ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 31: เบาะแสแรก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 31: เบาะแสแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ‘ความหลายหลาย’ คือสิ่งที่เป็นสุนทรียศาสตร์… เพราะแตกต่างจึงได้มีความงดงาม เป็นเรื่องที่ใครก็ทราบกันดี

          สิ่งนั้นหมายรวมแทบทุกสิ่ง ตั้งแต่รูปร่างในธรรมชาติตราบจนถึงนามธรรมอย่างลักษณะนิสัยของผู้คน

          รวมถึงความปรารถนาเองก็เช่นกัน

 

          และสำหรับที่แห่งนี้… ที่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร สถานที่รกร้างอันเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องไร้ผู้คนและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

          ที่แห่งนี้เอง ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างความความหลากหลายดังที่ได้กล่าว

 

เคร๊ง!

          เสียงโลหะกระทบกันจนเสียงดังลั่นแสบแก้วหู ดังมาจากบริเวณถนนที่ซึ่งแตกระแหงตามระยะเวลาที่ถูกทิ้งร้าง อันมีที่มาจากอาวุธมีคมกระแทกเข้ากับเกราะเบา ของชายสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ด้วยการที่มีปลายทางแห่งความปรารถนาแตกต่างกัน

 

“ฮึ่ย! แกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ!”

          ชายหนุ่มสวมหน้ากากลิงเผือกฝ่ายที่ถืออาวุธมีคมซึ่งเป็นหอกยาวสองเล่มในมือบ่นอย่างหงุดหงิดและร้อนรน

          แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นริว หนึ่งในอัศวินของอัลเฟรดผู้มีความสัมพันธ์ในฐานะผู้ให้ความร่วมมือในการล้างแค้นของชินนั่นเอง

 

“เพราะการโจมตีของแกมันอ่อนหัดต่างหาก” กลับกันแล้ว อีกฝ่ายดูเยือกเย็นกว่ามาก เพราะนอกจากจะไม่ลดท่าร่างเตรียมรับมือคู่ต่อสู้ได้ทุกเมื่อลงแล้ว เขาก็ยังควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้คงที่ได้เสมอ

          ชายผู้ซึ่งสวมหน้ากากมังกรจีนวาดด้วยพู่กัน ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ราวมนุษย์ยักษ์ ทั้งยังมีเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานประดับตามตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าดรากูน… คือหลง ขุนศึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัศวิน 12 นักษัตรของราชาจากจีนนั่นเอง

 

“ดูถูกกันสุด ๆ เลยนี่หว่า” คำพูดดูแคลนอย่างจงใจของหลงทำให้น้ำเสียงของริวทุ่มต่ำลง

          แต่ไม่ใช่ในเชิงที่ว่าเขาอารมณ์เย็นลง หากแต่เป็นกำลังโกรธจนเหมือนกับสัตว์ป่าขู่รอเข้าขย้ำเหยื่อมากกว่า

 

          และไม่ทันจะขาดคำ… ริวถีบพื้นพุ่งเข้าใส่หลงด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากอัตราการดูดซับจิตที่แปรผันตรงกับความโกรธที่กำลังลุกโชน พร้อมกับวาดหอกสองเล่มในมือเป็นวงกลม หมุนวนรอบตัวครึ่งรอบก่อนใช้แรงเหวี่ยงฟาดคมหอกสองเล่มใส่หลงในแนวทแยงทั้งสองเล่ม โดยจุดที่เล็งไว้ก็คือลำคอกับสีข้าง

          แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะพ่ายให้กับการโจมตีไร้ลูกเล่น กลับกันทางหลงต่างหากที่เป็นฝ่ายเอาคืนได้อย่างจังหนับ

          เขาอาศัยช่องว่างระหว่างหอกสองเล่ม กระโดดหลบทะลุผ่านช่องว่างนั้นไปในขณะเดียวกับที่หมุนตัวสร้างแรงเหวี่ยงให้ตัวเอง ก่อนจะใช้ช่องว่างที่ริวเสียจังหวะจากการเหวี่ยงหอกผ่านไป เตะเข้าไปที่สีข้างซ้ายของริวอย่างรุนแรงจนเขาถึงกับกระอักเลือด แล้วลอยลิ่วไปชนเข้ากับรั้วปูนจนทะลุแล้วสุดท้ายก็ลงไปนอนหงายอยู่ในสวนของร้านขายของชำที่ถูกทิ้งร้าง

 

“แค่ก! …เวรเอ้ย”

          ริวทำได้แค่ขากเลือดที่ยังติดค้างในปากออกมาให้หมดเพื่อเตรียมรับการจู่โจมระลอกถัดไปของอัศวินผู้มีความแข็งแกร่งดุจดังมังกรสมฉายาที่ได้รับ

          อีกฝ่ายเองก็ย่ำเท้าเข้ามาหาอย่างไร้ความเกรงกลัว นอกจากความแข็งแกร่งที่เปี่ยมล้นอันเป็นข้อได้เปรียบของเผ่าพันธุ์ ยังมีความปราดเปรียวที่ติดตัวสมเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธถึงขนาดที่สามารถกับใช้มือเปล่าต่อสู้กับอาวุธมีคมได้สบายนั่นแล

 

“เป็นคู่ซ้อมให้ยังไม่ได้เลยนะ” หลงพูดจาดูแคลนริว… อีกครั้ง

“ชิ!”

          แน่นอนว่านั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับริวมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ดี… สำหรับริวแล้ว นี่มันอาจจะแค่เริ่มต้นก็ได้

          และไม่ว่าจะด้วยเหตุผล แต่หลงกลับเลื่อนมือของตัวเองขึ้น ทำให้ริวตั้งสติกลับมาเตรียมตั้งรับอีกครั้ง

          หากแต่ว่าหลงไม่ได้คิดที่จะโจมตี… แต่เขาตั้งใจจะถอดหน้ากากของตัวเองออกต่างหาก

 

“แต่สีหน้าน่าสมเพชแบบนั้น ก็เหมาะกับคนทรยศแบบแกอยู่แล้วนี่จริงไหม”

“!!!?”

          สำหรับคนที่ก้าวร้าวเหมือนกับสัตว์ป่าอย่างริว คงมีไม่กี่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์จนทำให้เขาตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง และนี่คือหนึ่งในนั้น

          สาเหตุที่ทำให้เขาตกตะลึงเบิกตาโพลงคือใบหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากของหลง และพริบตาที่ได้สบกับสายตาที่เคยสบมาก่อนทำให้เขาไหล่กระตุก ยิ่งชี้ชัดไปอีกว่าริวรู้จักชายคนนี้

          …และในทางกลับกัน ชายคนนี้เองย่อมรู้จักริวเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เผยใบหน้าจริงออกมาให้เห็นง่าย ๆ โดยไม่คิดอะไร

 

“เฮียฮุ่ยซิ่ว (惠秀)” ริวรำพึงชื่อของชายที่ยืนมองตนจากจุดที่สูงกว่าแบบนั้นในลำคอด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ ทั้งถวิลหา เคารพ ยำเกรง

          …และหวาดกลัว

 

          การโจมตีระลอกที่สองเองก็เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

          หนนี้หลง… ฮุ่ยซิ่วใช้เทคนิค ‘ผสานจิต’ เข้ากับหมัดของตัวเอง ออร่าสีแดงเลือดนกพวยพุ่งห่อหุ้มมือของเขาประหนึ่งกำลังถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง ซึ่งถือเป็นเทคนิคสูงกว่าการผสานจิตเข้ากับอาวุธเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาวุธส่วนใหญ่มักทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือมากกว่านั้นไม่เกินสิบอย่าง การคำนวณปริมาณให้เหมาะสมไม่มากเกินจนทำลายตัวอาวุธจึงทำได้ง่ายกว่า

          ในทางกลับกัน ร่างกายของมนุษย์มีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งยังมีรายละเอียดซับซ้อนจนยากจะควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่แม้แต่บริเวณเล็ก ๆ อย่างฝ่ามือก็ตาม

 

“ลิ้มรสความอ่อนแอของตัวเองซะ!” ฮุ่ยซิ่วตะโกนลั่นราวราชสีห์แผดเสียงคำราม

          เป็นพริบตาเดียวกับที่เขาง้างหมัดอันถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงซัดเข้าใส่ริวที่ยังไม่ทันจะได้ยืนขึ้นด้วยซ้ำ

พลังกายพื้นฐานที่สูงอยู่แล้วของเผ่าดรากูนถูกทวีขึ้นด้วยเทคนิคผสานจิตและยังทบทวีอีกด้วยตราอัศวินที่เขาถือครองอยู่ อานุภาพของมันสูงจนถึงขนาดกวาดเอาพื้นผิวกระเบื้องและคว้านหน้าดินตรงจุดปะทะไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว

 

“อั๊ก!”

          ต่อหน้าหมัดอันทรงพลัง ริวกลายเป็นกระสอบทรายที่ถูกเหวี่ยงไปไกลอีกครั้ง หนนี้ร่างของเขาทะลุเข้าไปในตัวร้านค้าเลยทีเดียว แม้แต่จะยันร่างขึ้นมาให้ลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้ เขาถึงยังนอนหงายหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่อย่างงั้น

          แม้อันที่จริง จะมีสาเหตุร่วมที่ทำให้ริวไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อยู่อีกอย่างนึงก็ตาม

           

เวรเอ้ย… ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นอาเฮียด้วยวะ!

          ริวที่ค่อย ๆ ยันร่างตัวเองขึ้นได้แต่รำพึงแบบนั้น ความคิดสับสนเริ่มเข้าเกาะกุม แต่ริวก็ยังไม่ละหน้าที่แม้ในมือจะเหลือหอกเพียงเล่มเดียว

 

“…ท่าทางดูไม่จืดเลยนะ สุดท้ายแกก็ยังไม่โตสักที”

          หลังเดินตามเข้ามาเก็บงาน ฮุ่ยซิ่วเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อดที่จะบ่นไม่ได้ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือริวที่ยังคงชี้ปลายหอกมายังตนทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าฝีมือต่างกันลิบลับ

          แต่ที่ฮุ่ยซิ่วรู้สึกอดมิได้จนต้องพูดแบบนั้นออกมา อาจเป็นเพราะเขาเคยเห็นท่าทางแบบนั้นของริวมาก่อนต่างหาก

          เพราะภาพของริวที่กำลังหันปลายหอกมาทางเขาในตอนนี้ มันซ้อนทับกับภาพในอดีตของตัวริวเองครั้งเมื่อยังวัยเยาว์

          …ครั้งเมื่อทั้งสองคน ยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

 

“เฮียนั่นแหล่ะ… เอาแต่พูดจาใหญ่โตอยู่ได้! ไอ้ตรงที่ชอบวางก้ามเพราะตัวเองเป็นพี่ใหญ่ที่สุดน่ะ ฉันหงุดหงิดที่สุดเลยโว้ย!”

          แม้ปลายคมจะสั่นระรัว แต่ใจสู้ยังไม่เลือนหาย

          ริวถีบพื้นพุ่งเข้าใส่ฮุ่ยซิ่วอีกหน วาดคมหอกไปมาราวกับสายลำธารไหล ความคล่องแคล่วและเฉียบคมเพิ่มสูงขึ้นจากครั้งที่ใช้สองเล่มพร้อมกัน

          การโจมตีใช่ว่าจะไม่เข้าเป้า แต่เพราะร่างกายของฮุ่ยซิ่วมีเกล็ดแข็ง ทำให้ถึงถูกโจมตีก็ไม่สร้างบาดแผลใด ๆ มากนัก

 

          แต่แน่นอนว่าฮุ่ยซิ่วก็ไม่ได้ปล่อยให้ริวโจมตีฝ่ายเดียว เขาเองก็เริ่มตั้งท่าร่างแล้วขยับร่นระยะเพื่อไม่ให้คมหอกถึงตัว แต่ทางริวเองก็มีความคล่องตัวเป็นอาวุธ เขาใช้ส่วนด้ามและตัวหอกในการเบี่ยงการโจมตีของฮุ่ยซิ่วออกไปได้ 3 หน แล้วพอหนที่ 4 กำลังจะมาถึง ริวก็รีบถีบพื้นเว้นระยะหนีในทันทีเพราะรู้ว่าครั้งนี้จะป้องกันไม่สำเร็จ

          ทำให้ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอีกครั้งแม้ทางริวจะมีหน้ากากคั่นอยู่ก็ตาม

 

“…สุดท้ายก็ต้องหันมาใช้กำพืดตัวเองอยู่ดีสินะ” ฮุ่ยซิ่วเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับเลื่อนสายตาไปมองหอกในมือของริว

          และไม่ว่าในน้ำเสียงนั่นจะแฝงอารมณ์ใดหรือเจตนาใดอยู่ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ริวรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธอีกแล้ว

          พูดให้ชี้ชัดคือ… มันทำให้เขารู้สึกผิดอยู่มากกว่า

 

“ทั้งที่ทิ้งบ้านของตัวเองไป แต่กลับใช้วิชาจากที่ที่ตัวเองหนีมาในการเอาตัวรอด” ฮุ่ยซิ่วกล่าวจบไม่ทันไรก็เริ่มเดินเข้าหาริวอย่างไร้ความเกรงกลัวอีกครั้ง

“ไม่รู้สึกอับอายบ้างรึยังไง เฟยหลง (飛龍)”

          แม้ริวจะกระชับหอกในมือ ท่าทีของฮุ่ยซิ่วที่เดินเข้าหาริวอย่างใจเย็นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้สักมิลลิเมตรเดียว ในทางกลับกัน ท่าทางและคำพูดของเขาทำให้ริวต้องเป็นฝ่ายชักเท้าร่นไปข้างหลังเสียเอง

          แต่นั่นก็แค่ก้าวแรกเท่านั้น… ริวได้สติในระหว่างที่ก้าวที่สองกำลังจะยกขึ้นเหนือพื้นเพื่อถอยหนี  แต่เขาก็ยับยั้งความกลัวในใจของตัวเองไว้ได้ก่อน

 

          ท่าทางของริวที่เป็นแบบนั้นทำให้ฮุ่ยซิ่วหรี่ตามองด้วยบรรยากาศและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

          และไม่ว่าจะด้วยอารมณ์แบบใดที่ฮุ่ยซิ่วกำลังมีอยู่ เขาก็ยังไม่สนใจท่าทีของริวเหมือนเดิม

 

“เข้ามาสิ จะกี่ครั้งก็จะทำหู้ซึ้ง ว่าคนที่เอาแต่หนีอย่างแกน่ะ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”

          ฮุ่ยซิ่วตั้งท่าร่างวาดขาและแขนเป็นวงกลมอีกครั้ง พร้อมทั้งผสานจิตใส่หมัดทั้งสองของตน ด้วยปริมาณออร่าที่สูงกว่าหนก่อนเกือบเท่าตัว กระนั้นก็ยังสัมผัสความรู้สึกที่ว่าเจ้าตัวเอาจริงไม่ได้เลย

 

          แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าริวจะต้อง ‘หนี’

          เขากล้ำกลืนฝืนใจ กัดฟันแน่น เค้นสติทั้งหมดให้อยู่ที่การต่อสู้มากกว่าความรู้สึกหวาดกลัวของตัวเอง 

 

“อึก… โอ้ว!!!!!”

ก่อนจะตะโกนร้องลั่น ถีบพื้นและวาดหอกในมือมุ่งหมายโจมตีฮุ่ยซิ่วผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง

 

          และแม้ว่าตัวริวจะกำราบความหวาดกลัวไปได้ แต่ย่อมไม่ใช่ทั้งหมดอย่างแน่นอน ตัวเขายังตคงมีความรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม

          ริวยังคงกังวลและร้อนรนอย่างรู้สึกผิด… ถึงขั้นลืมคิดไปเสียสนิทว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ตัวจริงของตัวเองทั้งที่ยังใส่หน้ากากอยู่

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในขณะเดียวกัน, ณ จุดที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร

          ระหว่างที่เกิดศึกระหว่างอัศวินของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าต้องมีกำลังเสริมคอยดูท่าทีอยู่ไกล ๆ เช่นกัน รวมถึงยังรับหน้าที่คอยสอดส่องศัตรูที่อาจมาเสริมทัพเพิ่ม หรือทำให้พลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องเปลี่ยนเส้นทางไปทางอื่นเพื่อให้การต่อสู้หลักของศึกนี้เป็นไปอย่างราบรื่น นั่นเป็นเรื่องพื้นฐาน

          และสำหรับหน้าที่ดังกล่าว ได้ถูกมอบหมายให้แก่หญิงสาวสวมหน้ากากกบสีเขียว ไดอา

          และอีกคนคือเด็กสาวร่างเล็กผู้สวมหน้ากากแมวน้ำ มิว

          ทั้งสองคนคืออัศวินของอัลเฟรด หรือก็คือเป็นฝ่ายเดียวกับริวที่กำลังทำศึกสอต่อสองกับฮุ่ยซิ่วอยู่นั่นเอง

 

          แม้จะหาจุดที่สามารถสอดส่องได้ทั่วถึงอย่างหอถังสูงสำหรับการประปา (ซึ่งถูกทิ้งร้างแบบเดียวกับละแวกใกล้เคียง) แต่บรรยากาศก็เงียบสงบเสียจนชวนให้รู้สึกหาวง่วง

 

“ไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะเนี่ย” ไดอาบ่นอิดออดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง พร้อมกับเอาหน้าแนบไปกับโครงเหล็ก ในขณะที่นั่งอยู่บนราวแกว่งเท้าไปมาอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อความสูงที่มากกว่า 30 เมตร

“นั่นสิคะ… อีกฝ่ายเองก็ไม่มีท่าทีจะนำกำลังเสริมไปรุมหมอนั่นด้วย”

          เช่นเดียวกับทางมิว เธอเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรทำกระนั้นเธอก็ไม่ได้นั่งพักแต่กำลังเดินไปรอบ ๆ ราวเหล็ก 

แต่ครั้นจะให้ไปร่วมศึกกับริวก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเสียเปล่า ๆ เพราะเธอไม่ใช่สายต่อสู้

          และที่สำคัญ… อีกฝ่ายยังเป็นถึงขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดของศัตรูอีก เรื่องที่ควรทำจึงเป็นการรักษาตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองไว้ให้มั่นมากกว่าจะไปกังวลเรื่องของอีกฝ่าย

          

          เพราะถึงจะเห็นเป็นอย่างนี้ แต่ริวก็เป็นถึงขุนพลเอกของอัลเฟรดเช่นเดียวกันนั่นเอง

          แม้พลังและความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะไม่อาจเทียบชั้นได้กับแองกริคราวน์หรือชินยะก็ตาม ซึ่งเดิมทีหากนำชินยะเข้ามาเปรียบ อัศวินจากที่ไหนก็คงเทียบชั้นไม่ได้อยู่ดี

          ด้วยเหตุนั้น หากไม่นับตัวละครติดบั๊คอย่างชินและราชาอย่างอัลเฟรด ริวเป็นขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“แต่จะว่าไป อีกฝ่ายมีแผนอะไรก็ไม่รู้นะคะ”

“หมายความว่ายังไงเหรอ?” ไดอาเอียงคอสงสัยให้กับคำถามของมิว พลางเอียงคอมองในจังหวะที่เจ้าตัวเดินวนครบรอบมาถึงตัว

“ก็แหม วันแรกเล่นเปิดตัวซะยิ่งใหญ่ แต่วันต่อมากลับมาสู้กันในที่ห่างไกลแบบนี้นี่คะ”

          มิวพูดแบบนั้นพลางถอนหายใจ ทั้งด้วยความรู้สักกังวลและโล่งใจ เพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนขึ้นมาอีกแต่อย่างใด

          แต่ก็ไม่อาจละทิ้งความสงสัยถึงข้อแตกต่างระหว่างศึกเมื่อคืนกับศึกนี้ไปได้อยู่ดี

 

“แต่ผลลัพธ์ของศึกเมื่อคืนก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบไปกว่ากันนี่นา” ไดอาเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นเต้นใด ๆ อาจเพราะเข้าใจจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้วก็ได้

          เพราะแบบนั้นถึงได้ทำให้มิวเริ่มคิดตาม แล้วเจ้าตัวก็ทุบมือข้างหนึ่งใส่ฝ่ามือข้างหนึ่งประหนึ่งไขปริศนาออกแล้ว

 

“อย่างงี้นี่เอง… ที่ทำแบบนั้นไปเพื่อยืนยันกำลังรบทั้งหมดของเรางั้นสินะคะ”

“ปิ๊งป่อง! เก่งมากเลย ๆ” ไดอาเอ่ยชมมิวที่ตอบคำถามได้ตรงใจตนก่อนที่จะเฉลย

          รอยยิ้มใต้หน้ากากของมิวที่เผยออกมาหลังจากถูกเสียงหวาน ๆ ของไดอาเอ่ยชมก็เป็นอีกอย่างที่ยืนยันว่ามิวชื่นชอบและชื่นชมไดอาในฐานะพี่สาวที่ใจดีคนนึง

 

“แต่งั้นก็แสดงว่า… ตอนนี้ก็กำลังดูเชิงเราอยู่อย่างงั้นเหรอคะ” มิวกล่าวถามเสริม ไดอาได้ยินก็พยักหน้ารับความคิดเห็นนั้นทันที

“นั่นสินะ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

          ไดอาว่าจบก็เอาแก้มกลับไปแนบกับราวเหล็กอีกครั้ง ท่าทางของเธอเหนื่อยเหมือนกับพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อยังไงอย่างงั้น

 

ก็ถ้านั่น… ไม่ใช่สิ่งที่พวกนั้นต้องการให้เราเชื่อละก็

มันก็คงจะดีล่ะนะ

          ไดอาแอบคิดแบบนั้นขึ้นมาชั่วขณะ แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนข้อสันนิษฐานนั้น

          ทั้งเพื่อความสบายใจของมิวเองก็ด้วยเธอถึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะอย่างไรก็ตาม หากเรื่องที่เธอคิดมันมีความเป็นไปได้สูงในทางปฏิบัติ 

คนที่จะจัดการเรื่องนั้นได้ก่อนเธอก็คือราชาจอมวางแผนของเธออย่างอัลเฟรด

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในเวลาไล่เลี่ยกัน, ณ ใจกลางเมืองหลวงเขต 66, กรุงเ*พมหานคร

          เวลาที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาในปัจจุบันนั้นคือสี่ทุ่มครึ่งโดยประมาณ

          หากคำนึงถึงแค่ช่วงเวลา… นี่คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากบนท้องถนนจะไร้ยานพาหนะหรือบนทางเท้าจะไร้ผู้คนเดินย่าง

          ก็จริงที่ยังไม่ดึกถึงขนาดที่ไร้ผู้คนเสียทีเดียว แต่ก็พูดได้ว่าบางตาจนแทบไม่มีใคร แม้แต่ในใจกลางเมืองกรุงก็นับได้ว่าเป็นบรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวสุด ๆ จนแทบไม่มีใครกล้าออกมาหากไม่มีธุระจำเป็น

          และแน่นอนว่าสาเหตุหลักที่ไม่มีใครกล้าออกมาก็คือ ความปลอดภัย

 

          เพราะอย่างที่รู้กัน ว่าเมื่อคืนเพิ่งจะเกิดเหตุจลาจลกลางเมืองหลวงอย่างอุกอาจจนสสร้างความเสียหายให้ตึกรามบ้านช่องเป็นวงกว้าง เพราะเรื่องนั้นต่อให้คนที่มีธุระจริง ๆ ก็อาจไม่กล้าออกมาก็เป็นได้ด้วยซ้ำ

          ทว่านั่นก็เป็นแค่หลักคิดของ ‘คนทั่วไป’ เท่านั้น

 

          อีกด้านของแสงสว่างยามวิกาลบนท้องถนน ย่อมมีความมืดมิดในจุดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง

          บนตึกสูงระฟ้าไร้แสงไฟจากหลอดนีออน คือแหล่งซ่อนตัวในเงามืดชั้นดีของผู้ที่ปรารถนาการปลีกวิเวกจากสังคมแสงสว่าง ให้บรรยากาศน่าฉงนและน่าวังเวง

          ที่ตรงนั้นมีชายหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนอยู่บนยอด อาศัยเงามืดบดบังไม่ให้เป็นที่สังเกต ในขณะที่มองเวลาจากโฮโลวอชตาไม่กะพริบ

 

“มาสเตอร์ ถึงเวลาแล้วค่ะ” 

พริบตาที่ตัวเลขเปลี่ยนจาก 29 เป็น 30 หญิงสาวผู้สวมหน้ากากสุนัขพันธุ์โกลเด้นด๊อก… โอลิเวียในร่างของโกลเด้นด๊อก เอ่ยต่อมาสเตอร์ของเธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

 

“อืม” มาสเตอร์… ชินในร่างของแองกริคราวน์พยักหน้ารับคำของโอลิเวีย

“ไม่ลืมของแน่นะ?” ชินว่าแบบนั้น แต่ก็แค่ถามย้ำถึงคามพร้อมของโอลิเวียแบบอ้อม ๆ เท่านั้น

          เพราะ ‘ของ’ ที่เขาหมายถึงนั้น ก็เห็น ๆ อยู่ว่าอยู่ในมือของโอลิเวีย

 

“แน่นอนค่ะว่าไม่ลืมแน่”

          โอลิเวียว่าด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแลจริงจังดุดัน ในมือของเธอมีกระเป๋าโลหะใบใหญ่บรรจุ ‘ของ’ มาเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ใช้แรงกายอะไรมากในการแบก สำหรับโอลิเวียที่มีสายเลือดของเผ่าสัตว์ ซึ่งมีกำลังกายสูงกว่าคนปกติแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องธรรมดา

          แม้อันที่จริงก่อนหน้านี้ ชินจะเสนอตัวว่าอยากเป็นคนหิ้วกระเป๋าออกมาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายโอลิเวียก็รับไว้แค่น้ำใจสุภาพบุรุษ

 

          เพราะยังไงก็ตาม… หากให้ผู้ติดตามเป็นคนถือของ ยังไงมันก็เพิ่มอำนาจเจรจาให้กับผู้นำอย่างชินมากกว่าอยู่แล้ว

 

“งั้นไปกันเถอะ”

“ค่ะ!”

          หลังตรวจสอบสภาพครั้งสุดท้าย ทั้งตัวเอง คู่หูและจุดลงจอด ทั้งสองคนก็ถีบพื้นกระโดดข้ามตึกรามสูงเสียดฟ้าไปยังจุดหมายเป็นทางลัดเหมือนกับที่ผ่านมา

 

          ใช้เวลาไม่นานนักสถานที่เป้าหมายก็ปรากฏแก่สายตา

          โรงแรมขนาดใหญ่อันถูกตั้งไว้ใจกลางกรุงเมือง แม้ในเวลานี้แสงไฟจากทางเข้าล็อบบี้ที่ชั้นหนึ่งก็ยังถูกเปิดอยู่ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารับลูกค้าตลอดเวลา

          แน่นอน… ว่าลูกค้าที่ว่าหมายรวมถึงคนประเภทอย่างชินกับโอลิเวียด้วย

 

          หลังยืนยันสภาพแวดล้อม รวมถึงปัจจัยเสี่ยงซึ่งเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชินกับโอลิเวียก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะกระโดดลงไปยังตรอกซอยที่มืดมิดและเปล่าเปลี่ยว เดินลัดเลาะไปตามถนนที่กำหนดเส้นทางไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งยังมีระบบนำทางอัจฉริยะใต้หน้ากากช่วยอีกจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลงทาง

          ใช้เวลาไม่นานนักก็มาจนถึงทางเข้าด้านหลังของตัวโรงแรมตึกเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่ความแตกต่างระหว่างด้านหน้ากับด้านหลังที่เห็นได้ชัดเลยก็คือจำนวนเวรยามและความสว่างที่ไม่มีเลยสักนิด

          แต่กลับกัน ทางเข้าด้านหลังมีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสูงกว่าด้านหน้าหลายเท่า เพราะลูกค้าจากทางฝั่งนี้เป็นประเภทที่ประมาทไม่ได้

 

          ชินกับโอลิเวียเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่พบคือโถงทางเดินที่แทบจะมืดสนิท

          มีเพียงแสงลอดออกมาเพียงเล็กน้อยจากเคาน์เตอร์กระจกที่อยู่ด้านในสุดของทางเดิน ก่อนหน้าที่จะถึงลิฟต์โดยสารนั่นเอง

 

“มีอะไรให้ช่วยไหม?” ในพริบตาที่ก้าวเท้ามาอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์กระจก ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครายาวเฟิ้มก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามชินออกมาทันทีอย่างชำนาญ

          สายตาของเขาแม้จะไม่เป็นมิตรสักเท่าใดนัก แต่สำหรับสายอาชีพที่เขาทำ มันก็คงเหมาะสมดี

 

“อยากจะไปชั้นใต้ดินน่ะ” ชินว่าแบบนั้น น้ำเสียงไร้อารมณ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทางชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์เริ่มหรี่ตามองชิน

“ใต้ดินน่ะมันมีแต่หนูท่อนะ” ชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์เอ่ย

“แล้วก็เป็นหนูท่อที่ทำเงินได้” ชินตอบกลับทันควัน

          พริบตานั้นชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์ก็คลายยิ้มตัวเองออกอย่างสบายใจ ก่อนจะเดินไปหยิบหูโทรศัพท์คุยอะไรบางอย่างกับปลายทาง

          จากนั้นก็เดินมาหน้าเคาน์เตอร์แล้วกดปุ่มเรียกลิฟต์ให้ ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกให้ชินกับโอลิเวียเดินเข้าไป

 

“ยินดีต้อนรับ แองกริคราวน์”

          ชายเฝ้าเคาน์เตอร์ทิ้งท้ายคำพูดไว้แบบนั้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง

          เหลือเพียงแค่ชินกับโอลิเวียสองคนในตัวลิฟต์ที่กำลังย้ายลงไปชั้นใต้ดิน

 

“รหัสแบบนั้นดิฉันว่ามันเดาง่ายนะคะ”

“เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรานี่นา”

          โอลิเวียออกความเห็นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทางชินก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของพวกเราอย่างที่เอ่ย

          

          ในความเป็นจริง… อาจเป็นไปได้ที่คนจะเดาข้อความถัดไปของรหัสลับออก

          แต่ในทางปฏิบัติจริง คงมีไม่กี่คนที่เห็นสถานการณ์ดังกล่าวแล้วยังใจเย็นพอที่จะตอบกลับไปแบบนั้น การใช้คำถามแบบนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะกรองคนได้ในระดับนึง

          รวมถึงเรื่องที่รหัสผ่านง่ายต่อการคาดเดา ก็คงทำเพื่อดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ที่ไม่ได้ถูกทาบทามนั่นแหล่ะ แม้ว่าคนจำพวกนั้นจะไม่ค่อยมีชีวิตอยู่ได้นานพอจะทำกำไรให้โรงแรมแห่งนี้ก็ตาม

 

ติ๊ง!

          เสียงแหลมดังจังหวะเดี่ยว เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาถึงที่หมาย

          หากคำนวณจากเวลาและความเร็ว ที่นี่คงลึกไปได้ราว ๆ 4-5 เมตรจากพื้นดินเท่านั้น

          อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นความลึกในระดับที่พอจะลอดพ้นสายตาของประชาชนทั่วไป และสามารถใช้เงินทำให้เจ้าหน้าที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ในระดับนึง

 

“ขึงขังไว้นะคะมาสเตอร์” โอลิเวียพูดเตือน แต่นั่นคงเหมือนกับคำแหย่เล่นของเจ้าตัวนั่นแหล่ะ

“คิดว่าพูดอยู่กับใครกัน” ชินว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสสสียงเย็นสงบไม่แปรเปลี่ยน

          ในจังหวะที่ประตูลิฟต์เปิดออก แสงสว่างที่จ้ากว่าในตัวลิฟต์ก็ลอดเข้ามาเสียจนทำเอาแสบตา ต้องขอบคุณหน้ากากที่สวมอยู่ทำให้ป้องกันเรื่องนั้นได้อย่างแนบเนียน

 

          ใต้ดินที่ซึ่งควรจะเต็มไปด้วยท่อน้ำหรือหนูท่อสกปรก กลับเต็มไปด้วยแสงสีเสียงเต็มไปหมดราวกับผับบาร์ ซึ่งหากมองในแง่นั้น มันก็อาจเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนที่ไร้ที่ยืนในสังคมเบื้องหน้าก็เป็นได้

          เห็นได้ชัดจากบรรยากาศที่คนเหล่านั้นแผ่ออกมา ทั้งสายตาไม่เป็นมิตรและท่าทางไร้ความยำเกรงต่อสิ่งใดไม่แม้แต่กฎหมายบ้านเมือง ชี้ชัดให้เห็นเลยว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะอยู่ ‘ใต้ดิน’

          โดยหากไม่นับบริกรชายหญิงที่แต่งตัวสมเป็นพนักงานโรงแรม ก็นับได้ว่าเป็นผับบาร์ที่ปกติ

          แน่นอนว่าการจะมองให้เป็นแบบนั้น ต้องเมินใบค่าหัวที่ติดอยู่บนผนังของห้องโถงนี้เสียก่อน

          และบาร์เหล้าแบบเบ็ดเสร็จที่รวบรวมบริการขึ้นเงินจากการล่าค่าหัวแบบนี้แหล่ะ คือตัวอย่างหนึ่งของสังคมโลกมืดซึ่งถูกบริหารโดยผู้ที่บงการด้านมืดของโลกอย่าง ‘The Singularity’

 

          อย่างไรเสีย… แสงสว่างอันขัดแย้งกับบรรยากาศมืดหม่นที่ถาโถมเข้าใส่ คงเป็นเรื่องเล็กน้อยหากเทียบการสายตาทุกคู่ที่จับจ้องเข้ามาทางชินและโอลิเวียในพริบตาที่ทั้งสองคนก้าวออกมาจากตัวลิฟต์

          ในบรรดาคนจำนวนมากนั้น มีอยู่คนนึงที่เดินเข้ามาทางพวกชิน ด้วยท่าทางวางก้าม ซึ่งก็สมกับร่างกายกำยำใหญ่โตของตัวเองดี

 

“โห… ไอ้ชุดแบบนั้น นี่พวกเอ็งคิดจะเล่นเลียนแบบแองกริคราวน์กับโกลเด้นด็อกอยู่รึยังไง?”

          ชายร่างกำยำว่ามาแบบนั้นในขณะที่ยืนเผชิญหน้ากับชิน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันทำให้เขามองลงมายังชิน

          แต่กลับกัน ชินไม่ได้แหงนขึ้นไปมองเขาชายที่เคลือบแคลงตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“แกกำลังขวางทางอยู่ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไปซะ” ชินเตือนตามสมควร เพราะไม่ว่าจะยังไง ถ้าเรื่องจบโดยที่ไม่มีเรื่องกันมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

          แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรามือไปโดยง่าย ชายร่างกำยำสะบัดผ้าคลุมเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง หมัดทั้งสองถูกคาดด้วยเชือกดูน่ายำเกรง

 

“ข้าคือนักล่าฆ่าหัวอันดับ 1 ในไทย ‘มือสังหารหักกระดูก’!!! ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แต่ถ้าคิดจะใช้ชื่อคนดังเข้ามาในถิ่นของข้า————”

          พูดยังไม่ทันได้จบดี… มือสังหารหักกระดูกที่ว่าก็ลอยละลิ่วข้ามหัวคนไปหลายคนจนตกลงใส่โต๊ะจนหักครึ่งล้มโค่นลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นมันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น

          จากที่ไปท้าทายหน้าใหม่ กลับกลายเป็นนอนตาเหลือกหมดสติบนกองโต๊ะที่พังหักไปครึ่งนึง… สภาพแบบนั้นของเขาทำให้ทุกคนในร้านเบิกตาโพลงกันเป็นจังหวะเดียว

          รวมถึงความกลัวที่ปะทุขึ้นและเหงื่ออันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความกังวลก็ผุดขึ้นมาพร้อมกัน

 

ตัวจริงเหรอ!?

          ทุกคนในห้องโถงคิดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

          และไม่ว่าจะในแง่ร้ายหรือแง่ดี… การทะเลาะวิวาททำให้เรื่องใสนคราวนี้จบโดยที่ไม่มีใครตาย ชินจึงรู้สึกโล่งอกไปได้เปราะนึง เพราะหากไม่จำเป็นก็ไม่อยากสร้างความบาดหมางให้ใครเพิ่ม เพราะปัจจุบันตัวเขาเองก็ถูก The Singularity เพ่งเล็งอยู่แล้ว การสร้างเรื่องเพิ่มมีแต่จะทำให้เคลื่อนไหวได้ยากขึ้นเท่านั้น

 

“ขอโทษที่พังของนะคะ นี่เงินค่าชดเชยค่ะ” ในขณะที่สายตาขอทุกคนจับจ้องไปที่ชิน โอลิเวียก็เดินนำเงินปึกนึงไปยื่นให้บริกรที่อยู่ใกล้ ๆ ท่าทางของเธอที่เหมือนกับไม่ยี่หระกับเงินจำนวนมากในมือ ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงพลังอำนาจที่ชินกับเธอถือครองอยู่

“คะ ครับผม”

          จนตอนนี้ แม้แต่บริกรเองก็พลอยกลัวและกังวลตามไปด้วย

          อย่างไรก็ตาม… ชินเดินเข้าไปหามาสเตอร์ที่เป็นคนคอยชงเหล้าให้ลูกค้าได้โดยไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องอีก เรียกว่าเรื่องง่ายขึ้นเยอะ

 

“คนดังอย่างคุณมีธุระอะไรอย่างงั้นเหรอครับ?” มาสเตอร์เจ้าของบาร์ในชุดบาร์เทนเดอร์?ว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ท่าทางและสีหน้าต่างกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ ดูเยือกเย็นสมกับเป็นผู้ที่คอยควบคุมความสงบของบาร์ในโลกใต้ดิน

“จะมาใช้บริการแทรคกิ้ง ตอนนี้ว่างไหม?”

“โห… แต่ก็กะอยู่แล้วล่ะนะครับ”

          กับคำตอบของชินทำให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์พึงพอใจเป็นอย่างมากในแง่ของความโล่งอกสบายใจ

 

          เพราะเอาเข้าจริง หากคิดตามปกติ นักฆ่าที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างชินจะเข้ามาในนี้เพื่อดื่มเหล้าหรือล่าค่าหัวในประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำแบบนี้ ยังไงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้

          นอกเสียจากที่นี่จะมีคนที่สามารถให้บริการเฉพาะ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้

 

“เข้าไปด้านในจากประตูซ้ายครับ… ค่าเข้าห้องราคา 1 ล้านเครดิต ไม่รวมค่าบริการ”

“อา” ชินพยักหน้ารับ โอลิเวียหยิบปึกเงินให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์อีก 1 ปึกอย่างคล่องแคล่ว และไม่ได้คิดว่าเป็นราคาที่แพงแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ตกใจกับราคาด้วย

          เพราะไม่ว่าจะที่ไหน ราคานี้กับมาตรฐานการคิดราคาแบบนี้ เป็นสากลไม่ว่าจะอยู่ในเขตประเทศใดก็ตาม นั่นเป็นอีกสิ่งที่ทำให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์เชื่อว่าชินเป็นแองกริคราวน์ตัวจริง เพราะชินมีท่าทางที่คุ้นชินกับบริการนี้

          แต่สำหรับนักล่าค่าหัวหรือนักฆ่าระดับล่างจนถึงกลางแล้ว นั่นไม่ใช่เงินจำนวนที่จะสามารถควักจ่ายได้โดยไม่คิด เป็นอีกครั้งที่เห็นได้ชัดเลยว่าชินกับโอลิเวียนั้นไม่ธรรมดา

 

          โดยไม่สนสายตาที่ทั้งชื่นชมและอิจฉา ยำเกรงและหวาดกลัวของพวกเขา… ชินกับโอลิเวียเดินเข้าไปในประตูซ้ายตามที่มาสเตอร์เจ้าของบาร์บอก

          และในนั้นก็มีคนที่รออยู่ก่อนแล้ว

 

“ได้ยินมาจากทั้งข้างบนและมาสเตอร์แล้ว… ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องจริงนะ”

          ชายคนที่รออยู่บนโซฟาหรูสีแดงทำจากหนังคือชายคนที่ชินกับโอลิเวียตั้งใจมาหาในคืนนี้

          เขาสวมเสื้อสีดำสนิท พร้อมแว่นดำอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดประจำองค์กรของเขา และที่ชัดเจนที่สุดคือตราสัญลักษณ์พร้อมอักษรประกอบอันเป็นชื่อองค์กรของเขาบนอกเสื้อ

          ‘Tracking Master’

 

“เรื่องนั้นไม่คิดจะปิดอยู่แล้ว” ชินว่าแบบนั้น เพราะอันที่จริง หากเขาต้องการจะปิดก็คงไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่ครั้งที่เกิดการปล้นธนาคารโดยเฮเดอร์

          ในทางกลับกัน ชินจงใจเปิดเผยตัวตนของตัวเองในทุกครั้งที่เคลื่อนไหวด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเหตุผลก็คือเพื่อล่อให้ศัตรูตัวฉกาจที่เป็นเหตุผลให้แองกริคราวน์ถือกำเนิดขึ้นมาอย่าง ‘ตัวตลก’ ออกมา

          และในที่สุดมันก็ออกมาเผชิญหน้ากับชินเมื่อเย็นนี้ จึงเป็นเหตุผลให้ชินกับโอลิเวียมาอยู่ที่นี่

 

          ‘Tracking Master’ คือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสาขาย่อยอยู่ทั่วโลก เป็นองค์กรที่ให้บริการในการค้นหาตัวบุคคลหรือสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยขอบเขตและฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทุกโลกและทุกองค์กรบนโลกทั้งที่อยู่ใต้อาณัติและถูกแทรกซึม

          ด้วยเวลาไม่เกิน 10 นาที… ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะถูกระบุว่าตายแล้ว ซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกหรืออยู่ในซอกหลีบของขุมนรก ตัวคน ๆ นั้นหรือสิ่งของชิ้นนั้นจะถูกระบุในทันที

          ด้วยอัตราความสำเร็จ 99% แทบทุกงานไม่มีบิดพลิ้วและข้อผิดพลาด… นั่นถึงทำให้ ‘Tracking Master’ เป็นองค์กรระดับโลกที่นักฆ่า มือสังหาร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ URI ยังต้องมาใช้บริการ

 

“ไม่อ้อมค้อมเลยละกันนะแทรกมาส ฉันมีคนที่อยากจะให้ช่วยตามหาหน่อย” 

ชินว่าแบบนั้นในจังหวะที่หย่อนสะโพกลงโซฟาตัวตรงข้ามของแทรกมาส อันเป็นชื่อเรียกแทนตัวพนักงานของ Tracking Master

โอลิเวียเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน

 

“ขอเดานะครับ เรื่องตัวตลกล่ะสินะ” แทรกมาสเตอร์ว่าแบบนั้นก่อนที่ชินจะเอ่ยปากออกมา

          แล้วพอชินพยักหน้ารับเป็นคำตอบ แทรกมาสเตอร์ก็ถอนหายใจออกมาในทันที แม้จะน้อยนิดและแนบเนียนจนไม่ถึงกับเรียกว่าเสียมารยาทกับลูกค้าก็ตาม

 

          แต่จะว่าอะไรเขาได้… ในเมื่อนี่เป็นครั้งที่สองที่ชินมาจ้างเพื่อให้ช่วยตามหาบุคคลที่ชินเรียกว่า ‘ตัวตลก’ คนนี้

          และต้องมองย้อนกลับไปยังครั้งแรก… โดยปกติการทำงานของ Tracking Master นั้น ต้องการแค่เบาะแสเพียง 1 อย่างของคนหรือสิ่งของที่ต้องการจะตามหา และสำหรับตัวตลกที่ชินกำลังหาอยู่ แน่นอนว่าคือหน้ากากตัวตลกที่มันสวมกับรอยสักรูปมงกุฏที่มือขวา

          และนั่นก็คืองานแรกที่ Tracking Master ผู้ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่ตามหาทุกสิ่งได้อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ต้องด่างพล้อยกลายเป็น 99% แม้งานที่ไม่สำเร็จงานอื่นจะเป็นงานตามหาตัวจริงของแองกริคราวน์เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม

          และก็ใช่… แม้แต่ Tracking Master เองก็ยังไม่สามารถตามหาตัวตลกผู้สังหารครอบครัวของชินและแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขาได้เลยสักนิด นั่นเลยทำให้ชินต้องออกตามหาด้วยตัวเอง

          

          ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ชินกลับมาใช้บริการ Tracking Master อีก ทั้งที่มีเบาะแสในมือเท่าเดิม

          นั่นคือความคิดของแทรกมาส ซึ่งอันที่จริงมันไม่ใช่

 

“หนนี้ฉันมีเบาะแสเพิ่มเติม เจ้านี่จะช่วยให้ตามหาได้แน่”

          ชินว่าแบบนั้น โอลิเวียรู้งานทันที เธอเปิดกระเป๋าที่พกติดตัวมาด้วยขึ้นมา

          ครึ่งนึงเป็นเงินสดเอาไว้เป็นค่าบริการของ Tracking Master

          ส่วนอีกครึ่งนึงเป็นถุงสุญญากาศซีลไว้อย่างดี และมีจำนวนทั้งสิ้น 2 ถุง โดยแต่ละถุงประกอบด้วยของแตกต่างกัน หากแต่มาจากแหล่งเดียวกัน กับอีกสิ่งที่เป็นบันทึกวิดิโอพกพา

          นั่นทำให้แทรกมาสเตอร์มองพวกมันด้วยสายตาจริงจังและเปลี่ยนไป

 

“คราบเหงื่อกับเส้นผม… แล้วก็วิดีโอบันทึกการเคลื่อนไหวของเป้าหมายงั้นเหรอ?” แทรกมาสพินิจพิเคราะห์ข้อมูลในมือ

“คราวนี้คงหาได้นะ”

          ชินว่าแบบนั้นอย่างมีความหวัง แต่ทางแทรกมาสกลับเหงื่อตกเพราะพวกเขาแอบคิดมาตลอดว่าเบาะแสหรือตัวตนที่ชินกำลังตามหาอาจเป็นแค่วิมานในอากาศ

          อย่างไรเสียเขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เขาลุกขึ้นและนำหลักฐานทั้งสามติดตัวไป แล้วไปนั่งจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์พกพาในห้องนั้น

 

          น่าทึ่งที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2 นาทีเศษในการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการรวมเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อระบุตัวคน

          กระดาษสรุปถูกปริ้นออกมาในตอนนั้นและถูกส่งให้ชินกับโอลิเวียทันที

 

“ “!!!?” ”

          แล้วตัวจริงของ ‘ตัวตลก’ ที่จู่โจมชินเมื่อเย็นก็ถูกเปิดเผย

          และผลลัพธ์ก็ทำให้ทั้งชินและโอลิเวียเบิกตาโพลงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

 

          นั่นเพราะใบหน้าที่เห็นบนกระดาษสรุปผล… เป็นใบหน้าของคนรู้จักนั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 31: เบาะแสแรก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 31: เบาะแสแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ‘ความหลายหลาย’ คือสิ่งที่เป็นสุนทรียศาสตร์… เพราะแตกต่างจึงได้มีความงดงาม เป็นเรื่องที่ใครก็ทราบกันดี

          สิ่งนั้นหมายรวมแทบทุกสิ่ง ตั้งแต่รูปร่างในธรรมชาติตราบจนถึงนามธรรมอย่างลักษณะนิสัยของผู้คน

          รวมถึงความปรารถนาเองก็เช่นกัน

 

          และสำหรับที่แห่งนี้… ที่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร สถานที่รกร้างอันเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องไร้ผู้คนและอยู่ในสภาพพร้อมที่จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ

          ที่แห่งนี้เอง ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างความความหลากหลายดังที่ได้กล่าว

 

เคร๊ง!

          เสียงโลหะกระทบกันจนเสียงดังลั่นแสบแก้วหู ดังมาจากบริเวณถนนที่ซึ่งแตกระแหงตามระยะเวลาที่ถูกทิ้งร้าง อันมีที่มาจากอาวุธมีคมกระแทกเข้ากับเกราะเบา ของชายสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ด้วยการที่มีปลายทางแห่งความปรารถนาแตกต่างกัน

 

“ฮึ่ย! แกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ!”

          ชายหนุ่มสวมหน้ากากลิงเผือกฝ่ายที่ถืออาวุธมีคมซึ่งเป็นหอกยาวสองเล่มในมือบ่นอย่างหงุดหงิดและร้อนรน

          แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นริว หนึ่งในอัศวินของอัลเฟรดผู้มีความสัมพันธ์ในฐานะผู้ให้ความร่วมมือในการล้างแค้นของชินนั่นเอง

 

“เพราะการโจมตีของแกมันอ่อนหัดต่างหาก” กลับกันแล้ว อีกฝ่ายดูเยือกเย็นกว่ามาก เพราะนอกจากจะไม่ลดท่าร่างเตรียมรับมือคู่ต่อสู้ได้ทุกเมื่อลงแล้ว เขาก็ยังควบคุมน้ำเสียงของตัวเองให้คงที่ได้เสมอ

          ชายผู้ซึ่งสวมหน้ากากมังกรจีนวาดด้วยพู่กัน ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ราวมนุษย์ยักษ์ ทั้งยังมีเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานประดับตามตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าดรากูน… คือหลง ขุนศึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอัศวิน 12 นักษัตรของราชาจากจีนนั่นเอง

 

“ดูถูกกันสุด ๆ เลยนี่หว่า” คำพูดดูแคลนอย่างจงใจของหลงทำให้น้ำเสียงของริวทุ่มต่ำลง

          แต่ไม่ใช่ในเชิงที่ว่าเขาอารมณ์เย็นลง หากแต่เป็นกำลังโกรธจนเหมือนกับสัตว์ป่าขู่รอเข้าขย้ำเหยื่อมากกว่า

 

          และไม่ทันจะขาดคำ… ริวถีบพื้นพุ่งเข้าใส่หลงด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากอัตราการดูดซับจิตที่แปรผันตรงกับความโกรธที่กำลังลุกโชน พร้อมกับวาดหอกสองเล่มในมือเป็นวงกลม หมุนวนรอบตัวครึ่งรอบก่อนใช้แรงเหวี่ยงฟาดคมหอกสองเล่มใส่หลงในแนวทแยงทั้งสองเล่ม โดยจุดที่เล็งไว้ก็คือลำคอกับสีข้าง

          แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะพ่ายให้กับการโจมตีไร้ลูกเล่น กลับกันทางหลงต่างหากที่เป็นฝ่ายเอาคืนได้อย่างจังหนับ

          เขาอาศัยช่องว่างระหว่างหอกสองเล่ม กระโดดหลบทะลุผ่านช่องว่างนั้นไปในขณะเดียวกับที่หมุนตัวสร้างแรงเหวี่ยงให้ตัวเอง ก่อนจะใช้ช่องว่างที่ริวเสียจังหวะจากการเหวี่ยงหอกผ่านไป เตะเข้าไปที่สีข้างซ้ายของริวอย่างรุนแรงจนเขาถึงกับกระอักเลือด แล้วลอยลิ่วไปชนเข้ากับรั้วปูนจนทะลุแล้วสุดท้ายก็ลงไปนอนหงายอยู่ในสวนของร้านขายของชำที่ถูกทิ้งร้าง

 

“แค่ก! …เวรเอ้ย”

          ริวทำได้แค่ขากเลือดที่ยังติดค้างในปากออกมาให้หมดเพื่อเตรียมรับการจู่โจมระลอกถัดไปของอัศวินผู้มีความแข็งแกร่งดุจดังมังกรสมฉายาที่ได้รับ

          อีกฝ่ายเองก็ย่ำเท้าเข้ามาหาอย่างไร้ความเกรงกลัว นอกจากความแข็งแกร่งที่เปี่ยมล้นอันเป็นข้อได้เปรียบของเผ่าพันธุ์ ยังมีความปราดเปรียวที่ติดตัวสมเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธถึงขนาดที่สามารถกับใช้มือเปล่าต่อสู้กับอาวุธมีคมได้สบายนั่นแล

 

“เป็นคู่ซ้อมให้ยังไม่ได้เลยนะ” หลงพูดจาดูแคลนริว… อีกครั้ง

“ชิ!”

          แน่นอนว่านั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับริวมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ดี… สำหรับริวแล้ว นี่มันอาจจะแค่เริ่มต้นก็ได้

          และไม่ว่าจะด้วยเหตุผล แต่หลงกลับเลื่อนมือของตัวเองขึ้น ทำให้ริวตั้งสติกลับมาเตรียมตั้งรับอีกครั้ง

          หากแต่ว่าหลงไม่ได้คิดที่จะโจมตี… แต่เขาตั้งใจจะถอดหน้ากากของตัวเองออกต่างหาก

 

“แต่สีหน้าน่าสมเพชแบบนั้น ก็เหมาะกับคนทรยศแบบแกอยู่แล้วนี่จริงไหม”

“!!!?”

          สำหรับคนที่ก้าวร้าวเหมือนกับสัตว์ป่าอย่างริว คงมีไม่กี่ครั้งที่เกิดเหตุการณ์จนทำให้เขาตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง และนี่คือหนึ่งในนั้น

          สาเหตุที่ทำให้เขาตกตะลึงเบิกตาโพลงคือใบหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากของหลง และพริบตาที่ได้สบกับสายตาที่เคยสบมาก่อนทำให้เขาไหล่กระตุก ยิ่งชี้ชัดไปอีกว่าริวรู้จักชายคนนี้

          …และในทางกลับกัน ชายคนนี้เองย่อมรู้จักริวเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เผยใบหน้าจริงออกมาให้เห็นง่าย ๆ โดยไม่คิดอะไร

 

“เฮียฮุ่ยซิ่ว (惠秀)” ริวรำพึงชื่อของชายที่ยืนมองตนจากจุดที่สูงกว่าแบบนั้นในลำคอด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ ทั้งถวิลหา เคารพ ยำเกรง

          …และหวาดกลัว

 

          การโจมตีระลอกที่สองเองก็เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

          หนนี้หลง… ฮุ่ยซิ่วใช้เทคนิค ‘ผสานจิต’ เข้ากับหมัดของตัวเอง ออร่าสีแดงเลือดนกพวยพุ่งห่อหุ้มมือของเขาประหนึ่งกำลังถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง ซึ่งถือเป็นเทคนิคสูงกว่าการผสานจิตเข้ากับอาวุธเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาวุธส่วนใหญ่มักทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือมากกว่านั้นไม่เกินสิบอย่าง การคำนวณปริมาณให้เหมาะสมไม่มากเกินจนทำลายตัวอาวุธจึงทำได้ง่ายกว่า

          ในทางกลับกัน ร่างกายของมนุษย์มีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งยังมีรายละเอียดซับซ้อนจนยากจะควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่แม้แต่บริเวณเล็ก ๆ อย่างฝ่ามือก็ตาม

 

“ลิ้มรสความอ่อนแอของตัวเองซะ!” ฮุ่ยซิ่วตะโกนลั่นราวราชสีห์แผดเสียงคำราม

          เป็นพริบตาเดียวกับที่เขาง้างหมัดอันถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงซัดเข้าใส่ริวที่ยังไม่ทันจะได้ยืนขึ้นด้วยซ้ำ

พลังกายพื้นฐานที่สูงอยู่แล้วของเผ่าดรากูนถูกทวีขึ้นด้วยเทคนิคผสานจิตและยังทบทวีอีกด้วยตราอัศวินที่เขาถือครองอยู่ อานุภาพของมันสูงจนถึงขนาดกวาดเอาพื้นผิวกระเบื้องและคว้านหน้าดินตรงจุดปะทะไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว

 

“อั๊ก!”

          ต่อหน้าหมัดอันทรงพลัง ริวกลายเป็นกระสอบทรายที่ถูกเหวี่ยงไปไกลอีกครั้ง หนนี้ร่างของเขาทะลุเข้าไปในตัวร้านค้าเลยทีเดียว แม้แต่จะยันร่างขึ้นมาให้ลุกขึ้นยืนยังทำไม่ได้ เขาถึงยังนอนหงายหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่อย่างงั้น

          แม้อันที่จริง จะมีสาเหตุร่วมที่ทำให้ริวไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อยู่อีกอย่างนึงก็ตาม

           

เวรเอ้ย… ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นอาเฮียด้วยวะ!

          ริวที่ค่อย ๆ ยันร่างตัวเองขึ้นได้แต่รำพึงแบบนั้น ความคิดสับสนเริ่มเข้าเกาะกุม แต่ริวก็ยังไม่ละหน้าที่แม้ในมือจะเหลือหอกเพียงเล่มเดียว

 

“…ท่าทางดูไม่จืดเลยนะ สุดท้ายแกก็ยังไม่โตสักที”

          หลังเดินตามเข้ามาเก็บงาน ฮุ่ยซิ่วเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อดที่จะบ่นไม่ได้ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือริวที่ยังคงชี้ปลายหอกมายังตนทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าฝีมือต่างกันลิบลับ

          แต่ที่ฮุ่ยซิ่วรู้สึกอดมิได้จนต้องพูดแบบนั้นออกมา อาจเป็นเพราะเขาเคยเห็นท่าทางแบบนั้นของริวมาก่อนต่างหาก

          เพราะภาพของริวที่กำลังหันปลายหอกมาทางเขาในตอนนี้ มันซ้อนทับกับภาพในอดีตของตัวริวเองครั้งเมื่อยังวัยเยาว์

          …ครั้งเมื่อทั้งสองคน ยังอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน

 

“เฮียนั่นแหล่ะ… เอาแต่พูดจาใหญ่โตอยู่ได้! ไอ้ตรงที่ชอบวางก้ามเพราะตัวเองเป็นพี่ใหญ่ที่สุดน่ะ ฉันหงุดหงิดที่สุดเลยโว้ย!”

          แม้ปลายคมจะสั่นระรัว แต่ใจสู้ยังไม่เลือนหาย

          ริวถีบพื้นพุ่งเข้าใส่ฮุ่ยซิ่วอีกหน วาดคมหอกไปมาราวกับสายลำธารไหล ความคล่องแคล่วและเฉียบคมเพิ่มสูงขึ้นจากครั้งที่ใช้สองเล่มพร้อมกัน

          การโจมตีใช่ว่าจะไม่เข้าเป้า แต่เพราะร่างกายของฮุ่ยซิ่วมีเกล็ดแข็ง ทำให้ถึงถูกโจมตีก็ไม่สร้างบาดแผลใด ๆ มากนัก

 

          แต่แน่นอนว่าฮุ่ยซิ่วก็ไม่ได้ปล่อยให้ริวโจมตีฝ่ายเดียว เขาเองก็เริ่มตั้งท่าร่างแล้วขยับร่นระยะเพื่อไม่ให้คมหอกถึงตัว แต่ทางริวเองก็มีความคล่องตัวเป็นอาวุธ เขาใช้ส่วนด้ามและตัวหอกในการเบี่ยงการโจมตีของฮุ่ยซิ่วออกไปได้ 3 หน แล้วพอหนที่ 4 กำลังจะมาถึง ริวก็รีบถีบพื้นเว้นระยะหนีในทันทีเพราะรู้ว่าครั้งนี้จะป้องกันไม่สำเร็จ

          ทำให้ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอีกครั้งแม้ทางริวจะมีหน้ากากคั่นอยู่ก็ตาม

 

“…สุดท้ายก็ต้องหันมาใช้กำพืดตัวเองอยู่ดีสินะ” ฮุ่ยซิ่วเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับเลื่อนสายตาไปมองหอกในมือของริว

          และไม่ว่าในน้ำเสียงนั่นจะแฝงอารมณ์ใดหรือเจตนาใดอยู่ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ริวรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธอีกแล้ว

          พูดให้ชี้ชัดคือ… มันทำให้เขารู้สึกผิดอยู่มากกว่า

 

“ทั้งที่ทิ้งบ้านของตัวเองไป แต่กลับใช้วิชาจากที่ที่ตัวเองหนีมาในการเอาตัวรอด” ฮุ่ยซิ่วกล่าวจบไม่ทันไรก็เริ่มเดินเข้าหาริวอย่างไร้ความเกรงกลัวอีกครั้ง

“ไม่รู้สึกอับอายบ้างรึยังไง เฟยหลง (飛龍)”

          แม้ริวจะกระชับหอกในมือ ท่าทีของฮุ่ยซิ่วที่เดินเข้าหาริวอย่างใจเย็นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้สักมิลลิเมตรเดียว ในทางกลับกัน ท่าทางและคำพูดของเขาทำให้ริวต้องเป็นฝ่ายชักเท้าร่นไปข้างหลังเสียเอง

          แต่นั่นก็แค่ก้าวแรกเท่านั้น… ริวได้สติในระหว่างที่ก้าวที่สองกำลังจะยกขึ้นเหนือพื้นเพื่อถอยหนี  แต่เขาก็ยับยั้งความกลัวในใจของตัวเองไว้ได้ก่อน

 

          ท่าทางของริวที่เป็นแบบนั้นทำให้ฮุ่ยซิ่วหรี่ตามองด้วยบรรยากาศและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

          และไม่ว่าจะด้วยอารมณ์แบบใดที่ฮุ่ยซิ่วกำลังมีอยู่ เขาก็ยังไม่สนใจท่าทีของริวเหมือนเดิม

 

“เข้ามาสิ จะกี่ครั้งก็จะทำหู้ซึ้ง ว่าคนที่เอาแต่หนีอย่างแกน่ะ เอาชนะฉันไม่ได้หรอก”

          ฮุ่ยซิ่วตั้งท่าร่างวาดขาและแขนเป็นวงกลมอีกครั้ง พร้อมทั้งผสานจิตใส่หมัดทั้งสองของตน ด้วยปริมาณออร่าที่สูงกว่าหนก่อนเกือบเท่าตัว กระนั้นก็ยังสัมผัสความรู้สึกที่ว่าเจ้าตัวเอาจริงไม่ได้เลย

 

          แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าริวจะต้อง ‘หนี’

          เขากล้ำกลืนฝืนใจ กัดฟันแน่น เค้นสติทั้งหมดให้อยู่ที่การต่อสู้มากกว่าความรู้สึกหวาดกลัวของตัวเอง 

 

“อึก… โอ้ว!!!!!”

ก่อนจะตะโกนร้องลั่น ถีบพื้นและวาดหอกในมือมุ่งหมายโจมตีฮุ่ยซิ่วผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง

 

          และแม้ว่าตัวริวจะกำราบความหวาดกลัวไปได้ แต่ย่อมไม่ใช่ทั้งหมดอย่างแน่นอน ตัวเขายังตคงมีความรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกผิดอยู่เต็มเปี่ยม

          ริวยังคงกังวลและร้อนรนอย่างรู้สึกผิด… ถึงขั้นลืมคิดไปเสียสนิทว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ตัวจริงของตัวเองทั้งที่ยังใส่หน้ากากอยู่

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในขณะเดียวกัน, ณ จุดที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร

          ระหว่างที่เกิดศึกระหว่างอัศวินของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าต้องมีกำลังเสริมคอยดูท่าทีอยู่ไกล ๆ เช่นกัน รวมถึงยังรับหน้าที่คอยสอดส่องศัตรูที่อาจมาเสริมทัพเพิ่ม หรือทำให้พลเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องเปลี่ยนเส้นทางไปทางอื่นเพื่อให้การต่อสู้หลักของศึกนี้เป็นไปอย่างราบรื่น นั่นเป็นเรื่องพื้นฐาน

          และสำหรับหน้าที่ดังกล่าว ได้ถูกมอบหมายให้แก่หญิงสาวสวมหน้ากากกบสีเขียว ไดอา

          และอีกคนคือเด็กสาวร่างเล็กผู้สวมหน้ากากแมวน้ำ มิว

          ทั้งสองคนคืออัศวินของอัลเฟรด หรือก็คือเป็นฝ่ายเดียวกับริวที่กำลังทำศึกสอต่อสองกับฮุ่ยซิ่วอยู่นั่นเอง

 

          แม้จะหาจุดที่สามารถสอดส่องได้ทั่วถึงอย่างหอถังสูงสำหรับการประปา (ซึ่งถูกทิ้งร้างแบบเดียวกับละแวกใกล้เคียง) แต่บรรยากาศก็เงียบสงบเสียจนชวนให้รู้สึกหาวง่วง

 

“ไม่มีอะไรผิดปกติเลยนะเนี่ย” ไดอาบ่นอิดออดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง พร้อมกับเอาหน้าแนบไปกับโครงเหล็ก ในขณะที่นั่งอยู่บนราวแกว่งเท้าไปมาอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อความสูงที่มากกว่า 30 เมตร

“นั่นสิคะ… อีกฝ่ายเองก็ไม่มีท่าทีจะนำกำลังเสริมไปรุมหมอนั่นด้วย”

          เช่นเดียวกับทางมิว เธอเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรทำกระนั้นเธอก็ไม่ได้นั่งพักแต่กำลังเดินไปรอบ ๆ ราวเหล็ก 

แต่ครั้นจะให้ไปร่วมศึกกับริวก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเสียเปล่า ๆ เพราะเธอไม่ใช่สายต่อสู้

          และที่สำคัญ… อีกฝ่ายยังเป็นถึงขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดของศัตรูอีก เรื่องที่ควรทำจึงเป็นการรักษาตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองไว้ให้มั่นมากกว่าจะไปกังวลเรื่องของอีกฝ่าย

          

          เพราะถึงจะเห็นเป็นอย่างนี้ แต่ริวก็เป็นถึงขุนพลเอกของอัลเฟรดเช่นเดียวกันนั่นเอง

          แม้พลังและความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะไม่อาจเทียบชั้นได้กับแองกริคราวน์หรือชินยะก็ตาม ซึ่งเดิมทีหากนำชินยะเข้ามาเปรียบ อัศวินจากที่ไหนก็คงเทียบชั้นไม่ได้อยู่ดี

          ด้วยเหตุนั้น หากไม่นับตัวละครติดบั๊คอย่างชินและราชาอย่างอัลเฟรด ริวเป็นขุนพลที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“แต่จะว่าไป อีกฝ่ายมีแผนอะไรก็ไม่รู้นะคะ”

“หมายความว่ายังไงเหรอ?” ไดอาเอียงคอสงสัยให้กับคำถามของมิว พลางเอียงคอมองในจังหวะที่เจ้าตัวเดินวนครบรอบมาถึงตัว

“ก็แหม วันแรกเล่นเปิดตัวซะยิ่งใหญ่ แต่วันต่อมากลับมาสู้กันในที่ห่างไกลแบบนี้นี่คะ”

          มิวพูดแบบนั้นพลางถอนหายใจ ทั้งด้วยความรู้สักกังวลและโล่งใจ เพราะเธอเองก็ใช่ว่าจะอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนขึ้นมาอีกแต่อย่างใด

          แต่ก็ไม่อาจละทิ้งความสงสัยถึงข้อแตกต่างระหว่างศึกเมื่อคืนกับศึกนี้ไปได้อยู่ดี

 

“แต่ผลลัพธ์ของศึกเมื่อคืนก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบไปกว่ากันนี่นา” ไดอาเอ่ยแบบนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความตื่นเต้นใด ๆ อาจเพราะเข้าใจจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้วก็ได้

          เพราะแบบนั้นถึงได้ทำให้มิวเริ่มคิดตาม แล้วเจ้าตัวก็ทุบมือข้างหนึ่งใส่ฝ่ามือข้างหนึ่งประหนึ่งไขปริศนาออกแล้ว

 

“อย่างงี้นี่เอง… ที่ทำแบบนั้นไปเพื่อยืนยันกำลังรบทั้งหมดของเรางั้นสินะคะ”

“ปิ๊งป่อง! เก่งมากเลย ๆ” ไดอาเอ่ยชมมิวที่ตอบคำถามได้ตรงใจตนก่อนที่จะเฉลย

          รอยยิ้มใต้หน้ากากของมิวที่เผยออกมาหลังจากถูกเสียงหวาน ๆ ของไดอาเอ่ยชมก็เป็นอีกอย่างที่ยืนยันว่ามิวชื่นชอบและชื่นชมไดอาในฐานะพี่สาวที่ใจดีคนนึง

 

“แต่งั้นก็แสดงว่า… ตอนนี้ก็กำลังดูเชิงเราอยู่อย่างงั้นเหรอคะ” มิวกล่าวถามเสริม ไดอาได้ยินก็พยักหน้ารับความคิดเห็นนั้นทันที

“นั่นสินะ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

          ไดอาว่าจบก็เอาแก้มกลับไปแนบกับราวเหล็กอีกครั้ง ท่าทางของเธอเหนื่อยเหมือนกับพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อยังไงอย่างงั้น

 

ก็ถ้านั่น… ไม่ใช่สิ่งที่พวกนั้นต้องการให้เราเชื่อละก็

มันก็คงจะดีล่ะนะ

          ไดอาแอบคิดแบบนั้นขึ้นมาชั่วขณะ แต่เพราะไร้ซึ่งหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุนข้อสันนิษฐานนั้น

          ทั้งเพื่อความสบายใจของมิวเองก็ด้วยเธอถึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะอย่างไรก็ตาม หากเรื่องที่เธอคิดมันมีความเป็นไปได้สูงในทางปฏิบัติ 

คนที่จะจัดการเรื่องนั้นได้ก่อนเธอก็คือราชาจอมวางแผนของเธออย่างอัลเฟรด

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในเวลาไล่เลี่ยกัน, ณ ใจกลางเมืองหลวงเขต 66, กรุงเ*พมหานคร

          เวลาที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาในปัจจุบันนั้นคือสี่ทุ่มครึ่งโดยประมาณ

          หากคำนึงถึงแค่ช่วงเวลา… นี่คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากบนท้องถนนจะไร้ยานพาหนะหรือบนทางเท้าจะไร้ผู้คนเดินย่าง

          ก็จริงที่ยังไม่ดึกถึงขนาดที่ไร้ผู้คนเสียทีเดียว แต่ก็พูดได้ว่าบางตาจนแทบไม่มีใคร แม้แต่ในใจกลางเมืองกรุงก็นับได้ว่าเป็นบรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวสุด ๆ จนแทบไม่มีใครกล้าออกมาหากไม่มีธุระจำเป็น

          และแน่นอนว่าสาเหตุหลักที่ไม่มีใครกล้าออกมาก็คือ ความปลอดภัย

 

          เพราะอย่างที่รู้กัน ว่าเมื่อคืนเพิ่งจะเกิดเหตุจลาจลกลางเมืองหลวงอย่างอุกอาจจนสสร้างความเสียหายให้ตึกรามบ้านช่องเป็นวงกว้าง เพราะเรื่องนั้นต่อให้คนที่มีธุระจริง ๆ ก็อาจไม่กล้าออกมาก็เป็นได้ด้วยซ้ำ

          ทว่านั่นก็เป็นแค่หลักคิดของ ‘คนทั่วไป’ เท่านั้น

 

          อีกด้านของแสงสว่างยามวิกาลบนท้องถนน ย่อมมีความมืดมิดในจุดที่แสงสว่างส่องไม่ถึง

          บนตึกสูงระฟ้าไร้แสงไฟจากหลอดนีออน คือแหล่งซ่อนตัวในเงามืดชั้นดีของผู้ที่ปรารถนาการปลีกวิเวกจากสังคมแสงสว่าง ให้บรรยากาศน่าฉงนและน่าวังเวง

          ที่ตรงนั้นมีชายหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนอยู่บนยอด อาศัยเงามืดบดบังไม่ให้เป็นที่สังเกต ในขณะที่มองเวลาจากโฮโลวอชตาไม่กะพริบ

 

“มาสเตอร์ ถึงเวลาแล้วค่ะ” 

พริบตาที่ตัวเลขเปลี่ยนจาก 29 เป็น 30 หญิงสาวผู้สวมหน้ากากสุนัขพันธุ์โกลเด้นด๊อก… โอลิเวียในร่างของโกลเด้นด๊อก เอ่ยต่อมาสเตอร์ของเธอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

 

“อืม” มาสเตอร์… ชินในร่างของแองกริคราวน์พยักหน้ารับคำของโอลิเวีย

“ไม่ลืมของแน่นะ?” ชินว่าแบบนั้น แต่ก็แค่ถามย้ำถึงคามพร้อมของโอลิเวียแบบอ้อม ๆ เท่านั้น

          เพราะ ‘ของ’ ที่เขาหมายถึงนั้น ก็เห็น ๆ อยู่ว่าอยู่ในมือของโอลิเวีย

 

“แน่นอนค่ะว่าไม่ลืมแน่”

          โอลิเวียว่าด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแลจริงจังดุดัน ในมือของเธอมีกระเป๋าโลหะใบใหญ่บรรจุ ‘ของ’ มาเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ใช้แรงกายอะไรมากในการแบก สำหรับโอลิเวียที่มีสายเลือดของเผ่าสัตว์ ซึ่งมีกำลังกายสูงกว่าคนปกติแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องธรรมดา

          แม้อันที่จริงก่อนหน้านี้ ชินจะเสนอตัวว่าอยากเป็นคนหิ้วกระเป๋าออกมาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายโอลิเวียก็รับไว้แค่น้ำใจสุภาพบุรุษ

 

          เพราะยังไงก็ตาม… หากให้ผู้ติดตามเป็นคนถือของ ยังไงมันก็เพิ่มอำนาจเจรจาให้กับผู้นำอย่างชินมากกว่าอยู่แล้ว

 

“งั้นไปกันเถอะ”

“ค่ะ!”

          หลังตรวจสอบสภาพครั้งสุดท้าย ทั้งตัวเอง คู่หูและจุดลงจอด ทั้งสองคนก็ถีบพื้นกระโดดข้ามตึกรามสูงเสียดฟ้าไปยังจุดหมายเป็นทางลัดเหมือนกับที่ผ่านมา

 

          ใช้เวลาไม่นานนักสถานที่เป้าหมายก็ปรากฏแก่สายตา

          โรงแรมขนาดใหญ่อันถูกตั้งไว้ใจกลางกรุงเมือง แม้ในเวลานี้แสงไฟจากทางเข้าล็อบบี้ที่ชั้นหนึ่งก็ยังถูกเปิดอยู่ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารับลูกค้าตลอดเวลา

          แน่นอน… ว่าลูกค้าที่ว่าหมายรวมถึงคนประเภทอย่างชินกับโอลิเวียด้วย

 

          หลังยืนยันสภาพแวดล้อม รวมถึงปัจจัยเสี่ยงซึ่งเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชินกับโอลิเวียก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะกระโดดลงไปยังตรอกซอยที่มืดมิดและเปล่าเปลี่ยว เดินลัดเลาะไปตามถนนที่กำหนดเส้นทางไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งยังมีระบบนำทางอัจฉริยะใต้หน้ากากช่วยอีกจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลงทาง

          ใช้เวลาไม่นานนักก็มาจนถึงทางเข้าด้านหลังของตัวโรงแรมตึกเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่ความแตกต่างระหว่างด้านหน้ากับด้านหลังที่เห็นได้ชัดเลยก็คือจำนวนเวรยามและความสว่างที่ไม่มีเลยสักนิด

          แต่กลับกัน ทางเข้าด้านหลังมีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีสูงกว่าด้านหน้าหลายเท่า เพราะลูกค้าจากทางฝั่งนี้เป็นประเภทที่ประมาทไม่ได้

 

          ชินกับโอลิเวียเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่พบคือโถงทางเดินที่แทบจะมืดสนิท

          มีเพียงแสงลอดออกมาเพียงเล็กน้อยจากเคาน์เตอร์กระจกที่อยู่ด้านในสุดของทางเดิน ก่อนหน้าที่จะถึงลิฟต์โดยสารนั่นเอง

 

“มีอะไรให้ช่วยไหม?” ในพริบตาที่ก้าวเท้ามาอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์กระจก ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครายาวเฟิ้มก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามชินออกมาทันทีอย่างชำนาญ

          สายตาของเขาแม้จะไม่เป็นมิตรสักเท่าใดนัก แต่สำหรับสายอาชีพที่เขาทำ มันก็คงเหมาะสมดี

 

“อยากจะไปชั้นใต้ดินน่ะ” ชินว่าแบบนั้น น้ำเสียงไร้อารมณ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทางชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์เริ่มหรี่ตามองชิน

“ใต้ดินน่ะมันมีแต่หนูท่อนะ” ชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์เอ่ย

“แล้วก็เป็นหนูท่อที่ทำเงินได้” ชินตอบกลับทันควัน

          พริบตานั้นชายผู้เฝ้าเคาน์เตอร์ก็คลายยิ้มตัวเองออกอย่างสบายใจ ก่อนจะเดินไปหยิบหูโทรศัพท์คุยอะไรบางอย่างกับปลายทาง

          จากนั้นก็เดินมาหน้าเคาน์เตอร์แล้วกดปุ่มเรียกลิฟต์ให้ ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกให้ชินกับโอลิเวียเดินเข้าไป

 

“ยินดีต้อนรับ แองกริคราวน์”

          ชายเฝ้าเคาน์เตอร์ทิ้งท้ายคำพูดไว้แบบนั้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง

          เหลือเพียงแค่ชินกับโอลิเวียสองคนในตัวลิฟต์ที่กำลังย้ายลงไปชั้นใต้ดิน

 

“รหัสแบบนั้นดิฉันว่ามันเดาง่ายนะคะ”

“เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรานี่นา”

          โอลิเวียออกความเห็นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทางชินก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมันไม่ใช่เรื่องของพวกเราอย่างที่เอ่ย

          

          ในความเป็นจริง… อาจเป็นไปได้ที่คนจะเดาข้อความถัดไปของรหัสลับออก

          แต่ในทางปฏิบัติจริง คงมีไม่กี่คนที่เห็นสถานการณ์ดังกล่าวแล้วยังใจเย็นพอที่จะตอบกลับไปแบบนั้น การใช้คำถามแบบนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะกรองคนได้ในระดับนึง

          รวมถึงเรื่องที่รหัสผ่านง่ายต่อการคาดเดา ก็คงทำเพื่อดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ที่ไม่ได้ถูกทาบทามนั่นแหล่ะ แม้ว่าคนจำพวกนั้นจะไม่ค่อยมีชีวิตอยู่ได้นานพอจะทำกำไรให้โรงแรมแห่งนี้ก็ตาม

 

ติ๊ง!

          เสียงแหลมดังจังหวะเดี่ยว เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมาถึงที่หมาย

          หากคำนวณจากเวลาและความเร็ว ที่นี่คงลึกไปได้ราว ๆ 4-5 เมตรจากพื้นดินเท่านั้น

          อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นความลึกในระดับที่พอจะลอดพ้นสายตาของประชาชนทั่วไป และสามารถใช้เงินทำให้เจ้าหน้าที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ในระดับนึง

 

“ขึงขังไว้นะคะมาสเตอร์” โอลิเวียพูดเตือน แต่นั่นคงเหมือนกับคำแหย่เล่นของเจ้าตัวนั่นแหล่ะ

“คิดว่าพูดอยู่กับใครกัน” ชินว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสสสียงเย็นสงบไม่แปรเปลี่ยน

          ในจังหวะที่ประตูลิฟต์เปิดออก แสงสว่างที่จ้ากว่าในตัวลิฟต์ก็ลอดเข้ามาเสียจนทำเอาแสบตา ต้องขอบคุณหน้ากากที่สวมอยู่ทำให้ป้องกันเรื่องนั้นได้อย่างแนบเนียน

 

          ใต้ดินที่ซึ่งควรจะเต็มไปด้วยท่อน้ำหรือหนูท่อสกปรก กลับเต็มไปด้วยแสงสีเสียงเต็มไปหมดราวกับผับบาร์ ซึ่งหากมองในแง่นั้น มันก็อาจเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนที่ไร้ที่ยืนในสังคมเบื้องหน้าก็เป็นได้

          เห็นได้ชัดจากบรรยากาศที่คนเหล่านั้นแผ่ออกมา ทั้งสายตาไม่เป็นมิตรและท่าทางไร้ความยำเกรงต่อสิ่งใดไม่แม้แต่กฎหมายบ้านเมือง ชี้ชัดให้เห็นเลยว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะอยู่ ‘ใต้ดิน’

          โดยหากไม่นับบริกรชายหญิงที่แต่งตัวสมเป็นพนักงานโรงแรม ก็นับได้ว่าเป็นผับบาร์ที่ปกติ

          แน่นอนว่าการจะมองให้เป็นแบบนั้น ต้องเมินใบค่าหัวที่ติดอยู่บนผนังของห้องโถงนี้เสียก่อน

          และบาร์เหล้าแบบเบ็ดเสร็จที่รวบรวมบริการขึ้นเงินจากการล่าค่าหัวแบบนี้แหล่ะ คือตัวอย่างหนึ่งของสังคมโลกมืดซึ่งถูกบริหารโดยผู้ที่บงการด้านมืดของโลกอย่าง ‘The Singularity’

 

          อย่างไรเสีย… แสงสว่างอันขัดแย้งกับบรรยากาศมืดหม่นที่ถาโถมเข้าใส่ คงเป็นเรื่องเล็กน้อยหากเทียบการสายตาทุกคู่ที่จับจ้องเข้ามาทางชินและโอลิเวียในพริบตาที่ทั้งสองคนก้าวออกมาจากตัวลิฟต์

          ในบรรดาคนจำนวนมากนั้น มีอยู่คนนึงที่เดินเข้ามาทางพวกชิน ด้วยท่าทางวางก้าม ซึ่งก็สมกับร่างกายกำยำใหญ่โตของตัวเองดี

 

“โห… ไอ้ชุดแบบนั้น นี่พวกเอ็งคิดจะเล่นเลียนแบบแองกริคราวน์กับโกลเด้นด็อกอยู่รึยังไง?”

          ชายร่างกำยำว่ามาแบบนั้นในขณะที่ยืนเผชิญหน้ากับชิน ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันทำให้เขามองลงมายังชิน

          แต่กลับกัน ชินไม่ได้แหงนขึ้นไปมองเขาชายที่เคลือบแคลงตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“แกกำลังขวางทางอยู่ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไปซะ” ชินเตือนตามสมควร เพราะไม่ว่าจะยังไง ถ้าเรื่องจบโดยที่ไม่มีเรื่องกันมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

          แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรามือไปโดยง่าย ชายร่างกำยำสะบัดผ้าคลุมเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง หมัดทั้งสองถูกคาดด้วยเชือกดูน่ายำเกรง

 

“ข้าคือนักล่าฆ่าหัวอันดับ 1 ในไทย ‘มือสังหารหักกระดูก’!!! ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แต่ถ้าคิดจะใช้ชื่อคนดังเข้ามาในถิ่นของข้า————”

          พูดยังไม่ทันได้จบดี… มือสังหารหักกระดูกที่ว่าก็ลอยละลิ่วข้ามหัวคนไปหลายคนจนตกลงใส่โต๊ะจนหักครึ่งล้มโค่นลงไป สิ่งที่เกิดขึ้นมันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น

          จากที่ไปท้าทายหน้าใหม่ กลับกลายเป็นนอนตาเหลือกหมดสติบนกองโต๊ะที่พังหักไปครึ่งนึง… สภาพแบบนั้นของเขาทำให้ทุกคนในร้านเบิกตาโพลงกันเป็นจังหวะเดียว

          รวมถึงความกลัวที่ปะทุขึ้นและเหงื่ออันเป็นตัวบ่งชี้ถึงความกังวลก็ผุดขึ้นมาพร้อมกัน

 

ตัวจริงเหรอ!?

          ทุกคนในห้องโถงคิดแบบนั้นขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

          และไม่ว่าจะในแง่ร้ายหรือแง่ดี… การทะเลาะวิวาททำให้เรื่องใสนคราวนี้จบโดยที่ไม่มีใครตาย ชินจึงรู้สึกโล่งอกไปได้เปราะนึง เพราะหากไม่จำเป็นก็ไม่อยากสร้างความบาดหมางให้ใครเพิ่ม เพราะปัจจุบันตัวเขาเองก็ถูก The Singularity เพ่งเล็งอยู่แล้ว การสร้างเรื่องเพิ่มมีแต่จะทำให้เคลื่อนไหวได้ยากขึ้นเท่านั้น

 

“ขอโทษที่พังของนะคะ นี่เงินค่าชดเชยค่ะ” ในขณะที่สายตาขอทุกคนจับจ้องไปที่ชิน โอลิเวียก็เดินนำเงินปึกนึงไปยื่นให้บริกรที่อยู่ใกล้ ๆ ท่าทางของเธอที่เหมือนกับไม่ยี่หระกับเงินจำนวนมากในมือ ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงพลังอำนาจที่ชินกับเธอถือครองอยู่

“คะ ครับผม”

          จนตอนนี้ แม้แต่บริกรเองก็พลอยกลัวและกังวลตามไปด้วย

          อย่างไรก็ตาม… ชินเดินเข้าไปหามาสเตอร์ที่เป็นคนคอยชงเหล้าให้ลูกค้าได้โดยไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องอีก เรียกว่าเรื่องง่ายขึ้นเยอะ

 

“คนดังอย่างคุณมีธุระอะไรอย่างงั้นเหรอครับ?” มาสเตอร์เจ้าของบาร์ในชุดบาร์เทนเดอร์?ว่าแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ท่าทางและสีหน้าต่างกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ ดูเยือกเย็นสมกับเป็นผู้ที่คอยควบคุมความสงบของบาร์ในโลกใต้ดิน

“จะมาใช้บริการแทรคกิ้ง ตอนนี้ว่างไหม?”

“โห… แต่ก็กะอยู่แล้วล่ะนะครับ”

          กับคำตอบของชินทำให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์พึงพอใจเป็นอย่างมากในแง่ของความโล่งอกสบายใจ

 

          เพราะเอาเข้าจริง หากคิดตามปกติ นักฆ่าที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างชินจะเข้ามาในนี้เพื่อดื่มเหล้าหรือล่าค่าหัวในประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำแบบนี้ ยังไงก็แทบจะเป็นไปไม่ได้

          นอกเสียจากที่นี่จะมีคนที่สามารถให้บริการเฉพาะ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้

 

“เข้าไปด้านในจากประตูซ้ายครับ… ค่าเข้าห้องราคา 1 ล้านเครดิต ไม่รวมค่าบริการ”

“อา” ชินพยักหน้ารับ โอลิเวียหยิบปึกเงินให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์อีก 1 ปึกอย่างคล่องแคล่ว และไม่ได้คิดว่าเป็นราคาที่แพงแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ตกใจกับราคาด้วย

          เพราะไม่ว่าจะที่ไหน ราคานี้กับมาตรฐานการคิดราคาแบบนี้ เป็นสากลไม่ว่าจะอยู่ในเขตประเทศใดก็ตาม นั่นเป็นอีกสิ่งที่ทำให้มาสเตอร์เจ้าของบาร์เชื่อว่าชินเป็นแองกริคราวน์ตัวจริง เพราะชินมีท่าทางที่คุ้นชินกับบริการนี้

          แต่สำหรับนักล่าค่าหัวหรือนักฆ่าระดับล่างจนถึงกลางแล้ว นั่นไม่ใช่เงินจำนวนที่จะสามารถควักจ่ายได้โดยไม่คิด เป็นอีกครั้งที่เห็นได้ชัดเลยว่าชินกับโอลิเวียนั้นไม่ธรรมดา

 

          โดยไม่สนสายตาที่ทั้งชื่นชมและอิจฉา ยำเกรงและหวาดกลัวของพวกเขา… ชินกับโอลิเวียเดินเข้าไปในประตูซ้ายตามที่มาสเตอร์เจ้าของบาร์บอก

          และในนั้นก็มีคนที่รออยู่ก่อนแล้ว

 

“ได้ยินมาจากทั้งข้างบนและมาสเตอร์แล้ว… ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องจริงนะ”

          ชายคนที่รออยู่บนโซฟาหรูสีแดงทำจากหนังคือชายคนที่ชินกับโอลิเวียตั้งใจมาหาในคืนนี้

          เขาสวมเสื้อสีดำสนิท พร้อมแว่นดำอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดประจำองค์กรของเขา และที่ชัดเจนที่สุดคือตราสัญลักษณ์พร้อมอักษรประกอบอันเป็นชื่อองค์กรของเขาบนอกเสื้อ

          ‘Tracking Master’

 

“เรื่องนั้นไม่คิดจะปิดอยู่แล้ว” ชินว่าแบบนั้น เพราะอันที่จริง หากเขาต้องการจะปิดก็คงไม่เคลื่อนไหวตั้งแต่ครั้งที่เกิดการปล้นธนาคารโดยเฮเดอร์

          ในทางกลับกัน ชินจงใจเปิดเผยตัวตนของตัวเองในทุกครั้งที่เคลื่อนไหวด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเหตุผลก็คือเพื่อล่อให้ศัตรูตัวฉกาจที่เป็นเหตุผลให้แองกริคราวน์ถือกำเนิดขึ้นมาอย่าง ‘ตัวตลก’ ออกมา

          และในที่สุดมันก็ออกมาเผชิญหน้ากับชินเมื่อเย็นนี้ จึงเป็นเหตุผลให้ชินกับโอลิเวียมาอยู่ที่นี่

 

          ‘Tracking Master’ คือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสาขาย่อยอยู่ทั่วโลก เป็นองค์กรที่ให้บริการในการค้นหาตัวบุคคลหรือสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยขอบเขตและฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทุกโลกและทุกองค์กรบนโลกทั้งที่อยู่ใต้อาณัติและถูกแทรกซึม

          ด้วยเวลาไม่เกิน 10 นาที… ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะถูกระบุว่าตายแล้ว ซ่อนตัวอยู่ในหุบเหวลึกหรืออยู่ในซอกหลีบของขุมนรก ตัวคน ๆ นั้นหรือสิ่งของชิ้นนั้นจะถูกระบุในทันที

          ด้วยอัตราความสำเร็จ 99% แทบทุกงานไม่มีบิดพลิ้วและข้อผิดพลาด… นั่นถึงทำให้ ‘Tracking Master’ เป็นองค์กรระดับโลกที่นักฆ่า มือสังหาร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ URI ยังต้องมาใช้บริการ

 

“ไม่อ้อมค้อมเลยละกันนะแทรกมาส ฉันมีคนที่อยากจะให้ช่วยตามหาหน่อย” 

ชินว่าแบบนั้นในจังหวะที่หย่อนสะโพกลงโซฟาตัวตรงข้ามของแทรกมาส อันเป็นชื่อเรียกแทนตัวพนักงานของ Tracking Master

โอลิเวียเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน

 

“ขอเดานะครับ เรื่องตัวตลกล่ะสินะ” แทรกมาสเตอร์ว่าแบบนั้นก่อนที่ชินจะเอ่ยปากออกมา

          แล้วพอชินพยักหน้ารับเป็นคำตอบ แทรกมาสเตอร์ก็ถอนหายใจออกมาในทันที แม้จะน้อยนิดและแนบเนียนจนไม่ถึงกับเรียกว่าเสียมารยาทกับลูกค้าก็ตาม

 

          แต่จะว่าอะไรเขาได้… ในเมื่อนี่เป็นครั้งที่สองที่ชินมาจ้างเพื่อให้ช่วยตามหาบุคคลที่ชินเรียกว่า ‘ตัวตลก’ คนนี้

          และต้องมองย้อนกลับไปยังครั้งแรก… โดยปกติการทำงานของ Tracking Master นั้น ต้องการแค่เบาะแสเพียง 1 อย่างของคนหรือสิ่งของที่ต้องการจะตามหา และสำหรับตัวตลกที่ชินกำลังหาอยู่ แน่นอนว่าคือหน้ากากตัวตลกที่มันสวมกับรอยสักรูปมงกุฏที่มือขวา

          และนั่นก็คืองานแรกที่ Tracking Master ผู้ได้ชื่อว่าเป็นองค์กรที่ตามหาทุกสิ่งได้อย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ต้องด่างพล้อยกลายเป็น 99% แม้งานที่ไม่สำเร็จงานอื่นจะเป็นงานตามหาตัวจริงของแองกริคราวน์เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม

          และก็ใช่… แม้แต่ Tracking Master เองก็ยังไม่สามารถตามหาตัวตลกผู้สังหารครอบครัวของชินและแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขาได้เลยสักนิด นั่นเลยทำให้ชินต้องออกตามหาด้วยตัวเอง

          

          ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องแปลกที่ชินกลับมาใช้บริการ Tracking Master อีก ทั้งที่มีเบาะแสในมือเท่าเดิม

          นั่นคือความคิดของแทรกมาส ซึ่งอันที่จริงมันไม่ใช่

 

“หนนี้ฉันมีเบาะแสเพิ่มเติม เจ้านี่จะช่วยให้ตามหาได้แน่”

          ชินว่าแบบนั้น โอลิเวียรู้งานทันที เธอเปิดกระเป๋าที่พกติดตัวมาด้วยขึ้นมา

          ครึ่งนึงเป็นเงินสดเอาไว้เป็นค่าบริการของ Tracking Master

          ส่วนอีกครึ่งนึงเป็นถุงสุญญากาศซีลไว้อย่างดี และมีจำนวนทั้งสิ้น 2 ถุง โดยแต่ละถุงประกอบด้วยของแตกต่างกัน หากแต่มาจากแหล่งเดียวกัน กับอีกสิ่งที่เป็นบันทึกวิดิโอพกพา

          นั่นทำให้แทรกมาสเตอร์มองพวกมันด้วยสายตาจริงจังและเปลี่ยนไป

 

“คราบเหงื่อกับเส้นผม… แล้วก็วิดีโอบันทึกการเคลื่อนไหวของเป้าหมายงั้นเหรอ?” แทรกมาสพินิจพิเคราะห์ข้อมูลในมือ

“คราวนี้คงหาได้นะ”

          ชินว่าแบบนั้นอย่างมีความหวัง แต่ทางแทรกมาสกลับเหงื่อตกเพราะพวกเขาแอบคิดมาตลอดว่าเบาะแสหรือตัวตนที่ชินกำลังตามหาอาจเป็นแค่วิมานในอากาศ

          อย่างไรเสียเขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เขาลุกขึ้นและนำหลักฐานทั้งสามติดตัวไป แล้วไปนั่งจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์พกพาในห้องนั้น

 

          น่าทึ่งที่ใช้เวลาเพียงแค่ 2 นาทีเศษในการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการรวมเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อระบุตัวคน

          กระดาษสรุปถูกปริ้นออกมาในตอนนั้นและถูกส่งให้ชินกับโอลิเวียทันที

 

“ “!!!?” ”

          แล้วตัวจริงของ ‘ตัวตลก’ ที่จู่โจมชินเมื่อเย็นก็ถูกเปิดเผย

          และผลลัพธ์ก็ทำให้ทั้งชินและโอลิเวียเบิกตาโพลงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

 

          นั่นเพราะใบหน้าที่เห็นบนกระดาษสรุปผล… เป็นใบหน้าของคนรู้จักนั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+