ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2)

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          หลังจากการทัศนศึกษาที่ยาวนานเพียงสามวันสองคืนของพวกชินได้จบลง เขารู้สึกเหมือนเรื่องราวนั้นยาวนานมากจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นติดกันในช่วงไม่กี่วันมานี้

          ทั้งเรื่องที่ชงหยวนพยายามเปิดโปงว่าตัวชินคือราชาคนที่ 8 การปรากฏตัวของตัวตลกที่ชินตามหามากว่าทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องของตัวจริงของตัวตลกที่ทำให้ชินช็อคไปเลย เพราะเขาคือฮอว์คิน อาจารย์ประจำตัวของชินครั้งสมัยที่เขายังเป็นองค์รัชทายาท ผู้สอนสั่งชินหลาย ๆ อย่างและเป็นหนึ่งในคนที่ชินยกย่องนับถือให้เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต

          แล้วชายคนนั้นก็ตายต่อหน้าชิน โดยไม่ได้ชี้แจงแถลงไขสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนเลยสักนิด แถมยังทิ้งปริศนาชิ้นใหญ่ไว้ให้ชินอีกด้วย

          แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชินหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด ตั้งคำถามกับมันและเริ่มถามตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่รึเปล่าด้วยเหมือนกัน

          และเพราะแบบนั้น…

 

“ผมจะลอบเข้าไปใน URI”

          ทันทีที่กลับมาถึงห้องพักของตัวเอง พออยู่พร้อมหน้ากับโอลิเวียและเลย์ล่าผู้เป็นอาจารย์ ชินก็บอกแผนการต่อจากนี้ให้พวกเธอฟังในทันที

          และไม่ว่าจะเป็นเพราะเนื้อความหรือท่าทีรีบร้อนในขณะพูด แต่มันทำให้โอลิเวียคิดว่าชินด้วยตัดสินใจเร็วเกินไป ซึ่งเรื่องนั้นเลย์ล่าเองก็ด้วย

          อนึ่ง ตอนนี้ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะเล็กอยู่กับพื้น มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับโอลิเวียที่จะใช้โต๊ะดังกล่าวเป็นฐานค้ำในขณะที่ยื่นตัวเข้ามาใกล้ชิน

 

“ดิฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่ามันเสี่ยงเกินไป” และแน่นอนว่าโอลิเวียคัดด้าน คิ้วที่ปกติไม่ค่อยจะขยับเขยื้อนจากนิสัยที่เยือกเย็น บัดนี้ขมวดเข้าด้วยกันอย่างกังวล ซึ่งก็สมควรกับสิ่งที่ชินพูดออกมา

“นั่นสิ อยู่ดี ๆ เป็นอะไรของเธอขึ้นมากันน่ะ?”

          เช่นเดียวกับเลย์ล่าที่กอดอกว่าแบบนั้นออกมา เธอเองก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน

          แต่อย่างน้อยเลย์ล่าก็ต่างจากโอลิเวียที่ไม่ได้ปิดโอกาสของชินไปเสียหมด และชินเองก็คิดจะอธิบายต้นสายปลายเหตุที่ตัดสินใจอย่างนั้นให้ฟังอยู่แล้ว

          เขาจึงกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่อ อย่างน้อยก็เพื่อให้โอลิเวียกับเลย์ล่าเข้าใจว่าเขาคิดมาดีแล้ว

 

“อย่างที่ได้บอกไป… ว่าอาจา————ฮอว์คินคือตัวจริงของตัวตลก แต่ความเป็นจริงแล้วตัวตลกคือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘Midnight’ ” ชินเริ่มจากประเด็นนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่เล่าให้เลย์ล่าฟังไปแล้ว

“เรื่องการตามล่าพวกมันทั้งหมดเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ต่างแค่เรื่องจำนวนเท่านั้น… แต่ว่าผมน่ะ เริ่มคิดแล้วว่าทำไมผมถึงต้องทำอย่างนั้น”

          ชินว่าแล้วก็เลื่อนมือทั้งสองข้างไปนั่งเท้าหลัง ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายในขณะพูด ความโกรธแค้นไม่ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนเหมือนกับเมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งที่ปกติถ้าพูดถึงตัวตลกดวงตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้วแท้ ๆ

          ปฏิกิริยานั้นของชินเป็นสิ่งที่โอลิเวียสังเกตได้เหมือนกัน คิ้วที่ขมวดอยู่ถึงคลายลงเล็กน้อยแต่แน่นอนว่าความเป็นห่วงยังไม่หายไปไหน

 

“แล้วตัดสินใจว่ายังไงล่ะ” 

          เลย์ล่าเองก็เห็น แต่เธอก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าชินจริงจัง เธอถึงอยากรู้ด้วยเหมือนกันว่าตอนนี้ชินมีทัศนคติกับเรื่องที่จะทำหลังจากนี้เป็นยังไง แน่นอนว่าด้วยความเป็นห่วงอย่างน้อยก็ในฐานะของอาจารย์

          ชินเห็นอย่างนั้นก็ดึงแขนกลับมานั่งหลังตรงอีกครั้ง ด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าทุกที

          …และเลย์ล่าก็รู้สึกว่ามันองอาจกว่าทุกทีด้วยเหมือนกัน

 

“ผมก่อนหน้านี้… ตั้งใจจะล้างแค้นพวกคนที่ทำลายบ้านเกิดของเรา ตั้งใจจะให้พวกมันชดใช้สิ่งที่ทำ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ตัวผมควรทำในฐานะขององค์รัชทายาท” 

          ชินว่าในขณะที่แหงนหน้ามองเพดาน หวนนึกสภาพของตัวเองที่ผ่านมา นั่นยิ่งทำให้ชินตระหนักถึงสิ่งที่ควรจะทำ และอีกนัยนึงมันคือสิ่งที่ชินคิดว่าถูกต้องแต่ได้มองข้ามมันไปเพราะอารมณ์ส่วนตัวมาตลอด

 

“แต่ว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่…” ชินว่าแล้วก็เลื่อนสายตาลงกลับมามองเลย์ล่า

“ทั้งเรื่องความรับผิดชอบในฐานะหน้าที่ขององค์ชาย หรือเรื่องที่ตั้งใจจะจับพวกนั้นมาลงทัณฑ์ในฐานะของความยุติธรรม ทั้งหมดนั่นเป็นแค่ข้ออ้างในการเอาความโกรธแค้นของผมไปลงที่พวกมันเท่านั้น” ชินพูดไปมือก็เริ่มกำแน่นอย่างหงุดหงิด และไม่ใช่หงุดหงิดใครที่ไหนหากแต่เป็นการกล่าวโทษตัวเขาเอง

          โอลิเวียเห็นอย่างงั้นก็เป็นห่วงถึงกับขยับเข้ามาใกล้ ๆ แล้วรีบเลื่อนมือไปสัมผัสกับมือที่กำลังกำแน่นของชิน

          แต่ว่า มือที่กำแน่นอยู่ของชินก็คลายลงก่อนหน้าที่โอลิเวียจะช่วยปลอบโยนเขาเสียอีก

 

“ตอนนี้ผมจะไม่ตั้งเป้าไปที่ความแก้แค้น แต่เป็นการรู้เรื่องราวเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น… ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ถึงตอนนั้นผมถึงจะพูดได้เต็มปากว่าสามารถจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางได้อย่างถูกต้อง”

          ชินเอ่ยด้วยสายตาและน้ำเสียงที่มั่นคง ไม่สั่นคลอนและสับสนเหมือนกับที่เป็นมาตลอด นั่นทำให้โอลิเวียเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจเลยทีเดียว

          แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอโล่งอกขึ้นมาด้วย

 

“ในที่สุดก็คิดอย่างนี้ได้ซะทีนะ” โดยเฉพาะเลย์ล่า ที่พอได้ยินชินพูดอย่างนั้นออกมาอย่างแน่วแน่จริงจัง เธอก็ยิ้มออกมาอย่างหมดห่วงในทันที

“ผมนึกว่าอาจารย์จะต่อว่าผมซะอีก ไม่สิ… ผมเองก็อยากจะให้ดุผมซะหน่อยนะ”

“ไม่ทำหรอกน่า มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ความคิดเคียดแค้นเกลียดชังจะมาก่อนเหตุผลหรือสิ่งที่ควรทำ… ก็ใครล่ะจะไม่โกรธที่พ่อกับแม่ถูกฆ่าล่ะจริงไหม?” เลย์ล่าว่าแล้วก็แบะมือยักไหล่ ท่าทางของเธอยังคงสบาย ๆ ไม่มีเปลี่ยนแม้ชินจะจริงจัง แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้นเหมือนกัน เพราะมันทำให้ชินรู้สึกผ่อนคลาย

          จะว่าไปก็ใช่อยู่หรอก… ชินคิดดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำของเลย์ล่า

 

“แต่ตอนนี้ มันก็พิสูจน์แล้วว่านายก้าวข้ามมาได้ เพราะนายไม่ใช่คนปกติ” กระทั่งในจังหวะถัดมาที่เลย์ล่าพูดพลางชี้นิ้วมาที่เขา ทำให้ชินหรี่ตามองเธอกลับไปและเงียบไปพักนึงเลยทีเดียว

“…ไม่ได้ด่าใช่ไหมครับ”

“ชมต่างหากเล่า!”

 

อืม…

          ชินได้ยินก็นิ่งไปแวบนึงต่อเพราะดูเหมือนเขาจะคิดไปเอง แต่นั่นก็เป็นเพราะรอยยิ้มขี้เล่นของเลย์ล่านั่นแหล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่ได้จริงจัง

          แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว

 

“เพราะมันหมายความว่านายเป็นคนที่พิเศษเหนือกว่าใครยังไงล่ะ”

          อย่างในตอนนี้ ที่เลย์ล่าชี้นิ้วมายังชินด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกันกับก่อนหน้านี้ เนื้อความเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้แต่ชินกลับรู้สึกว่าเลย์ล่ากำลังยกย่องเขาโดยไม่มีเศษเสี้ยวของการหยอกล้อ

          ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นเพราะชินรู้แล้วว่าเลย์ล่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน มากกว่าจะไปสนใจอากัปกิริยาที่เธอแสดงออกมา

 

          ด้วยเหตุนั้น แม้การกระทำจะเหมือนเดิมแต่เมื่อแก่นสารเปลี่ยนไปย่อมทำให้ความรู้สึกที่ได้รับมาเปลี่ยนแปลงไปตามแก่นนั้นตามไปด้วย

          เช่นเดียวกันกับเป้าหมายของชินในตอนนี้ ที่ยังคงเป็นการตามล่าพวกตัวตลกที่เรียกตัวเองว่า ‘Midnight’ อยู่เหมือนเดิม หากแต่ไม่ได้ทำไปเพราะความแค้นดังเช่นก่อนหน้านี้ ตัวเขาถึงได้รู้สึกภาคภูมิใจในการตัดสินใจและไม่ตะขิดตะขวงใจและตั้งคำถามใด ๆ กับตัวเองอีก เพราะมั่นใจแล้วว่านี่คือวิธีการที่ถูกต้องนั่นเอง

 

“แต่ว่า… แล้วเรื่องที่บอกว่าจะลอบเข้าไปใน URI นี่มันยังไงกันแน่คะชิน?”

          เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น… โอลิเวียเหมือนอยากจะบอกชินเช่นนั้น เธอถึงดึงประเด็นน่าเป็นห่วงกลับมาให้ขบคิด เพราะเธอตั้งใจปฏิเสธไม่ให้ชินต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

          และการเปลี่ยนความคิดของโอลิเวียให้ได้นี่แหล่ะคืองานยากของชิน เขาถึงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะไล่เรียงเหตุผล

 

“จำหัวหน้าของ URI สาขาเขตที่ 66 เขตของเราที่มาโรงเรียนก่อนช่วงทัศนศึกษาได้ใช่ไหม”

“ค่ะ” 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะหืม?”

          โอลิเวียตอบรับอย่างเรียบ ๆ ในขณะที่เลย์ล่าเอียงคอสงสัย แต่เธอก็พอจะเข้าใจภาพรวมได้อยู่โดยไม่ต้องอธิบายทั้งหมด

 

“ความประทับใจแรกของหมอนั่นคือปัญหาน่ะครับ… หมอนั่นสวมหน้ากากตัวตลกมาปรากฏตัวที่โณงเรียนในตอนที่ขึ้นไปกล่าวแนะนำตัว”

          แต่มีเรื่องหนึ่งที่เลย์ล่าไม่รู้ไปกับพวกชินด้วย ชินจึงแถลงไขให้ฟัง

          ได้ยินแบบนั้นเลย์ล่าก็ขมวดคิ้วจับคางในทันที ในขณะที่โอลิเวียแสดงอาการร้อนรนออกมา

 

“ตะ แต่ว่า! เรื่องนั้นมันอาจจะแค่บังเอิญก็ได้นะคะ” โอลิเวียจึงรีบพูดยืนยันแบบนั้น 

“เรื่องนั้นเป็นไปได้ยาก… สำหรับเขตที่ 66 อย่างประเทศไทยแล้ว นั่นไม่ใช่ของที่จะกลมกลืนกับที่นี่เลย ถ้าเป็นหน้ากากโขนหรือหน้ากากตัวละครจากหนังหรืออนิเมตามสมัยนิยมก็ว่าไปอย่าง แต่หน้ากากตัวตลกถือว่าเป็นของแปลกมาก” ชินชี้แจงดังนั้นเพื่อให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เหมือนว่าโอลิเวียที่อยู่ข้าง ๆ จะยังไม่ยอมรับ ไม่สิ… ยอมรับไม่ได้มากกว่า

“แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่ก็อาจจะเป็นกับดักก็ได้นะคะ”

“เพราะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไหนแน่ก็เลยต้องยืนยันให้แน่ใจนี่แหล่ะ… และถึงจะไม่เกี่ยว แต่การแทรกซึมเข้าไปใน URI ก็มีผลประโยชน์ตรงที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับจากทั่วทั้งโลก เพราะมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นในกรณีนั้น ยังไงหลักฐานบันทึก หรือโชคร้ายหน่อยก็ต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่บ้างใน URI”

“ถึงแบบนั้นก็เถอะค่ะ…” โอลิเวียพูดด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรอออกมาคัดค้าน

          มือที่กำแน่นตรงหน้าอกราวกับต้องการปกปิดความร้อนรนกับสิ่งที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลที่พูดออกมา แต่แน่นอนว่ามันปิดดไม่มิด

          ชินเองก็รู้สึกผิด เพราะรู้อยู่ว่าที่โอลิเวียพยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็เป็นเพราะไม่อยากให้ชินเข้าไปเสี่ยง

          แต่สิ่งที่ชินตั้งใจไว้มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้หากต้องการจะไปให้ถึงข้อมูลที่ต้องการจะรู้ เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรชินก็ต้องทำอยู่ดีแม้ว่าจะเสี่ยง

          เขาคิดแบบนั้นก็เลยเลื่อนมือไปกุมมือของโอลิเวียที่กำลังสั่นเทิมด้วยความกลัว

 

“ฉันหนีจากเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอกนะโอลิเวีย… ไม่มีใครหนีจากอดีตของตัวเองไปได้ เพราะงั้นไม่ว่าช้าหรือเร็วฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของเรื่องพวกนี้อยู่ดี”

“เรื่องนั้นดิฉันเองก็ทราบค่ะ… ทราบดีอยู่แล้ว”

          แต่ดูเหมือนมันจะไม่ราบรื่นเอาเสียเลย เพราะประเด็นมันไม่ใช่ว่าโอลิเวียไม่เข้าใจเหตุผลของชิน แต่เป็นเพราะเธอเริ่มจะทนเห็นชินตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงชีวิตไม่ไหวแล้วจากหลาย ๆ ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาต่างหาก 

          เห็นดวงตาที่สั่นเครือของเธอชินจึงตระหนักได้เสียทีว่าปัญหาคืออะไร และนั่นยิ่งทำให้ชินสับสนเพราะรู้ว่าเป้นการยากที่จะทำให้โอลิเวียยอมรับ

          …นั่นเกือบจะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

 

“ “!!!?” ” กระทั่งเลย์ล่าลอบเข้ามาอยู่ด้านหลังของทั้งสองคน

“โอ๋ ๆ”

          เธอโอบกอดทั้งชินและโอลิเวียให้มาอยู่ในอ้อมอกของตนก่อนจะสางผมทั้งสองคนเบา ๆ ราวปลอบโยน โดนแบบนั้นกะทันหันโดยไม่มีเวลาตั้งตัวทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งไปเล็กน้อยแต่ก็หนแรกเท่านั้น

          หลังจากที่สัมผัสกับความอบอุ่นอันคุ้นเคยพวกเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง รู้สึกเหมือนได้ซบอกของแม่ตรงตามคำทุกตัวอักษร นั่นเลยทำให้หัวพวกเขาทั้งสองคนเย็นลง

 

“ก็จริงที่ชินชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ” เลย์ล่าว่าแล้วก็ลูบเรือนผมของทั้งสองคนอีกครั้ง เน้นโดยเฉพาะโอลิเวีย

“แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ สักวันชินจะตายเอานะคะท่านเลย์ล่า” โอลิเวียพูดน้ำเสียงเบา ความกังวลส่วนใหญ่ไม่ปรากฏในน้ำเสียงเพราะถูกพัดไปหมดแล้วจากความอบอุ่นของเลย์ล่า

“นี่เป็นทางที่เค้าเลือกเองนะ เราไม่มีสิทธิไปขวางทางเขาหรอก” เลย์ล่าว่าแบบนั้นโอลิเวียก็เงียบไป บางทีคงเป็นเพราะพยายามคิดตามที่เธอพูด 

          และมันก็ทำให้โอลิเวียตระหนักว่าความต้องการให้ชินปลอดภัยมันอาจเป็นการทำเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อชิน แม้จะเป็นเพราะว่าเธอห่วงใยเขามากก็ตามที

 

“ชินเองก็ด้วย… ถึงจะเลือกตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จก็เถอะ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของโอลิเวียกับฉันให้มาก ๆ ด้วยนะรู้ไหม” เลย์ล่าหันมาลูบหัวชินบ้าง หนนี้เธอออกแรงกอดเขาเพิ่มด้วยความเอ็นดู

“…รู้แล้วครับอาจารย์”

          นั่นถึงทำให้ชินไม่อาจปฏิเสธคำพูดใด ๆ ของเลย์ล่าผู้เปรียบได้ทั้งผู้เป็นอาจาย์และแม่คนที่สองของเขา เขาถึงตอบรับด้วยน้ำเสียงเบา ๆ เช่นเดียวกันกับโอลิเวีย

          เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสองคนไม่ต่างจากเด็กตัวเล็ก ๆ เลยสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเลย์ล่า เป็นดังที่เขาว่า ‘ลูกเป็นเด็กเสมอในมุมมองของคนเป็นพ่อกับแม่’

 

“เรามีกันอยู่แค่นี้… เพราะงั้น ทำอะไรก็ต้องนึกถึงคนอื่นให้มาก ๆ นะรู้ไหม”

“…ครับ”

“ค่ะ”

          เลย์ล่าย้ำแบบนั้นอีกรอบ เหมือนพยายามย้ำเตือนกับทั้งสองคนโดยเฉพาะชิน เพื่อให้เขาเรียงลำดับความสำคัญที่ควรทำให้เหมาะสม

          และแน่นอน ชินกับโอลิเวียตอบรับในทันที เพราะทั้งสองคนต่างก็คิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญที่เหลืออยู่และไม่อยากจะเสียไปอีกแล้ว

          เลย์ล่าเองก็สัมผัสความรู้สึกของทั้งสองคนได้แล้ว เธอถึงค่อย ๆ คลายแรงกอดออกมา

 

“ดีมากจ่ะ”

          ก่อนจะยิ้มแฉ่งออกมาอีกรอบแล้วก็เริ่มลูบหัวชินกับโอลิเวียอย่างเอ็นดู ทั้งสองคนก็ได้แต่เหนียมอายอย่างเก้อเขิน 

          ได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครอีกแล้วบนโลกใบนี้ที่จะทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าของเด็กลูกชายลูกสาวแบบนี้ออกมาได้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากวันที่กลับมาทัศนศึกษานั้นเป็นวันเสาร์จึงมีวันให้หยุดพักอีกหนึ่งวันก่อนที่จะไปโรงเรียน

          ในวันอาทิตย์ทุกคนอาจใช้เวลาไปกับการพักผ่อน แต่สำหรับชิน เขาใช้เวลาไปกับการเตรียมเอกสารสำหรับวันพรุ่งนี้

          จากแผนการที่ตั้งใจจะแทรกซึมเข้าไปใน URI เพื่อล้วงข้อมูลเชิงลึกที่พลเรือนไม่มีทางรู้… ชินจึงจะใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดอย่างการขอไปฝึกงานที่ศูนย์บัญชาการของ URI สาขาเขตที่ 66 ที่ตั้งอยู่ในเมืองในฐานะของนักเรียน

          แน่นอนว่าการฝึกงานเองก็มีข้อจำกัด แต่ชินเองก็ไม่ได้จะดำเนินทุกอย่างในฐานะของนักเรียนฝึกงานเสมอไป เขาแค่ต้องการเข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีใครสงสัยเท่านั้น หลังจากนั้นก็แค่หาจังหวะดี ๆ หลบฉากออกไปค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เป็นอันเสร็จกิจ

          ในวันถัดมาซึ่งเป็นวันแรกของการมาโรงเรียนหลังการทัศนศึกษา ชินจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะรีบไปที่ห้องพักครูเพื่อยื่นเอกสารดังกล่าว เพราะต้องดำเนินการผ่านทางโรงเรียน

 

“โห… เธอนี่ขยันจังเลยนะ”

          เลน่าเอ่ยแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายทั้งที่วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรกของสัปดาห์แท้ ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าพลังงานในการทำงานเธอน้อยมาก ๆ

          ตอนนี้เธอกำลังนั่งสบาย ๆ อยู่ในห้องพักครูจนกระทั่งชินเข้ามาเธอแล้วยื่นเอกสารขอฝึกงานให้

          อนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วเอกสารฝึกงานเป็นไฟล์เอกสารดิจิตอลซึ่งชินได้ส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดูเหมือนหากเป็นเอกสารบางอย่างจะต้องมีการแสกนนิ้วมือเพื่อยืนยันเป็นลายเซ็นดิจิตอลผ่านเครื่องของโรงเรียนเท่านั้นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเอกสารที่ออกโดยทางโรงเรียนทั้งหมด นั่นคือความยุ่งยากในการจัดการเอกสารราชการที่มีทุกยุคทุกสมัย

 

“ไม่หรอกครับ ผมก็แค่นึกถึงอนาคตเท่านั้นเอง” ชินตอบกลับไปสบาย ๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ

“จะดีเร้อ… ชีวิต ม.ปลาย มีแค่ครั้งเดียวนะ ใช้กับเพื่อน ๆ ให้คุ้มซะก่อนก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”

          ทางด้านอาจารย์เลน่าเองก็ตอบกลับมาอย่างสบาย ๆ เช่นกัน เธอว่าจบแล้วก็เอาเครื่องแสกนของทางโรงเรียนออกมาให้ชินใช้

          อนึ่ง ถึงเลน่าจะมีท่าทีเหลาะแหล่ะเกินควร แต่ชินก็สัมผัสความปรารถนาดีในฐานะอาจารย์จากน้ำเสียงเธอได้อยู่

 

“ผมฝึกงานแค่เดือนเดียวเองครับ ไม่ได้นานขนาดต้องเสียดายเวลาหรอก” ชินตอบในขณะที่เลื่อนมือลงไปประทับกับเครื่องแสกนที่เป็นแผ่นกระดานหนาบนโต๊ะ

“สำหรับฉันสัปดาห์เดียวก็เปลืองแล้ว”

          ได้ยินคำตอบที่สมเป็นอาจารย์เลน่าทำให้ชินอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง ๆ คงมีไม่กี่คนที่ทำให้ชินรู้สึกอย่างนี้ได้ แถมพอพูดจบแล้วเธอยังหลุบหน้าลงไปฟุบกับโต๊ะอีกต่างหาก

          ธุระเองก็เสร็จแล้วชินเลยขอตัวลาตรงนี้

 

“คิดว่าอย่างเธอเขาคงไม่ปฏิเสธหรอก และอย่างเธอก็คงไม่สร้างปัญหาหรอก… แต่ก็อย่าฝืนล่ะ ถ้ามีปัญหาก็รีบบอกนะเข้าใจ๋?”

          ก่อนที่ชินจะออกจากห้อง เลน่าก็พูดไล่หลังเขามาอย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าที่ฟุบอยู่ที่โต๊ะเลยสักนิด แต่ก็อีกนั่นแหล่ะที่ความห่วงใยยังส่งมาถึง

 

พอมาคิดดู… คนรอบ ๆ ตัวเรานี่มีแต่คนดีแฮะ

 

“เข้าใจแล้วครับ… ขอบคุณมากนะครับอาจารย์เลน่า”

“จ้า ๆ”

          เธอโบกมือให้ชินที่เหลียวกลับมาตอบทิ้งท้าย ก่อนจะเข้าสู่โหมดงีบหลับอย่างสมบูรณ์ ชินก็ถือโอกาสนั้นไม่รบกวนเธอแล้วออกจากห้องไปในทันที

 

เอาล่ะ หลังจากนี้ก็ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ

งั้นกลับไปหาข้อมูลข่าวลือทางอินเทอร์เน็ตที่ห้องเหมือนทุกทีก็คงดีเหมือนกัน

          ชินตัดสินใจได้เช่นนั้นและมั่นใจแน่แล้วว่าไม่ได้ติดนัดอะไรใครไว้จึงตัดสินใจที่จะกลับห้องหอของตัวเอง

 

“โย่! ชิน!”

          แต่ในตอนที่คิดแบบนั้นเสียงดังขึ้นมาทักทายเขาเสียก่อน

          ไม่สิ… พูดว่าดักรออยู่คงจะถูกกว่ากระมั้ง แถมไม่ใช่คนอื่นคนไกลนอกจากเคนเนธเพื่อนสนิทของชิน

          นอกจากนี้…

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เลิกคาบปุ๊บก็มาหาอาจารย์ทันทีเลย” เกวนเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหาชินและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะจากมุมมองของทุกคนชินเหมือนมีปัญหาจนต้องไปปรึกษากับอาจารย์

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากฝึกงานเลยไปปรึกษากับอาจารย์เท่านั้นแหล่ะ” ชินว่าพลางยิ้มให้เห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องกังวล

“แหม ๆ ขยันจังเลยนะคะเนี่ย” ชงหยวน ไม่สิ… ซูซานเป็นอีกคนที่อยู่กับกลุ่มของเคนเนธ เธอเอ่ยชมในทันทีที่ได้ยินธุระของชิน

“ก็ปกติออก”

          แต่เพราะไม่รู้ว่าเธอแฝงเจตนาอะไรเอาไว้อยู่ ชินเลยตอบกลับไปตามปกติ แต่ดูเหมือนการที่เขาไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเดียวกับที่มอบให้เกวนจะเป็นการทำให้ซูซานรู้สึกหงุดหงิดแทนในความหมายอื่น

 

“แต่จะยังไงก็เถอะ เราไปเที่ยวกันหน่อยไหมล่ะ!?” เคนเนธว่าแล้วก็กระโดดโหยง ๆ เข้ามาตบไหล่ชินเหมือนกับที่เคย

“ให้ตายสิ น่าจะถามฉันซะหน่อยนะว่าว่างรึเปล่า” ชินโดนแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ

“นั่นสิ นายอย่าไปทำให้ชินกังวลสิ”

“เปล่าซะหน่อย ก็ถ้ามีธุระฉันก็ไม่ได้จะเซ้าซี้ซะหน่อย” พอถูกเกวนว่าเคนเนธก็หงอไปทันที ท่าทางเขาเหมือนไม่อยากไปเที่ยวแล้วยังไงอย่างงั้น

“เอ๋! ถ้ามีธุระจริงก็น่าเสียดายจังเลยนะคะเนี่ย”

          มีแค่ซูซานคนเดียวที่เห็นด้วยกับเคนเนธ

          เธอเป็นคนเดียวที่ยิ้มแฉ่งและพยายามเชื้อเชิญให้ชินไปเที่ยวกับพวกตนด้วย

          ทางชินเองก็ไม่รู้ว่าเธอหวังอะไรเอาไว้ แต่ที่แน่ ๆ คือหนึ่งในสิ่งที่เธอต้องการมันจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อชินไปเที่ยวด้วย

 

มันยังไงกันนะ?

          ชินได้แต่คิดและสงสัย แต่แน่นอนว่าคิดไม่ออกเพราะข้อมูลมีน้อยเกินไป

          ที่จริงเมินไปก็คงได้ แต่ชินก็รู้อยู่แก่ใจว่าชงหยวนนั้นดื้อรั้นแค่ไหน ด้วยเหตุนั้น หากสิ่งที่เธอคิดไว้มันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เธอหวัง เธอก็จะทำมันจนกว่าจะได้อย่างใจ เพราะงั้นไม่ว่าช้าหรือเร็วชินก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่ชงหยวนอยากให้เขาเจออยู่ดี

          เพราะแบบนั้นแหล่ะ…

 

“แต่เอาเถอะ จริง ๆ ฉันก็ว่างนั่นแหล่ะ” ชินว่าพลางยักไหล่ ก่อนจะยิ้มให้ทุกคนอีกครั้ง

“ไม่ได้ติดธุระแน่ ๆ ใช่ไหม?” แต่เกวนก็ยังถามย้ำด้วยความเป็นห่วงอยู่ดี เธอพยายามมองเข้ามาในตาชินเพื่อการนั้น

“แน่สิ ไม่ต้องห่วงหรอก” ชินยืนยันอีกทีทำให้เกวนถอนหายใจอย่างโล่อก เพราะถึงเธอจะอยากไปเที่ยวกับชินก็จริงแต่ก็ไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้กับเขา

          กลับกันแล้ว เคนเนธนั้นไม่ได้ดีใจเหมือนก่อนหน้านี้เพราะถูกดุไปโดยเกวน แต่ก็แน่นอนว่าดีใจอยู่

          ส่วนทางด้านของซูซานนั้น…

 

“ได้อย่างนี้ก็เยี่ยมไปเลยค่ะ”

          พอได้ยินชินตอบกลับมา เธอกลับแสดงรอยยิ้มแบบเดียวกับเกวนออกมาเสียอย่างนั้น

          ซึ่งแม้จะรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ชินก็ไม่ได้เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงแสดงรอยยิ้มอย่างนั้น อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากที่ตัดสินใจได้ว่าจะไปเที่ยวผ่อนคลายหลังเลิกเรียนกันตามปกติของทั้งสามคนอันประกอบด้วยชิน เคนเนธและเกวน โดยมีซูซานเพิ่มเข้ามาด้วยจากความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นจากการไปทัศนศึกษา (ถึงสาเหตุหลักจะเป็นเพราะซูซานเข้าหาชินก็ตาม)

          อันที่จริงเกวนก็ชวนโอลิเวียกับจินมาด้วยเหมือนกัน แต่ถูกปฏิเสธไปเพราะไม่มีเหตุผลให้ไปด้วย

          ด้วยเหตุนั้นทั้งกลุ่มเลยมีแค่ 4 คน ส่วนจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ที่แรกคือร้านคาเฟ่ที่มีขนมออกใหม่ ซึ่งเป้นสิ่งที่เกวนกับซูซานอยากจะไป และถึงจะไม่เท่ากับพวกเธอแต่เคนเนธเองก็ชื่นชอบของหวานไม่น้อย เขาจึงเป็นหนึ่งในคนที่อยากลองเหมือนกัน

          ส่วนชินก็แน่นอนว่าตามไปเฉย ๆ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เพราะเขาก็ไม่ได้ชอบอะไรพิเศษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

          รวมถึงเรื่องที่กังวลว่าซูซาน… ชงหยวนวางแผนจะทำอะไรอยู่ก็ด้วยเลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย

          ชินถึงระวังทุกฝีก้าวโดยเฉพาะในจังหวะที่ชงหยวนสามารถแทรกบทบาทเข้ามาเพื่อกระทำบางอย่าง

 

“เอาล่ะ…”

          แต่ดูเหมือนชินจะคิดผิดไปหน่อย กล่าวคือกะจังหวะที่ชงหยวนจะลงมือผิดไป

          เพราะทันทีที่ทั้งกลุ่มหย่อนก้นลงโต๊ะในคาเฟ่ เธอก็เริ่มพึมพำอย่างนั้นออกมาในทันที ก่อนที่จะ…

 

“ ‘ทำเป็นไม่ได้ยินซะ’ ”

          ชงหยวนพูดแบบนั้นให้ดังมากพอที่จะได้ยินทั้งร้าน ซึ่งร้านคาเฟ่แห่งนี้เองก็เป็นร้านขนาดกลางที่มีแค่สิบกว่าโต๊ะ

          ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้คำสั่งไนท์ของเธอ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทุกคนนิ่งเป็นเป่าสากในทันทีเหมือนถูกสะกดจิตในทันทีที่ชงหยวนเอ่ยปากอย่างนั้น แน่นอนว่าเกวนกับเคนเนธเองก็ด้วย

          …จะมีข้อยกเว้นก็แต่กับชินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอนี่แหล่ะที่ไม่ได้รับผลจาก ‘ประกาศิตสมบูรณ์’ ของชงหยวน

 

“นี่เธอ… คิดจะทำอะไรกันแน่?” ด้วยความรวดเร็วของการลงมือ รวมถึงความแน่วแน่ไร้การลังเลทำให้ชินรู้สึกว่าชงหยวนกำลังวางแผนการใหญ่ไว้เบื้องหลังต่อจากนี้

          เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้จากสิ่งที่เธอทำโดยไม่สนนกสนกานี้ เพราะงั้นชินถึงได้รู้สึกกังวลจนเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ในหัวเขากำลังคิดแผนการรับมือล่วงหน้ากับสิ่งที่คาดว่าชงหยวนจะทำ

 

          ในขณะที่ทางด้านของชงหยวนนั้นไม่ได้รับรู้ความกังวลเหล่านั้นในใจของชินเลย เธอยังคงเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจผู้มุ่งหมายจะทำเป้าหมายให้สำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่สนว่าจะต้องแลกกับอะไร ต้องทำอะไรหรือจะส่งผลยังไง

 

“ชิน…” เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นก่อนจะกางนิ้วชี้มาที่ชิน

          เพราะตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน มันเลยทำให้ชินรู้สึกเหมือนกับกำลังจะถูกออกคำสั่งหรือไม่ก็เป็นการยื่นข้อเสนออะไรสักอย่างตามนิสัยของเธอ ซึ่งคำนึงจากเรื่องที่ผ่านมาแล้วคงไม่ใช่ข้อเสนอดี ๆ แน่นอน

          แต่คำพูดถัดไปของเธอนั้นกลับเป็นตรงกันข้าม…

 

“ไม่สนใจจะแต่งงานกับฉันเหรอคะ?”

          ไม่สิ… ข้อเสนอนั่นอยู่คนละขั้วกับที่ชินคิดเลยต่างหาก 

 

หา?

          นั่นถึงทำให้ชินอ้าปากค้างไปแวบนึงด้วยความสับสนเพราะตามสถานการณ์ไม่ทันหลังได้ยินข้อเสนอหลุดโลกอย่างนั้นจากปากของชงหยวน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2)

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 42: สิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว (เริ่มบทที่ 2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          หลังจากการทัศนศึกษาที่ยาวนานเพียงสามวันสองคืนของพวกชินได้จบลง เขารู้สึกเหมือนเรื่องราวนั้นยาวนานมากจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นติดกันในช่วงไม่กี่วันมานี้

          ทั้งเรื่องที่ชงหยวนพยายามเปิดโปงว่าตัวชินคือราชาคนที่ 8 การปรากฏตัวของตัวตลกที่ชินตามหามากว่าทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องของตัวจริงของตัวตลกที่ทำให้ชินช็อคไปเลย เพราะเขาคือฮอว์คิน อาจารย์ประจำตัวของชินครั้งสมัยที่เขายังเป็นองค์รัชทายาท ผู้สอนสั่งชินหลาย ๆ อย่างและเป็นหนึ่งในคนที่ชินยกย่องนับถือให้เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต

          แล้วชายคนนั้นก็ตายต่อหน้าชิน โดยไม่ได้ชี้แจงแถลงไขสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนเลยสักนิด แถมยังทิ้งปริศนาชิ้นใหญ่ไว้ให้ชินอีกด้วย

          แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชินหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด ตั้งคำถามกับมันและเริ่มถามตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่รึเปล่าด้วยเหมือนกัน

          และเพราะแบบนั้น…

 

“ผมจะลอบเข้าไปใน URI”

          ทันทีที่กลับมาถึงห้องพักของตัวเอง พออยู่พร้อมหน้ากับโอลิเวียและเลย์ล่าผู้เป็นอาจารย์ ชินก็บอกแผนการต่อจากนี้ให้พวกเธอฟังในทันที

          และไม่ว่าจะเป็นเพราะเนื้อความหรือท่าทีรีบร้อนในขณะพูด แต่มันทำให้โอลิเวียคิดว่าชินด้วยตัดสินใจเร็วเกินไป ซึ่งเรื่องนั้นเลย์ล่าเองก็ด้วย

          อนึ่ง ตอนนี้ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะเล็กอยู่กับพื้น มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับโอลิเวียที่จะใช้โต๊ะดังกล่าวเป็นฐานค้ำในขณะที่ยื่นตัวเข้ามาใกล้ชิน

 

“ดิฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะว่ามันเสี่ยงเกินไป” และแน่นอนว่าโอลิเวียคัดด้าน คิ้วที่ปกติไม่ค่อยจะขยับเขยื้อนจากนิสัยที่เยือกเย็น บัดนี้ขมวดเข้าด้วยกันอย่างกังวล ซึ่งก็สมควรกับสิ่งที่ชินพูดออกมา

“นั่นสิ อยู่ดี ๆ เป็นอะไรของเธอขึ้นมากันน่ะ?”

          เช่นเดียวกับเลย์ล่าที่กอดอกว่าแบบนั้นออกมา เธอเองก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน

          แต่อย่างน้อยเลย์ล่าก็ต่างจากโอลิเวียที่ไม่ได้ปิดโอกาสของชินไปเสียหมด และชินเองก็คิดจะอธิบายต้นสายปลายเหตุที่ตัดสินใจอย่างนั้นให้ฟังอยู่แล้ว

          เขาจึงกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอื้อนเอ่ยต่อ อย่างน้อยก็เพื่อให้โอลิเวียกับเลย์ล่าเข้าใจว่าเขาคิดมาดีแล้ว

 

“อย่างที่ได้บอกไป… ว่าอาจา————ฮอว์คินคือตัวจริงของตัวตลก แต่ความเป็นจริงแล้วตัวตลกคือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘Midnight’ ” ชินเริ่มจากประเด็นนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่เล่าให้เลย์ล่าฟังไปแล้ว

“เรื่องการตามล่าพวกมันทั้งหมดเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ต่างแค่เรื่องจำนวนเท่านั้น… แต่ว่าผมน่ะ เริ่มคิดแล้วว่าทำไมผมถึงต้องทำอย่างนั้น”

          ชินว่าแล้วก็เลื่อนมือทั้งสองข้างไปนั่งเท้าหลัง ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายในขณะพูด ความโกรธแค้นไม่ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนเหมือนกับเมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งที่ปกติถ้าพูดถึงตัวตลกดวงตาของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้วแท้ ๆ

          ปฏิกิริยานั้นของชินเป็นสิ่งที่โอลิเวียสังเกตได้เหมือนกัน คิ้วที่ขมวดอยู่ถึงคลายลงเล็กน้อยแต่แน่นอนว่าความเป็นห่วงยังไม่หายไปไหน

 

“แล้วตัดสินใจว่ายังไงล่ะ” 

          เลย์ล่าเองก็เห็น แต่เธอก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าชินจริงจัง เธอถึงอยากรู้ด้วยเหมือนกันว่าตอนนี้ชินมีทัศนคติกับเรื่องที่จะทำหลังจากนี้เป็นยังไง แน่นอนว่าด้วยความเป็นห่วงอย่างน้อยก็ในฐานะของอาจารย์

          ชินเห็นอย่างนั้นก็ดึงแขนกลับมานั่งหลังตรงอีกครั้ง ด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าทุกที

          …และเลย์ล่าก็รู้สึกว่ามันองอาจกว่าทุกทีด้วยเหมือนกัน

 

“ผมก่อนหน้านี้… ตั้งใจจะล้างแค้นพวกคนที่ทำลายบ้านเกิดของเรา ตั้งใจจะให้พวกมันชดใช้สิ่งที่ทำ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ตัวผมควรทำในฐานะขององค์รัชทายาท” 

          ชินว่าในขณะที่แหงนหน้ามองเพดาน หวนนึกสภาพของตัวเองที่ผ่านมา นั่นยิ่งทำให้ชินตระหนักถึงสิ่งที่ควรจะทำ และอีกนัยนึงมันคือสิ่งที่ชินคิดว่าถูกต้องแต่ได้มองข้ามมันไปเพราะอารมณ์ส่วนตัวมาตลอด

 

“แต่ว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่…” ชินว่าแล้วก็เลื่อนสายตาลงกลับมามองเลย์ล่า

“ทั้งเรื่องความรับผิดชอบในฐานะหน้าที่ขององค์ชาย หรือเรื่องที่ตั้งใจจะจับพวกนั้นมาลงทัณฑ์ในฐานะของความยุติธรรม ทั้งหมดนั่นเป็นแค่ข้ออ้างในการเอาความโกรธแค้นของผมไปลงที่พวกมันเท่านั้น” ชินพูดไปมือก็เริ่มกำแน่นอย่างหงุดหงิด และไม่ใช่หงุดหงิดใครที่ไหนหากแต่เป็นการกล่าวโทษตัวเขาเอง

          โอลิเวียเห็นอย่างงั้นก็เป็นห่วงถึงกับขยับเข้ามาใกล้ ๆ แล้วรีบเลื่อนมือไปสัมผัสกับมือที่กำลังกำแน่นของชิน

          แต่ว่า มือที่กำแน่นอยู่ของชินก็คลายลงก่อนหน้าที่โอลิเวียจะช่วยปลอบโยนเขาเสียอีก

 

“ตอนนี้ผมจะไม่ตั้งเป้าไปที่ความแก้แค้น แต่เป็นการรู้เรื่องราวเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น… ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ถึงตอนนั้นผมถึงจะพูดได้เต็มปากว่าสามารถจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางได้อย่างถูกต้อง”

          ชินเอ่ยด้วยสายตาและน้ำเสียงที่มั่นคง ไม่สั่นคลอนและสับสนเหมือนกับที่เป็นมาตลอด นั่นทำให้โอลิเวียเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจเลยทีเดียว

          แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอโล่งอกขึ้นมาด้วย

 

“ในที่สุดก็คิดอย่างนี้ได้ซะทีนะ” โดยเฉพาะเลย์ล่า ที่พอได้ยินชินพูดอย่างนั้นออกมาอย่างแน่วแน่จริงจัง เธอก็ยิ้มออกมาอย่างหมดห่วงในทันที

“ผมนึกว่าอาจารย์จะต่อว่าผมซะอีก ไม่สิ… ผมเองก็อยากจะให้ดุผมซะหน่อยนะ”

“ไม่ทำหรอกน่า มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ความคิดเคียดแค้นเกลียดชังจะมาก่อนเหตุผลหรือสิ่งที่ควรทำ… ก็ใครล่ะจะไม่โกรธที่พ่อกับแม่ถูกฆ่าล่ะจริงไหม?” เลย์ล่าว่าแล้วก็แบะมือยักไหล่ ท่าทางของเธอยังคงสบาย ๆ ไม่มีเปลี่ยนแม้ชินจะจริงจัง แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้นเหมือนกัน เพราะมันทำให้ชินรู้สึกผ่อนคลาย

          จะว่าไปก็ใช่อยู่หรอก… ชินคิดดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำของเลย์ล่า

 

“แต่ตอนนี้ มันก็พิสูจน์แล้วว่านายก้าวข้ามมาได้ เพราะนายไม่ใช่คนปกติ” กระทั่งในจังหวะถัดมาที่เลย์ล่าพูดพลางชี้นิ้วมาที่เขา ทำให้ชินหรี่ตามองเธอกลับไปและเงียบไปพักนึงเลยทีเดียว

“…ไม่ได้ด่าใช่ไหมครับ”

“ชมต่างหากเล่า!”

 

อืม…

          ชินได้ยินก็นิ่งไปแวบนึงต่อเพราะดูเหมือนเขาจะคิดไปเอง แต่นั่นก็เป็นเพราะรอยยิ้มขี้เล่นของเลย์ล่านั่นแหล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าคำพูดของเธอไม่ได้จริงจัง

          แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว

 

“เพราะมันหมายความว่านายเป็นคนที่พิเศษเหนือกว่าใครยังไงล่ะ”

          อย่างในตอนนี้ ที่เลย์ล่าชี้นิ้วมายังชินด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกันกับก่อนหน้านี้ เนื้อความเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับก่อนหน้านี้แต่ชินกลับรู้สึกว่าเลย์ล่ากำลังยกย่องเขาโดยไม่มีเศษเสี้ยวของการหยอกล้อ

          ซึ่งสาเหตุที่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นเพราะชินรู้แล้วว่าเลย์ล่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน มากกว่าจะไปสนใจอากัปกิริยาที่เธอแสดงออกมา

 

          ด้วยเหตุนั้น แม้การกระทำจะเหมือนเดิมแต่เมื่อแก่นสารเปลี่ยนไปย่อมทำให้ความรู้สึกที่ได้รับมาเปลี่ยนแปลงไปตามแก่นนั้นตามไปด้วย

          เช่นเดียวกันกับเป้าหมายของชินในตอนนี้ ที่ยังคงเป็นการตามล่าพวกตัวตลกที่เรียกตัวเองว่า ‘Midnight’ อยู่เหมือนเดิม หากแต่ไม่ได้ทำไปเพราะความแค้นดังเช่นก่อนหน้านี้ ตัวเขาถึงได้รู้สึกภาคภูมิใจในการตัดสินใจและไม่ตะขิดตะขวงใจและตั้งคำถามใด ๆ กับตัวเองอีก เพราะมั่นใจแล้วว่านี่คือวิธีการที่ถูกต้องนั่นเอง

 

“แต่ว่า… แล้วเรื่องที่บอกว่าจะลอบเข้าไปใน URI นี่มันยังไงกันแน่คะชิน?”

          เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น… โอลิเวียเหมือนอยากจะบอกชินเช่นนั้น เธอถึงดึงประเด็นน่าเป็นห่วงกลับมาให้ขบคิด เพราะเธอตั้งใจปฏิเสธไม่ให้ชินต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

          และการเปลี่ยนความคิดของโอลิเวียให้ได้นี่แหล่ะคืองานยากของชิน เขาถึงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะไล่เรียงเหตุผล

 

“จำหัวหน้าของ URI สาขาเขตที่ 66 เขตของเราที่มาโรงเรียนก่อนช่วงทัศนศึกษาได้ใช่ไหม”

“ค่ะ” 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะหืม?”

          โอลิเวียตอบรับอย่างเรียบ ๆ ในขณะที่เลย์ล่าเอียงคอสงสัย แต่เธอก็พอจะเข้าใจภาพรวมได้อยู่โดยไม่ต้องอธิบายทั้งหมด

 

“ความประทับใจแรกของหมอนั่นคือปัญหาน่ะครับ… หมอนั่นสวมหน้ากากตัวตลกมาปรากฏตัวที่โณงเรียนในตอนที่ขึ้นไปกล่าวแนะนำตัว”

          แต่มีเรื่องหนึ่งที่เลย์ล่าไม่รู้ไปกับพวกชินด้วย ชินจึงแถลงไขให้ฟัง

          ได้ยินแบบนั้นเลย์ล่าก็ขมวดคิ้วจับคางในทันที ในขณะที่โอลิเวียแสดงอาการร้อนรนออกมา

 

“ตะ แต่ว่า! เรื่องนั้นมันอาจจะแค่บังเอิญก็ได้นะคะ” โอลิเวียจึงรีบพูดยืนยันแบบนั้น 

“เรื่องนั้นเป็นไปได้ยาก… สำหรับเขตที่ 66 อย่างประเทศไทยแล้ว นั่นไม่ใช่ของที่จะกลมกลืนกับที่นี่เลย ถ้าเป็นหน้ากากโขนหรือหน้ากากตัวละครจากหนังหรืออนิเมตามสมัยนิยมก็ว่าไปอย่าง แต่หน้ากากตัวตลกถือว่าเป็นของแปลกมาก” ชินชี้แจงดังนั้นเพื่อให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เหมือนว่าโอลิเวียที่อยู่ข้าง ๆ จะยังไม่ยอมรับ ไม่สิ… ยอมรับไม่ได้มากกว่า

“แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่ก็อาจจะเป็นกับดักก็ได้นะคะ”

“เพราะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไหนแน่ก็เลยต้องยืนยันให้แน่ใจนี่แหล่ะ… และถึงจะไม่เกี่ยว แต่การแทรกซึมเข้าไปใน URI ก็มีผลประโยชน์ตรงที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับจากทั่วทั้งโลก เพราะมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นในกรณีนั้น ยังไงหลักฐานบันทึก หรือโชคร้ายหน่อยก็ต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่บ้างใน URI”

“ถึงแบบนั้นก็เถอะค่ะ…” โอลิเวียพูดด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อย ๆ เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรอออกมาคัดค้าน

          มือที่กำแน่นตรงหน้าอกราวกับต้องการปกปิดความร้อนรนกับสิ่งที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลที่พูดออกมา แต่แน่นอนว่ามันปิดดไม่มิด

          ชินเองก็รู้สึกผิด เพราะรู้อยู่ว่าที่โอลิเวียพยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ ก็เป็นเพราะไม่อยากให้ชินเข้าไปเสี่ยง

          แต่สิ่งที่ชินตั้งใจไว้มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้หากต้องการจะไปให้ถึงข้อมูลที่ต้องการจะรู้ เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรชินก็ต้องทำอยู่ดีแม้ว่าจะเสี่ยง

          เขาคิดแบบนั้นก็เลยเลื่อนมือไปกุมมือของโอลิเวียที่กำลังสั่นเทิมด้วยความกลัว

 

“ฉันหนีจากเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอกนะโอลิเวีย… ไม่มีใครหนีจากอดีตของตัวเองไปได้ เพราะงั้นไม่ว่าช้าหรือเร็วฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของเรื่องพวกนี้อยู่ดี”

“เรื่องนั้นดิฉันเองก็ทราบค่ะ… ทราบดีอยู่แล้ว”

          แต่ดูเหมือนมันจะไม่ราบรื่นเอาเสียเลย เพราะประเด็นมันไม่ใช่ว่าโอลิเวียไม่เข้าใจเหตุผลของชิน แต่เป็นเพราะเธอเริ่มจะทนเห็นชินตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงชีวิตไม่ไหวแล้วจากหลาย ๆ ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาต่างหาก 

          เห็นดวงตาที่สั่นเครือของเธอชินจึงตระหนักได้เสียทีว่าปัญหาคืออะไร และนั่นยิ่งทำให้ชินสับสนเพราะรู้ว่าเป้นการยากที่จะทำให้โอลิเวียยอมรับ

          …นั่นเกือบจะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

 

“ “!!!?” ” กระทั่งเลย์ล่าลอบเข้ามาอยู่ด้านหลังของทั้งสองคน

“โอ๋ ๆ”

          เธอโอบกอดทั้งชินและโอลิเวียให้มาอยู่ในอ้อมอกของตนก่อนจะสางผมทั้งสองคนเบา ๆ ราวปลอบโยน โดนแบบนั้นกะทันหันโดยไม่มีเวลาตั้งตัวทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งไปเล็กน้อยแต่ก็หนแรกเท่านั้น

          หลังจากที่สัมผัสกับความอบอุ่นอันคุ้นเคยพวกเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง รู้สึกเหมือนได้ซบอกของแม่ตรงตามคำทุกตัวอักษร นั่นเลยทำให้หัวพวกเขาทั้งสองคนเย็นลง

 

“ก็จริงที่ชินชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ” เลย์ล่าว่าแล้วก็ลูบเรือนผมของทั้งสองคนอีกครั้ง เน้นโดยเฉพาะโอลิเวีย

“แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ สักวันชินจะตายเอานะคะท่านเลย์ล่า” โอลิเวียพูดน้ำเสียงเบา ความกังวลส่วนใหญ่ไม่ปรากฏในน้ำเสียงเพราะถูกพัดไปหมดแล้วจากความอบอุ่นของเลย์ล่า

“นี่เป็นทางที่เค้าเลือกเองนะ เราไม่มีสิทธิไปขวางทางเขาหรอก” เลย์ล่าว่าแบบนั้นโอลิเวียก็เงียบไป บางทีคงเป็นเพราะพยายามคิดตามที่เธอพูด 

          และมันก็ทำให้โอลิเวียตระหนักว่าความต้องการให้ชินปลอดภัยมันอาจเป็นการทำเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อชิน แม้จะเป็นเพราะว่าเธอห่วงใยเขามากก็ตามที

 

“ชินเองก็ด้วย… ถึงจะเลือกตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเพื่อให้เป้าหมายสำเร็จก็เถอะ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของโอลิเวียกับฉันให้มาก ๆ ด้วยนะรู้ไหม” เลย์ล่าหันมาลูบหัวชินบ้าง หนนี้เธอออกแรงกอดเขาเพิ่มด้วยความเอ็นดู

“…รู้แล้วครับอาจารย์”

          นั่นถึงทำให้ชินไม่อาจปฏิเสธคำพูดใด ๆ ของเลย์ล่าผู้เปรียบได้ทั้งผู้เป็นอาจาย์และแม่คนที่สองของเขา เขาถึงตอบรับด้วยน้ำเสียงเบา ๆ เช่นเดียวกันกับโอลิเวีย

          เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสองคนไม่ต่างจากเด็กตัวเล็ก ๆ เลยสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเลย์ล่า เป็นดังที่เขาว่า ‘ลูกเป็นเด็กเสมอในมุมมองของคนเป็นพ่อกับแม่’

 

“เรามีกันอยู่แค่นี้… เพราะงั้น ทำอะไรก็ต้องนึกถึงคนอื่นให้มาก ๆ นะรู้ไหม”

“…ครับ”

“ค่ะ”

          เลย์ล่าย้ำแบบนั้นอีกรอบ เหมือนพยายามย้ำเตือนกับทั้งสองคนโดยเฉพาะชิน เพื่อให้เขาเรียงลำดับความสำคัญที่ควรทำให้เหมาะสม

          และแน่นอน ชินกับโอลิเวียตอบรับในทันที เพราะทั้งสองคนต่างก็คิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญที่เหลืออยู่และไม่อยากจะเสียไปอีกแล้ว

          เลย์ล่าเองก็สัมผัสความรู้สึกของทั้งสองคนได้แล้ว เธอถึงค่อย ๆ คลายแรงกอดออกมา

 

“ดีมากจ่ะ”

          ก่อนจะยิ้มแฉ่งออกมาอีกรอบแล้วก็เริ่มลูบหัวชินกับโอลิเวียอย่างเอ็นดู ทั้งสองคนก็ได้แต่เหนียมอายอย่างเก้อเขิน 

          ได้แต่คิดว่าคงไม่มีใครอีกแล้วบนโลกใบนี้ที่จะทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าของเด็กลูกชายลูกสาวแบบนี้ออกมาได้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากวันที่กลับมาทัศนศึกษานั้นเป็นวันเสาร์จึงมีวันให้หยุดพักอีกหนึ่งวันก่อนที่จะไปโรงเรียน

          ในวันอาทิตย์ทุกคนอาจใช้เวลาไปกับการพักผ่อน แต่สำหรับชิน เขาใช้เวลาไปกับการเตรียมเอกสารสำหรับวันพรุ่งนี้

          จากแผนการที่ตั้งใจจะแทรกซึมเข้าไปใน URI เพื่อล้วงข้อมูลเชิงลึกที่พลเรือนไม่มีทางรู้… ชินจึงจะใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดอย่างการขอไปฝึกงานที่ศูนย์บัญชาการของ URI สาขาเขตที่ 66 ที่ตั้งอยู่ในเมืองในฐานะของนักเรียน

          แน่นอนว่าการฝึกงานเองก็มีข้อจำกัด แต่ชินเองก็ไม่ได้จะดำเนินทุกอย่างในฐานะของนักเรียนฝึกงานเสมอไป เขาแค่ต้องการเข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีใครสงสัยเท่านั้น หลังจากนั้นก็แค่หาจังหวะดี ๆ หลบฉากออกไปค้นหาข้อมูลที่ต้องการก็เป็นอันเสร็จกิจ

          ในวันถัดมาซึ่งเป็นวันแรกของการมาโรงเรียนหลังการทัศนศึกษา ชินจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะรีบไปที่ห้องพักครูเพื่อยื่นเอกสารดังกล่าว เพราะต้องดำเนินการผ่านทางโรงเรียน

 

“โห… เธอนี่ขยันจังเลยนะ”

          เลน่าเอ่ยแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายทั้งที่วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรกของสัปดาห์แท้ ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าพลังงานในการทำงานเธอน้อยมาก ๆ

          ตอนนี้เธอกำลังนั่งสบาย ๆ อยู่ในห้องพักครูจนกระทั่งชินเข้ามาเธอแล้วยื่นเอกสารขอฝึกงานให้

          อนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วเอกสารฝึกงานเป็นไฟล์เอกสารดิจิตอลซึ่งชินได้ส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ดูเหมือนหากเป็นเอกสารบางอย่างจะต้องมีการแสกนนิ้วมือเพื่อยืนยันเป็นลายเซ็นดิจิตอลผ่านเครื่องของโรงเรียนเท่านั้นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเอกสารที่ออกโดยทางโรงเรียนทั้งหมด นั่นคือความยุ่งยากในการจัดการเอกสารราชการที่มีทุกยุคทุกสมัย

 

“ไม่หรอกครับ ผมก็แค่นึกถึงอนาคตเท่านั้นเอง” ชินตอบกลับไปสบาย ๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ

“จะดีเร้อ… ชีวิต ม.ปลาย มีแค่ครั้งเดียวนะ ใช้กับเพื่อน ๆ ให้คุ้มซะก่อนก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”

          ทางด้านอาจารย์เลน่าเองก็ตอบกลับมาอย่างสบาย ๆ เช่นกัน เธอว่าจบแล้วก็เอาเครื่องแสกนของทางโรงเรียนออกมาให้ชินใช้

          อนึ่ง ถึงเลน่าจะมีท่าทีเหลาะแหล่ะเกินควร แต่ชินก็สัมผัสความปรารถนาดีในฐานะอาจารย์จากน้ำเสียงเธอได้อยู่

 

“ผมฝึกงานแค่เดือนเดียวเองครับ ไม่ได้นานขนาดต้องเสียดายเวลาหรอก” ชินตอบในขณะที่เลื่อนมือลงไปประทับกับเครื่องแสกนที่เป็นแผ่นกระดานหนาบนโต๊ะ

“สำหรับฉันสัปดาห์เดียวก็เปลืองแล้ว”

          ได้ยินคำตอบที่สมเป็นอาจารย์เลน่าทำให้ชินอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง ๆ คงมีไม่กี่คนที่ทำให้ชินรู้สึกอย่างนี้ได้ แถมพอพูดจบแล้วเธอยังหลุบหน้าลงไปฟุบกับโต๊ะอีกต่างหาก

          ธุระเองก็เสร็จแล้วชินเลยขอตัวลาตรงนี้

 

“คิดว่าอย่างเธอเขาคงไม่ปฏิเสธหรอก และอย่างเธอก็คงไม่สร้างปัญหาหรอก… แต่ก็อย่าฝืนล่ะ ถ้ามีปัญหาก็รีบบอกนะเข้าใจ๋?”

          ก่อนที่ชินจะออกจากห้อง เลน่าก็พูดไล่หลังเขามาอย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ได้เงยหน้าที่ฟุบอยู่ที่โต๊ะเลยสักนิด แต่ก็อีกนั่นแหล่ะที่ความห่วงใยยังส่งมาถึง

 

พอมาคิดดู… คนรอบ ๆ ตัวเรานี่มีแต่คนดีแฮะ

 

“เข้าใจแล้วครับ… ขอบคุณมากนะครับอาจารย์เลน่า”

“จ้า ๆ”

          เธอโบกมือให้ชินที่เหลียวกลับมาตอบทิ้งท้าย ก่อนจะเข้าสู่โหมดงีบหลับอย่างสมบูรณ์ ชินก็ถือโอกาสนั้นไม่รบกวนเธอแล้วออกจากห้องไปในทันที

 

เอาล่ะ หลังจากนี้ก็ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ

งั้นกลับไปหาข้อมูลข่าวลือทางอินเทอร์เน็ตที่ห้องเหมือนทุกทีก็คงดีเหมือนกัน

          ชินตัดสินใจได้เช่นนั้นและมั่นใจแน่แล้วว่าไม่ได้ติดนัดอะไรใครไว้จึงตัดสินใจที่จะกลับห้องหอของตัวเอง

 

“โย่! ชิน!”

          แต่ในตอนที่คิดแบบนั้นเสียงดังขึ้นมาทักทายเขาเสียก่อน

          ไม่สิ… พูดว่าดักรออยู่คงจะถูกกว่ากระมั้ง แถมไม่ใช่คนอื่นคนไกลนอกจากเคนเนธเพื่อนสนิทของชิน

          นอกจากนี้…

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เลิกคาบปุ๊บก็มาหาอาจารย์ทันทีเลย” เกวนเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหาชินและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะจากมุมมองของทุกคนชินเหมือนมีปัญหาจนต้องไปปรึกษากับอาจารย์

“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากฝึกงานเลยไปปรึกษากับอาจารย์เท่านั้นแหล่ะ” ชินว่าพลางยิ้มให้เห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องกังวล

“แหม ๆ ขยันจังเลยนะคะเนี่ย” ชงหยวน ไม่สิ… ซูซานเป็นอีกคนที่อยู่กับกลุ่มของเคนเนธ เธอเอ่ยชมในทันทีที่ได้ยินธุระของชิน

“ก็ปกติออก”

          แต่เพราะไม่รู้ว่าเธอแฝงเจตนาอะไรเอาไว้อยู่ ชินเลยตอบกลับไปตามปกติ แต่ดูเหมือนการที่เขาไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเดียวกับที่มอบให้เกวนจะเป็นการทำให้ซูซานรู้สึกหงุดหงิดแทนในความหมายอื่น

 

“แต่จะยังไงก็เถอะ เราไปเที่ยวกันหน่อยไหมล่ะ!?” เคนเนธว่าแล้วก็กระโดดโหยง ๆ เข้ามาตบไหล่ชินเหมือนกับที่เคย

“ให้ตายสิ น่าจะถามฉันซะหน่อยนะว่าว่างรึเปล่า” ชินโดนแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ

“นั่นสิ นายอย่าไปทำให้ชินกังวลสิ”

“เปล่าซะหน่อย ก็ถ้ามีธุระฉันก็ไม่ได้จะเซ้าซี้ซะหน่อย” พอถูกเกวนว่าเคนเนธก็หงอไปทันที ท่าทางเขาเหมือนไม่อยากไปเที่ยวแล้วยังไงอย่างงั้น

“เอ๋! ถ้ามีธุระจริงก็น่าเสียดายจังเลยนะคะเนี่ย”

          มีแค่ซูซานคนเดียวที่เห็นด้วยกับเคนเนธ

          เธอเป็นคนเดียวที่ยิ้มแฉ่งและพยายามเชื้อเชิญให้ชินไปเที่ยวกับพวกตนด้วย

          ทางชินเองก็ไม่รู้ว่าเธอหวังอะไรเอาไว้ แต่ที่แน่ ๆ คือหนึ่งในสิ่งที่เธอต้องการมันจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อชินไปเที่ยวด้วย

 

มันยังไงกันนะ?

          ชินได้แต่คิดและสงสัย แต่แน่นอนว่าคิดไม่ออกเพราะข้อมูลมีน้อยเกินไป

          ที่จริงเมินไปก็คงได้ แต่ชินก็รู้อยู่แก่ใจว่าชงหยวนนั้นดื้อรั้นแค่ไหน ด้วยเหตุนั้น หากสิ่งที่เธอคิดไว้มันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เธอหวัง เธอก็จะทำมันจนกว่าจะได้อย่างใจ เพราะงั้นไม่ว่าช้าหรือเร็วชินก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่ชงหยวนอยากให้เขาเจออยู่ดี

          เพราะแบบนั้นแหล่ะ…

 

“แต่เอาเถอะ จริง ๆ ฉันก็ว่างนั่นแหล่ะ” ชินว่าพลางยักไหล่ ก่อนจะยิ้มให้ทุกคนอีกครั้ง

“ไม่ได้ติดธุระแน่ ๆ ใช่ไหม?” แต่เกวนก็ยังถามย้ำด้วยความเป็นห่วงอยู่ดี เธอพยายามมองเข้ามาในตาชินเพื่อการนั้น

“แน่สิ ไม่ต้องห่วงหรอก” ชินยืนยันอีกทีทำให้เกวนถอนหายใจอย่างโล่อก เพราะถึงเธอจะอยากไปเที่ยวกับชินก็จริงแต่ก็ไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้กับเขา

          กลับกันแล้ว เคนเนธนั้นไม่ได้ดีใจเหมือนก่อนหน้านี้เพราะถูกดุไปโดยเกวน แต่ก็แน่นอนว่าดีใจอยู่

          ส่วนทางด้านของซูซานนั้น…

 

“ได้อย่างนี้ก็เยี่ยมไปเลยค่ะ”

          พอได้ยินชินตอบกลับมา เธอกลับแสดงรอยยิ้มแบบเดียวกับเกวนออกมาเสียอย่างนั้น

          ซึ่งแม้จะรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ชินก็ไม่ได้เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงแสดงรอยยิ้มอย่างนั้น อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากที่ตัดสินใจได้ว่าจะไปเที่ยวผ่อนคลายหลังเลิกเรียนกันตามปกติของทั้งสามคนอันประกอบด้วยชิน เคนเนธและเกวน โดยมีซูซานเพิ่มเข้ามาด้วยจากความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นจากการไปทัศนศึกษา (ถึงสาเหตุหลักจะเป็นเพราะซูซานเข้าหาชินก็ตาม)

          อันที่จริงเกวนก็ชวนโอลิเวียกับจินมาด้วยเหมือนกัน แต่ถูกปฏิเสธไปเพราะไม่มีเหตุผลให้ไปด้วย

          ด้วยเหตุนั้นทั้งกลุ่มเลยมีแค่ 4 คน ส่วนจุดมุ่งหมายที่ตั้งเป้าไว้ที่แรกคือร้านคาเฟ่ที่มีขนมออกใหม่ ซึ่งเป้นสิ่งที่เกวนกับซูซานอยากจะไป และถึงจะไม่เท่ากับพวกเธอแต่เคนเนธเองก็ชื่นชอบของหวานไม่น้อย เขาจึงเป็นหนึ่งในคนที่อยากลองเหมือนกัน

          ส่วนชินก็แน่นอนว่าตามไปเฉย ๆ เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เพราะเขาก็ไม่ได้ชอบอะไรพิเศษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

          รวมถึงเรื่องที่กังวลว่าซูซาน… ชงหยวนวางแผนจะทำอะไรอยู่ก็ด้วยเลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย

          ชินถึงระวังทุกฝีก้าวโดยเฉพาะในจังหวะที่ชงหยวนสามารถแทรกบทบาทเข้ามาเพื่อกระทำบางอย่าง

 

“เอาล่ะ…”

          แต่ดูเหมือนชินจะคิดผิดไปหน่อย กล่าวคือกะจังหวะที่ชงหยวนจะลงมือผิดไป

          เพราะทันทีที่ทั้งกลุ่มหย่อนก้นลงโต๊ะในคาเฟ่ เธอก็เริ่มพึมพำอย่างนั้นออกมาในทันที ก่อนที่จะ…

 

“ ‘ทำเป็นไม่ได้ยินซะ’ ”

          ชงหยวนพูดแบบนั้นให้ดังมากพอที่จะได้ยินทั้งร้าน ซึ่งร้านคาเฟ่แห่งนี้เองก็เป็นร้านขนาดกลางที่มีแค่สิบกว่าโต๊ะ

          ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้คำสั่งไนท์ของเธอ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทุกคนนิ่งเป็นเป่าสากในทันทีเหมือนถูกสะกดจิตในทันทีที่ชงหยวนเอ่ยปากอย่างนั้น แน่นอนว่าเกวนกับเคนเนธเองก็ด้วย

          …จะมีข้อยกเว้นก็แต่กับชินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอนี่แหล่ะที่ไม่ได้รับผลจาก ‘ประกาศิตสมบูรณ์’ ของชงหยวน

 

“นี่เธอ… คิดจะทำอะไรกันแน่?” ด้วยความรวดเร็วของการลงมือ รวมถึงความแน่วแน่ไร้การลังเลทำให้ชินรู้สึกว่าชงหยวนกำลังวางแผนการใหญ่ไว้เบื้องหลังต่อจากนี้

          เขาคิดเป็นอื่นไปไม่ได้จากสิ่งที่เธอทำโดยไม่สนนกสนกานี้ เพราะงั้นชินถึงได้รู้สึกกังวลจนเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ในหัวเขากำลังคิดแผนการรับมือล่วงหน้ากับสิ่งที่คาดว่าชงหยวนจะทำ

 

          ในขณะที่ทางด้านของชงหยวนนั้นไม่ได้รับรู้ความกังวลเหล่านั้นในใจของชินเลย เธอยังคงเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจผู้มุ่งหมายจะทำเป้าหมายให้สำเร็จแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่สนว่าจะต้องแลกกับอะไร ต้องทำอะไรหรือจะส่งผลยังไง

 

“ชิน…” เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นก่อนจะกางนิ้วชี้มาที่ชิน

          เพราะตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน มันเลยทำให้ชินรู้สึกเหมือนกับกำลังจะถูกออกคำสั่งหรือไม่ก็เป็นการยื่นข้อเสนออะไรสักอย่างตามนิสัยของเธอ ซึ่งคำนึงจากเรื่องที่ผ่านมาแล้วคงไม่ใช่ข้อเสนอดี ๆ แน่นอน

          แต่คำพูดถัดไปของเธอนั้นกลับเป็นตรงกันข้าม…

 

“ไม่สนใจจะแต่งงานกับฉันเหรอคะ?”

          ไม่สิ… ข้อเสนอนั่นอยู่คนละขั้วกับที่ชินคิดเลยต่างหาก 

 

หา?

          นั่นถึงทำให้ชินอ้าปากค้างไปแวบนึงด้วยความสับสนเพราะตามสถานการณ์ไม่ทันหลังได้ยินข้อเสนอหลุดโลกอย่างนั้นจากปากของชงหยวน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+