ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 47

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 47 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย , ห้องของชิน

 

เฮ้อ…

          เสียงถอนหายใจบาง ๆ ออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวที่อยู่ในห้องของชิน

          ใบหน้าลำบากใจของสาวงามอย่างเธอต้องเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากใจแก่ชายหนุ่มทั้งหลาย แต่เธอคงไม่มีทางเผยมันให้ใครได้เห็นนอกเหนือไปจากชินเป็นแน่ นั่นเลยเป็นเรื่องเศร้าที่เธอต้องทำสีหน้าแบบนั้นอยู่คนเดียวในห้องของชายที่เธอถวิลหา

          แต่… บางทีการที่เขาไม่เห็นมันอาจจะดีกว่าก็ได้

 

          เพราะภาพของสาวงามในชุดบันนี่เกิร์ลสีดำพร้อมถุงน่องตาข่ายแลยั่วสวาท กำลังทอดถอนใจด้วยความกังวลว่าหนุ่มที่หมายปองจะไม่สนใจมันคงไม่ใช่เรื่องที่ชินอยากเห็นเท่าไรนัก

 

ท่านเลย์ล่าก็อุตส่าห์แนะนำแล้วแท้ ๆ แต่มันจะได้ผลจริงเหรอ?

ชินมุ่งมั่นกับเป้าหมายของตัวเองมาตั้งหลายสิบปี แล้วจะมายอมแพ้กับแผนแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?

          มันจะไม่เป็นการหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ รึไงนะ? โอลิเวียพร่ำเพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

          อาจเพราะอยู่เคียงข้างชินมาตลอด เธอถึงรู้ว่าชินพยายามมากขนาดไหนเพื่อให้อยู่ในจุดที่สามารถไล่ตามพวกตัวตลกได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกที่เขาทุ่มเทจนเลือดตาแทบกระเด็นหรือความพยายามตามหาเบาะแสอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงตัวของผู้ก่อเหตุ จนความพยายามส่งผลให้ชินสามารถจับหางของพวกมันได้แล้ว

 

ที่ทำแบบนี้มันเป็นเรื่องถูกไหมนะ

          โอลิเวียถึงคิดคำนึงด้วยความกังวล และนั่นไม่ได้เป็นสิ่งอื่นเลยนอกจากการเห็นแก่ความรู้สึกของชิน

 

ก๊อก! ก๊อก!

          ในระหว่างที่คิดอะไรเพลิน ๆ แบบนั้นอยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด

 

          แต่ที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจหลังใช้สัมผัสตรวจสอบคืออีกฝ่ายไม่ใช่ชินที่เธอเฝ้ารอคอย

          และความประหลาดใจอย่างที่สองคืออีกฝ่ายเป็นคนที่เธอรู้จัก แต่ในขณะเดียวกันถ้าเลือกได้ก็ไม่ได้อยากจะรู้จัก

          และเพราะรู้จักดี เธอจึงไม่รู้สึกกังวลสำหรับการเดินไปเปิดประตูทั้งที่อยู่ในชุดไม่พร้อมรับแขกเช่นนี้

 

“…ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ได้”

“นั่นมันคำพูดของดิฉันต่างหากค่ะ”

          โอลิเวียคืนคำพูดแฝงความสับสนแลไม่พอใจของแขกที่อยู่หลังประตู

          คือชงหยวนในชุดนักเรียนที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหงุดหงิดเป็นที่สุดเมื่อได้เห็นว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ใช่ชินที่เธอต้องการจะพบ แต่กลับเป็นหญิงสาวคู่อาฆาตที่รู้จักกันมาช้านานอย่างโอลิเวียเสียได้

          แต่สำหรับความรู้สึกแบบนั้น มันคงไม่แตกต่างจากโอลิเวียเท่าไรนัก

 

“สรุปแล้วมีธุระอะไรกับชินเหรอคะ ท่านชงหยวน” โอลิเวียเอ่ยแล้วก็โค้งหน้าลงเล็กน้อย การเรียกชื่อจริงที่ไม่ได้ถูกเรียกเสียนานทำให้บรรยากาศเก่า ๆ ย้อนกลับมา ทั้งในแง่ดีและร้าย

“ชิ! น่าหงุดหงิดเสียจริง… ไม่ต้องทำเป็นเคารพหรอกถ้าเธอยังชักสีหน้าแบบนั้นน่ะ”

          ชงหยวนถึงได้เดาะลิ้นขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม เธอคิดทุกครั้งว่าอยากจะจัดการโอลิเวียให้พ้นสายตาแต่ก็ไม่เคยทำได้ ไม่สิ… ไม่สามารถทำเช่นนั้นเพราะโอลิเวียมีไนท์ที่สามารถคืนชีพตัวเองได้นั่นแล

          ถึงที่จริงแล้วมันจะมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยที่เธอไม่อยากทำอะไรโอลิเวีย แต่เพราะงั้นชงหยวนเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประนีประนอม

 

“แล้วนี่คิดจะให้แขกยืนรออยู่ตรงนี้รึไง?” แน่นอนว่าชงหยวนไม่มีทางทิ้งทิฐิของตัวเอง เธอถึงกอดอกอยู่ด้านหน้าโอลิเวียตามที่เคยทำมาตลอด

“ตายจริง… ถ้าไม่ได้นัดล่วงหน้าคงให้เข้าพบไม่ได้หรอกนะคะ” และโอลิเวียก็ตอบกลับแบบที่ทำมาตลอดด้วยรอยยิ้มสุภาพแต่บาดคมกว่ามีดเช่นกัน

“นี่เธอ รู้สถานะของตัวเองตอนนี้ไหมเนี่ย!?”

“ข้ารับใช้ของชินไงคะ”

          โอลิเวียยิ้มตอบอีกครั้ง จะกี่หนก็ไม่ยอมสูญเสียความเหนือกว่าในจุดที่ตัวเองเป็นทางผ่านระหว่างผู้คนภายนอกกับชิน แต่อีกนัยนึงมันคือการพยายามไล่ชงหยวนให้กลับไปนั่นแล

          ทว่า…

 

“เลิกพูดล้อเล่นซะที ฉันจะรอจนกว่าเขาจะกลับมา” ไม่ว่าอย่างไรชงหยวนก็ไม่ยอมง่าย ๆ เห็นชัดเลยว่าสิ่งที่เธอต้องการจากชินจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา

“…ถึงฉันจะไม่ให้เข้าห้องก็ตามเหรอคะ?” โอลิเวียถามลองเชิง พริบตานั้นก็สัมผัสได้เลยว่ามีรังสีอำมหิตส่งมาทางสายตาของชงหยวน

          แต่น่าแปลกที่ไม่มีกิริยารุนแรงอะไรตอบกลับมาเลย

 

“…ก็ช่างเธอสิ”

          ชงหยวนว่าแบบนั้นแล้วก็เดินหลีกไปยืนพิงอยู่ด้านนอกแต่โดยดี ไม่แม้แต่จะคัดค้านหรือเล่นง้อแง่ใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอทำแบบนี้เพราะทะนงตน แต่มันก็แปลกทีเดียวที่ไม่ได้แสดงความเอาแต่ใจออกมาเหมือนกับแต่ก่อน

 

เกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนี้กันนะ?

          โอลิเวียตั้งข้อสงสัยส่วนตนขึ้นมา คิดว่าการเรียนรู้คนที่จ้องจะหาประโยชน์จากชินคงจะไม่เปล่าประโยชน์ไปเสียทีเดียว

 

“ล้อเล่นค่ะ เข้ามาก่อนเถอะ” 

          โอลิเวียจึงเสนอแบบนั้น ถึงส่วนนึงจะเป็นเพราะจุดที่เปลี่ยนไปของชงหยวน แต่หลัก ๆ คือโอลิเวียไม่อยากให้ชินเสียหน้าในเรื่องที่ไม่สามารถต้อนรับแขกได้อย่างเหมาะสมมากกว่า

 

          นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ชงหยวนได้เข้ามานั่งรอในห้องของชิน

          ทันทีที่ได้มานั่งพื้นกับโต๊ะเล็กกลางห้อง พอได้เห็นโอลิเวียชงชาตรงเคาน์เตอร์ชงหยวนก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ได้ให้ความสนใจในทีแรก

 

“จะว่าไป ไอ้ชุดล่อตะเข้นั่นมันอะไรกันน่ะ?” ชงหยวนจึงขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแบบสุด ๆ และดูจะหงุดหงิดสุด ๆ ด้วยเช่นกัน

“บันนี่เกิร์ลไงคะ ไม่รู้จักเหรอ?”

“ที่ถามคือใส่แบบนั้นทำไมต่างหากย่ะ!”

          ชงหยวนทุบโต๊ะเสียงดังพร้อมเส้นเลือดที่ปูดโปนบนหน้าผาก นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอตั้งใจทำแต่เผลอทำออกไปเอง

          อาจเพราะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ได้ และเพราะรู้นั่นเองเธอถึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แถมดูเหมือนโอลิเวียจะสังเกตเห็นเรื่องนั้นด้วย

 

“ดิฉันเองก็ไม่ค่อยชอบใจนักหรอก แต่ชินชอบให้ใส่ชุดนี้น่ะค่ะ” เธอถึงทำเป็นตีหน้าเศร้ายกมือแนบหน้าตัวเองเสมือนเป็นเหยื่อตัณหาโดยไม่เต็มใจ …ทั้งที่ตัวเธอเป็นคนใส่ชุดนี้เองแท้ ๆ

“โกหกน่าเกลียดชะมัดเลยนะ อย่างเค้าน่ะไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก” ชงหยวนพูดแล้วก็ถอนหายใจกุมขมับ เธอดูเหนื่อยใจมากกว่าจะแสดงอาการหงุดหงิดตอบ 

“…ไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้เลยนะคะ” โอลิเวียตอบพร้อมกับเสิร์ฟแก้วน้ำชา

          เธอนั่งลงฝั่งตรงข้ามของชงหยวนด้วยความรู้สึกบางอย่างจากคำพูดที่ ‘ดูเหมือน’ จะเชื่อในตัวของชิน

          สีหน้าไม่เปลี่ยนจึงไม่อาจล่วงรู้อารมณ์ แต่แค่คำพูดเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอให้รู้แล้วว่าเธอคิดยังไง การกังขาเรื่องนั้นจึงทำให้ชงหยวนกลับมารู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง

 

“คิดว่าฉันไม่เชื่อใจชินรึยังไงกัน”

“ก็ไม่รู้สินะคะ” โอลิเวียตอบบ่ายเบี่ยงโดยไม่ไหวติงเปลี่ยนท่าทีใด ๆ

          นั่นเพราะชงหยวนพูดแบบนั้นออกมาทั้งที่ช่วงทัศนศึกษาได้สร้างความยากลำบากมากมายให้กับชิน แถมเดาได้ไม่ยากเลยว่าหากชินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการปิดบังตัวตนขึ้นมา ชงหยวนคงคิดจะสังหารชินผู้มีโอกาสเป็นศัตรูตัวฉกาจทิ้งโดยไม่ลังเลเป็นแน่

          การคิดถึงเรื่องนั้นเป็นเหตุผลให้โอลิเวียรู้สึกโกรธจนกำหมัดแน่นขึ้นมาครู่นึง

 

“เอาเถอะ” แต่ชงหยวนก็ไม่ได้ติดใจมากอย่างที่ควร

          ทั้งนี้เพราะชงหยวนยังไม่รู้ด้วยว่าชินกับโอลิเวียมีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์จริง เธอจึงคิดไปแค่ว่าโอลิเวียไม่พอใจที่ถูกเทียบเคียงกับสิ่งเดียวที่เธอมี

          ต้องขอบคุณชงหยวนที่คิดไปเองเช่นนั้น โอลิเวียเลยถือว่ายังไม่ได้เผยอะไรออกมา

          

“จะว่าไป มีธุระอะไรกับชินเหรอคะ?” และเป็นโอกาสให้เธอล้วงข้อมูลของอีกฝ่ายแทนด้วย

“มันไม่เกี่ยวกับเธอ” แต่ชงหยวนก็ปฏิเสธทันที อย่างที่โอลิเวียคาดไว้

“เกี่ยวสิคะ รู้กันดีอยู่แล้วว่ายังไงชินก็ต้องบอกดิฉันทีหลังอยู่ดีค่ะ… เพราะดิฉันอยู่เคียงข้างเขามาตลอดยังไงล่ะคะ” แทนที่จะโกรธตอบ โอลิเวียกลับพยายามชิงความเหนือกว่าแทน

          โดยการเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกด้วยความปิติ พยายามแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับชินแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ตรงนี้

          และไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่… แต่มันก็ทำให้ความร้อนรุ่มสุมทรวงในอกของชงหยวนเกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้และควบคุมไม่ได้

 

“คิดจะพูดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วหา!?” ชงหยวนหลุดขึ้นเสียงออกมาอีกครั้ง นั่นเป็นเสียงที่ดังที่สุดตั้งแต่ที่ได้เจอกัน

“จะอะไรซะอีกล่ะค่ะ… ในฐานะของคนที่อยู่เคียงข้างชินอย่างฉัน ก็ต้องพยายามขับไล่คนที่หวังผลประโยชน์จากเขาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” โอลิเวียยืนยันความคิดตัวเองด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกด้วย

          แต่พอได้ยินโอลิเวียพูดแบบนั้น ชงหยวนกลับยิ้มเยาะออกมาแทน

 

“ทำเป็นพูดดี เธอเองก็ใช้เขาเป็นร่มไม้เหมือนกันนั่นแหล่ะ” แทนที่จะโกรธเพราะถูกข่มแต่ชงหยวนไม่รู้สึกถึงความต่ำต้อยเลยสักนิดเพราะรู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง โดยเฉพาะอดีตของโอลิเวีย

“ไม่สิ… สำหรับเธอที่ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้หากขาดการปกป้องจากชิน เธอน่ะแย่ยิ่งกว่าฉัน… เป็นแค่ปรสิตที่ต้องสูบเลือดจากเขาเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นแหล่ะ!”

          ชงหยวนเริ่มฉีกยิ้มเยาะจากสถานการณ์ที่กลับตาลปัตร เพราะเธอรู้ว่าร่างกายของโอลิเวียมีความผิดปกติบางอย่างจากต้นกำเนิดของเธอ และเป็นเหตุผลที่มีความจำเป็นต้องใช้ไนท์ ‘เปอร์เซ็นต์เทจ’ ของชินปรับแต่งร่างกายของโอลิเวียไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ

          คนที่แย่กว่าคือฝั่งของเธอต่างหาก! นั่นคือสิ่งที่ชงหยวนหมายถึง และเป็นจุดที่โอลิเวียโต้แย้งไม่ได้เพราะเป็นความจริงที่รู้อยู่แก่ใจ แถมเป็นหนึ่งจุดที่ทำให้โอลิเวียแอบรู้สึกผิดกับชินอยู่ในใจมาตลอดด้วย

 

          …เว้นเสียแต่ว่า นั่นเป็นความคิดเห็นในมุมมองของชงหยวนเพียงฝ่ายเดียว

 

“ที่คุณพูดมามันก็อาจจะจริง… แต่นั่นมันก็สำหรับเมื่อก่อนเท่านั้นค่ะ” โอลิเวียที่ไม่คิดแบบนั้นอีกแล้วจึงตอกกลับไปด้วยอารมณ์ตรงข้ามกับที่ชงหยวนคิด เป็นอารมณ์แฝงผ่านเรื่องราวในแบบที่ชงหยวนไม่เคยรู้มาก่อนในช่วงหลายปีมานี้

          เป็นอารมณ์แฝงที่เกิดขึ้นผ่านช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน

 

“พวกเราปกป้องกันและกัน ช่วยเหลือดูแลกัน และอยู่ด้วยกัน… มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่คุณเคยรู้จักเมื่อก่อนอีกแล้ว”

          โอลิเวียกล่าวด้วยรอยยิ้มเหมือนก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแง่ลบของตัวเธอเองมาได้

          เพราะในปัจจุบันนี้… ตอนนี้คงไม่เป็นการเกินเลยนักหรอกหากจะบอกว่าเธอเป็นตัวตนที่สำคัญมากพอจะพูดได้ว่าเป็นเสาหลักค้ำจุนจิตใจให้กับชิน และในทางกลับกันชินเองก็เป็นสิ่งนั้นให้กับตัวโอลิเวียด้วย

          ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากโอลิเวียไม่ได้ทุ่มเทความรักความห่วงใยให้กับชินแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

          

“ที่ดิฉันอยู่กับเขา เพราะดิฉันรักเขาต่างหากค่ะ ไม่เหมือนกับคุณ” คำตอบของโอลิเวียจึงไม่มีอื่น ไม่สั่นคลอนและเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา

“…หุบปาก” ไม่อาฆาตมาดร้ายเหมือนอีกฝ่ายที่มีความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่เต็มอกแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา เหตุจากไม่มีอะไรเทียบเคียงกับโอลิเวียได้

          ทั้งในแง่ของสายสัมพันธ์… และโดยเฉพาะความซื่อตรง

 

“อย่ามาพูดเหมือนรู้ดีไปหน่อยเลย” ชงหยวนที่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจึงขึ้นเสียงอีกครั้ง

“ข้ารับใช้ที่ไม่มีภาระหน้าที่ต้องแบกรับอย่างเธอ อย่ามาพูดเหมือนกับรู้จักฉันดีไปหน่อยเลย!”

          เป็นครั้งแรกที่ชงหยวนกัดฟันพูดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด

          โกรธ เสียใจ เก็บกดหรืออิจฉา? ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนแต่ที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือ ตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าหน้ากาก เพราะนี่คือความรู้สึกจริง ๆ ของชงหยวนและโอลิเวียก็สัมผัสมันได้ในฐานะของคนที่รู้สึกอย่างเดียวกัน

 

“รู้สิคะ… ในฐานะคนที่รักผู้ชายคนเดียวกัน ดิฉันรู้ดี———”

          โอลิเวียพูดไม่ทันจบประโยค มือของชงหยวนก็พุ่งเข้ามาเหมือนจะพยายามคว้าคอของเธอ 

          แต่โอลิเวียก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเบี่ยงคอหลบไม่ทัน ความพยายามของชงหยวนเลยไม่เป็นผล

 

“แทงใจดำเหรอคะ?” โอลิเวียเอียงคอถามค้างจากที่เบี่ยงคอหลบเมื่อครู่ แต่นั่นยิ่งทำให้ดูน่าโมโหสำหรับชงหยวน

          …ที่เถียงอะไรกลับไปไม่ได้ และทำอะไรไม่ได้ด้วย

          เพราะถ้าว่ากันตามเหตุผล ชงหยวนมาที่นี่เพื่อขอร้องชิน เธอจึงไม่ควรทำเรื่องที่มีโอกาสให้ชินไม่พอใจแม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

          เหตุการณ์เมื่อครู่จึงอยู่เหนือการควบคุมอารมณ์ของเธออย่างเห็นได้ชัด

 

“…” เมื่อเรียกความเยือกเย็นกลับมาได้ชงหยวนจึงชักมือกลับ ตัดสินใจที่จะไม่ใช้กำลังกับเรื่องนี้

“จุดนั้นแหล่ะค่ะที่ดิฉันไม่ชอบใจในตัวคุณ” เป็นโอกาสให้โอลิเวียแทงซ้ำที่แผลเดิม

“ทั้งที่มีโอกาสและอยู่ในจุดที่คู่ควรกับเขามากที่สุดแท้ ๆ แต่กลับไม่ยื่นมือมาช่วยชินเลยสักอย่างในตอนที่เขาต้องการ ทั้งหมดก็เพราะคุณไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง คุณถึงไม่คู่ควรจะได้รับสิ่งใดจากชินยังไงล่ะคะ” โอลิเวียเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงมีความหนักขึ้น

          และสำหรับเรื่องนั้น ชงหยวนเองก็ไม่ต่างกัน

 

“คิดว่าฉันในตอนนี้อยู่ในสถานะที่ทำแบบนั้นได้รึไงกัน”

“ปัญหาอยู่ที่คุณไม่พยายามต่างหากล่ะคะ”

“พยายามไปโดยไม่เกิดผลลัพธ์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก!”

“พูดแบบนั้นทั้งที่ไม่แม้แต่จะคิดลอง นั่นก็แค่ความสะดวกของคุณเท่านั้นเอง”

          ยิ่งได้ฟังโอลิเวียก็ยิ่งหงุดหงิด เพราะมันเหมือนกับชงหยวนพยายามจะแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ

          แต่ในขณะเดียวกันก็ใช่ว่าชงหยวนจะพูดผิดไปเสียทุกอย่าง… คงไม่มีใครกล้าพูดหรอกว่าการยกภาระหน้าที่เจ้าหญิงของชงหยวนให้อยู่เหนือความรู้สึกของตัวเองเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากทั้งพวกพ้อง ครอบครัวและประเทศเป็นเรื่องผิด

          พูดไปแล้ว ฝ่ายที่ยืนกรานอยู่ข้างความรู้สึกอาจเป็นฝ่ายที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองจะเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี

 

          เรื่องมันก็แค่ว่าคนหนึ่งยึดถือความรู้สึกมากกว่าภาระหน้าที่ ส่วนอีกคนก็ให้ความสำคัญกับภาระหน้าที่มากกว่าความรู้สึก เรื่องมันก็เท่านั้น

          แต่ก็ด้วยเรื่องแค่นั้นแหล่ะ ที่ทำให้โอลิเวียกับชงหยวนเถียงกันไม่หยุด

 

“ผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเองอย่างคุณ ไม่เหมาะสมกับชินหรอก เพราะงั้นกลับไปซะเถอะค่ะ!”

“แล้วอย่างเธอเหมาะสมตายล่ะ! ยัยข้ารับใช้ไร้หัวสมองคิดเองไม่เป็น!”

“ดิฉันคิดเองเป็นค่ะ! แล้วก็ทำได้ดีกว่าคุณด้วย! คิดว่าใครสนับสนุนชินตลอดมาจนถึงตอนนี้กันคะ!?”

“แล้วก็ให้เขามาอยู่ในรูหนูนี่น่ะเหรอ!? ถ้าเป็นฉันคงทำได้ดีกว่าเธอเยอะ!”

“นี่เพื่อตบตาหรอกค่ะ! ยังไงชินก็กินดีอยู่ดีทุกวันอยู่แล้ว แต่คุณที่ทำอาหารไม่เป็นคงไม่เข้าใจหรอกค่ะ!”

“ว่ายังไงนะ!!!?”

          ด้วยมุมมองที่ต่างกันแค่นั้น สองสาวถึงเขม่นแล้วเริ่มทะเลาะกันยกใหญ่จนเสียงเริ่มดังออกไปนอกห้อง 

          โชคดีที่ทั้งสองคนไม่ได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน แต่เสียงที่ดังลั่นก็ยังสร้างความรำคาญให้กับผู้พักอาศัยคนอื่นอยู่ดี

 

          รวมถึงเจ้าของห้องที่เพิ่งจะกลับมาถึงด้วย แถมทั้งที่เปิดประตูเข้ามาแล้วแต่สองสาวนั้นไม่มีท่าทีจะสนใจเขาด้วยซ้ำ ราวกับแต่ละฝ่ายไม่สามารถละสายตาไปจากศัตรูเพราะกลัวจะถูกแทงข้างหลังยังไงอย่างนั้น

 

“ทำอะไรกันอยู่?”

          กระทั่งได้ยินเสียงเอ่ยทักของชินเข้า ไหล่ของสองสาวก็กระตุกอย่างแรง

          คนนึงด้วยความตกใจ อีกคนนึงด้วยความรู้สึกผิด

 

“กะ กลับมาแล้วเหรอคะชิน” โอลิเวียรู้สึกอับอายที่ไม่ได้ต้อนรับชินในทันทีจึงรีบลุกเข้าไปรับกระเป๋าของชินไว้ แต่ด้วยระยะที่ใกล้ชิดกันทำให้ชินสังเกตเห็นเธอ

“…ใส่ชุดอะไรของเธออีกแล้วเนี่ย” ชินขมวดคิ้วตอบ แต่ก็ยังเบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่นด้วยแก้มที่แดงระเรื่อ

          สำหรับโอลิเวียอาจเป็นมุมที่มองไม่เห็น แต่สำหรับชงหยวนแล้วเธอเห็นได้ชัดเจนและนั่นแหล่ะที่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์

 

“ฉันเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกันนะคะ”

“…อืม ยังไงก็ยินดีต้อนรับก็แล้วกันนะ”

          ทัตตอบกึ่งมารยาทกึ่งระแวง นั่นเป็นท่าทีที่สมควรแก่เหตุผลแล้ว 

          แต่ก็ยังทำให้ชงหยวนรู้สึกเจ็บปวดไม่เบาอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องความต่างของปฏิกิริยาที่ชินมีต่อโอลิเวียกับของเธอ

 

          แต่ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ต้องพับเก็บไปก่อน

          สำหรับชินแล้ว การมาอย่างกะทันหันของชงหยวนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย แต่การต้อนรับอย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นเป็นทั้งสิ่งที่ควรทำในฐานะของเจ้าบ้านที่ดีและเพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัยที่อาจทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นความผิดปกติ

          นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ตอนนี้มีชินนั่งร่วมโต๊ะกลมเล็กกลางห้องด้วย และตำแหน่งได้ถูกจัดใหม่เป็นชินกับชงหยวนที่นั่งเผชิญหน้ากัน ส่วนโอลิเวียนั้นนั่งถัดหลังชินเยื้องไปทางขวาของเขาแทน

 

“แล้ว… มีธุระอะไรงั้นเหรอ?” หลังจิบชาที่โอลิเวียเตรียมให้ ชินก็เข้าประเด็นในทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา

          ชงหยวนก็แอบเศร้าใจอยู่ลึก ๆ ที่ไม่มีโอกาสธรรมดาระหว่างกัน พ่วงกับที่เถียงแพ้โอลิเวียก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้รู้สึกหดหู่

          แต่นั่นมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ และไม่จำเป็นสำหรับเรื่องที่ต้องทำในตอนนี้ เธอจึงรีบปรับอารมณ์ตัวเองเสียใหม่

 

“ฉันมายื่นข้อเสนอเดิมอีกรอบค่ะ” ชงหยวนเอ่ยพร้อมกับมองตรงเข้ามาในตาของชิน แต่มันยังไม่จบแค่นั้น…

“แต่ว่า… ฉันอยากจะฟังเป้าหมายของคุณในตอนนี้ด้วย คุณคิดจะทำอะไรงั้นเหรอคะ?” ชงหยวนมองตรงเข้ามาอีกครั้ง แต่หนนี้มีทั้งความแข็งกร้าว อยากรู้อยากเห็น แต่ยังสั่นระรัวด้วยความยำเกรง

“ถ้านั่นเป็นเรื่องที่ฉันช่วยได้ ฉันก็อยากจะใช้มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนของเราค่ะ”

          ชงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนหวานขึ้น ทำเอาโอลิเวียรู้สึกหงุดหงิดเพราะเป็นคนละแบบกับที่ตนเจอ

          แต่มันก็ทำให้เรื่องง่ายขึ้นจากความซื่อตรงที่ชงหยวนแสดงออกมา

 

ไม่เคยเห็นชงหยวนเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้กันนะ?

          ชินคิดสงสัย ครั้นจะเหลือบมองโอลิเวียเพื่อดูปฏิกิริยาระหว่างทั้งสองคนก็คงจะผิดสังเกตไปเสียหน่อย

          เขาเลยไม่มีทางเลือกนอกจากเดินหน้าต่อโดยเชื่อว่าความซื่อตรงนั้นเป็นของจริง

 

“คงจะรู้แล้วสินะว่าตอนนี้ฉันฝึกงานอยู่ใน URI”

“ค่ะ คิดว่าทุกคนในห้องคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะ” ชงหยวนตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ น่าดู ความขี้เล่นที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง

          เป็นโอกาสดีให้ชินได้จริงจังตอบ

 

“สาเหตุที่ฉันเข้าไปในนั้น เพราะมีเหตุผลให้เชื่อว่าหนึ่งในคนที่ลอบสังหารท่านพ่ออยู่ในนั้น” ชินว่าแบบนั้นพร้อมกับเริ่มกอดอก

“เพราะงั้นฉันคงช่วยเหลือเธอได้ไม่เต็มที่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นจะถูกสงสัยในเรื่องไม่เป็นเรื่องเอาได้”

          ชินเอ่ยย้ำอีกครั้ง เป็นการปฏิเสธแบบที่ไม่ได้บอกออกมาตรง ๆ นั่นถือว่ารักษาน้ำใจกันที่สุดแล้ว

          

“ทราบอยู่แล้วค่ะ…” แต่ดูเหมือนเรื่องมันจะไม่จบง่ายขนาดนั้น

“แล้วถ้าไม่จำเป็นต้องมาช่วยทุกครั้งที่ร้องขอล่ะค่ะ? ขอแค่อยู่ในสถานะที่เป็นพันธมิตรกับคุณ โดยคุณสามารถเข้ามาเป็นกำลังรบในตอนที่สะดวกแบบนั้นจะได้ไหมคะ? แน่นอนว่าข้อแลกเปลี่ยนที่ชินจะได้รับนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเลยค่ะ”

          ชงหยวนยื่นข้อเสนอใหม่ทำเอาชินแปลกใจไม่เบาเพราะมันเป็นการลดคุณสมบัติของตัวเองลงในขณะที่ผลประโยชน์ของชินยังคงเท่าเดิม

          แต่ชงหยวนไม่ใช่คนที่โอบอ้อมอารีขนาดยอมเสียผลประโยชน์โดยรวมเพียงเพื่อคน ๆ เดียวแม้คนเดียวที่ว่าจะเป็นชินก็ตาม 

          ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาแทน นั่นคือเธอกำลังเพ่งเล็งอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ชินรู้อยู่รึเปล่า?

 

“เธอขาดกำลังรบขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชินคิดถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างแรก เพราะคนที่รู้ศักยภาพของลูกน้องตัวเองดีก็มีแต่หัวหน้าอย่างชงหยวน แต่ว่า…

“เปล่าค่ะ กำลังรบน่ะมีเหลือเฟือ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่เป็นหนึ่งในสามตัวเต็งหรอกนะคะ”

          ข้อสันนิษฐานของชินถูกปัดตกอย่างสมเหตุสมผลเลยทำให้คำถามไม่ถูกแถลงไข

          กระทั่งร่างกายของชงหยวนเกิดเกร็งขึ้นมาครู่นึงก่อนจะตอบนั่นแล

 

“แต่ว่า… ถ้าได้คนที่แข็งแกร่งที่สุดมาเป็นพวกด้วย ยังไงมันก็อุ่นใจกว่าไม่ใช่รึไงกันคะ?”

          ชงหยวนกัดฟันพูดต่อหน้าชิน เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน กอปรกับแก้มที่ฝาดสีแดงขึ้นมาเล็กน้อยด้วย บางทีเธอคงพยายามเค้นความกล้าละวางทิฐิสุดแรงเกิดเพื่อยอมรับสิ่งที่ออกมาจากปากตัวเองกระมัง

          และสำหรับทางชิน นั่นทำให้เห็นมุมมองของอีกฝ่ายที่มีต่อตัวเองชัดเจนทีเดียว

 

“ประเมินฉันสูงเกินไปรึเปล่า” ชินเอ่ยถามแบบสบาย ๆ ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ

“แล้วฉันพูดผิดรึไงกันล่ะคะ? ตัวฉันน่ะรู้จักพลังพิเศษของคุณดี นั่นยังไม่นับความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจ ความสามารถในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมความสามารถพวกนั้นเข้าด้วยกันแล้ว ฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครยอดเยี่ยมไปกว่าคุณ”

“…เหรอ”

          ชินตอบกลับสั้น ๆ กับความพยายามของชงหยวนที่เริ่มแสดงออกถึงความเป็นสาวน้อยมากเข้าทุกที

          ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบกลับไปยังไงมากกว่า… เพราะชงหยวนที่ชินรู้จักเองก็แสดงใบหน้าเขินอายในตอนที่พูดถึงความยอดเยี่ยมของเขาออกมาบ่อย ๆ

          มันคือความชื่นชม… ชื่นชมคนที่ยอดเยี่ยมกว่าตัวเองโดยละความอวดดีที่มีมากกว่าใคร เขารู้ว่านั่นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยากที่สุดที่ชงหยวนจะทำ และชินรู้ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่ชงหยวนจะยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

          และเพราะยอมรับความพ่ายแพ้เลยไม่ได้ตั้งเป้าจะเป็นคู่แข่งหรือศัตรู ชินจึงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นรอยยิ้มอันไร้ซึ่งทิฐิของชงหยวนด้วยเหตุดังกล่าว และคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนที่เป็นแบบนั้นเมื่อครั้งอดีตมันก็ไม่ได้แย่อะไร

          ชินถึงเริ่มคิดว่าบางที นอกจากสถานะราชาที่ได้รับมาภายหลังแล้ว ชงหยวนอาจจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากขนาดนั้น

 

“งั้นก็ได้…” ด้วยเสี้ยวความคิดนั้น ชินถึงใจอ่อนเพราะหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา

“ฉันไม่รับปากว่าจะไปช่วยทุกครั้ง แต่ฉันสัญญาว่าจะไปช่วยเธอทุกครั้งที่ฉันมีโอกาสจะทำได้… ถ้ายอมรับเรื่องนั้นข้อตกลงก็เป็นอันยอมรับได้”

          ชินจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง

          แม้จะเป็นเพียงแค่คำพูดแต่ชงหยวนก็รู้ดีว่าชินเป็นชายที่ให้ความสำคัญกับคำหมั้นสัญญาขนาดไหน ดวงตาเธอจึงเบิกโพลงขึ้นในทันทีด้วยความแปลกใจ แต่ถัดจากนั้นคือรอยยิ้มอย่างไม่ต้องสงสัย

 

          ถึงจะมีเรื่องที่ว่าชินในตอนนี้เป็นกำลังรบให้กับพวกอัลเฟรดอยู่ก่อนแล้ว แต่ถ้าคำนึงถึงขอบเขตของข้อมูลที่จะได้รับรวมกับความเสี่ยงที่สามารถเลือกเวลาในการไปช่วยเหลือได้ ทั้งหมดมันก็ค่อนข้างคุ้มค่าและมีช่องว่างมากพอให้หลบเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่ต้องการได้อยู่

          จึงกลายเป็นเหตุผลที่เขาตอบรับคำขอของชงหยวนแล้วกลายเป็นนกสามหัว

 

“ขอบคุณมากค่ะ… ฉันจะส่งช่องทางการติดต่อให้ทีหลังนะคะ ขออภัยที่รบกวนนะคะชิน”

          ในระหว่างที่ชินคิดอะไรเพลิน ๆ ชงหยวนก็ยืนขึ้นแล้วโค้งให้ชินตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นั่นดูลุกลี้ลุกลนมากทีเดียว

          แต่ถ้าคำนึงถึงเรื่องที่ไม่อยากให้มีใครเห็นว่าเธออยู่ในละแวกนี้ในเวลานี้ ความต้องการรีบกลับก็สมควรอยู่กระมัง? นั่นคือสิ่งที่ชินคิด หากแต่ในความเป็นจริงนั้นเป็นคนละอย่างกันเลย

          โอลิเวียสังเกตเรื่องนั้นในตอนที่ชงหยวนพยายามเบี่ยงใบหน้าฉีกยิ้มเต็มที่ออกไปทางอื่น เธอรู้ได้ทันทีว่าชงหยวนไม่อยากให้ชินเห็นว่าเธอดีใจแค่ไหนที่ได้ชินเป็นกำลังรบ

 

สุดท้ายก็ยังซื่อตรงไม่เป็นอยู่ดี

          โอลิเวียบ่นอุบด้วยความรู้สึกอันหลากหลายในขณะที่มองชินเดินไปส่งชงหยวนถึงหน้าประตู

 

“กลับที่พักดี ๆ ล่ะ”

“…ค่ะ”

          เสียงตอบกลับสั้น ๆ ลอดผ่านช่องว่างประตูก่อนจะปิดลง เป็นน้ำเสียงที่หวานจนน่าประหลาดแต่สัมผัสไม่ได้เลยว่าเป็นของปลอม

          นั่นคือตอนที่ชงหยวนออกจากห้องไป

 

“เพิ่มภาระแบบนั้นจะดีเหรอคะชิน” แล้วนั่นก็เป็นจังหวะเหมาะให้โอลิเวียถามขึ้นมาด้วย

          บางทีเธอคงรอจังหวะนี้มาตลอด แต่ด้วยความเกรงใจจึงไม่ได้เปิดปากเลยจนกระทั่งข้อตกลงได้ข้อสรุปไปแล้ว

 

“ไม่เป็นไรหรอก… ข้อตกลงใหม่มีผลได้มากกว่าผลเสียเยอะแถมไม่มีข้อผูกมัดอีก” ชินตอบคำถามในขณะที่เดินกลับมานั่งจุดเดิม

“แต่ฉันกำลังกังวลว่าที่ชินทำไปเป็นเพราะเห็นใจมากกว่าผลประโยชน์น่ะสิคะ” โอลิเวียตั้งข้อสังเกตได้ตรงประเด็นจนชินรู้สึกแปลกใจจนเลิกคิ้ว อีกครั้งที่แอบคิดสงสัยเลยว่าโอลิเวียมีพลังพิเศษอ่านใจเขา?

“ถ้ายังเห็นใจคนอื่นได้ นั่นก็แสดงว่าฉันยังมีหัวใจอยู่ใช่ไหมล่ะ” ชินไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธจึงยอมรับไปตามตรง

“ค่ะ นั่นเป็นเรื่องดี แต่…”

          แต่การพูดติดตลกไม่ได้ช่วยให้หัวใจที่กำลังขุ่นมัวผ่องใสสบายใจขึ้นเลย

          โอลิเวียถึงลุกขึ้นไปล้างถ้วยน้ำชาด้วยไหล่ที่ห่อลงและถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศอันแสนเหงาไม่เบา

          ตัวเธอเองอาจไม่รู้ แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์หดหู่มันเกิดขึ้นก็เพราะการให้ความสำคัญกับชงหยวน

 

          ชินเห็นแล้วถึงอดไม่ได้ที่จะกังวล เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าแม้โอลิเวียจะมีประสาทเฉียบคมในการอ่านความคิดของชินมากเท่าไร แต่ก็ไม่เคยก้าวข้ามความกังวลในความจริงที่สำคัญที่สุดเสียที

 

“อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันทำไปเพราะจำเป็นก็เท่านั้นแหล่ะ”

          ชินถึงลุกขึ้นแล้วทำการลูบศีรษะโอลิเวียเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยน และเป็นการปลอบประโลมแบบที่หญิงสาวทุกคนปรารถนาเมื่อกำลังตกอยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเช่นนี้

 

“…ค่ะ”

          โอลิเวียจึงตอบกลับเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ช่างน่าประหลาดเหลือเกินที่เรื่องแค่นี้ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นในเวลาอันสั้น นั่นคือข้อสงสัยของชินที่เขาไม่เคยจะเข้าใจเพราะไม่อาจก้าวข้ามความจริงที่สำคัญที่สุดไปได้

 

          ว่าสำหรับอีกฝ่ายแล้ว… ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนสำคัญของกันและกัน

          

          เพราะไม่สงสัยในเรื่องนั้นแล้วโอลิเวียถึงกลับมาเป็นปกติ อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงคราที่ชินต้องติดต่อกับผู้หญิงคนอื่นที่เธอไม่ไว้ใจ

 

          เมื่ออารมณ์ของหญิงสาวกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศเองก็กลับมาเป็นปกติด้วย ทำให้ชินนั่งผ่อนคลายได้อย่างสบายใจจริง ๆ เสียที

          แต่สถานการณ์นั้นก็ไม่ไช่เรื่องดีสำหรับชินเสียทีเดียว

          เขารู้เรื่องนั้นในตอนที่โอลิเวียล้างถ้วยน้ำชาเสร็จแล้วคลานเข่าเข้ามาหาเขา ด้วยชุดบันนี่เกิร์ลที่สวมอยู่มาแต่แรกแต่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันรัดรูป แสดงสัดส่วนและเปิดเผยผิวกายอันขาวนวลงดงามของเธอมากแค่ไหน

 

“จะว่าไป ดิฉันใส่ชุดนี้แล้วขึ้นไหมคะชิน?” ในจังหวะที่เข้าประชิดตัวจนชิดไม่มีที่หลีกหนี โอลิเวียก็เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ

“…เธอใส่ชุดไหนก็เห็นขึ้นทุกชุดไม่ใช่รึไง” แล้วชินก็เบี่ยงหน้าหลบทันที แต่โอลิเวียก็ยังไม่ลดละตามเคย

“หมายถึงดิฉันหรือว่าตัวชินเองเหรอคะที่ขึ้น?” 

“…ไปเปลี่ยนชุดซะ”

          เห็นโอลิเวียเลียริมฝีปากตัวเองชินก็รู้ตัวว่าต้องรีบหนี เขาถึงลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุดนักเรียนในห้องน้ำทันทีก่อนเหตุการณ์ที่โอลิเวียพึงประสงค์จะเกิดขึ้น ส่วนตัวต้นเหตุอย่างโอลิเวียกลับหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูอยู่เบื้องหลังชินที่กำลังตกประหม่า

 

          เห็นได้ชัดว่าการจะให้ความรู้สึกของทั้งสองคนซื่อตรงผลิดอกออกผลคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ แม้นั่นจะเป็นความต้องการส่วนลึกในจิตใจของทั้งคู่อยู่แล้ว แต่มันกลับถูกปิดทับด้วยการโดนบงการจากบางสิ่งที่พวกเขารู้และไม่รู้ รวมถึงถูกบดบังจากความรับผิดชอบของตัวทั้งสองคนเองด้วย

          ความปรารถนาที่จะใกล้ชิดอีกฝ่ายถึงมีขึ้นไม่ได้ในตอนนี้

          สิ่งที่พึงหวังได้… จึงมีแต่ความหวังว่าจะไม่เสียใครไปเสียก่อนจะถึงปลายทางนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด