ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          เวลา 18.20 นาที อันเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนมากกำลังกลับจากที่ทำงาน สำหรับชีวิตเมืองจึงเป็นช่วงที่คนพลุกพล่านมากที่สุด แต่ในทางกลับกัน ในจุดที่ห่างออกไปอย่างชานเมืองนั้นเป็นเวลาที่คนน้อยที่สุด

          ถึงกระนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนั้น กลับมีเด็กหนุ่มถีบพื้นพุ่งทะยานผ่านเงามืดของตึกรามไร้ผู้คนด้วยความเร็วสูงอยู่ และแน่นอนว่าคนๆนั้นก็คือชินที่กำลังวิ่งสุดกำลังด้วยฝีเท้าที่เป็นเลิศด้านความว่องไว

          แต่ที่แตกต่างจากที่เคย… คือบนใบหน้าของเขาพยายามอดกลั้นความกังวลไว้เต็มที่ เพราะจะว่าไปแล้ว นี่คือครั้งแรกที่เขาถูกรู้ตัวจริงทั้งที่ปิดบังมาได้ตลอด 2 ปี และเป็นครั้งแรกที่กำลังจะไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่อยู่ในโลกราตรีแบบเดียวกับเขาโดยที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก

 

ถูกรู้เข้าแล้ว… แต่ว่า ได้ยังไง?

เมื่อวานเราทำอะไรพลาดไป? เหลือหลักฐานเล็กน้อยอะไรไว้งั้นรึไง?

 

ไม่… ไม่มีทางเป็นไปได้

พวกเราตรวจสอบละเอียดทุกขั้นตอนตลอดเวลา โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้แทบจะเป็นศูนย์แท้ๆ

 

แต่ที่มันยังเกิดขึ้นได้ก็คงเป็นเพราะมีเรื่องที่ “ยากเกินเข้าใจ” เป็นตัวการ

          ชินกัดฟันแน่นด้วยความหงุดหงิด ที่ตัวเองมองข้ามบางสิ่งไป

          ใช่… ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา สำหรับสาเหตุที่คนรอบคอบอย่างเขาถูกจับได้ ความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นได้ก็คือ อีกฝ่ายมีพลังที่แหกกฎธรรมชาติได้อย่าง “ไนท์” อยู่นั่นเอง

          แต่ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงก็คงทำอะไรไม่ได้ เรียกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของชินเข้าขั้นวิกฤตอย่างรุนแรง

 

ถ้านี่เป็นหมากรุก… คงกำลังเตรียมถูกรุกจนแน่ๆ

          ชินคิดแบบนั้นอย่างกังวลเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เช่นไรก็ตาม บนใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเมื่อมองจากมุมมองของบุคคลภายนอก และคงจะมีเพียงโอลิเวียคนเดียวเท่านั้นที่มองความทุกข์อันเกดจากความกลัวซึ่งเก็บซ่อนไว้ในใจนี้ออก

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากนั้น 10 นาทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นัด ชินก็มาถึงสถานกที่นัดพบจนได้

          สภาพอาคารเบื้องหน้าของชินเป็นตึกสำนากงานเก่าสูงราว 9 ชั้น แต่สภาพโดยรอบผุพังไปหลายส่วน แต่หากจะว่ากันตามตรง อาคารบริเวณนี้ส่วนมากก็มีสภาพเดียวกัน เพราะย่านนี้เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยเก่า แถมยังชอบมีคนสร้างข่าวลือเรื่องผีสางตามประสาความเชื่อของไทย ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้ามาใกล้นัก

          เพราะไม่มีคน อีกฝ่ายถึงมองที่นี่เป็นโอกาสสินะ… ชินคิดแบบนั้นพร้อมกับสังเกตรอบตัวอย่างระแวดระวัง

          ก่อนที่จะเริ่มเดินเข้าไปในตัวอาคาร และแน่นอนว่าไม่ได้ลดการ์ดและประสาทสัมผัสที่ลับคมมาตั้งแต่ก่อนหน้าลงเลยซักนิดเดียว

          ทันทีที่เข้าไปในอาคาร ชินก็สำรวจโดยรอบทันที พบเห็นร่องรอยว่ามีคนเข้าออกค่อนข้างบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เชิญเขามาจะไม่ได้อยู่ชั้นนี้

 

ให้ตายสิ… นี่คิดจะเล่นไล่จับหรือยังไง

          ชินคิดแบบนั้นด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะรวบรวมสมาธิและประสาทสัมผัสไว้ที่การได้ยิน ถึงแม้จะไม่เท่ากับโอลิเวีย แต่ก็ทำให้ชินพอจับสัมผัสอีกฝ่ายได้

          และผลปรากฏก็คือ เขา… ไม่สิ พวกเขาอยู่ที่ชั้นบนสุดอย่างที่คาด

          ชินไม่รอช้าที่จะย้ำเท้า แต่ก็ไม่ประมาทในเรื่องที่อาจจะมีกับดัก แต่ดูเหมือนจะคิดมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายเขาก็ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

          จนกระทั่งพบกับเหล่าผู้คนที่เป็นผู้เชื้อเชิญเขามา

 

“ สายันณ์สวัสดิ์ครับท่านชิน ”

          พริบตาที่ชินก้าวเท้าขึ้นมาจนสุดทาง ก็มีเสียงของชายหนุ่มเอ่ยทักทาย ชินหันไปมองตามเสียงนั้นซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวาเล็กๆน้อย

          เป็นภาพของกลุ่มคนจำนวน 5 คน ยืนอยู่ริมตึกโดยมีฉากหลังเป็นผนังที่แตกไปบางส่วนจนเผบชยให้เห็นวิวด้านนอก รวมถึงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา

          จากทางซ้าย… คนแรกสวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดงและเป็นแบบคลุมทั้งศีรษะคล้ายกับพวกชิน พร้อมกับเสื้อเกราะเบาสีเงินและกระโปรงสีขาว ซึ่งดูจากภายนอกน่าจะเป็นเพศหญิง และไม่รู้ทำไม ชินสัมผัสได้ว่าท่าทางของเธอเหมือนจะกังวลกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย

          ถัดมาคือหญิงสาวที่สวมหน้ากากกบสีเขียวแบบซ้อนทับใบหน้าคลุมครึ่งศีรษะทำให้เห็นผมสีบลอนด์ยาวสยายออกข้างได้ชัดเจน เธอสวมชุดเกราะที่ค่อนข้างหนาสีดำส่วนล่างสวมกางเกงยีนแฟชั่น แต่รองเท้าที่สวมนั้นเป็นรองเท้าที่ชินเคยเห็น มันคือรองเท้าที่ผสมเทคโนโลยีเสริมไอพ่นเพิ่มความเร็วเข้าไป ซึ่งใช้ในทางทหาร

          มาถึงตรงนี้ชินเองก็สงสัยไม่น้อย แต่ก็พอเดาได้แล้วว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องที่ชินเข้าไปขัดการต่อสู้เมื่อคืน และมันคงทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับบางอย่างเข้า ความคิดนั้นชัดแจ้งขึ้นเมื่อชินสังเกตชายที่ยืนจ้องเขม็งมาทางเข้าซึ่งอยู่ทางด้านขวาสุด

          เขาคือชายสวมหน้ากากลิงเผือก ผู้ใช้หอกคู่ในการต่อสู้กับคนที่ชินโค่นไปเมื่อคืนนั่นเอง

          ถัดจากเขาเข้ามาตรงกลางคือคนที่เดาเพศไม่ออกเพราะส่วนสูงค่อนข้างน้อย เธอ?สวมหน้ากากเด็กผู้หญิงทำหน้าง่วงนอนแถมยังมีน้ำลายยืด ชินแอบคิดว่ามันช่างไม่เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เอาเสียเลย ส่วนชุดที่ใส่นั้นค่อนข้างบอบบางกว่าคนอื่น ในความหมายก็คือเป็นเพียงชุดผ้าธรรมดาไม่มีเกราะซ้อนทับเหมือนคนอื่น

          และสุดท้ายก็คือชายสวมแว่นคนเดียวที่ไม่ได้ยืนเหมือนคนอื่น เขาคือคนเดียวที่นั่งเก้าอี้ไม้อยู่ตรงกลางของทั้ง 4 คน แถมยังเป็นคนเดียวที่ไม่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า จึงเห็นโครงหน้าของชาวยุโรปคล้ายกับชิน แถมยังมีผมสีดำเหมือนกันอีก

เขาสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนอีกต่างหาก แม้ชินจะไม่มั่นใจว่าเป็นของโรงเรียนใดก็ตามที แถมเขายังเป็นคนเดียวกับที่เอ่ยทักทายชินก่อนด้วย

          ซ้ำร้าย เขายังเป็นคนที่ชินเคยเห็นหน้าเมื่อไม่นานมานี้อีก…

 

“ นาย… คนที่แจกใบปลิว ”

“ โอ๊ะ! จำผมได้ด้วยสินะ เป็นเกียรติมากเลยนะครับเนี่ย! ”

          ใช่… ชายสวมแว่นคนนี้ คือคนเดียวกับที่ชินรับใบปลิวมาในตอนที่เดทกับโอลิเวียเมื่อตอนบ่ายนี้เอง

          ชินรู้สึกขนลุกอยู่หน่อยๆ เพราะเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะถูกสะกดรอยตามมาตลอด

 

“ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ได้จะทำมิดีมิร้ายอะไรซักหน่อย ”

“ … ”

          กับการพูดหยอกของชายสวมแว่น ชินทำแค่สังเกตการณ์และไม่ตอบกลับอะไรเป็นพิเศษ

 

“ ดูท่าจะคุยยากกว่าที่คิดนะเนี่ย ” หญิงสาวที่สวมหน้ากากกบซึ่งยืนอยู่ข้างๆชายสวมแว่นพูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วชี้สัมผัสริมฝีปาก(ของหน้ากาก)

“ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เอาจริงๆยังไม่อยากเชื่อเลยนะครับเนี่ยว่าผู้ชายเรียบร้อย ทั้งยังหล่อเหล่าราวกับเจ้าชายอย่างคุณคือนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งที่เขาลือกันหน่ะ ”

          ชายสวมแว่นพูดพร้อมกับยิ้มมาทางชิน แต่รอยยิ้มนั่นไม่รู้ว่ามีเจตนาใดแอบแฝง ชินจึงไม่ตอบกลับตามที่เขาต้องการ ก่อนที่จะ…

 

“ เข้าเรื่องเลยได้ไหม ” ชินตัดประเด็นของทุกคนออกไปหมด

          ชายสวมแว่นที่โดนตอกกลับมาแบบนั้นด้วยท่าทางเย็นชาของชินถึงกับอ้าปากค้างไปแวบนึงเลยทีเดียว

          และแม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่ดูจากลักษณะภายนอก อีก 4 คนเองก็คงตะลึงไม่ต่างกัน

 

“ อะ เอาเถอะครับ ถ้าต้องการแบบนั้นจริงๆก็ย่อมได้ ” ชายสวมแว่นว่าพลางดันแว่นให้เข้าที่ ในตอนนั้นชินก็เอ่ยถามออกมาอีกราวกับต้องการจะยืนยันความเป็นไปได้ที่เหลือ

 

“ แต่ก่อนหน้านั้น… นี่คิดว่าฉันเป็นไอ้ตัวตลกอะไรที่นายว่าจริงๆงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าจำผิดหรอกเหรอ ”

“ คิดว่าเป็นการบลัฟสินะครับ แต่น่าเสียดาย… ทางนี้มีคนที่ใช้ไนท์ในการตรวจสอบข้อมูลชั้นยอดอยู่ เพราะงั้นคุณหนีความจริงที่ถูกรู้ตัวจริงไปแล้วไม่พ้นหรอก ”

          ชายสวมแว่นมองมาทางขินด้วยสายตาคมกริบ แต่แน่นอนว่าไม่ได้สร้างความกดดันให้เขา

          กลับกัน มันทำให้ชินเหนื่อยหน่ายใจจนต้องถอนหายใจออกมาแทน เพราะมันเป็นอย่างที่เขาคาดไว้

 

“ ขอยืนยันอะไรซักสองข้อก่อนได้ไหม ” ชินเปิดปากพูดแบบนั้นออกมา ชายสวมแว่นก็โค้งร่างท่อนบนเข้าใกล้ด้วยความสนใจ

“ ขอเยอะน่าดูนะครับ ”

          ชายสวมแว่นกล่าวเช่นนั้น แต่หากไม่ปฏิเสธ ในอีกนัยนึงมันก็คือการยอมรับ

 

“ คนที่ถูกรู้ตัวจริงมีแค่ฉัน หรือว่า… ”

“ หมายถึงโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสสินะครับ ”

          ชายสวมแว่นตอบกลับในทันทีด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง แต่หนนี้มันทำเอาชินถึงกับคิ้วกระตุกเลยทีเดียว

          เพราะไม่ใช่แค่ตัวเองที่ตกเป็นเป้าอันตราย แต่คนสำคัญ… คู่หูคนสำคัญอย่างโอลิเวียยังตกเป็นอันตรายไปด้วย ความร้อนรุ่มอันเกิดจากความเครียดมากจนแทบจะทะลักออกมาจากอก แต่เขาก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยได้อยู่

 

แต่ว่าแบบนี้… เราคงต้องเตรียมใจ “ลงมือ” แล้วสินะ

          ชินคิดแบบนั้นก่อนจะปรับความคิดให้เย็นลง

 

“ งั้นอีกข้อ… พวกนายเป็นมิตร หรือว่าศัตรู ” สายตาของชินที่ถามแบบนั้นคมกริบราวกับใบมีด ทำเอาทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับผงะไปเลย ยกเว้นชายสวมแว่นคนเดียว

“ คนที่จะตอบคำถามนั้นคือทางคุณมากกว่าครับ ”

          เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย

 

งั้นเหรอ… ถ้างั้นทางนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องปล่อยคนที่รู้ความจริงให้รอดหรอกนะ

          แต่หารู้ไม่… ว่าคำตอบของชินไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

 

“ อัลเฟรด! ”

          หญิงสาวสวมหน้ากากกบร้องเรียกชื่อของชายสวมแว่นขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เมื่อชินหยิบปืนพกที่เหน็บซ่อนไว้ข้างลำตัว พร้อมกับลั่นไกใส่ชายสวมแว่นอย่างไร้ความลังเล

          แม้การกระทำของชินจะเรียกได้ว่าบุ่มบ่าม เพราะเป็นการเปิดศึกกับศัตรูทั้งที่ไม่มีข้อมูล ซึ่งเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่พอชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยของโอลิเวียกับการสังหารคน 5 คนตรงหน้านับ ชินก็แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

          หากมองการสูญเสียความเยือกเย็นในการตัดสินใจของชินเป็นความผิดพลาด นั่นก็นับเป็นข้อพิสูจน์ว่าชินยังคงเป็นคนธรรมดาที่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะคนสำคัญมามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่

          กระสุนที่ชินยิงออกไปด้วยความตั้งใจเช่นนั้น ควงสว่านพุ่งเข้าหาใบหน้าของชายสวมแว่นอย่างแม่นยำ แต่สายตาของชายสวมแว่นกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ

 

“ !!! ”

          นั่นเพราะพริบตาก่อนที่หัวกระสุนจะสัมผัสผิวของเขา กระสุนของชินก็กระแทกเข้ากับสิ่งที่คล้ายกับกำแพงใสสีแดงอ่อนเข้าจนกระสุนเปลี่ยนทิศไปทางอื่นแทน

          เหตุการณ์ไม่ทราบที่มานั่นทำเอาชินเลิกคิ้วด้วยความตกตะลึงเลยทีเดียว

 

หมอนี่ก็มี “ไนท์” ด้วยงั้นเหรอ!?

ถ้าอย่างงั้น!!!

          ชินตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเก็บปืนของตน และจัดการร่นระยะในพริบตาหวังเข้าไปบั่นคอของชายสวมแว่นด้วยตัวเอง

          แต่ในพริบตานั้นชายผู้ใช้หอกคู่ก็ปรากฏตัวออกมายืนขวางไว้แล้วพุ่งเข้าไปหาชินแทน

 

“ ไม่ยอมหรอกเว้ย! ไอ้บัดซบ! ” ชายสวมหน้ากากลิงเผือกว่าอย่างเกรี้ยวกราดดังครั้งที่เจอกันเมื่อวาน พร้อมกับควงหอกสองเล่มซึ่งหยิบมันออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบเข้าหาชิน

 

“ เดี๋ยวก่อนสิ ริว!!! ”

“ ไม่รอแล้วโว้ย! ”

          แม้จะถูกหญิงสาวสวมหน้ากากกระต่ายห้ามปราม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อดกลั้นความกระหายและความโกรธอีกต่อไปแล้ว ปลายหอกทั้งสองเล่มพุ่งเข้าหาชินในพริบตา แต่ว่า…

 

“ เกะกะ ”

ชินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และเป็นพริบตาเดียวกับที่คมหอกทั้งสองถูกชินจับเอาไว้ได้ราวกับไร้ความคม แถมแรงเหวี่ยงมหาศาลที่ชายชื่อริวใช้กลับถูกรับได้ด้วยมือเปล่าด้วยท่าทางที่เหมือนกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย

 

“ โกหกใช่ไหมวะเนี่ย? เวรเอ้ย! ”

          นั่นทำให้ชายสวมหน้ากากลิงเผือก รวมถึงทุกคนตกตะลึงในความสามารถทางกายภาพของชินกันไปหมด

          จะมีข้อยกเว้นก็แต่ชายสวมแว่นเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

“ ริว! วางอาวุธลง! ” ชายสวมแว่นตะโกนดังลั่น ในน้ำเสียงแฝงด้วยความโกรธเป็นครั้งแรก

“ เฮ้ย! แต่ว่าไอ้หมอนี่ ”

“ ผมบอกให้วางอาวุธไม่ได้ยินรึไง!? ”

“ อะ อา… รู้แล้ว ”

          ได้ยินการย้ำเตือนราวคำสั่งถึงสองรอบ ริวจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสู้กับชิน

          ทางชินเองก็ประเมินสถานการณ์แล้วว่าดื้อดึงต่อคงไม่เป็นการดี เขาจึงปล่อยมือจากคมหอกเช่นกัน

          สถานการณ์กลับมาสงบ(ชั่วคราว)อีกครั้ง และไม่รู้ทำไม คนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเป็นคนแรกก็คือหญิงสางผู้สวมหน้ากากกระต่าย

 

“ เกินคาดไปหน่อยนะครับเนี่ย… แต่ถ้าจะว่าไปแล้วมันก็เป็นความผิดของผมนั่นแหล่ะนะครับ ”

          ทุกคนเริ่มเกร็งด้วยความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของชิน

          แต่ถึงแบบนั้นชายสวมแว่นกลับไม่ได้มีท่าทีแบบนั้น เขากลับรู้สึกผิดออกมาแทนเสียอย่างงั้น

          ในทางกลับกัน… ทางชินนั้นไม่ได้ท่าทีใดๆเป็นพิเศษ เขาวางตัวตั้งแต่ต้นจนจบด้วยท่าทางเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย ในขณะที่มองชายสวมแว่นไม่วางตา

 

“ ถ้างั้นผมคงต้องปรับความเข้าใจกับท่านใหม่สินะครับ ท่านชิน ”

          ชายหนุ่มถอดแว่นของตัวเองออก ก่อนที่จะมองตรงเข้าไปในดวงตาของชิน แต่ท่าทางสงบเสงี่ยมของเขามันกลับทำให้ชินคิดไปอีกทาง

          มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดประนีประนอมอะไรอีก? ชินคิดแบบนั้นในขณะที่มองดวงตาของชายหนุ่ม…

          ดวงตา ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

 

“ !!! ”

          แม้แต่ชินก็ยังเก็บความรู้สึกตกตะลึงเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า

          ภาพของชายสวมแว่นปริศนาที่ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ซึ่งไม่สามารถเลียนแบบได้… แบบเดียวกันกับเขา

 

“ ผมเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ครับ เหมือนกับท่าน ”

          คำพูดสั้นๆนั่นของชายหนุ่มทำให้หัวใจของชินสั่นระรัว นั่นคล้ายกับความตื่นเต้นที่ได้พบกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบมานาน

“ ชื่อของผมคืออัลเฟรด รัสเซิล… บุตรคนเดียวของตระกูลรัสเซิล คิดว่าท่านชินคงพอรู้จักอยู่บ้างนะครับ ”

 

รัสเซิล… เป็นคำที่ไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน

ทำเอานึกถึงคุณลุงคนนึงที่ไว้เคราและชอบทำหน้าโหด แต่จริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาเลยแฮะ

 

เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน

ประเด็นก็คือตอนนี้อีกฝ่ายที่เรายืนยันว่าเป็นศัตรู กลับกลายเป็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมิตรมากขึ้น…

 

งั้นก่อนอื่นคงต้องยืนยันให้แน่ใจจริงๆก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู

 

ไม่สิ… จริงๆแล้วเราควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกต่างหาก

เมื่อกี้นี้เรานี่บุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ… แต่มันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ

 

“ รัสเซิล… ตระกูลดยุคที่มีศักดินาสูงสุดในบรรดาตระกูลขุนนางทั้งหมดหล่ะสินะ ”

          ชินถามราวกับย้ำ แต่นั่นคือคำตอบว่าชินรู้จักตระกูลของชายสวมแว่น… อัลเฟรด

          เช่นไรก็ตาม จากคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่า “เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้เหมือนกับชิน” แสดงว่าอัลเฟรดรู้แล้วว่าชินเป็นผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงเขต 40 ซึ่งเป็นของแวมไพร์เมื่อ 12 ปีก่อน การตอบกลับแบบนี้จึงไม่เสียผลประโยชน์ใดๆ

 

“ ครับผม… ” อัลเฟรดตอบกลับอย่างช้าๆ ชินไม่รู้ว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ และดูเหมือนไม่นานนักอัลเฟรดก็กลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง

“ เรื่องเมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยนะครับ… เป็นเพราะความไม่รอบคอบของทางนี้เลยทำให้สถานการณ์เกินควบคุม ”

“ เอาเถอะ… เรื่องนั้นฉันเองก็ขอโทษ ”

          อัลเฟรดยิ้มแห้งๆให้กับคำขอโทษของชิน เพราะดูเหมือนชินจะไม่ได้สำนึกผิดอย่างที่พูด

 

“ ถ้างั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้… ผมขอบอกความต้องการของพวกเราเลยนะครับ ” อัลเฟรดว่าแบบนั้นพร้อมกับยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองเข้ามาในดวงตาของชินอย่างจริงจัง

 

“ ได้โปรด ช่วยเป็นพรรคพวกกับพวกเราด้วยครับ ”

“ … ”

 

ห๊ะ!?

          กับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอัลเฟรด ภาพตรงหน้าของชินคือภาพที่อัลเฟรดค้อมหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอร้อง ไม่สิ… รวมกับคำพูดเมื่อครู่ มันคือการขอร้องไม่ผิดแน่

          แต่พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้ชินเข้าใจว่าทำไมสถานะความร่วมมือถึงขึ้นอยู่กับคำตอบตน… ทว่าก็ยังไม่สามารถทำให้ชินเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดอยู่ดี

ข้อมูลยังน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจ… ชินคิดแบบนั้นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

“ หมายความว่ายังไง? อยู่ๆมาบอกแบบนี้มันไม่ได้หรอกนะ ”

“ ผมทราบครับ… แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจนะครับ ว่าโดยพื้นฐานผมไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับคุณ ”

          กับน้ำเสียงแสนเย็นชาของชิน อัลเฟรดก็ยังตอบกลับมาอย่างสุภาพ แต่ถ้าเป็นอย่างที่อัลเฟรดว่า ชินก็พอเข้าใจว่าทำไมท่าทีของพวกเขาถึงค่อนข้างประนีประนอมมาตลอด โดยเฉพาะหญิงสาวผู้สวมหน้ากากกระต่ายที่ดูกังวลตลอดการสนทนา มันแสดงให้เห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะกุมความลับของชินไว้ แต่กระนั้นไพ่ที่ถือกลับไม่ได้เหนือกว่า

          เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเจตนาของอีกฝ่ายท่าจะเป็นของจริง

 

“ แต่การจะคุยถึงรายละเอียด… ผมอยากจะยืนยันอีกครั้งครับว่าพวกเราไม่ใช่ศัตรูของคุณ ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องรายละเอียดที่จะพูดคงจะน่าเชื่อถือขึ้น ”

“ ตามหลักแล้วมันก็ควรเป็นอย่างงั้น… แต่ในทางปฏิบัตินี่จะทำยังไง? ” ชินเอียงคอสงสัยถาม

          ในตอนนั้นอัลเฟรดก็มองไปยังสมาชิกทุกคนที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะพยักหน้าให้เบาๆ

          ทุกคนมีท่าทีระแวงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก เพราะหากไม่ทำตามที่อัลเฟรดเคยบอกไว้ก่อนหน้า ยังไงก็คงซื้อใจชินที่ขี้ระแวงไม่ได้

          แม้จะมีท่าทีระแวง แต่ทุกคนก็ทำตามที่อัลเฟรดนัดแนะก่อนที่จะพบชินในทันที

…ทุกคนกำลังเริ่มถอดหน้ากากของตัวเองเพื่อเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

 

ความจริงแล้วเราเองก็คิดอยู่หรอกว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุด

หากต้องการความร่วมมือก็ต้องยกเลิกสถานะกึ่งขมขู่แบบนี้เสียก่อน

 

แต่ถ้าทำแบบนี้ลงไป อีกฝ่ายก็จะเสียไพ่ในมือที่ว่า “ฉันรู้ตัวจริงของนายแค่ฝ่ายเดียว” ไป

…นี่แสดงว่าอีกฝ่ายมั่นใจมากสินะ

          ชินคิดแบบนั้นในขณะที่มองภาพด้านหน้าที่แต่ละคนค่อยๆถอดหน้ากากของตัวเองออกด้วยท่าทางฝืนๆ เพราะแน่นอนว่าแม้จะด้วยความจำเป็น แต่งไม่มีใครอยากจะเผยตัวตนอันสะดวกสะบายที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยที่ตัวตนจริงไม่เดือดร้อนไปแน่ ซึ่งชินเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน

          อนึ่ง ชินนั้นค่อนข้างมั่นใจกับความสามารถในการจดจำใบหน้าของตัวเองพอสมควร เพราะใช้มันในงานล่าค่าหัวก่อนหน้าอยู่บ่อยๆ

ด้วยเหตุนั้น… จึงทำให้ชินค่อนข้างแปลกใจกับตัวจริงของแต่ละคน

 

ภายใต้หน้ากากของเด็กผู้หญิงง่วงนอน คือ เด็กหญิงผมบ๊อบสีน้ำตาลอ่อน… เธอเป็นคนที่ชินเคยสบตาด้วยบนรถไฟฟ้าเมื่อ 2 วันก่อน

          ภายใต้หน้ากากของลิงเผือกผู้มีนิสัยไม่ยอมใคร คือ เด็กหนุ่มไว้ผมตั้งดูคล้ายนักเลง… และเป็นชายคนเดียวกับที่ชินเดินชนหน้ารั้วโรงเรียนในตอนเช้าเมื่อวาน

          และภายใต้หน้ากากของกบสีเขียว คือ หญิงสาวผมบลอนด์… ซึ่งเป็นพนักงานสาวในร้านคาเฟ่ที่ชินไปนั่งทานกับโอลิเวียก่อนกลับเมื่อบ่ายนี้เอง

          เช่นไรก็ตาม… ความแปลกใจนั่นยังไม่เท่ากับตัวจริงของคนสุดท้ายที่สร้างความตกตะลึงให้กับชิน

 

“ !!? ”

          และคนสุดท้ายที่ทำเอาชินถึงกับต้องเบิกตาโพลง…

          ภายใต้หน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง… คือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทสาวไม่กี่คนที่เอาใจใส่และใจดีกับเขาอยู่เสมอ

          คือเกวน เรดฮาร์ท… เพื่อนสนิทสาวของชินที่กำลังทำสีหน้ากังวลแบบสุดๆอยู่เบื้องหน้า

         

บังเอิญ? หรือว่า เป็นการจงใจ? ความกังวลแบบนั้นอยู่ในหัวของชินจนแทบตาลายไปหมด

          แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร… ชินก็ได้ตระหนักแล้ว ว่าชีวิตประจำวันอันแสนดำมืดในตอนกลางคืนที่เคยคิดมาตลอดว่าเป็นเอกเทศกับแสงตะวัน มันได้เริ่มกลืนกินชีวิตอันแสนสุขใต้แสงสว่างของเขาทีละนิดไปแล้ว

 

❖❖❖❖❖

Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 10: ความเป็นจริงที่ค่อยๆที่ถูกแง้มให้เห็น ตอนแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          เวลา 18.20 นาที อันเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนมากกำลังกลับจากที่ทำงาน สำหรับชีวิตเมืองจึงเป็นช่วงที่คนพลุกพล่านมากที่สุด แต่ในทางกลับกัน ในจุดที่ห่างออกไปอย่างชานเมืองนั้นเป็นเวลาที่คนน้อยที่สุด

          ถึงกระนั้น ท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนั้น กลับมีเด็กหนุ่มถีบพื้นพุ่งทะยานผ่านเงามืดของตึกรามไร้ผู้คนด้วยความเร็วสูงอยู่ และแน่นอนว่าคนๆนั้นก็คือชินที่กำลังวิ่งสุดกำลังด้วยฝีเท้าที่เป็นเลิศด้านความว่องไว

          แต่ที่แตกต่างจากที่เคย… คือบนใบหน้าของเขาพยายามอดกลั้นความกังวลไว้เต็มที่ เพราะจะว่าไปแล้ว นี่คือครั้งแรกที่เขาถูกรู้ตัวจริงทั้งที่ปิดบังมาได้ตลอด 2 ปี และเป็นครั้งแรกที่กำลังจะไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่อยู่ในโลกราตรีแบบเดียวกับเขาโดยที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก

 

ถูกรู้เข้าแล้ว… แต่ว่า ได้ยังไง?

เมื่อวานเราทำอะไรพลาดไป? เหลือหลักฐานเล็กน้อยอะไรไว้งั้นรึไง?

 

ไม่… ไม่มีทางเป็นไปได้

พวกเราตรวจสอบละเอียดทุกขั้นตอนตลอดเวลา โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้แทบจะเป็นศูนย์แท้ๆ

 

แต่ที่มันยังเกิดขึ้นได้ก็คงเป็นเพราะมีเรื่องที่ “ยากเกินเข้าใจ” เป็นตัวการ

          ชินกัดฟันแน่นด้วยความหงุดหงิด ที่ตัวเองมองข้ามบางสิ่งไป

          ใช่… ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา สำหรับสาเหตุที่คนรอบคอบอย่างเขาถูกจับได้ ความเป็นจริงเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นได้ก็คือ อีกฝ่ายมีพลังที่แหกกฎธรรมชาติได้อย่าง “ไนท์” อยู่นั่นเอง

          แต่ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงก็คงทำอะไรไม่ได้ เรียกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของชินเข้าขั้นวิกฤตอย่างรุนแรง

 

ถ้านี่เป็นหมากรุก… คงกำลังเตรียมถูกรุกจนแน่ๆ

          ชินคิดแบบนั้นอย่างกังวลเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เช่นไรก็ตาม บนใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเมื่อมองจากมุมมองของบุคคลภายนอก และคงจะมีเพียงโอลิเวียคนเดียวเท่านั้นที่มองความทุกข์อันเกดจากความกลัวซึ่งเก็บซ่อนไว้ในใจนี้ออก

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากนั้น 10 นาทีซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นัด ชินก็มาถึงสถานกที่นัดพบจนได้

          สภาพอาคารเบื้องหน้าของชินเป็นตึกสำนากงานเก่าสูงราว 9 ชั้น แต่สภาพโดยรอบผุพังไปหลายส่วน แต่หากจะว่ากันตามตรง อาคารบริเวณนี้ส่วนมากก็มีสภาพเดียวกัน เพราะย่านนี้เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยเก่า แถมยังชอบมีคนสร้างข่าวลือเรื่องผีสางตามประสาความเชื่อของไทย ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้ามาใกล้นัก

          เพราะไม่มีคน อีกฝ่ายถึงมองที่นี่เป็นโอกาสสินะ… ชินคิดแบบนั้นพร้อมกับสังเกตรอบตัวอย่างระแวดระวัง

          ก่อนที่จะเริ่มเดินเข้าไปในตัวอาคาร และแน่นอนว่าไม่ได้ลดการ์ดและประสาทสัมผัสที่ลับคมมาตั้งแต่ก่อนหน้าลงเลยซักนิดเดียว

          ทันทีที่เข้าไปในอาคาร ชินก็สำรวจโดยรอบทันที พบเห็นร่องรอยว่ามีคนเข้าออกค่อนข้างบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เชิญเขามาจะไม่ได้อยู่ชั้นนี้

 

ให้ตายสิ… นี่คิดจะเล่นไล่จับหรือยังไง

          ชินคิดแบบนั้นด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะรวบรวมสมาธิและประสาทสัมผัสไว้ที่การได้ยิน ถึงแม้จะไม่เท่ากับโอลิเวีย แต่ก็ทำให้ชินพอจับสัมผัสอีกฝ่ายได้

          และผลปรากฏก็คือ เขา… ไม่สิ พวกเขาอยู่ที่ชั้นบนสุดอย่างที่คาด

          ชินไม่รอช้าที่จะย้ำเท้า แต่ก็ไม่ประมาทในเรื่องที่อาจจะมีกับดัก แต่ดูเหมือนจะคิดมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายเขาก็ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

          จนกระทั่งพบกับเหล่าผู้คนที่เป็นผู้เชื้อเชิญเขามา

 

“ สายันณ์สวัสดิ์ครับท่านชิน ”

          พริบตาที่ชินก้าวเท้าขึ้นมาจนสุดทาง ก็มีเสียงของชายหนุ่มเอ่ยทักทาย ชินหันไปมองตามเสียงนั้นซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวาเล็กๆน้อย

          เป็นภาพของกลุ่มคนจำนวน 5 คน ยืนอยู่ริมตึกโดยมีฉากหลังเป็นผนังที่แตกไปบางส่วนจนเผบชยให้เห็นวิวด้านนอก รวมถึงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา

          จากทางซ้าย… คนแรกสวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดงและเป็นแบบคลุมทั้งศีรษะคล้ายกับพวกชิน พร้อมกับเสื้อเกราะเบาสีเงินและกระโปรงสีขาว ซึ่งดูจากภายนอกน่าจะเป็นเพศหญิง และไม่รู้ทำไม ชินสัมผัสได้ว่าท่าทางของเธอเหมือนจะกังวลกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย

          ถัดมาคือหญิงสาวที่สวมหน้ากากกบสีเขียวแบบซ้อนทับใบหน้าคลุมครึ่งศีรษะทำให้เห็นผมสีบลอนด์ยาวสยายออกข้างได้ชัดเจน เธอสวมชุดเกราะที่ค่อนข้างหนาสีดำส่วนล่างสวมกางเกงยีนแฟชั่น แต่รองเท้าที่สวมนั้นเป็นรองเท้าที่ชินเคยเห็น มันคือรองเท้าที่ผสมเทคโนโลยีเสริมไอพ่นเพิ่มความเร็วเข้าไป ซึ่งใช้ในทางทหาร

          มาถึงตรงนี้ชินเองก็สงสัยไม่น้อย แต่ก็พอเดาได้แล้วว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องที่ชินเข้าไปขัดการต่อสู้เมื่อคืน และมันคงทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับบางอย่างเข้า ความคิดนั้นชัดแจ้งขึ้นเมื่อชินสังเกตชายที่ยืนจ้องเขม็งมาทางเข้าซึ่งอยู่ทางด้านขวาสุด

          เขาคือชายสวมหน้ากากลิงเผือก ผู้ใช้หอกคู่ในการต่อสู้กับคนที่ชินโค่นไปเมื่อคืนนั่นเอง

          ถัดจากเขาเข้ามาตรงกลางคือคนที่เดาเพศไม่ออกเพราะส่วนสูงค่อนข้างน้อย เธอ?สวมหน้ากากเด็กผู้หญิงทำหน้าง่วงนอนแถมยังมีน้ำลายยืด ชินแอบคิดว่ามันช่างไม่เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เอาเสียเลย ส่วนชุดที่ใส่นั้นค่อนข้างบอบบางกว่าคนอื่น ในความหมายก็คือเป็นเพียงชุดผ้าธรรมดาไม่มีเกราะซ้อนทับเหมือนคนอื่น

          และสุดท้ายก็คือชายสวมแว่นคนเดียวที่ไม่ได้ยืนเหมือนคนอื่น เขาคือคนเดียวที่นั่งเก้าอี้ไม้อยู่ตรงกลางของทั้ง 4 คน แถมยังเป็นคนเดียวที่ไม่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า จึงเห็นโครงหน้าของชาวยุโรปคล้ายกับชิน แถมยังมีผมสีดำเหมือนกันอีก

เขาสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนอีกต่างหาก แม้ชินจะไม่มั่นใจว่าเป็นของโรงเรียนใดก็ตามที แถมเขายังเป็นคนเดียวกับที่เอ่ยทักทายชินก่อนด้วย

          ซ้ำร้าย เขายังเป็นคนที่ชินเคยเห็นหน้าเมื่อไม่นานมานี้อีก…

 

“ นาย… คนที่แจกใบปลิว ”

“ โอ๊ะ! จำผมได้ด้วยสินะ เป็นเกียรติมากเลยนะครับเนี่ย! ”

          ใช่… ชายสวมแว่นคนนี้ คือคนเดียวกับที่ชินรับใบปลิวมาในตอนที่เดทกับโอลิเวียเมื่อตอนบ่ายนี้เอง

          ชินรู้สึกขนลุกอยู่หน่อยๆ เพราะเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะถูกสะกดรอยตามมาตลอด

 

“ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ได้จะทำมิดีมิร้ายอะไรซักหน่อย ”

“ … ”

          กับการพูดหยอกของชายสวมแว่น ชินทำแค่สังเกตการณ์และไม่ตอบกลับอะไรเป็นพิเศษ

 

“ ดูท่าจะคุยยากกว่าที่คิดนะเนี่ย ” หญิงสาวที่สวมหน้ากากกบซึ่งยืนอยู่ข้างๆชายสวมแว่นพูดขึ้นพร้อมกับยกนิ้วชี้สัมผัสริมฝีปาก(ของหน้ากาก)

“ แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เอาจริงๆยังไม่อยากเชื่อเลยนะครับเนี่ยว่าผู้ชายเรียบร้อย ทั้งยังหล่อเหล่าราวกับเจ้าชายอย่างคุณคือนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งที่เขาลือกันหน่ะ ”

          ชายสวมแว่นพูดพร้อมกับยิ้มมาทางชิน แต่รอยยิ้มนั่นไม่รู้ว่ามีเจตนาใดแอบแฝง ชินจึงไม่ตอบกลับตามที่เขาต้องการ ก่อนที่จะ…

 

“ เข้าเรื่องเลยได้ไหม ” ชินตัดประเด็นของทุกคนออกไปหมด

          ชายสวมแว่นที่โดนตอกกลับมาแบบนั้นด้วยท่าทางเย็นชาของชินถึงกับอ้าปากค้างไปแวบนึงเลยทีเดียว

          และแม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่ดูจากลักษณะภายนอก อีก 4 คนเองก็คงตะลึงไม่ต่างกัน

 

“ อะ เอาเถอะครับ ถ้าต้องการแบบนั้นจริงๆก็ย่อมได้ ” ชายสวมแว่นว่าพลางดันแว่นให้เข้าที่ ในตอนนั้นชินก็เอ่ยถามออกมาอีกราวกับต้องการจะยืนยันความเป็นไปได้ที่เหลือ

 

“ แต่ก่อนหน้านั้น… นี่คิดว่าฉันเป็นไอ้ตัวตลกอะไรที่นายว่าจริงๆงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าจำผิดหรอกเหรอ ”

“ คิดว่าเป็นการบลัฟสินะครับ แต่น่าเสียดาย… ทางนี้มีคนที่ใช้ไนท์ในการตรวจสอบข้อมูลชั้นยอดอยู่ เพราะงั้นคุณหนีความจริงที่ถูกรู้ตัวจริงไปแล้วไม่พ้นหรอก ”

          ชายสวมแว่นมองมาทางขินด้วยสายตาคมกริบ แต่แน่นอนว่าไม่ได้สร้างความกดดันให้เขา

          กลับกัน มันทำให้ชินเหนื่อยหน่ายใจจนต้องถอนหายใจออกมาแทน เพราะมันเป็นอย่างที่เขาคาดไว้

 

“ ขอยืนยันอะไรซักสองข้อก่อนได้ไหม ” ชินเปิดปากพูดแบบนั้นออกมา ชายสวมแว่นก็โค้งร่างท่อนบนเข้าใกล้ด้วยความสนใจ

“ ขอเยอะน่าดูนะครับ ”

          ชายสวมแว่นกล่าวเช่นนั้น แต่หากไม่ปฏิเสธ ในอีกนัยนึงมันก็คือการยอมรับ

 

“ คนที่ถูกรู้ตัวจริงมีแค่ฉัน หรือว่า… ”

“ หมายถึงโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสสินะครับ ”

          ชายสวมแว่นตอบกลับในทันทีด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง แต่หนนี้มันทำเอาชินถึงกับคิ้วกระตุกเลยทีเดียว

          เพราะไม่ใช่แค่ตัวเองที่ตกเป็นเป้าอันตราย แต่คนสำคัญ… คู่หูคนสำคัญอย่างโอลิเวียยังตกเป็นอันตรายไปด้วย ความร้อนรุ่มอันเกิดจากความเครียดมากจนแทบจะทะลักออกมาจากอก แต่เขาก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยได้อยู่

 

แต่ว่าแบบนี้… เราคงต้องเตรียมใจ “ลงมือ” แล้วสินะ

          ชินคิดแบบนั้นก่อนจะปรับความคิดให้เย็นลง

 

“ งั้นอีกข้อ… พวกนายเป็นมิตร หรือว่าศัตรู ” สายตาของชินที่ถามแบบนั้นคมกริบราวกับใบมีด ทำเอาทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับผงะไปเลย ยกเว้นชายสวมแว่นคนเดียว

“ คนที่จะตอบคำถามนั้นคือทางคุณมากกว่าครับ ”

          เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย

 

งั้นเหรอ… ถ้างั้นทางนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องปล่อยคนที่รู้ความจริงให้รอดหรอกนะ

          แต่หารู้ไม่… ว่าคำตอบของชินไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

 

“ อัลเฟรด! ”

          หญิงสาวสวมหน้ากากกบร้องเรียกชื่อของชายสวมแว่นขึ้นมาด้วยความตกตะลึง เมื่อชินหยิบปืนพกที่เหน็บซ่อนไว้ข้างลำตัว พร้อมกับลั่นไกใส่ชายสวมแว่นอย่างไร้ความลังเล

          แม้การกระทำของชินจะเรียกได้ว่าบุ่มบ่าม เพราะเป็นการเปิดศึกกับศัตรูทั้งที่ไม่มีข้อมูล ซึ่งเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่พอชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยของโอลิเวียกับการสังหารคน 5 คนตรงหน้านับ ชินก็แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

          หากมองการสูญเสียความเยือกเย็นในการตัดสินใจของชินเป็นความผิดพลาด นั่นก็นับเป็นข้อพิสูจน์ว่าชินยังคงเป็นคนธรรมดาที่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะคนสำคัญมามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่

          กระสุนที่ชินยิงออกไปด้วยความตั้งใจเช่นนั้น ควงสว่านพุ่งเข้าหาใบหน้าของชายสวมแว่นอย่างแม่นยำ แต่สายตาของชายสวมแว่นกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ

 

“ !!! ”

          นั่นเพราะพริบตาก่อนที่หัวกระสุนจะสัมผัสผิวของเขา กระสุนของชินก็กระแทกเข้ากับสิ่งที่คล้ายกับกำแพงใสสีแดงอ่อนเข้าจนกระสุนเปลี่ยนทิศไปทางอื่นแทน

          เหตุการณ์ไม่ทราบที่มานั่นทำเอาชินเลิกคิ้วด้วยความตกตะลึงเลยทีเดียว

 

หมอนี่ก็มี “ไนท์” ด้วยงั้นเหรอ!?

ถ้าอย่างงั้น!!!

          ชินตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเก็บปืนของตน และจัดการร่นระยะในพริบตาหวังเข้าไปบั่นคอของชายสวมแว่นด้วยตัวเอง

          แต่ในพริบตานั้นชายผู้ใช้หอกคู่ก็ปรากฏตัวออกมายืนขวางไว้แล้วพุ่งเข้าไปหาชินแทน

 

“ ไม่ยอมหรอกเว้ย! ไอ้บัดซบ! ” ชายสวมหน้ากากลิงเผือกว่าอย่างเกรี้ยวกราดดังครั้งที่เจอกันเมื่อวาน พร้อมกับควงหอกสองเล่มซึ่งหยิบมันออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบเข้าหาชิน

 

“ เดี๋ยวก่อนสิ ริว!!! ”

“ ไม่รอแล้วโว้ย! ”

          แม้จะถูกหญิงสาวสวมหน้ากากกระต่ายห้ามปราม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อดกลั้นความกระหายและความโกรธอีกต่อไปแล้ว ปลายหอกทั้งสองเล่มพุ่งเข้าหาชินในพริบตา แต่ว่า…

 

“ เกะกะ ”

ชินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และเป็นพริบตาเดียวกับที่คมหอกทั้งสองถูกชินจับเอาไว้ได้ราวกับไร้ความคม แถมแรงเหวี่ยงมหาศาลที่ชายชื่อริวใช้กลับถูกรับได้ด้วยมือเปล่าด้วยท่าทางที่เหมือนกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย

 

“ โกหกใช่ไหมวะเนี่ย? เวรเอ้ย! ”

          นั่นทำให้ชายสวมหน้ากากลิงเผือก รวมถึงทุกคนตกตะลึงในความสามารถทางกายภาพของชินกันไปหมด

          จะมีข้อยกเว้นก็แต่ชายสวมแว่นเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

“ ริว! วางอาวุธลง! ” ชายสวมแว่นตะโกนดังลั่น ในน้ำเสียงแฝงด้วยความโกรธเป็นครั้งแรก

“ เฮ้ย! แต่ว่าไอ้หมอนี่ ”

“ ผมบอกให้วางอาวุธไม่ได้ยินรึไง!? ”

“ อะ อา… รู้แล้ว ”

          ได้ยินการย้ำเตือนราวคำสั่งถึงสองรอบ ริวจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสู้กับชิน

          ทางชินเองก็ประเมินสถานการณ์แล้วว่าดื้อดึงต่อคงไม่เป็นการดี เขาจึงปล่อยมือจากคมหอกเช่นกัน

          สถานการณ์กลับมาสงบ(ชั่วคราว)อีกครั้ง และไม่รู้ทำไม คนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเป็นคนแรกก็คือหญิงสางผู้สวมหน้ากากกระต่าย

 

“ เกินคาดไปหน่อยนะครับเนี่ย… แต่ถ้าจะว่าไปแล้วมันก็เป็นความผิดของผมนั่นแหล่ะนะครับ ”

          ทุกคนเริ่มเกร็งด้วยความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของชิน

          แต่ถึงแบบนั้นชายสวมแว่นกลับไม่ได้มีท่าทีแบบนั้น เขากลับรู้สึกผิดออกมาแทนเสียอย่างงั้น

          ในทางกลับกัน… ทางชินนั้นไม่ได้ท่าทีใดๆเป็นพิเศษ เขาวางตัวตั้งแต่ต้นจนจบด้วยท่าทางเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย ในขณะที่มองชายสวมแว่นไม่วางตา

 

“ ถ้างั้นผมคงต้องปรับความเข้าใจกับท่านใหม่สินะครับ ท่านชิน ”

          ชายหนุ่มถอดแว่นของตัวเองออก ก่อนที่จะมองตรงเข้าไปในดวงตาของชิน แต่ท่าทางสงบเสงี่ยมของเขามันกลับทำให้ชินคิดไปอีกทาง

          มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดประนีประนอมอะไรอีก? ชินคิดแบบนั้นในขณะที่มองดวงตาของชายหนุ่ม…

          ดวงตา ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

 

“ !!! ”

          แม้แต่ชินก็ยังเก็บความรู้สึกตกตะลึงเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า

          ภาพของชายสวมแว่นปริศนาที่ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์ซึ่งไม่สามารถเลียนแบบได้… แบบเดียวกันกับเขา

 

“ ผมเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ครับ เหมือนกับท่าน ”

          คำพูดสั้นๆนั่นของชายหนุ่มทำให้หัวใจของชินสั่นระรัว นั่นคล้ายกับความตื่นเต้นที่ได้พบกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบมานาน

“ ชื่อของผมคืออัลเฟรด รัสเซิล… บุตรคนเดียวของตระกูลรัสเซิล คิดว่าท่านชินคงพอรู้จักอยู่บ้างนะครับ ”

 

รัสเซิล… เป็นคำที่ไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน

ทำเอานึกถึงคุณลุงคนนึงที่ไว้เคราและชอบทำหน้าโหด แต่จริงๆแล้วเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาเลยแฮะ

 

เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน

ประเด็นก็คือตอนนี้อีกฝ่ายที่เรายืนยันว่าเป็นศัตรู กลับกลายเป็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมิตรมากขึ้น…

 

งั้นก่อนอื่นคงต้องยืนยันให้แน่ใจจริงๆก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู

 

ไม่สิ… จริงๆแล้วเราควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกต่างหาก

เมื่อกี้นี้เรานี่บุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ… แต่มันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ

 

“ รัสเซิล… ตระกูลดยุคที่มีศักดินาสูงสุดในบรรดาตระกูลขุนนางทั้งหมดหล่ะสินะ ”

          ชินถามราวกับย้ำ แต่นั่นคือคำตอบว่าชินรู้จักตระกูลของชายสวมแว่น… อัลเฟรด

          เช่นไรก็ตาม จากคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่า “เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้เหมือนกับชิน” แสดงว่าอัลเฟรดรู้แล้วว่าชินเป็นผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงเขต 40 ซึ่งเป็นของแวมไพร์เมื่อ 12 ปีก่อน การตอบกลับแบบนี้จึงไม่เสียผลประโยชน์ใดๆ

 

“ ครับผม… ” อัลเฟรดตอบกลับอย่างช้าๆ ชินไม่รู้ว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ และดูเหมือนไม่นานนักอัลเฟรดก็กลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง

“ เรื่องเมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยนะครับ… เป็นเพราะความไม่รอบคอบของทางนี้เลยทำให้สถานการณ์เกินควบคุม ”

“ เอาเถอะ… เรื่องนั้นฉันเองก็ขอโทษ ”

          อัลเฟรดยิ้มแห้งๆให้กับคำขอโทษของชิน เพราะดูเหมือนชินจะไม่ได้สำนึกผิดอย่างที่พูด

 

“ ถ้างั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้… ผมขอบอกความต้องการของพวกเราเลยนะครับ ” อัลเฟรดว่าแบบนั้นพร้อมกับยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะมองเข้ามาในดวงตาของชินอย่างจริงจัง

 

“ ได้โปรด ช่วยเป็นพรรคพวกกับพวกเราด้วยครับ ”

“ … ”

 

ห๊ะ!?

          กับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอัลเฟรด ภาพตรงหน้าของชินคือภาพที่อัลเฟรดค้อมหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอร้อง ไม่สิ… รวมกับคำพูดเมื่อครู่ มันคือการขอร้องไม่ผิดแน่

          แต่พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้ชินเข้าใจว่าทำไมสถานะความร่วมมือถึงขึ้นอยู่กับคำตอบตน… ทว่าก็ยังไม่สามารถทำให้ชินเข้าใจเรื่องราวได้ทั้งหมดอยู่ดี

ข้อมูลยังน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจ… ชินคิดแบบนั้นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 

“ หมายความว่ายังไง? อยู่ๆมาบอกแบบนี้มันไม่ได้หรอกนะ ”

“ ผมทราบครับ… แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจนะครับ ว่าโดยพื้นฐานผมไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับคุณ ”

          กับน้ำเสียงแสนเย็นชาของชิน อัลเฟรดก็ยังตอบกลับมาอย่างสุภาพ แต่ถ้าเป็นอย่างที่อัลเฟรดว่า ชินก็พอเข้าใจว่าทำไมท่าทีของพวกเขาถึงค่อนข้างประนีประนอมมาตลอด โดยเฉพาะหญิงสาวผู้สวมหน้ากากกระต่ายที่ดูกังวลตลอดการสนทนา มันแสดงให้เห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะกุมความลับของชินไว้ แต่กระนั้นไพ่ที่ถือกลับไม่ได้เหนือกว่า

          เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเจตนาของอีกฝ่ายท่าจะเป็นของจริง

 

“ แต่การจะคุยถึงรายละเอียด… ผมอยากจะยืนยันอีกครั้งครับว่าพวกเราไม่ใช่ศัตรูของคุณ ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องรายละเอียดที่จะพูดคงจะน่าเชื่อถือขึ้น ”

“ ตามหลักแล้วมันก็ควรเป็นอย่างงั้น… แต่ในทางปฏิบัตินี่จะทำยังไง? ” ชินเอียงคอสงสัยถาม

          ในตอนนั้นอัลเฟรดก็มองไปยังสมาชิกทุกคนที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะพยักหน้าให้เบาๆ

          ทุกคนมีท่าทีระแวงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก เพราะหากไม่ทำตามที่อัลเฟรดเคยบอกไว้ก่อนหน้า ยังไงก็คงซื้อใจชินที่ขี้ระแวงไม่ได้

          แม้จะมีท่าทีระแวง แต่ทุกคนก็ทำตามที่อัลเฟรดนัดแนะก่อนที่จะพบชินในทันที

…ทุกคนกำลังเริ่มถอดหน้ากากของตัวเองเพื่อเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

 

ความจริงแล้วเราเองก็คิดอยู่หรอกว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุด

หากต้องการความร่วมมือก็ต้องยกเลิกสถานะกึ่งขมขู่แบบนี้เสียก่อน

 

แต่ถ้าทำแบบนี้ลงไป อีกฝ่ายก็จะเสียไพ่ในมือที่ว่า “ฉันรู้ตัวจริงของนายแค่ฝ่ายเดียว” ไป

…นี่แสดงว่าอีกฝ่ายมั่นใจมากสินะ

          ชินคิดแบบนั้นในขณะที่มองภาพด้านหน้าที่แต่ละคนค่อยๆถอดหน้ากากของตัวเองออกด้วยท่าทางฝืนๆ เพราะแน่นอนว่าแม้จะด้วยความจำเป็น แต่งไม่มีใครอยากจะเผยตัวตนอันสะดวกสะบายที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยที่ตัวตนจริงไม่เดือดร้อนไปแน่ ซึ่งชินเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน

          อนึ่ง ชินนั้นค่อนข้างมั่นใจกับความสามารถในการจดจำใบหน้าของตัวเองพอสมควร เพราะใช้มันในงานล่าค่าหัวก่อนหน้าอยู่บ่อยๆ

ด้วยเหตุนั้น… จึงทำให้ชินค่อนข้างแปลกใจกับตัวจริงของแต่ละคน

 

ภายใต้หน้ากากของเด็กผู้หญิงง่วงนอน คือ เด็กหญิงผมบ๊อบสีน้ำตาลอ่อน… เธอเป็นคนที่ชินเคยสบตาด้วยบนรถไฟฟ้าเมื่อ 2 วันก่อน

          ภายใต้หน้ากากของลิงเผือกผู้มีนิสัยไม่ยอมใคร คือ เด็กหนุ่มไว้ผมตั้งดูคล้ายนักเลง… และเป็นชายคนเดียวกับที่ชินเดินชนหน้ารั้วโรงเรียนในตอนเช้าเมื่อวาน

          และภายใต้หน้ากากของกบสีเขียว คือ หญิงสาวผมบลอนด์… ซึ่งเป็นพนักงานสาวในร้านคาเฟ่ที่ชินไปนั่งทานกับโอลิเวียก่อนกลับเมื่อบ่ายนี้เอง

          เช่นไรก็ตาม… ความแปลกใจนั่นยังไม่เท่ากับตัวจริงของคนสุดท้ายที่สร้างความตกตะลึงให้กับชิน

 

“ !!? ”

          และคนสุดท้ายที่ทำเอาชินถึงกับต้องเบิกตาโพลง…

          ภายใต้หน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง… คือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทสาวไม่กี่คนที่เอาใจใส่และใจดีกับเขาอยู่เสมอ

          คือเกวน เรดฮาร์ท… เพื่อนสนิทสาวของชินที่กำลังทำสีหน้ากังวลแบบสุดๆอยู่เบื้องหน้า

         

บังเอิญ? หรือว่า เป็นการจงใจ? ความกังวลแบบนั้นอยู่ในหัวของชินจนแทบตาลายไปหมด

          แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร… ชินก็ได้ตระหนักแล้ว ว่าชีวิตประจำวันอันแสนดำมืดในตอนกลางคืนที่เคยคิดมาตลอดว่าเป็นเอกเทศกับแสงตะวัน มันได้เริ่มกลืนกินชีวิตอันแสนสุขใต้แสงสว่างของเขาทีละนิดไปแล้ว

 

❖❖❖❖❖

Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+