย์ถ่วง เพราะกระแสลมที่ดันขึ้นมา และร่างกายของผมก็กลับหัวกลับหางด้วยแรงพลักที่มหาศาล จนหัวได้กระแทกกับพื้น

 

“…ดูเหมือน มันจะล้มเหลวสินะ” (อาเรล)       

 

ต้องขอบคุณพรคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่ผมต้องกลับมาไตร่ตรองเรื่องต่างๆใหม่ ในขณะที่กำลังกลับหัวอยู่

นอกจากจะสร้างกระแสลมเพื่อให้ดันขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่ามันคงจะดีกว่า ถ้าจะสร้างการไหลเวียนของอากาศจากทั้งสี่ด้าน เพื่อรองรับร่างกายไปพร้อมๆกัน  และทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล

 

“ฮ่าๆๆๆ! เมื่อกี้มันคืออะไรน่ะ! ฉันอยากเห็นอีกครั้งจัง! ฉันไม่เคยเห็นใครทำผิดพลาดแบบนี้มาก่อนเลย!” (???)

 

เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว

ขณะที่ผมพลิกร่ายกายกลับมา ผมก็หันไปมองที่ต้นเสียงนั้น

 

มีเด็กผู้ชายกำลังหัวเราะจนท้องแข็งอยู่

 

“อา มันช่างน่าขำจริงๆ… ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกก็ตาม แต่พวกนายทุกคนนั้นห่วงเหมือนกันหมด ฉันจะแสดงตัวอย่างให้ดูเอง!” (???)

 

เด็กผู้ชายพูดเช่นนั้นและใช้เวทบินออกมา แม้ว่าจะไม่มีคนขอก็ตาม

 

ร่างกายเล็กๆของเขากระโดนขึ้นไปบนท้องฟ้า และกระโดดไปมาบนอากาศ

 

นอกจากนั้นเขายังสาธิตวิธีตีลังกาให้ผมดูด้วย

 

อืม ดูเหมือนเขาจะเก่ง และมั่นใจในเรื่องนี้นะ

 

หลังจากที่ได้บินโชว์เล็กน้อย เขาก็บินลงมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ 

 

“เป็นยังไงล่ะ! ถ้าเป็นเวทบินล่ะก็ ฉันไม่มีทางแพ้ใคร! และฉันจะก็จะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันเอง!” (???)

 

….การแข่งขัน?

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด