ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 30: ปณิธานของชงหยวน

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 30: ปณิธานของชงหยวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          หลังเวลาเลิกเรียน เป็นธรรมดาที่นักเรียนจากทุกแห่งจะคับคั่งไปทั่วท้องถนน

          ส่วนใหญ่มักไปกันเป็นกลุ่ม แวะตามสถานที่ที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่มักจะไปกัน อาทิเช่นร้านขายของ ร้านขนมริมทาง ร้านหนังสือ ร้านเกม

          หรือร้านคาเฟ่

 

“ ว้าว… สามคนนั้นหน้าตาดีจังเลยอ่ะ ”

“ นั่นสิ ๆ เป็นนางแบบรึเปล่า? ”

          เสียงกระซิบมาจากในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้นเสียงเป็นนักเรียนหญิง ที่ส่งไปยังโต๊ะหนึ่งที่อยู่ในร้านคาเฟ่แห่งเดียวกัน

          โดยสาเหตุก็มาจากนักเรียนกลุ่มที่นั่งโต๊ะดังกล่าว มีแต่คนหน้าตาดีทั้งที่อยู่ในเพศชายและหญิงนั่นแล แถมยังมาจากต่างโรงเรียนกันอีกด้วย

 

“ แบบนี้มันจะไม่เป็นจุดเด่นเกินไปหน่อยเหรอ ” เด็กสาวไว้ผมหางม้าสีน้ำตาลเอ่ยออกมาด้วยความรำคาญ

“ ก็ไม่ใช่ความผิดของเราซะหน่อยนี่นา ” เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มผมเงินที่มีกล้ามเนื้อกำยำแต่รูปร่างยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ท่าทางสบาย ๆ จากที่กำลังนั่งกอดอกกน้านิ่งของเขาดูไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น

“ ถะ ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็เถอะ ”

          สุดท้ายคือเด็กสาวผมดำขลับไว้ทรงสั้นรวบไว้ด้านหลัง ท่าทางของเธอดูประหม่ากับสายตาจากโต๊ะอื่นมากที่สุดในกลุ่ม

          อนึ่ง ในส่วนของชุดนักเรียน ทั้งสามคนใส่ชุดที่มีลักษณะการออกแบบคล้ายคลึงกัน เป็นสิ่งบ่งบอกว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งการที่ทั้งสามนั่งโต๊ะเดียวกันอยู่แล้วจึงไม่ใช่สิ่งแปลกตาแต่อย่างใด

 

          …นอกเสียจากจะมีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นมาสมทบ

 

“ ว่าไงทุกคน เป็นจุดสนใจน่าดูเลยนี่ ”

          นักเรียนสาวอีกคนเดินเข้ามาสมทบยิ่งดึงดูดสายตาของทุกคู่ให้เข้าหาโดยเฉพาะผู้ชาย ความงดงามของเธอโดดเด่นถึงเพียงนั้น แถมชุดนักเรียนหญิงของโรงเรียนอันดับ 1 ในย่านนี้อย่างเซนต์ลอเรนซ์ยังช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้เธออีก

          แต่สำหรับทั้งสามคนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ เธอไม่เพียงแค่น่าดึงดูด แต่ยังเป็นที่เคารพอีกด้วย เพราะทั้งสามคนต่างก็รีบลุกขึ้นราวกับทำความเคารพในทันทีที่เธอเอ่ย

 

          ทางเจ้าตัวที่ถูกยืนต้อนรับทำแค่ยกมือขึ้นรับทราบก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งที่ทัดเทียม ท่าทางของเธอราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์ยังไงอย่างงั้น

          แต่ในอีกแง่นึง เธอก็เป็นราชินีจริง ๆ

 

“ สวัสดีทุกคน ”

“ ยะโฮ! แข็งแรงกันเหมือนเดิมนะ! ”

          อนึ่งเธอไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีผู้ติดตามอีกสองคน

          คนนึงเป็นนักเรียนหนุ่มผมบลอนด์ในชุดแบบเดียวกับเธอ กล่าวคือมาจากโรงเรียนเซนต์ลอเรนซ์เช่นเดียวกับเธอ ส่วนอีกคนเป็นนักเรียนหญิงผมยาวสีดำ แต่ใส่ชุดนักเรียนแตกต่างจากทั้งสามคนที่มาก่อนและอีกสองคนที่มาทีหลัง

 

“ สวัสดีค่ะท่านชงหยวน ” เด็กสาวผมหางม้าเป็นตัวแทนเอ่ยทักทาย

“ อย่าเรียกแบบนั้นสิ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้พลัง อาจจะมีคนได้ยินก็ได้ ”

“ ครับ / ค่ะ ”

          ทั้งกลุ่มตอบกลับเด็กสาว… ตอบกลับชงหยวนอย่างนอบน้อม เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นถึง ‘ราชา’ พวกเขา

 

ใช่… นักเรียนทั้ง 6 คนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกชิงปกครองโลกทั้งสิ้น ทั้งหมดคือกองทัพขนาดย่อมที่มีขุนพลเป็นราชาจากประเทศเขตที่ 86 อย่างชงหยวน

          ชายผมบลอนด์ที่สวมชุดนักเรียนเดียวกับชงหยวน แน่นอนว่าคือจินหรือหู่ อัศวินนักษัตรประจำราศีขาลนั่นเอง

นักเรียนหญิงผมทรงหางม้าชื่อจิ้นหง(荩鸿) เธอเป็นอัศวินนักษัตรในนามของหนูหรือสู่(鼠)

          ชายผมเงินที่มีกล้ามเนื้อแน่นหนา ชื่อจิวซิน(阄芯) เขาเป็นอัศวินนักษัตรราศีวัวผู้ได้รับสมญานามว่าหนิว

          นักเรียนหญิงผมดำทรงสั้นรวบท่าทางเขินอาย คือมี่หมิน(秘民) อัศวินนักษัตรกระต่ายหรือทู่

          ท้ายสุดคือนักเรียนหญิงผมดำท่าทางร่าเริงในชุดนักเรียนต่างจากทุกคน เธอชื่อหนิงอัน(宁安) เป็นอัศวินนักษัตรนามว่าโหว(猴) หรือลิงนั่นเอง

          ทั้ง 6 คนที่นั่งรวมกันตรงโต๊ะใหญ่ริมหน้าต่าง หากมองเพียงผิวเผินก็คงไม่ต่างจากเพื่อนต่างโรงเรียนที่นัดเจอกันนานทีปีหนเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน

          จะติดก็เพียงอย่างเดียว คือพวกเขาทั้ง 6 คนไม่ใช่นักเรียน ม. ปลายธรรมดา

          และอีกสิ่งที่น่าเสียดาย คืออัศวินนักษัตรที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาอย่าง ‘มังกร’ ไม่สามารถมาเข้าร่วมบทสนทนาได้ เพราะเผ่าพันธุ์ของเขาหาได้ยากในเขตประเทศที่ 66 แห่งนี้ จึวไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะออกมาปรากฏตัวตามท้องถนนให้เป็นที่จับตาสงสัย

 

“ ว่าแต่ แบบนี้มันจะน่ารำคาญไปหน่อยมั้งเนี่ย ”

          ชงหยวนบ่นในขณะที่มองกวาดไปรอบ ๆ สังเกตสายตาที่มองมายังกลุ่มของตน แต่เกือบจะทั้งหมดก็เพ่งมาที่เธอนั่นแหล่ะ

          แม้จะเข้าใจถึงเสน่ห์ดึงดูดของตัวเอง แต่ยังไงเธอก็รู้สึกรำคาญใจอยู่ดี

 

“ เงียบแล้วทำเป็นไม่เห็นซะ! ”

เพี๊ยะ!

          ชงหยวนตะโกนเสียงดังลั่นร้านด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวออกคำสั่ง ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดังเพื่อเน้นความสำคัญ หากมีคนที่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็คงสงสัยว่าชงหยวนทำท่าทางวางท่าอวดบารมีแบบนั้นไปทำไม 

…จนกระทั่งเรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

“ ค่ะ… / ครับ… ”

          นักเรียนทุกคนที่อยู่ในร้านคาเฟ่ พนักงาน แม้แต่แม่บ้านทำความสะอาดต่างก็หยุดทำกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ราวเวลาหยุดนิ่ง ดวงตาของทุกคนกลับกลายเป็นไร้ประกาย ก่อนจะตอบรับคำสั่งของชงหยวนด้วยน้ำเสียงโมโนโทนราวกับเป็นหุ่นยนต์ยังไงอย่างงั้น

          ก่อนจะกลับไปทำเรื่องที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้สนใจการมีอยู่ของพวกชงหยวนดังที่เจ้าตัวออกคำสั่ง

 

“ เห็นกี่ทีก็สยองนะคะเนี่ย อะฮะฮะ ” หนิงอันที่ตามชงหยวนมาด้วยกันหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับภาพที่น่าเหลือเชื่อ

          แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่เธอก็ไม่เคยจะชินเสียที

 

“ แต่แบบนี้ก็สะดวกไปอีกแบบล่ะนะครับ ”

“ นะ นั่นสินะคะ ”

          จิวซินและมี่หมินเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

          และไม่รู้ทำไม แต่ความพร้อมเพรียงของทั้งสองคน ทำให้จิ้นหงรู้สึกไม่พอใจจนแอบทำแก้มป่องใส่จิวซิน ท่าทางนั่นเป็นที่อมยิ้มของคนทั้งกลุ่ม

 

“ เอาเถอะ ยังไงเรื่องสารทุกข์สุขดิบก็ขอให้พอเท่านี้ก่อนนะทุกคน ” ชงหยวนว่าพลางปรบมือเข้าด้วยกันเพื่อดึงความสนใจทุกคนกลับมา

“ นั่นสินะ ยังไงหัวข้อหลักวันนี้ก็เป็นความคืบหน้าแผนการของท่านชงหยวน ” จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเพื่อให้ทุกคนจริงจังกันมากขึ้น

“ ถูกต้อง งั้นก่อนอื่นมาอัพเดทสถานการณ์กันก่อน ”

          อย่างไรเสีย ชงหยวนก็เป็นหัวหน้า เธอจึงเป็นคนเปิดประชุม ท่าทางทะมัดทะแมงของเธอเป็นสิ่งยืนยันความสามารถในฐานะผู้นำของชงหยวน

 

“ จากศึกที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้… คิดว่าแผนการดึงดูดความสนใจน่าจะใช้ได้ผลพอดูนะคะ แต่จะยืนยันผลลัพธ์ก็คงต้องดูคืนนี้อีกทีค่ะ ” หนิงอันผู้รับหน้าที่เป็นทั้งเสนาธิการและพลลาดตระเวนของชงหยวนเป็นคนสรุปให้ฟัง

          เช่นไรก็ตาม สำหรับทุกศึกเธอที่รับหน้าที่เป็น ‘ลิง’ นั้น มีหน้าที่สังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว เพราะมีพลังที่เหมาะจะทำเช่นนั้น รวมถึงความสามารถในการสู้รบของเธอถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาอัศวินนักษัตร

 

“ แต่เราก็เล่นไปหนักพอดูนะครับ ”

“ เห็นด้วยครับ ”

          ทั้งจินและจิวซินเอ่ยเสริมแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ชงหยวนเอาจริงที่ใช้ตราราชันย์ถล่มเมืองหลวงไปเป็นวงกว้างจนทำให้มีคนธรรมดาเดือดร้อนมากมาย

 

“ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ” ชงหยวนเอ่ยตอบทันที

“ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต้องขอบคุณพวกเธอที่ทำให้ไม่มีคนเสียชีวิต ขอบคุณมากนะ ”

          ชงหยวนเอ่ยแบบนั้นก่อนจะค้อมหัวลงเล็ก ๆ เป็นไม่กี่ครั้งที่เธอจะแสดงความขอบคุณอย่างสมเหตุสมผล

          เพราะหากจะว่าไป ตั้งแต่เริ่มต้น เธอไม่มีเจตนาที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครทั้งสิ้นหาก ‘ไม่มีทางเลือกจริง ๆ’ และเธอก็เข้าใจดีว่านั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะป่าวประกาศความชอบธรรม เพราะการทำแบบนั้น ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็เป็นเรื่องผิด

          ดังนั้นที่เธอทำได้ ก็มีแต่ทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“ จะว่าไป ‘เป้าหมาย’ เป็นยังไงบ้างเหรอคะ? ”

          มี่หมินถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่แค่เธอหรอก คนอื่นที่ไม่ได้มีหน้าที่นั้นเองก็อยากรู้ผลลัพธ์เช่นกัน

          เพราะนั่นเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของการแทรกซึมเข้ามาในประเทศเขตที่ 66 นี้นั่นแหล่ะ

 

“ นั่นสินะ งั้นเริ่มที่โอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสก่อนละกัน ” ชงหยวนพูดกอดอกก่อนจะส่งเรื่องไปให้จินที่รับหน้าที่ดังกล่าว

          อนึ่ง น้ำเสียงของเธอที่แฝงความไม่พอใจ เป็นสิ่งที่ทุกคน ๆ พยายามมองข้ามด้วยสาเหตุที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ

 

“ อะแฮ่ม! งั้นเริ่มจากโอลิเวียที่เราสงสัยว่าเป็นโกลเด้นด็อกก่อนนะ ” หลังกระแอมเสียงดัง จินก็พยายามดึงสติทุกคนกลับมาจากอารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านของชงหยวน

“ จากที่ผมเฝ้าสังเกตเธอ บุคลิกของเธอใกล้เคียงกับโกลเด้นด็อกตามข้อมูลที่ซื้อมาไม่เบาเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงแบบเป็นรูปธรรมระหว่างทั้งสองคนอยู่ดี ” จินพูดจบแล้วก็ทำหน้าเสียดายออกมา

          เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่ก็เป็นผลลัพธ์ที่คาดเอาไว้ก่อนแล้ว เพราะถ้าโอลิเวียถูกเผยตัวง่ายขนาดนั้น เธอกับชินในฐานะโกลเด้นด็อกและแองกริคราวน์คงไม่อยู่รอดในโลกมืดมาได้นานขนาดนี้

 

“ ส่วนในแง่ของความคิดความอ่าน เอาตามตรงผมอ่านความคิดของเธอไม่ออกเลย ” จินพูดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา เบาที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ ไม่หรอก ” แต่คำพูดของจินถูกชงหยวนปฏิเสธ ไม่สิ… ใช้คำว่าคัดค้านน่าจะเหมาะกว่า

“ ความคิดของยัยนั่นน่ะ มีแค่ ‘จะทำทุกอย่างเพื่อชินยะ นัวรอย’ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้หรอก ”

          ในขณะที่พูดแบบนั้นชงหยวนก็กอดอกเคาะนิ้วอย่างหงุดหงิดไปด้วย ทุกคนที่เห็นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆให้กับภาพที่เห็น

          แต่นั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยเช่นกัน

 

“ กะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะเนี่ย? ” จิ้นหงเป็นเหมือนตัวแทนของทุกคน ที่เอ่ยถามชงหยวนทั้งด้วยความสงสัยใคร่รู้และกังวล

“ ยัยนั่นกวนโอ๊ยน่ะสิ… ถึงจะกวนโอ๊ยมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็เถอะ ”

          ชงหยวนพูดแล้วคิ้วก็กระตุก สีหน้าหงุดหงิดที่ถูกถ่ายทอดออกมา แทบไม่อยากนึกเลยว่าโอลิเวียทำอะไรกับเธอไว้บ้าง

          แม้ว่าในความเป็นจริง มันจะเกิดจากการที่ทั้งชงหยวนและโอลิเวียดับเครื่องชนใส่กันเป็นประจำก็ตาม

 

“ จะ จะว่าไป… เรื่องของชินยะ นัวรอยล่ะคะท่านชงหยวน ”

“ … ”
          มี่หมินพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่เหมือนจะเป็นการโยนระเบิดลงไปจนกลายเป็นทุ่งสังหาร เพราะชงหยวนแผ่บรรยากาศน่ากลัวออกมา จนแม้แต่คนอื่นที่ถูกเธอควบคุมอยู่ในร้านยังเหงื่อตกกันหมด แน่นอนว่าพวกจินหรือมี่หมินที่เป็นคนถามเองก็ด้วย

          พอได้จิวซินที่นั่งข้าง ๆ พูดปลอบใจ เธอถึงได้กลับมาหายใจอย่างโล่งอกโล่งคอและเผยยิ้มที่ปกติคงไม่มีทางทำออกมาได้ด้วยตัวเอง การกระทำอันแสดงออกถึงความลึกซึ้งนั่นราวกับเป็นตัวยืนยันถึงความสัมพันธ์ฉันคู่รักของทั้งสอง

 

“ แหม ๆ หวานกันใหญ่เชียวนะทั้งสองคน ”

          แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่น่าอภิรมย์สำหรับจิ้นหง ที่มีท่าทีหงุดหงิดเกินกว่าเพราะว่าเป็นคนโสดที่อยู่ต่อหน้าคู่รัก ความหงุดหงิดของเธอดูท่าจะลึกซึ้งมากกว่านั้น และแน่นอนว่าเหตุผลหลักอยู่ที่ตัวบุคคลอย่างจิวซิน

          หรือพูดให้ง่ายเข้า… สถานการณ์ของจิ้นหงคือ กำลังรู้สึกหงุดหงิดที่เพื่อนสมัยเด็กอย่างจิวซินผู้ที่เธอมีใจให้กลับไปกระหนุงกระหนิงกับสาวอื่น แม้ว่าในทางปฏิบัตินั่นจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะจิวซินกับมี่หมินเป็นคู่รักกันก็ตามที

 

“ ก็ไม่ค่อยอยากจะขัดหรอกนะ… แต่จะทะเลาะกันหรือว่าจะฟังเรื่องของชินยะล่ะหืม? ” ชงหยวนพูดโพล่งขึ้นมาเช่นนั้น สับบรรยากาศคุกรุ่นจนหายไปไม่มีชิ้นดี

          แต่ในอีกแง่นึง นั่นก็ช่วยให้บรรยายกาศดีขึ้นเหมือนกัน

          ขอโทษด้วยค่ะ… จิ้นหงกับมี่หมินขอโทษออกมาพร้อมกัน ก่อนที่ชงหยวนจะกลับมาพูดต่อด้วยท่าทีจริงจังหลังจากถอนหายใจปรับอารมณ์

 

“ ถ้าพูดถึงเรื่องที่ผิดสังเกตว่าจะเป็นแองกริคราวน์ ตอนนี้ยังไม่มีหรอกนะ เขาระวังตัวมากเลยล่ะ ” ชงหยวนเอ่ยอย่างเสียดาย แต่ไม่มีใครโทษเธอ เพราะรู้กันอยู่ว่ามันเป็นงานยาก

“ ส่วนความน่าจะเป็นที่เขาคือราชาคนที่ 8 น่ะ แน่นอนว่าในทางทฤษฎีคงจะเป็นใครอื่นนอกจากเขาไม่ได้ ” ชงหยวนเปลี่ยนประเด็นหลักเป็นอีกอย่าง 

เพราะอย่างไรเสีย สาเหตุที่พวกเธอลอบเข้ามาสังเกตการณ์ระยะประชิด ก็เพื่อหาข้อพิสูจน์ทั้งสองกรณีของชินอยู่แล้ว

 

“ แต่ถ้าพูดถึงแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมศึก ฉันยังอ่านเขาไม่ออก… หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่มีกันนะ ” ชงหยวนเผยผลการเฝ้าสังเกตชินตรง ๆ ว่าเธอแทบไม่ได้อะไรเลย แม้จะเป็นคนเย่อหยิ่งแต่ในสายตาก็ยังแสดงความรู้สึกผิดต่อทุกคนออกมาอย่างซื่อตรง เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนเคารพเธอ

“ เรื่องนั้นผลีผลามเข้าหาก็ไม่ดีด้วยนี่คะ ท่านชงหยวนทำถูกแล้วค่ะ ” หนิงอันเอ่ยเสริม และทุกคนก็พยักหน้าตามเพราะเข้าใจดีว่าหากเข้าหาแบบไม่มีแผนก็มีแต่จะถูกเผยเจตนา

“ …อื้ม ขอบใจนะทุกคน ”

          ดีจริง ๆ ที่มีข้าราชบริพารดีแบบนี้… ชงหยวนคิดแบบนั้น และแม้จะไม่ได้เอ่ยออกมา แต่สายตาของเธอสื่อไปถึงทุกคนอย่างชัดเจน

 

“ ว่าแต่ ฉันก็คิดจะถามมาตั้งนานแล้วล่ะนะคะ ” หนิงอันเปิดปาก ด้วยรอยยิ้มขี้เล่นราวกับแมวเหมียวจอมจุ้น นั่นทำให้ชงหยวนขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างสงสัย

“ อย่าทำเป็นไม่รู้สิคะท่านชงหยวน ฉันหมายถึงความสัมพันธ์ของท่านกับชินยะ นัวรอยสมัยที่ยังเป็น ‘คู่หมั้น’ กันยังไงล่ะคะ〜 ” รอยยิ้มขี้เล่นที่เผยออกมาของหนิงอันทำเอาชงหยวนไหล่กระตุก

          เรื่องที่ถูกเค้นคอก็ส่วนนึง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหัวข้อ

 

“ สำคัญด้วยเหรอ? ” ชงหยวนเอ่ยถาม แม้สีหน้าและน้ำเสียงจะยังสงบ แต่ก็รู้กันอยู่ว่าเธอพยายามเบี่ยงประเด็น

“ แหม… แต่เอาจริง ๆ มันก็สำคัญอยู่นะคะ ” หนิงอันเอ่ยเสริม พร้อมกับเหลียวมองเพื่อน ๆ คนอื่น

          ใช่ป่ะ? สายตาของเธอเอ่ยถามเหมือนขอแรงสนับสนุน

 

“ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อกันหรอกนะครับ ผมเองก็อยากจะรู้เป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ” จิวซินเอ่ย แม้หน้าจะนิ่ง แต่ในน้ำเสียงแอบแฝงความกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ไม่น้อย

“ ใช่แล้วค่ะ! เพราะถ้าว่ากันตามตรง หากถ่านไฟเก่ายังร้อนอยู่มันคงเป็นปัญหาล่ะนะคะ ” 

จิ้นหงเอ่ยเสริมและหนิงอันก็พยักหน้ารับงก ๆ ตาม ราวกับต้องการจะบอกว่า ‘นี่แหล่ะคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก’

ทางมี่หมินเอง แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่เธอก็มีความสนใจเช่นกัน คงจะมีแค่จินเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ

เห็นแบบนั้นชงหยวนก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะถึงทุกคนจะทำเหมือนว่าไม่เชื่อใจตน แต่ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแบบนั้นก็เป็นตัวเธอเองที่ดันแสดงอารมณ์เหนือเหตุผลเมื่อมีเรื่องของชินยะเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกันที่ต้องไขประเด็นนี้ให้ทุกคนกระจ่าง

 

“ ให้ตายสิ… ” ชงหยวนไขว่ห้างอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเริ่มเล่า

“ ขอบอกให้ชัดเจนกันก่อนเลยนะ ว่าสำหรับฉัน เขาเป็นแค่อดีตคู่หมั้นเท่านั้น ” ชงหยวนย้ำประเด็นที่ทุกคนสงสัยให้ชัดเจนเข้าไปอีก แต่ดูเหมือนหนิงอันจะไม่ชอบเท่าไหร่

          ดูเหมือนเธอจะคาดหวังรักต้องห้ามจากราชินีตัวเองมากกว่า

          …แม้ว่าในความจริง ชงหยวนจะไม่ได้รู้สึกเพียงแค่นั้นก็ตาม

 

“ แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมทั้งบุคลิกภาพและความสามารถล่ะนะ พอมานึกดูเขาคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันยอมรับเลยล่ะ ”

“ “ ว้าว〜 ” ” หนิงอันและจิ้นหงตาเป็นประกาย ดูเหมือนพวกเธอหวังจะเห็นสายตาสาวน้อยจากชงหยวนอยู่พอควร

“ แต่ไม่ใช่ในแง่คนรักนะ เสียใจด้วย ”

“ “ บู่ ” ”

          ท้ายสุดความหวังของทั้งคู่ก็ไม่เป็นจริง จึงได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่ชงหยวน

          แต่ความจริงในส่วนลึกของจิตใจก็คงมีแต่ชงหยวนเท่านั้นที่รู้ ว่าความจริงแล้ว ความรู้สึกของเธอไปถึงจุดไหนกันแน่

 

“ เอาเป็นว่าคืนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบเมื่อวาน ฉันจะไม่ลงศึกแล้วกัน ” ชงหยวนสยายผมตัวเอง ก่อนจะพูดเลี่ยงไปประเด็นอื่น

“ รับทราบแล้วครับ ”

          จิวซินพยักหน้ารับคำสั่ง รวมถึงทุกคนเองก็น้อมศีรษะรับพร้อมกัน

 

“ แล้วก็อย่าลืมนะ ว่าต้องเคลื่อนไหวให้พวกนั้นเห็นว่าเราพยายามชิงดินแดนนี้อย่างเต็มที่ ไม่งั้นแผนเบี่ยงเบนความสนใจจะแตกเอา ” 

จินย้ำประเด็นสำคัญเสริมคำพูดของชงหยวน แม้ว่าทุดกคนอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็มีหน้าที่ต้องย้ำเตือน แต่ส่วนนึงก็เป็นเพราะบุคลิกของเขาด้วยที่เผลอทำแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

 

“ แหม ๆ ทางเธอเองก็เถอะ… ระวังอย่ารุกศัตรูหนักเกินไปล่ะ ”

“ ได้ข่าวว่าสวยน่าดูเลยนี่ โอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสน่ะ! ระวังจะไปตกหลุมรักศัตรูเข้าซะล่ะ ”

          ไม่รู้จินกลายเป็นเป้าของจิ้นหงกับหนิงอันได้อย่างไร เขาถูกทั้งสองคนยิ้มหยอกด้วยสายตาเหมือนลูกแมวจ้องงับเหยื่อ สถานการณ์ที่ชงหยวนเผชิญกลายเป็นเขาแทนที่ต้องแบกรับ

          

“ จะบ้าเหรอ ” แต่เขาดูท่าจะรับมือได้ดีกว่า 

“ ถ้าขืนทำแบบนั้น ผมคงโดน ‘ยัยนั่น’ อัดเละพอดี ”

          จินยิ้มแห้ง ๆ พลางยักไหล่ให้ทั้งสองคน ท่าทางของเขากลับกลายเป็นทำให้ทั้งจิ้นหงและหนิงอันทำสีหน้ารู้สึกผิดกันออกมาแทน

          อันที่จริงจินเองก็ไม่ได้กะจะตอกทั้งสองกลับไป เรื่องมันก็แค่บุคลิกของเขาเป็นแบบนี้

          กับอีกอย่างนึงก็คือ เบื้องหลังรอยยิ้มกับเรื่องราวระหว่างจินกับ ‘เธอคนนั้น’ ค่อนข้างหนักหน่วงมากพอที่สาว ๆ จะไม่กล้าหยอกเล่นต่อ

 

“ เอาล่ะ ๆ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน ” ก่อนที่บรรยากาศที่สร้างมาดี ๆ จะกลับกลายเป็นเสีย ชงหยวนก็ชิงตัดบทขึ้นมาแบบนั้น เสียงปรบมือเข้าด้วยกันของเธอทำให้ทุกคนกลับมาสนใจเธอเหมือนเดิม

“ ยังไงก็ตาม… ความคืบหน้าในช่วงนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เพราะไพ่ตายของเราคือช่วงทัศนศึกษา อย่าลืมเรื่องนั้นซะล่ะ ”

“ “ “ ครับ! / ค่ะ! ” ” ”

          ทั้งกลุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ตอบรับและยืนยันแผนการที่มีแต่เดิมของพวกตน

          แม้ความคืบหน้าในปัจจุบันจะแทบไม่มี แต่อย่างไรเสีย ชัยชนะอันเกิดจากแผนการไม่ได้สร้างขึ้นด้วยระยะเวลาอันสั้น และสำหรับแผนการของพวกชงหยวนเองก็เป็นเช่นนั้น

          

          โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาอันเหมาะสม… ชินคงไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองและโอลิเวียจะต้องเผชิญกับอะไรจนกว่าแผนการของชงหยวนจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง

          …แต่เวลาอันเหมาะสมที่ว่า ก็กำลังเคลื่อนเข้ามาทุกขณะ ด้วยความเร็วที่ชินซึ่งกำลังเพ่งความคิดไปที่ตัวตลกไม่อาจจับไล่ได้ทัน

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากการประชุมเล็ก ๆ คล้ายกับเป็นการสนทนาของเพื่อนร่วมชั้นจบลง ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปทำเรื่องที่สมควรทำกันต่อ และแยกกันกลับแบบเดี่ยว ๆ เพื่อลดโอกาสถูกจับผิดแม้จะมีโอกาสน้อยก็ตาม

          ชงหยวนเองก็เช่นกัน… หลังออกจากคาเฟ่ เธอก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับหอพักตามปกติเหมือนที่ผ่านมา

          ข้อแตกต่างอย่างนึงจากกิจวัตรปกติ คือการครุ่นคิดถึงใครคนนึงหลังจากที่ถูกสหายไถ่ถามเค้นคอ นั่นยิ่งทำให้เธอขจัดเรื่องดังกล่าวออกจากหัวไปไม่ได้

 

ให้ตายสิ เรานี่มันจริง ๆ เลย

          ชงหยวนคิดอย่างหงุดหงิดในขณะที่มองผ่านหน้าต่างของรถไฟฟ้า ทอดยาวออกไปถึงก้อนเมฆที่สงบราวกับหวังให้ไฟในอกที่ร้อนรุ่มเย็นลงตาม

          แต่กับจิตใจที่กำลังว้าวุ่น นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยซักนิด

 

          ชงหยวน… เด็กสาวได้แต่อยู่ในภวังค์ความคิด ว่าตอนนี้มันจะเป็นอย่างไรหากเธอกับอดีตคู่หมั้นอย่างชินยังคงมีสถานะเดิมอยู่

          แม้จะเป็นความจริงที่สถานการณ์ของประเทศเธอ ทำให้การเป็นคู่หมั้นกับชินคล้ายกับเป็นการบังคับจิตใจ และเธอเคยคิดถึงขนาดที่ว่าจะสังหารตัวเองทิ้งหากอีกฝ่ายเป็นชายไม่ได้ความ ซึ่งก็โชคดีไปที่อีกฝ่ายไม่ใช่เช่นนั้น

 

          กลับกัน… ชินทำให้ชงหยวนเปลี่ยนไปเสียด้วยซ้ำ

          กับชงหยวนที่เป็นผู้เพียบพร้อมทั้งความสามารถ หน้าตา การเงินและฐานะ ความรู้สึกอิจฉาและอยากจะเอาชนะ ชินก็เป็นคนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น

          …แน่นอนว่าความรักเองก็เช่นกัน

 

ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้เขาเป็นทั้งแองกริคราวน์หรือราชาคนที่ 8 เลย

          ชงหยวนคิดแบบนั้นจากใจจริงในขณะที่มองผ่านหมู่เมฆที่อยู่นิ่ง แต่การเคลื่อนไหวมาจากตัวเธอเองทำเสมือนเมฆนั้นกำลังล่องลอยห่างออกไป ยิ่งทำให้ชงหยวนจมปลักกับความคิดแบบนั้น

          เป็นเธอเองที่เว้นระยะห่างจากชิน และเป็นเธอเองที่ส่งจิตสังหารใส่ชินแม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาจริง ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อปณิธานของเธอที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกอันเน่าเฟะใบนี้ให้ดีขึ้นในแบบฉบับของเธอ

 

“ นี่ ๆ น่ารักจังเลยนะน้องสาว ”

“ เย็นนี้ว่างป่าว? สนใจไปเที่ยวกับพวกพี่ไหมจ๊ะ? ”

          ขณะที่กำลังใช้ความคิด ชงหยวนไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกชายหนุ่มสองคนเข้ามาหลี

          ไม่สิ… หากจะให้ชี้ชัด เธอรู้ตัวแต่ไม่ได้สนใจต่างหาก เพราะอย่างไรเสีย เรื่องของชินที่เธอกำลังคิดอยู่ย่อมสำคัญกว่าชายหนุ่มอันธรพาลสองคนที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องผสมพันธุ์แน่นอนอยู่แล้ว

 

“ นี่ ๆ อย่าทำเป็นเมินกันสิ———!!!? ”

หากจะให้ชี้ชัดยิ่งกว่า… ปณิธานและความมุ่งมั่นของชงหยวนที่ทำเอาเธอหมกมุ่นอย่างรุนแรง และแผ่บรรยากาศน่าขนลุกออกมาทั่วร่าง ทั้งรอยยิ้มที่เผยออกมายังส่งผลให้ตัวของชายหนุ่มสองคนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถึงกับตัวสั่นงันงก

อย่างน้อยพวกเขาก็ฉลาดพอที่จะหลีกตัวออกไปจากชงหยวนก่อนที่เรื่องน่ากลัวจะเกิดขึ้นกับพวกเขา

 

ต่อให้เรื่องราวต่อจากนี้จะโหดร้ายและเจ็บปวดสำหรับจิตใจของเด็กสาวคนนึง

แต่ถ้าการสังหารผู้ชายที่ตัวเองรักมันเป็นกุญแจที่จะสร้างโลกที่ทุกคนมีความสุขได้ล่ะก็

          ความคิดของชงหยวนยังคงหนักแน่น บางทีหากมันส่งไปถึงคนที่เธออยากจะให้รับรู้ เขาคนนั้น… ชินก็คงรู้สึกขนพองสยองเกล้าไม่เบาเช่นกัน

 

แม้ว่านั่นจะ ‘ขัดแย้ง’ กับความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจของฉัน

แต่ถ้าคุณมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของฉันล่ะก็…

 

ขอสาบาน หากมันกลายเป็นแบบนั้น… ฉันจะ ‘สังหาร’ คุณอย่างไม่ลังเลแน่

ชินยะ

          ชงหยวนตั้งปณิธานตัวเองไว้เช่นนั้น พร้อมกับย้ำเตือนตัวเองอย่างหนักแน่นเพื่อไม่ให้ลืมทั้งรากเหง้าความรู้สึกและเป้าหมายในชีวิตตนเองในเวลาเดียวกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 30: ปณิธานของชงหยวน

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 30: ปณิธานของชงหยวน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          หลังเวลาเลิกเรียน เป็นธรรมดาที่นักเรียนจากทุกแห่งจะคับคั่งไปทั่วท้องถนน

          ส่วนใหญ่มักไปกันเป็นกลุ่ม แวะตามสถานที่ที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่มักจะไปกัน อาทิเช่นร้านขายของ ร้านขนมริมทาง ร้านหนังสือ ร้านเกม

          หรือร้านคาเฟ่

 

“ ว้าว… สามคนนั้นหน้าตาดีจังเลยอ่ะ ”

“ นั่นสิ ๆ เป็นนางแบบรึเปล่า? ”

          เสียงกระซิบมาจากในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้นเสียงเป็นนักเรียนหญิง ที่ส่งไปยังโต๊ะหนึ่งที่อยู่ในร้านคาเฟ่แห่งเดียวกัน

          โดยสาเหตุก็มาจากนักเรียนกลุ่มที่นั่งโต๊ะดังกล่าว มีแต่คนหน้าตาดีทั้งที่อยู่ในเพศชายและหญิงนั่นแล แถมยังมาจากต่างโรงเรียนกันอีกด้วย

 

“ แบบนี้มันจะไม่เป็นจุดเด่นเกินไปหน่อยเหรอ ” เด็กสาวไว้ผมหางม้าสีน้ำตาลเอ่ยออกมาด้วยความรำคาญ

“ ก็ไม่ใช่ความผิดของเราซะหน่อยนี่นา ” เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มผมเงินที่มีกล้ามเนื้อกำยำแต่รูปร่างยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ท่าทางสบาย ๆ จากที่กำลังนั่งกอดอกกน้านิ่งของเขาดูไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น

“ ถะ ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็เถอะ ”

          สุดท้ายคือเด็กสาวผมดำขลับไว้ทรงสั้นรวบไว้ด้านหลัง ท่าทางของเธอดูประหม่ากับสายตาจากโต๊ะอื่นมากที่สุดในกลุ่ม

          อนึ่ง ในส่วนของชุดนักเรียน ทั้งสามคนใส่ชุดที่มีลักษณะการออกแบบคล้ายคลึงกัน เป็นสิ่งบ่งบอกว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากโรงเรียนเดียวกัน ซึ่งการที่ทั้งสามนั่งโต๊ะเดียวกันอยู่แล้วจึงไม่ใช่สิ่งแปลกตาแต่อย่างใด

 

          …นอกเสียจากจะมีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นมาสมทบ

 

“ ว่าไงทุกคน เป็นจุดสนใจน่าดูเลยนี่ ”

          นักเรียนสาวอีกคนเดินเข้ามาสมทบยิ่งดึงดูดสายตาของทุกคู่ให้เข้าหาโดยเฉพาะผู้ชาย ความงดงามของเธอโดดเด่นถึงเพียงนั้น แถมชุดนักเรียนหญิงของโรงเรียนอันดับ 1 ในย่านนี้อย่างเซนต์ลอเรนซ์ยังช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดให้เธออีก

          แต่สำหรับทั้งสามคนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ เธอไม่เพียงแค่น่าดึงดูด แต่ยังเป็นที่เคารพอีกด้วย เพราะทั้งสามคนต่างก็รีบลุกขึ้นราวกับทำความเคารพในทันทีที่เธอเอ่ย

 

          ทางเจ้าตัวที่ถูกยืนต้อนรับทำแค่ยกมือขึ้นรับทราบก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งที่ทัดเทียม ท่าทางของเธอราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์ยังไงอย่างงั้น

          แต่ในอีกแง่นึง เธอก็เป็นราชินีจริง ๆ

 

“ สวัสดีทุกคน ”

“ ยะโฮ! แข็งแรงกันเหมือนเดิมนะ! ”

          อนึ่งเธอไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีผู้ติดตามอีกสองคน

          คนนึงเป็นนักเรียนหนุ่มผมบลอนด์ในชุดแบบเดียวกับเธอ กล่าวคือมาจากโรงเรียนเซนต์ลอเรนซ์เช่นเดียวกับเธอ ส่วนอีกคนเป็นนักเรียนหญิงผมยาวสีดำ แต่ใส่ชุดนักเรียนแตกต่างจากทั้งสามคนที่มาก่อนและอีกสองคนที่มาทีหลัง

 

“ สวัสดีค่ะท่านชงหยวน ” เด็กสาวผมหางม้าเป็นตัวแทนเอ่ยทักทาย

“ อย่าเรียกแบบนั้นสิ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้พลัง อาจจะมีคนได้ยินก็ได้ ”

“ ครับ / ค่ะ ”

          ทั้งกลุ่มตอบกลับเด็กสาว… ตอบกลับชงหยวนอย่างนอบน้อม เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นถึง ‘ราชา’ พวกเขา

 

ใช่… นักเรียนทั้ง 6 คนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกชิงปกครองโลกทั้งสิ้น ทั้งหมดคือกองทัพขนาดย่อมที่มีขุนพลเป็นราชาจากประเทศเขตที่ 86 อย่างชงหยวน

          ชายผมบลอนด์ที่สวมชุดนักเรียนเดียวกับชงหยวน แน่นอนว่าคือจินหรือหู่ อัศวินนักษัตรประจำราศีขาลนั่นเอง

นักเรียนหญิงผมทรงหางม้าชื่อจิ้นหง(荩鸿) เธอเป็นอัศวินนักษัตรในนามของหนูหรือสู่(鼠)

          ชายผมเงินที่มีกล้ามเนื้อแน่นหนา ชื่อจิวซิน(阄芯) เขาเป็นอัศวินนักษัตรราศีวัวผู้ได้รับสมญานามว่าหนิว

          นักเรียนหญิงผมดำทรงสั้นรวบท่าทางเขินอาย คือมี่หมิน(秘民) อัศวินนักษัตรกระต่ายหรือทู่

          ท้ายสุดคือนักเรียนหญิงผมดำท่าทางร่าเริงในชุดนักเรียนต่างจากทุกคน เธอชื่อหนิงอัน(宁安) เป็นอัศวินนักษัตรนามว่าโหว(猴) หรือลิงนั่นเอง

          ทั้ง 6 คนที่นั่งรวมกันตรงโต๊ะใหญ่ริมหน้าต่าง หากมองเพียงผิวเผินก็คงไม่ต่างจากเพื่อนต่างโรงเรียนที่นัดเจอกันนานทีปีหนเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน

          จะติดก็เพียงอย่างเดียว คือพวกเขาทั้ง 6 คนไม่ใช่นักเรียน ม. ปลายธรรมดา

          และอีกสิ่งที่น่าเสียดาย คืออัศวินนักษัตรที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาอย่าง ‘มังกร’ ไม่สามารถมาเข้าร่วมบทสนทนาได้ เพราะเผ่าพันธุ์ของเขาหาได้ยากในเขตประเทศที่ 66 แห่งนี้ จึวไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะออกมาปรากฏตัวตามท้องถนนให้เป็นที่จับตาสงสัย

 

“ ว่าแต่ แบบนี้มันจะน่ารำคาญไปหน่อยมั้งเนี่ย ”

          ชงหยวนบ่นในขณะที่มองกวาดไปรอบ ๆ สังเกตสายตาที่มองมายังกลุ่มของตน แต่เกือบจะทั้งหมดก็เพ่งมาที่เธอนั่นแหล่ะ

          แม้จะเข้าใจถึงเสน่ห์ดึงดูดของตัวเอง แต่ยังไงเธอก็รู้สึกรำคาญใจอยู่ดี

 

“ เงียบแล้วทำเป็นไม่เห็นซะ! ”

เพี๊ยะ!

          ชงหยวนตะโกนเสียงดังลั่นร้านด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวออกคำสั่ง ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดังเพื่อเน้นความสำคัญ หากมีคนที่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็คงสงสัยว่าชงหยวนทำท่าทางวางท่าอวดบารมีแบบนั้นไปทำไม 

…จนกระทั่งเรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

“ ค่ะ… / ครับ… ”

          นักเรียนทุกคนที่อยู่ในร้านคาเฟ่ พนักงาน แม้แต่แม่บ้านทำความสะอาดต่างก็หยุดทำกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ราวเวลาหยุดนิ่ง ดวงตาของทุกคนกลับกลายเป็นไร้ประกาย ก่อนจะตอบรับคำสั่งของชงหยวนด้วยน้ำเสียงโมโนโทนราวกับเป็นหุ่นยนต์ยังไงอย่างงั้น

          ก่อนจะกลับไปทำเรื่องที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้สนใจการมีอยู่ของพวกชงหยวนดังที่เจ้าตัวออกคำสั่ง

 

“ เห็นกี่ทีก็สยองนะคะเนี่ย อะฮะฮะ ” หนิงอันที่ตามชงหยวนมาด้วยกันหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับภาพที่น่าเหลือเชื่อ

          แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่เธอก็ไม่เคยจะชินเสียที

 

“ แต่แบบนี้ก็สะดวกไปอีกแบบล่ะนะครับ ”

“ นะ นั่นสินะคะ ”

          จิวซินและมี่หมินเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

          และไม่รู้ทำไม แต่ความพร้อมเพรียงของทั้งสองคน ทำให้จิ้นหงรู้สึกไม่พอใจจนแอบทำแก้มป่องใส่จิวซิน ท่าทางนั่นเป็นที่อมยิ้มของคนทั้งกลุ่ม

 

“ เอาเถอะ ยังไงเรื่องสารทุกข์สุขดิบก็ขอให้พอเท่านี้ก่อนนะทุกคน ” ชงหยวนว่าพลางปรบมือเข้าด้วยกันเพื่อดึงความสนใจทุกคนกลับมา

“ นั่นสินะ ยังไงหัวข้อหลักวันนี้ก็เป็นความคืบหน้าแผนการของท่านชงหยวน ” จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียดเพื่อให้ทุกคนจริงจังกันมากขึ้น

“ ถูกต้อง งั้นก่อนอื่นมาอัพเดทสถานการณ์กันก่อน ”

          อย่างไรเสีย ชงหยวนก็เป็นหัวหน้า เธอจึงเป็นคนเปิดประชุม ท่าทางทะมัดทะแมงของเธอเป็นสิ่งยืนยันความสามารถในฐานะผู้นำของชงหยวน

 

“ จากศึกที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้… คิดว่าแผนการดึงดูดความสนใจน่าจะใช้ได้ผลพอดูนะคะ แต่จะยืนยันผลลัพธ์ก็คงต้องดูคืนนี้อีกทีค่ะ ” หนิงอันผู้รับหน้าที่เป็นทั้งเสนาธิการและพลลาดตระเวนของชงหยวนเป็นคนสรุปให้ฟัง

          เช่นไรก็ตาม สำหรับทุกศึกเธอที่รับหน้าที่เป็น ‘ลิง’ นั้น มีหน้าที่สังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว เพราะมีพลังที่เหมาะจะทำเช่นนั้น รวมถึงความสามารถในการสู้รบของเธอถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาอัศวินนักษัตร

 

“ แต่เราก็เล่นไปหนักพอดูนะครับ ”

“ เห็นด้วยครับ ”

          ทั้งจินและจิวซินเอ่ยเสริมแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ชงหยวนเอาจริงที่ใช้ตราราชันย์ถล่มเมืองหลวงไปเป็นวงกว้างจนทำให้มีคนธรรมดาเดือดร้อนมากมาย

 

“ เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ” ชงหยวนเอ่ยตอบทันที

“ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ต้องขอบคุณพวกเธอที่ทำให้ไม่มีคนเสียชีวิต ขอบคุณมากนะ ”

          ชงหยวนเอ่ยแบบนั้นก่อนจะค้อมหัวลงเล็ก ๆ เป็นไม่กี่ครั้งที่เธอจะแสดงความขอบคุณอย่างสมเหตุสมผล

          เพราะหากจะว่าไป ตั้งแต่เริ่มต้น เธอไม่มีเจตนาที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครทั้งสิ้นหาก ‘ไม่มีทางเลือกจริง ๆ’ และเธอก็เข้าใจดีว่านั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะป่าวประกาศความชอบธรรม เพราะการทำแบบนั้น ไม่ว่าจะในแง่ไหนก็เป็นเรื่องผิด

          ดังนั้นที่เธอทำได้ ก็มีแต่ทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

“ จะว่าไป ‘เป้าหมาย’ เป็นยังไงบ้างเหรอคะ? ”

          มี่หมินถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่แค่เธอหรอก คนอื่นที่ไม่ได้มีหน้าที่นั้นเองก็อยากรู้ผลลัพธ์เช่นกัน

          เพราะนั่นเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของการแทรกซึมเข้ามาในประเทศเขตที่ 66 นี้นั่นแหล่ะ

 

“ นั่นสินะ งั้นเริ่มที่โอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสก่อนละกัน ” ชงหยวนพูดกอดอกก่อนจะส่งเรื่องไปให้จินที่รับหน้าที่ดังกล่าว

          อนึ่ง น้ำเสียงของเธอที่แฝงความไม่พอใจ เป็นสิ่งที่ทุกคน ๆ พยายามมองข้ามด้วยสาเหตุที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ

 

“ อะแฮ่ม! งั้นเริ่มจากโอลิเวียที่เราสงสัยว่าเป็นโกลเด้นด็อกก่อนนะ ” หลังกระแอมเสียงดัง จินก็พยายามดึงสติทุกคนกลับมาจากอารมณ์ที่กำลังพลุกพล่านของชงหยวน

“ จากที่ผมเฝ้าสังเกตเธอ บุคลิกของเธอใกล้เคียงกับโกลเด้นด็อกตามข้อมูลที่ซื้อมาไม่เบาเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงแบบเป็นรูปธรรมระหว่างทั้งสองคนอยู่ดี ” จินพูดจบแล้วก็ทำหน้าเสียดายออกมา

          เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่ก็เป็นผลลัพธ์ที่คาดเอาไว้ก่อนแล้ว เพราะถ้าโอลิเวียถูกเผยตัวง่ายขนาดนั้น เธอกับชินในฐานะโกลเด้นด็อกและแองกริคราวน์คงไม่อยู่รอดในโลกมืดมาได้นานขนาดนี้

 

“ ส่วนในแง่ของความคิดความอ่าน เอาตามตรงผมอ่านความคิดของเธอไม่ออกเลย ” จินพูดแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา เบาที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ ไม่หรอก ” แต่คำพูดของจินถูกชงหยวนปฏิเสธ ไม่สิ… ใช้คำว่าคัดค้านน่าจะเหมาะกว่า

“ ความคิดของยัยนั่นน่ะ มีแค่ ‘จะทำทุกอย่างเพื่อชินยะ นัวรอย’ แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้หรอก ”

          ในขณะที่พูดแบบนั้นชงหยวนก็กอดอกเคาะนิ้วอย่างหงุดหงิดไปด้วย ทุกคนที่เห็นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆให้กับภาพที่เห็น

          แต่นั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยเช่นกัน

 

“ กะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะเนี่ย? ” จิ้นหงเป็นเหมือนตัวแทนของทุกคน ที่เอ่ยถามชงหยวนทั้งด้วยความสงสัยใคร่รู้และกังวล

“ ยัยนั่นกวนโอ๊ยน่ะสิ… ถึงจะกวนโอ๊ยมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วก็เถอะ ”

          ชงหยวนพูดแล้วคิ้วก็กระตุก สีหน้าหงุดหงิดที่ถูกถ่ายทอดออกมา แทบไม่อยากนึกเลยว่าโอลิเวียทำอะไรกับเธอไว้บ้าง

          แม้ว่าในความเป็นจริง มันจะเกิดจากการที่ทั้งชงหยวนและโอลิเวียดับเครื่องชนใส่กันเป็นประจำก็ตาม

 

“ จะ จะว่าไป… เรื่องของชินยะ นัวรอยล่ะคะท่านชงหยวน ”

“ … ”
          มี่หมินพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่เหมือนจะเป็นการโยนระเบิดลงไปจนกลายเป็นทุ่งสังหาร เพราะชงหยวนแผ่บรรยากาศน่ากลัวออกมา จนแม้แต่คนอื่นที่ถูกเธอควบคุมอยู่ในร้านยังเหงื่อตกกันหมด แน่นอนว่าพวกจินหรือมี่หมินที่เป็นคนถามเองก็ด้วย

          พอได้จิวซินที่นั่งข้าง ๆ พูดปลอบใจ เธอถึงได้กลับมาหายใจอย่างโล่งอกโล่งคอและเผยยิ้มที่ปกติคงไม่มีทางทำออกมาได้ด้วยตัวเอง การกระทำอันแสดงออกถึงความลึกซึ้งนั่นราวกับเป็นตัวยืนยันถึงความสัมพันธ์ฉันคู่รักของทั้งสอง

 

“ แหม ๆ หวานกันใหญ่เชียวนะทั้งสองคน ”

          แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่น่าอภิรมย์สำหรับจิ้นหง ที่มีท่าทีหงุดหงิดเกินกว่าเพราะว่าเป็นคนโสดที่อยู่ต่อหน้าคู่รัก ความหงุดหงิดของเธอดูท่าจะลึกซึ้งมากกว่านั้น และแน่นอนว่าเหตุผลหลักอยู่ที่ตัวบุคคลอย่างจิวซิน

          หรือพูดให้ง่ายเข้า… สถานการณ์ของจิ้นหงคือ กำลังรู้สึกหงุดหงิดที่เพื่อนสมัยเด็กอย่างจิวซินผู้ที่เธอมีใจให้กลับไปกระหนุงกระหนิงกับสาวอื่น แม้ว่าในทางปฏิบัตินั่นจะไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะจิวซินกับมี่หมินเป็นคู่รักกันก็ตามที

 

“ ก็ไม่ค่อยอยากจะขัดหรอกนะ… แต่จะทะเลาะกันหรือว่าจะฟังเรื่องของชินยะล่ะหืม? ” ชงหยวนพูดโพล่งขึ้นมาเช่นนั้น สับบรรยากาศคุกรุ่นจนหายไปไม่มีชิ้นดี

          แต่ในอีกแง่นึง นั่นก็ช่วยให้บรรยายกาศดีขึ้นเหมือนกัน

          ขอโทษด้วยค่ะ… จิ้นหงกับมี่หมินขอโทษออกมาพร้อมกัน ก่อนที่ชงหยวนจะกลับมาพูดต่อด้วยท่าทีจริงจังหลังจากถอนหายใจปรับอารมณ์

 

“ ถ้าพูดถึงเรื่องที่ผิดสังเกตว่าจะเป็นแองกริคราวน์ ตอนนี้ยังไม่มีหรอกนะ เขาระวังตัวมากเลยล่ะ ” ชงหยวนเอ่ยอย่างเสียดาย แต่ไม่มีใครโทษเธอ เพราะรู้กันอยู่ว่ามันเป็นงานยาก

“ ส่วนความน่าจะเป็นที่เขาคือราชาคนที่ 8 น่ะ แน่นอนว่าในทางทฤษฎีคงจะเป็นใครอื่นนอกจากเขาไม่ได้ ” ชงหยวนเปลี่ยนประเด็นหลักเป็นอีกอย่าง 

เพราะอย่างไรเสีย สาเหตุที่พวกเธอลอบเข้ามาสังเกตการณ์ระยะประชิด ก็เพื่อหาข้อพิสูจน์ทั้งสองกรณีของชินอยู่แล้ว

 

“ แต่ถ้าพูดถึงแรงจูงใจที่จะเข้าร่วมศึก ฉันยังอ่านเขาไม่ออก… หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่มีกันนะ ” ชงหยวนเผยผลการเฝ้าสังเกตชินตรง ๆ ว่าเธอแทบไม่ได้อะไรเลย แม้จะเป็นคนเย่อหยิ่งแต่ในสายตาก็ยังแสดงความรู้สึกผิดต่อทุกคนออกมาอย่างซื่อตรง เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนเคารพเธอ

“ เรื่องนั้นผลีผลามเข้าหาก็ไม่ดีด้วยนี่คะ ท่านชงหยวนทำถูกแล้วค่ะ ” หนิงอันเอ่ยเสริม และทุกคนก็พยักหน้าตามเพราะเข้าใจดีว่าหากเข้าหาแบบไม่มีแผนก็มีแต่จะถูกเผยเจตนา

“ …อื้ม ขอบใจนะทุกคน ”

          ดีจริง ๆ ที่มีข้าราชบริพารดีแบบนี้… ชงหยวนคิดแบบนั้น และแม้จะไม่ได้เอ่ยออกมา แต่สายตาของเธอสื่อไปถึงทุกคนอย่างชัดเจน

 

“ ว่าแต่ ฉันก็คิดจะถามมาตั้งนานแล้วล่ะนะคะ ” หนิงอันเปิดปาก ด้วยรอยยิ้มขี้เล่นราวกับแมวเหมียวจอมจุ้น นั่นทำให้ชงหยวนขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างสงสัย

“ อย่าทำเป็นไม่รู้สิคะท่านชงหยวน ฉันหมายถึงความสัมพันธ์ของท่านกับชินยะ นัวรอยสมัยที่ยังเป็น ‘คู่หมั้น’ กันยังไงล่ะคะ〜 ” รอยยิ้มขี้เล่นที่เผยออกมาของหนิงอันทำเอาชงหยวนไหล่กระตุก

          เรื่องที่ถูกเค้นคอก็ส่วนนึง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหัวข้อ

 

“ สำคัญด้วยเหรอ? ” ชงหยวนเอ่ยถาม แม้สีหน้าและน้ำเสียงจะยังสงบ แต่ก็รู้กันอยู่ว่าเธอพยายามเบี่ยงประเด็น

“ แหม… แต่เอาจริง ๆ มันก็สำคัญอยู่นะคะ ” หนิงอันเอ่ยเสริม พร้อมกับเหลียวมองเพื่อน ๆ คนอื่น

          ใช่ป่ะ? สายตาของเธอเอ่ยถามเหมือนขอแรงสนับสนุน

 

“ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อกันหรอกนะครับ ผมเองก็อยากจะรู้เป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ” จิวซินเอ่ย แม้หน้าจะนิ่ง แต่ในน้ำเสียงแอบแฝงความกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ไม่น้อย

“ ใช่แล้วค่ะ! เพราะถ้าว่ากันตามตรง หากถ่านไฟเก่ายังร้อนอยู่มันคงเป็นปัญหาล่ะนะคะ ” 

จิ้นหงเอ่ยเสริมและหนิงอันก็พยักหน้ารับงก ๆ ตาม ราวกับต้องการจะบอกว่า ‘นี่แหล่ะคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก’

ทางมี่หมินเอง แม้จะไม่ได้แสดงออก แต่เธอก็มีความสนใจเช่นกัน คงจะมีแค่จินเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ

เห็นแบบนั้นชงหยวนก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะถึงทุกคนจะทำเหมือนว่าไม่เชื่อใจตน แต่ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกแบบนั้นก็เป็นตัวเธอเองที่ดันแสดงอารมณ์เหนือเหตุผลเมื่อมีเรื่องของชินยะเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกันที่ต้องไขประเด็นนี้ให้ทุกคนกระจ่าง

 

“ ให้ตายสิ… ” ชงหยวนไขว่ห้างอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเริ่มเล่า

“ ขอบอกให้ชัดเจนกันก่อนเลยนะ ว่าสำหรับฉัน เขาเป็นแค่อดีตคู่หมั้นเท่านั้น ” ชงหยวนย้ำประเด็นที่ทุกคนสงสัยให้ชัดเจนเข้าไปอีก แต่ดูเหมือนหนิงอันจะไม่ชอบเท่าไหร่

          ดูเหมือนเธอจะคาดหวังรักต้องห้ามจากราชินีตัวเองมากกว่า

          …แม้ว่าในความจริง ชงหยวนจะไม่ได้รู้สึกเพียงแค่นั้นก็ตาม

 

“ แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมทั้งบุคลิกภาพและความสามารถล่ะนะ พอมานึกดูเขาคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันยอมรับเลยล่ะ ”

“ “ ว้าว〜 ” ” หนิงอันและจิ้นหงตาเป็นประกาย ดูเหมือนพวกเธอหวังจะเห็นสายตาสาวน้อยจากชงหยวนอยู่พอควร

“ แต่ไม่ใช่ในแง่คนรักนะ เสียใจด้วย ”

“ “ บู่ ” ”

          ท้ายสุดความหวังของทั้งคู่ก็ไม่เป็นจริง จึงได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่ชงหยวน

          แต่ความจริงในส่วนลึกของจิตใจก็คงมีแต่ชงหยวนเท่านั้นที่รู้ ว่าความจริงแล้ว ความรู้สึกของเธอไปถึงจุดไหนกันแน่

 

“ เอาเป็นว่าคืนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบเมื่อวาน ฉันจะไม่ลงศึกแล้วกัน ” ชงหยวนสยายผมตัวเอง ก่อนจะพูดเลี่ยงไปประเด็นอื่น

“ รับทราบแล้วครับ ”

          จิวซินพยักหน้ารับคำสั่ง รวมถึงทุกคนเองก็น้อมศีรษะรับพร้อมกัน

 

“ แล้วก็อย่าลืมนะ ว่าต้องเคลื่อนไหวให้พวกนั้นเห็นว่าเราพยายามชิงดินแดนนี้อย่างเต็มที่ ไม่งั้นแผนเบี่ยงเบนความสนใจจะแตกเอา ” 

จินย้ำประเด็นสำคัญเสริมคำพูดของชงหยวน แม้ว่าทุดกคนอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เขาก็มีหน้าที่ต้องย้ำเตือน แต่ส่วนนึงก็เป็นเพราะบุคลิกของเขาด้วยที่เผลอทำแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

 

“ แหม ๆ ทางเธอเองก็เถอะ… ระวังอย่ารุกศัตรูหนักเกินไปล่ะ ”

“ ได้ข่าวว่าสวยน่าดูเลยนี่ โอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสน่ะ! ระวังจะไปตกหลุมรักศัตรูเข้าซะล่ะ ”

          ไม่รู้จินกลายเป็นเป้าของจิ้นหงกับหนิงอันได้อย่างไร เขาถูกทั้งสองคนยิ้มหยอกด้วยสายตาเหมือนลูกแมวจ้องงับเหยื่อ สถานการณ์ที่ชงหยวนเผชิญกลายเป็นเขาแทนที่ต้องแบกรับ

          

“ จะบ้าเหรอ ” แต่เขาดูท่าจะรับมือได้ดีกว่า 

“ ถ้าขืนทำแบบนั้น ผมคงโดน ‘ยัยนั่น’ อัดเละพอดี ”

          จินยิ้มแห้ง ๆ พลางยักไหล่ให้ทั้งสองคน ท่าทางของเขากลับกลายเป็นทำให้ทั้งจิ้นหงและหนิงอันทำสีหน้ารู้สึกผิดกันออกมาแทน

          อันที่จริงจินเองก็ไม่ได้กะจะตอกทั้งสองกลับไป เรื่องมันก็แค่บุคลิกของเขาเป็นแบบนี้

          กับอีกอย่างนึงก็คือ เบื้องหลังรอยยิ้มกับเรื่องราวระหว่างจินกับ ‘เธอคนนั้น’ ค่อนข้างหนักหน่วงมากพอที่สาว ๆ จะไม่กล้าหยอกเล่นต่อ

 

“ เอาล่ะ ๆ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน ” ก่อนที่บรรยากาศที่สร้างมาดี ๆ จะกลับกลายเป็นเสีย ชงหยวนก็ชิงตัดบทขึ้นมาแบบนั้น เสียงปรบมือเข้าด้วยกันของเธอทำให้ทุกคนกลับมาสนใจเธอเหมือนเดิม

“ ยังไงก็ตาม… ความคืบหน้าในช่วงนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เพราะไพ่ตายของเราคือช่วงทัศนศึกษา อย่าลืมเรื่องนั้นซะล่ะ ”

“ “ “ ครับ! / ค่ะ! ” ” ”

          ทั้งกลุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ตอบรับและยืนยันแผนการที่มีแต่เดิมของพวกตน

          แม้ความคืบหน้าในปัจจุบันจะแทบไม่มี แต่อย่างไรเสีย ชัยชนะอันเกิดจากแผนการไม่ได้สร้างขึ้นด้วยระยะเวลาอันสั้น และสำหรับแผนการของพวกชงหยวนเองก็เป็นเช่นนั้น

          

          โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาอันเหมาะสม… ชินคงไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองและโอลิเวียจะต้องเผชิญกับอะไรจนกว่าแผนการของชงหยวนจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง

          …แต่เวลาอันเหมาะสมที่ว่า ก็กำลังเคลื่อนเข้ามาทุกขณะ ด้วยความเร็วที่ชินซึ่งกำลังเพ่งความคิดไปที่ตัวตลกไม่อาจจับไล่ได้ทัน

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากการประชุมเล็ก ๆ คล้ายกับเป็นการสนทนาของเพื่อนร่วมชั้นจบลง ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปทำเรื่องที่สมควรทำกันต่อ และแยกกันกลับแบบเดี่ยว ๆ เพื่อลดโอกาสถูกจับผิดแม้จะมีโอกาสน้อยก็ตาม

          ชงหยวนเองก็เช่นกัน… หลังออกจากคาเฟ่ เธอก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับหอพักตามปกติเหมือนที่ผ่านมา

          ข้อแตกต่างอย่างนึงจากกิจวัตรปกติ คือการครุ่นคิดถึงใครคนนึงหลังจากที่ถูกสหายไถ่ถามเค้นคอ นั่นยิ่งทำให้เธอขจัดเรื่องดังกล่าวออกจากหัวไปไม่ได้

 

ให้ตายสิ เรานี่มันจริง ๆ เลย

          ชงหยวนคิดอย่างหงุดหงิดในขณะที่มองผ่านหน้าต่างของรถไฟฟ้า ทอดยาวออกไปถึงก้อนเมฆที่สงบราวกับหวังให้ไฟในอกที่ร้อนรุ่มเย็นลงตาม

          แต่กับจิตใจที่กำลังว้าวุ่น นั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยซักนิด

 

          ชงหยวน… เด็กสาวได้แต่อยู่ในภวังค์ความคิด ว่าตอนนี้มันจะเป็นอย่างไรหากเธอกับอดีตคู่หมั้นอย่างชินยังคงมีสถานะเดิมอยู่

          แม้จะเป็นความจริงที่สถานการณ์ของประเทศเธอ ทำให้การเป็นคู่หมั้นกับชินคล้ายกับเป็นการบังคับจิตใจ และเธอเคยคิดถึงขนาดที่ว่าจะสังหารตัวเองทิ้งหากอีกฝ่ายเป็นชายไม่ได้ความ ซึ่งก็โชคดีไปที่อีกฝ่ายไม่ใช่เช่นนั้น

 

          กลับกัน… ชินทำให้ชงหยวนเปลี่ยนไปเสียด้วยซ้ำ

          กับชงหยวนที่เป็นผู้เพียบพร้อมทั้งความสามารถ หน้าตา การเงินและฐานะ ความรู้สึกอิจฉาและอยากจะเอาชนะ ชินก็เป็นคนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น

          …แน่นอนว่าความรักเองก็เช่นกัน

 

ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้เขาเป็นทั้งแองกริคราวน์หรือราชาคนที่ 8 เลย

          ชงหยวนคิดแบบนั้นจากใจจริงในขณะที่มองผ่านหมู่เมฆที่อยู่นิ่ง แต่การเคลื่อนไหวมาจากตัวเธอเองทำเสมือนเมฆนั้นกำลังล่องลอยห่างออกไป ยิ่งทำให้ชงหยวนจมปลักกับความคิดแบบนั้น

          เป็นเธอเองที่เว้นระยะห่างจากชิน และเป็นเธอเองที่ส่งจิตสังหารใส่ชินแม้ว่าจะไม่ใช่เจตนาจริง ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อปณิธานของเธอที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกอันเน่าเฟะใบนี้ให้ดีขึ้นในแบบฉบับของเธอ

 

“ นี่ ๆ น่ารักจังเลยนะน้องสาว ”

“ เย็นนี้ว่างป่าว? สนใจไปเที่ยวกับพวกพี่ไหมจ๊ะ? ”

          ขณะที่กำลังใช้ความคิด ชงหยวนไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกชายหนุ่มสองคนเข้ามาหลี

          ไม่สิ… หากจะให้ชี้ชัด เธอรู้ตัวแต่ไม่ได้สนใจต่างหาก เพราะอย่างไรเสีย เรื่องของชินที่เธอกำลังคิดอยู่ย่อมสำคัญกว่าชายหนุ่มอันธรพาลสองคนที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องผสมพันธุ์แน่นอนอยู่แล้ว

 

“ นี่ ๆ อย่าทำเป็นเมินกันสิ———!!!? ”

หากจะให้ชี้ชัดยิ่งกว่า… ปณิธานและความมุ่งมั่นของชงหยวนที่ทำเอาเธอหมกมุ่นอย่างรุนแรง และแผ่บรรยากาศน่าขนลุกออกมาทั่วร่าง ทั้งรอยยิ้มที่เผยออกมายังส่งผลให้ตัวของชายหนุ่มสองคนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถึงกับตัวสั่นงันงก

อย่างน้อยพวกเขาก็ฉลาดพอที่จะหลีกตัวออกไปจากชงหยวนก่อนที่เรื่องน่ากลัวจะเกิดขึ้นกับพวกเขา

 

ต่อให้เรื่องราวต่อจากนี้จะโหดร้ายและเจ็บปวดสำหรับจิตใจของเด็กสาวคนนึง

แต่ถ้าการสังหารผู้ชายที่ตัวเองรักมันเป็นกุญแจที่จะสร้างโลกที่ทุกคนมีความสุขได้ล่ะก็

          ความคิดของชงหยวนยังคงหนักแน่น บางทีหากมันส่งไปถึงคนที่เธออยากจะให้รับรู้ เขาคนนั้น… ชินก็คงรู้สึกขนพองสยองเกล้าไม่เบาเช่นกัน

 

แม้ว่านั่นจะ ‘ขัดแย้ง’ กับความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจของฉัน

แต่ถ้าคุณมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของฉันล่ะก็…

 

ขอสาบาน หากมันกลายเป็นแบบนั้น… ฉันจะ ‘สังหาร’ คุณอย่างไม่ลังเลแน่

ชินยะ

          ชงหยวนตั้งปณิธานตัวเองไว้เช่นนั้น พร้อมกับย้ำเตือนตัวเองอย่างหนักแน่นเพื่อไม่ให้ลืมทั้งรากเหง้าความรู้สึกและเป้าหมายในชีวิตตนเองในเวลาเดียวกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+