ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

แต่งงาน? พูดเรื่องอะไรของเธอกันวะเนี่ย

          ได้ยินข้อเสนอที่ไร้ที่มาที่ไปทั้งยังไม่มีปี่มีขลุ่ยจากชงหยวน ต่อให้เป็นชินก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้แม้ว่านั่นจะเป็นแค่การสบถในใจก็เถอะ

          แต่อันที่จริง ความสงสัยและหงุดหงิดเองก็ถูกแสดงออกผ่านสีหน้าของชินด้วยเหมือนกัน

 

“เดี๋ยวก่อนสิคะ… ทำหน้าขยะแขยงแบบนั้นมันเสียมารยาทไม่ใช่รึไงกัน?” นั่นถึงทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างชงหยวนหงุดหงิดตามไปด้วย ถึงอันที่จริงมันจะออกไปในทางแง่งอนมากกว่าโกรธเคืองก็ตามที

          และถ้าถามว่าหงุดหงิดถึงขนาดไหน ก็ถึงขนาดที่ชงหยวนถึงกับเอามือทุบโต๊ะจนเสียงดังลั่นนั่นแล หากไม่ได้เป็นเพราะทุกคนโดนไนท์ของเธอควบคุมอยู่ คนทั้งร้านก็คงจะหันมามองที่เธอกันหมดแน่ ๆ

          เพราะเธอแสดงออกขนาดนั้น ในทางกลับกันมันเลยทำให้ชินรู้สึกตัวว่าตนเองแสดงอารมณ์อันไม่เหมาะไม่ควรออกไปมากขนาดไหน

 

“ไม่ได้ขยะแขยง ฉันตกใจต่างหาก… ก็เธอดันพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่บอกสาเหตุอะไรเลย มันก็แหงอยู่แล้ว” ชินตอบไปตามมารยาทแต่ไม่ได้ขอโทษ แม้ว่าชงหยวนในตอนนี้จะแสดงสีหน้าของหญิงสาวธรรมดาคนนึงไม่ใช่เจ้าหญิงร้อยเล่ห์อย่างทุกทีเขาก็ไม่กล้าวางการ์ดลงอยู่ดี

          และบางทีชงหยวนก็คงรู้แบบนั้นเลยรู้สึกหงุดหงิดที่ชินไม่ไว้ใจเธอเลยสักนิดจนถึงขั้นที่ต้องทำแก้มป่องผิดวิสัยของเธอเลยทีเดียว

 

“ให้ตายสิ… อย่างน้อยไม่คิดว่าฉันจะสารภาพรักบ้างเลยเหรอคะ!?” ชงหยวนถึงได้เริ่มพูดเหมือนตัดพ้อก่อนจะนั่งเท้าคางอย่างหงุดหงิด

“แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ” ชินพูดแล้วก็เหงื่อตกเพราะใจนึงเขาก็รู้สึกผิดกับชงหยวนอยู่ แต่อีกอย่างนึงที่สื่อชัดเจนเลยก็คือ ชินไม่เชื่อสักนิดว่ามันจะเป็นการสารภาพรักจริง ๆ 

“พูดแบบนั้นเหมือนกับจะบอกว่าฉันเป็นพวกไร้หัวใจเลยนะคะ” และเพราะได้ยินแบบนั้นเลยทำให้ชงหยวนถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด เพราะรู้สึกพ่ายแพ้ด้วยความที่ชินไม่ได้มองเธอในฐานะของผู้หญิงคนนึง

          …แม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม

          เพราะอย่างไรเสีย ชงหยวนก็เป็นถึงอดีตคู่หมั้นของชิน ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยหมั้นหมายกันอย่างยาวนานโดยไม่ได้ปฏิเสธสายสัมพันธ์นี้ ดังนั้น หากเหตุการณ์ที่อาณาจักรแวมไพร์ล่มสลายมันไม่ได้เกิดขึ้น ชินก็ไม่ได้รังเกียจที่จะลงเอยอย่างลึกซึ้งกับชงหยวนแต่อย่างใด

          กล่าวคือ ชินไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือไม่พอใจชงหยวนในฐานะผู้หญิงคนนึง แต่ไม่ไว้ใจเธอเพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังข้อเสนอดังกล่าวต่างหาก

 

          และสาเหตุที่ชงหยวนหงุดหงิด มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดมากไปกว่าความผิดหวังจากความคิดที่ว่า “ชินจะรับรักตน โดยไม่เอ่ยถามเหตุผลใด ๆ” สมสาวน้อยทั่วไปนั่นแล

          แต่ดูเหมือนความหวังที่โรแมนติกแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ยากสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันนานแถมยังแสดงตนเป็นศัตรูกันมาตลอดตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งล่าสุด

 

“ให้ตายสิ… เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวจะยื่นข้อเสนอแบบเป็นทางการตามที่คุณต้องการก็แล้วกันนะคะ” ชงหยวนที่จำใจต้องยอมรับความจริงแบบนั้นเลยกล่าวกับชินด้วยน้ำเสียงปกติ แม้มันจะตามมาด้วยการถอนหายใจแห้ง ๆ ก็ตามที และแน่นอนว่าชินไม่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นของเธอเลย

“อื้ม ช่วยได้มากเลยล่ะ”

          แต่ชินที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอกไปเปราะนึง… เพราะอย่างน้อยก็เข้าใจได้ว่าอารมณ์ของชงหยวนกลับมาคงที่แล้ว

          …ส่วนประเด็นที่กำลังจะพูดถึงนั้นเป็นอีกเรื่อง

 

“ก่อนอื่นนะคะ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน… ลืมเรื่องวิธีการยืนยันไปซะสนิทเลย” ในตอนที่กำลังจะเริ่มพูด ชงหยวนเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลยจับคางครุ่นคิดก่อนที่จะพูดต่อ

“เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสักหน่อย เพราะงั้นถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่อย่างน้อยก็อยากจะให้ฟังจนกว่าจะพูดจบ” ชงหยวนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจนิดหน่อย เทียบกับตอนที่เพิ่งจะได้เจอกันนับจากเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ชงหยวนแสดงสีหน้าแบบนี้

“ได้สิ ไม่มีปัญหาหรอก”

          ชินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเทพบุตรตามที่ชงหยวนคาด

          แม้ในความคิดของชิน… เขานั้นจะพอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าชงหยวนอยากจะพูดเรื่องอะไรเลยกำลังเตรียมคำตอบ วิธีรับมือ

          รวมถึงคำตอบของข้อเสนอชงหยวนด้วยเช่นกัน

 

“รู้รึเปล่าคะ… ที่จริงแล้วโลกใบนี้น่ะไม่ได้ปกครองกันอย่างเสรีแบบที่เราเคยเข้าใจกันหรอกนะคะ” ชงหยวนเริ่มเกริ่นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ค่านิยม แม้แต่การประเมิณคุณค่าต่อบางสิ่งที่เราเคยคิดกันมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่สั่งสมผ่านช่วงเวลาและเติบโตขึ้นจากปัญญาของมนุษย์ทุกคนร่วมกันนั้น แท้จริงแล้วมันอาจถูกกำหนดขึ้นโดยฝีมือของใครบางคนก็ได้”

“…”

          ชงหยวนยังคงใช้น้ำเสียงจริงจังในขณะที่ใช้มือช่วยในการนำเสนอ ซึ่งเธอจะทำแบบนั้นทุกครั้งในตอนที่พูดถึงเรื่องจริงจัง และชินเองก็รู้เรื่องนั้นดี

          แต่ที่เขาทำก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนั่งฟังเงียบ ๆ… ในจังหวะแบบนี้ชินไม่คิดจะแสดงออกเกินความจำเป็น และอันที่จริงมันก็เป็นปฏิกิริยาปกติของเขาเวลาที่ตั้งใจฟังเรื่องที่คนอื่นพูดอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ชงหยวนเองก็รู้เหมือนกัน

 

“สาเหตุทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกที่เกิดขึ้นทุก 100 ปี” ในขณะที่เล่า ชงหยวนก็สลับมามองตาและอากัปกิริยาของชินหลายต่อหลายครั้งเพื่อดูว่าชินเชื่อไหม เพราะจากนี้จะเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจปกตินั่นแล

“…ในทุก 100 ปีจะมีศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกเกิดขึ้น และผู้ที่เอาชนะผู้มีสิทธิคนอื่นได้นอกเหนือจากตัวเองจนหมดจะได้รับสิทธิในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ท้องฟ้า สภาพอากาศ ตลอดจนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ค่านิยมและรูปแบบการปกครอง แม้แต่ความทรงจำของผู้คน จะเปลี่ยนไปอย่างที่ผู้ชนะต้องการ” แต่ดูเหมือนจะอ่านความคิดของชินไม่ออก เธอเลยทำได้แค่เล่าต่อไป

          …เล่าในสิ่งที่ชินรู้อยู่แล้ว

 

“ศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกที่จะเฟ้นหาผู้ชนะจากผู้มีสิทธิทั้ง 8 คน… นี่ต่างหากค่ะคือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้”

          ชงหยวนพูดจนถึงข้อสรุปแล้วผายมือออกทั้งสองประกอบท่าทางอีกครั้ง บางทีเธอคงคาดหวังปฏิกิริยาอะไรสักอย่างจากชินถึงได้ทำโอเวอร์ขนาดนั้น

          แต่ในท้ายที่สุดกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาจากชินเลยสักนิด สีหน้าของชงหยวนจึงทั้งผิดหวังและขาดความมั่นใจไปในบัดดล

 

“คงไม่เชื่อสินะคะ” ชงหยวนจึงถามชินออกมาตรง ๆ หลังจากที่เล่าแกนหลักของเรื่องให้ฟังแล้ว ด้วยน้ำเสียงที่เบาลงไปกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่หรอก… อย่างเธอคงไม่พูดเรื่องอะไรที่มันไร้สาระออกมาหรอกจริงไหมล่ะ? จะให้คิดว่าเธอแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อหาข้ออ้างที่จะคบกับฉันมันยิ่งไม่น่าเชื่อกว่าอีก”

“อะฮะฮะ… แหงอยู่แล้วค่ะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงน่าสมเพชขนาดนั้นหรอกนะคะ”

          ชินพูดติดตลก แต่หารู้ไม่ว่ามันแทงใจดำชงหยวนเข้าเต็ม ๆ จนเธอได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ยิ้มกลบเกลื่อนแบบที่ต้องแอบหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย

 

“แต่ถ้าสมมุติว่าเรื่องที่เธอเล่ามันเป็นความจริง… แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เธอยื่นข้อเสนอแต่งงานกับฉันกันล่ะ?” ชินเอ่ยถามอีกครั้งแม้จะพอรู้อยู่แล้ว ที่เขาต้องการจึงน่าจะเป็นรายละเอียดมากกว่า

“ก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนยังไงล่ะคะ… จากเรื่องที่เล่าให้ฟังนั่น ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องการกองกำลังที่จะใช้ต่อสู้ ฉันถึงต้องการตัวคุณให้มาช่วยเหลือฉันนั่นเองค่ะ โดยแลกกับความปรารถนาของคุณทุกอย่างเท่าที่ฉันจะทำให้ได้ยังไงล่ะคะ และเพื่อเป็นหลักประกันคุณจะแต่งงานกับฉันอย่างเป็นทางการก็ได้เหมือนกัน”

          ชงหยวนพูดอธิบายทุกอย่างเสร็จสรรพ ได้ใจความและเข้าใจง่าย ดวงตาของเธอไม่สั่นไหวเลยสักนิดในตอนที่พูดอย่างนั้นจึงช่วยยืนยันได้ว่าเธอพูดจริง ส่วนเรื่องที่ว่าข้อตกลงของเธอนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ชินนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าชงหยวนไม่ใช่พวกที่เล่นไม่ซื่อ เธอเป็นหญิงสาวที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรียิ่งกว่าใครและยอมตายเสียดีกว่าหากจะต้องเสียสัจจะของตน

          ดังนั้น หากเรื่องที่เธอพูดออกมามันเป็นความจริง เขาก็เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเธอไม่ได้หลอกใช้เขาแน่นอน

          แต่ว่าก่อนหน้านั้น…

 

อย่างนี้นี่เอง… หลังจากยืนยันได้แล้วว่าเราไม่ใช่ราชาคนที่ 8 ก็เลยต้องการดึงเราให้เป็นพรรคพวกอย่างอัศวินนักษัตรของเธอล่ะสินะ

ถ้าคิดแบบนั้นก็เข้าใจได้อยู่ เพราะชงหยวนรู้จักพลัง ‘เปอร์เซ็นต์เทจ’ ของเราดี รวมถึงบุคลิกลักษณะ ความสามารถในการต่อสู้รวมถึงความสามารถในการตัดสินใจของเรา

 

ในมุมมองของเธอ… พอเห็นว่าเรามีคุณสมบัติของนักรบมากถึงขนาดนั้น บางทีคงอยากได้เราจนตัวสั่นเลยล่ะนะ หลังจากที่ได้รู้ว่าเราไม่ใช่ศัตรูน่ะ

เธอถึงได้ยอมยื่นข้อเสนอที่เหมือนกับจะบอกว่า ‘จะยอมทำทุกอย่างแลกกับการให้เธอยืมพลัง’ ยังไงอย่างงั้น

 

พอมาคิดดูแล้ว… ชงหยวนคงวางแผนที่จะทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ที่ปรากฏตัวและเข้าหาฉันในฐานะของนักเรียนใหม่แล้วก็ได้

ถ้าเราเป็นราชาคนที่ 8 ที่อาจเป็นคู่แข่งก็จะกำจัดเราทิ้ง แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะขอยืมพลังของเรา… เรียกว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

ร้ายกาจซะจริงนะ… แต่ก็สมเป็นเธอแล้วล่ะ

แต่ถ้าเป็นงั้น ตอนนี้ฉันก็เข้าใจเจตนาของชงหยวนแล้ว

          ชินเรียบเรียงสถานการณ์ในหัวกับข้อมูลที่มีอยู่ก่อนแล้วของตัวเองก่อนจะก็เริ่มวางแผนรับมือ

          แต่อย่างไรก็ดี… ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่เขายังสงสัยอยู่

 

“ถ้าฉันบอกว่าไม่สนใจล่ะ? เธอก็รู้นี่ว่าฉันต้องปิดบังตัวตนเป็นคนธรรมดาก็เพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ถูกโลกทั้งใบตามล่า ซึ่งไนท์ของฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นสิ่งที่จะเปิดเผยตัวตนของฉันด้วย… ฉันไม่คิดว่าจะคุ้มค่าหรอกนะต่อให้เป็นการทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกก็เถอะ แล้วอีกอย่าง นั่นมันก็เป็นแค่การเปลี่ยนโลกตามที่เธอต้องการใช่ไหมล่ะ? ฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับเรื่องนั้นซะหน่อย?”

“มันจะเป็นอย่างนั้นแน่เหรอคะ?”

          กับชินที่พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริง ว่าข้อเสนอของชงหยวนนั้นไร้น้ำหนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ชินกำลังแบกรับอยู่ ชงหยวนกลับไม่ได้ยี่หระเลยสักนิด นอกจากนั้นเธอยังยิ้มตอบชินเสมือนคาดการณ์ไว้แล้วว่าชินจะไม่ตอบรับข้อเสนอของตนง่าย ๆ

 

“ถ้าฉันบอกว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับชินโดยตรงจะว่ายังไงล่ะคะ?” อาจเพราะแบบนั้น เธอเลยเตรียมเล่าเนื้อหาส่วนขยายของเรื่องที่เล่าไว้ก่อนหน้านี้ต่อ

“ถ้าฉันจะบอกว่าการตายของท่านเอลานอร์ รวมถึงการล่มสลายของบ้านเกิดท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์นี้… คุณจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอยู่อีกไหมล่ะคะ”

“!?” 

          คำพูดของชงหยวนที่หรี่ตาลงครึ่งนึงอย่างมีเลศนัยส่งไปยังชินที่ขมวดคิ้วแน่นหลังได้ยินข้อความอันน่าตกตะลึง นั่นทำให้เหงื่อของชินผุดขึ้นเต็มใบหน้าอย่างกังวล

          อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ชงหยวนเห็นและเข้าใจ… หากแต่ในความเป็นจริง คือชินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจากอัลเฟรด พอถูกชงหยวนพูดออกมาอย่างภูมิใจและโอ้อวดประหนึ่งตนถือไพ่เหนือกว่าเลยรู้สึกผิดและลำบากใจที่ทำให้ชงหยวนเหมือนตัวตลก และคิดว่าถ้าชงหยวนมารู้ทีหลังเธอคงจะโกรธเขามากแน่ ๆ เลยรู้สึกกังวลขึ้นมา นั่นต่างหากคือสิ่งที่ชินรู้สึกอยู่จริง ๆ

 

“ฉันไม่เข้าใจ… ท่านพ่อเกี่ยวอะไรด้วย” เพื่อไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น ชินก็มีแต่ต้องทำเป็นไม่เคยได้ยินไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย รวมถึงเพราะไม่รู้ว่าชงหยวนจะเคลื่อนไหวยังไงต่อด้วย

          อย่างไรก็ดี… สำหรับชงหยวนแล้วมันเหมือนกับว่าชินกำลังให้ความสนใจสิ่งที่เธอกำลังพูด เธอเลยคิดว่าบางทีชินคงติดเบ็ดแล้วกระมังถึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

 

“เพราะในอดีตท่านเอลานอร์เองก็เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิเหมือนกันน่ะสิคะ… ความจริงคือท่านเป็นผู้ชนะในศึกชิงบัลลังก์ที่เกิดขึ้นมาตลอดหนึ่งพันปีเชียวล่ะค่ะ จะบอกว่าเบื้องหลังอำนาจอันล้นเหลือที่ปกครองโลกได้ทั้งใบของท่านมาจากรางวัลของศึกชิงบัลลังก์นี้ก็คงไม่ผิดนักหรอกค่ะ” ชงหยวนพูดแล้วเว้นวรรคช่วงหนึ่ง แอบสังเกตท่าทีของชินที่เริ่มกอดอกฟัง ก่อนที่จะพูดต่อ

“และไม่ว่าท่านเอลานอร์จะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ถูกหรือไม่ แต่เพราะผูกขาดบัลลังก์เอาไว้คนเดียวแบบนั้นก็เลยมีคนที่ไม่พอใจในตัวท่านอยู่ ซึ่งก็คือผู้มีสิทธิครองบัลลังก์คนอื่น ได้รวมหัวกันกำจัดท่านรวมถึงกองกำลังของท่านจนอาณาจักรแวมไพร์ล่มสลาย… หมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันน่ะนะคะ”

“…”

          ชินยังคงนิ่งเงียบกับข้อมูลที่ควรจะตกตะลึง แต่อย่างน้อย ๆ ชินก็ยังพยายามแสดงออกว่าแปลกใจด้วยการกอดอกตัวเองแน่นพร้อมกับที่กำต้นแขนของตัวเองเสมือนพยายามอดกลั้น แม้อันที่จริงชินจะไม่ได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นก็ตาม กระทั่ง…

 

“เรื่องที่เกิดขึ้นแบบนั้น… ลูกชายอย่างคุณเคยรู้รึเปล่าล่ะคะ?”

          กระทั่งชงหยวนเอ่ยอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มยั่วโมโหอย่างจงใจ

          และไม่ว่านั่นจะมีเจตนาอย่างไร… แต่ก็เพราะชงหยวนพูดเหมือนกับว่าชินไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่พ่อของเขาทำหรือแบกรับนั่นแหล่ะ ชินถึงได้รู้สึกหงุดหงิดในคำพูดนั้นเพราะเหมือนกับเป็นการตอกย้ำในความโง่เขลาของเขาในช่วงนี้ที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นเบื้องหลังชีวิตประจำวันในฐานะองค์ชายที่ผ่านมา

          ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่จากศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกของท่านพ่อ ความคิดของอาจารย์ฮอว์คินที่ทำเรื่องแบบนั้น รวมถึงการมีอยู่ของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอย่าง ‘Midnight’

          ชินตระหนักเรื่องนั้นและตำหนิตัวเอง

 

“นึกว่าจะหมดหวังแล้วซะอีก… แต่ดูท่าว่าคุณเองก็ยังคงเหลือเขี้ยวเล็บอยู่นะคะ”

          แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ชินหงุดหงิดด้วย ดวงตาของเขาถึงเปลี่ยนเป็นสีแดงอันเป็นตัวบ่งชี้ว่าอารมณ์บางอย่างในตัวของเขาพุ่งขึ้นสูง

          และไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่มันก็ทำให้ชินแนบเนียนขึ้น

          สำหรับชงหยวนที่ตั้งใจยั่วโมโหชินนั้นปักใจเชื่อไปว่าเป็นอารมณ์โกรธกริ้วซึ่งก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปนัก เพราะเธอไม่เห็นท่าทางชินแสดงออกอย่างหงุดหงิดเลยสักนิด ทั้งที่ความจริงเบื้องหลังของคนร้ายที่ช่วงชิงทุกสิ่งไปจากเขากำลังจะถูกเปิดเผยแท้ ๆ

          ชงหยวนถึงได้โล่งใจจนยิ้มออกมาอีกครั้งที่เขายังคงหลงเหลือความโกรธกริ้วที่มีต่อคนร้ายอยู่

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธหรอกนะคะ แค่อยากยืนยันเท่านั้นเอง… ว่าคุณจะเคยชินกับชีวิตประจำวันอันสงบสุขจนลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วรึเปล่า” ชงหยวนพูดแบบนั้นอีกครั้งเพื่อไม่ให้ชินเข้าใจตนผิด ถึงอันที่จริงชินจะรู้อยู่แล้วก็ตาม

“แล้ว… ว่ายังไงล่ะคะชิน? สนใจอยากจะล้างแค้นหรือทำให้พวกคนที่ทำลายบ้านเกิดของคุณต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำไหมคะ?” หนนี้เป็นชงหยวนที่เริ่มพูดอย่างหนักแน่นเหมือนเป็นฝ่ายคุมเกม 

          เธอถึงกับนั่งเท้าคางด้วยมือสองข้างในขณะที่หรี่ตามองชินด้วยแววตาแหลมคมเหมือนอสรพิษที่กำลังรอให้เหยื่อเคลื่อนไหวก่อนจึงค่อยงับกินปิดฉาก

          แต่สำหรับชิน… นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงเป็นเรื่องที่คิดหาทางรับมือไว้ก่อนแล้วด้วยเช่นกัน

 

“เรื่องที่ฟังมันน่าเหลือเชื่อมาก” ชินเริ่มจากเอ่ยด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลงก่อนจะเอนตัวลงไปกับพนักพิง นั่นทำให้ชงหยวนรู้ว่าชินนั่งตัวเกร็งมาตลอด ไม่สิ… ชินพยายามทำให้ชงหยวนคิดแบบนั้นต่างหาก

“ฉันเข้าใจค่ะ… ถ้าสถานการณ์กลับกันฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน” ชงหยวนเลยยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่หนนี้เหมือนจะแอบแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจอยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น เธอก็คงจะเตรียมวิธีการพิสูจน์เอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ?”

          แต่ในขณะเดียวกัน คำพูดของชงหยวนเองก็มีประเด็นเหมือนกัน ชินจึงตัดเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง แต่ความต้องการแท้จริงแล้วเป็นคนละอย่างกับที่พูดออกมา

          เพราะยังไงชินก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ชงหยวนพูดมันเป็นความจริง

          แต่มีเรื่องหนึ่งที่สะกิดใจชินอยู่ก่อนเรื่องนั้น…

 

“ไม่สิ… ก่อนหน้านั้นเธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน? ขนาดฉันเองยังไม่เคยรู้ แต่เธอกลับรู้ทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของท่านพ่อแท้ ๆ นี่มันแปลกอยู่นะ” 

          ชินจึงเอ่ยถามแบบนั้นออกมาตามตรง เพราะคิดตามปกติ ขนาดว่าอัลเฟรดเป็นลูกชายของขุนนางคนสนิทของชินยังแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะรู้เรื่องเบื้องหลังพวกนี้ด้วย เพราะอัลเฟรดไม่ได้เกี่ยวข้องกับศึกครั้งก่อนโดยตรง นอกซะจากว่าเขารู้จักคนที่เกี่ยวข้องกับราชาเอลานอร์ซึ่งก็พอเป็นไปได้

          แต่ในทางกลับกัน ชงหยวนนั้นเป็นคนนอกหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม มันจึงเป็นเรื่องแปลกมากที่เธอรู้เรื่องลับลมคมในที่เกิดขึ้นแบบนี้ 

          ชงหยวนเองก็เข้าใจข้อสงสัยของชิน แต่ความจริงมันอาจไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น

 

“พูดไปก็ออกจะเสียมารยาทอยู่หน่อย ๆ… แต่คนในวงการเขารู้เรื่องนี้กันหมดทุกคนเลยล่ะนะคะ ฉันเองพอพลังของตราราชันย์ตื่นขึ้นแล้วได้เข้าร่วมศึกบ่อย ๆ ข้อมูลมันก็ค่อย ๆ เผยมาจากฝั่งศัตรูเองนั่นแหล่ะค่ะ แต่จะหาต้นสายคงยากค่ะ เพราะบางทีพวกมันเองก็คงรู้มาจากที่อื่นอีกที”

          ชงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามรักษามารยาท อย่างน้อยในจุดนั้นเธอก็ยังเห็นใจชินที่เพิ่งตำหนิตัวเองไปอย่างโกรธเคืองก่อนหน้านี้อยู่

          แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ชงหยวนทำ เพราะดูเหมือนเธอจะตีความสายตาจริงจังของชินเป็นอย่างอื่นไปด้วย

          หรือไม่เธอก็แค่คิดกลั่นแกล้งโดยไม่ได้สนใจเรื่องนั้น

 

“แหม ๆ ทำสีหน้าจริงจังน่าดูเลยนะคะ… นี่ถ้าฉันเกี่ยวข้องจริง ๆ ล่ะก็ จะโดนคุณฆ่าเอารึเปล่านะ” กับชินที่กำลังคิดตามที่ชงหยวนบอก เธอกลับหยอกเย้าเขาด้วยคำพูดอีกครั้งแถมด้วยรอยยิ้มที่น่าหงุดหงิดแม้ความตั้งใจจะเป็นการหยั่งเชิง

          ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ชินโกรธขึ้นมาจริง ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจ้องชงหยวนตาเป็นมัน

 

“พูดอย่างนั้นทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าฉันไม่มีวันทำอย่างนั้น เธอนี่นิสัยเสียจริง ๆ นะ” ชินพูดออกไปด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์ แต่ที่นำมาก่อนใครคือความหงุดหงิด

          ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอื่นใด นอกจากการที่ชงหยวนพูดประหนึ่งเรียกคะแนนสงสาร ทำเหมือนชินเป็นพวกโหดร้ายที่ฆ่าได้แม้กระทั่งอดีตคู่หมั้นทั้งที่ชินไม่มีทางทำอย่างนั้น

          เขาจะโกรธเพราะรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนคุณธรรมที่ยึดมั่นมาตลอดมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากของคนที่น่าจะรู้จักตัวเขาดีอย่างชงหยวน

 

“ใช้คำว่าขี้แกล้งดีกว่ามั้งคะ อย่างน้อยนั่นก็เหมาะกับเด็กสาวใสซื่ออย่างฉันมากกว่านะ”

          แต่แทนที่จะยอมรับคำพูดของชินหรือขอโทษเขาแต่โดยดี ชงหยวนกลับยิ้มตอบกลับไปแทนเสียอย่างนั้น ด้วยความซุกซนราวกับปีศาจจอมป่วนตัวเล็กพริกขี้หนู 

          แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีแต่จะทำให้ความไม่พอใจของชินมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกว่าต้องตอบโต้กลับไปบ้าง

 

“ไม่รู้สิ… งั้นถ้าฉันพูดอย่างนี้ล่ะ” และเพราะเธอไม่ซื่อตรงเน้นแต่ความอยากจะเอาชนะสมบุคลิกอย่างนั้น เลยทำให้ชินรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ

“ถ้าฉันจะบอกเธอว่าฉันรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดอยู่ก่อนแล้วล่ะก็… ฉันจะโดนเธอฆ่ารึเปล่านะ?”

          ชินจึงคืนสนองสิ่งที่ชงหยวนมอบให้เขาไปตามสมควร… นั่นทำให้สีหน้าของชงหยวนถึงกับเปลี่ยนสีไปเลย คิ้วของเธอขมวดเข้าด้วยกันแถมรอยยิ้มยังหายไปหมดเมื่อได้ยินสิ่งที่ชินเอื้อนเอ่ย

 

“…พูดอย่างนั้นทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจะต้องทำอย่างนั้น คุณต่างหากค่ะที่นิสัยเสีย”

          ชงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักดูหงุดหงิดไม่เบา เพราะคำพูดของชินมันเป็นการปลุกข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง 

          แต่ที่หนักกว่าคือมันไม่ต่างจากการด่าเธอกลับไปว่า “คนที่นิสัยเสียคือเธอต่างหาก” ถึงได้ทำให้ชงหยวนขมวดคิ้วแน่น พร้อม ๆ กับที่เริ่มมองชินด้วยแววตาคมกริบ

 

“ใจร้ายจังเลยนะ… ทั้งที่ถ้าสถานการณ์กลับกัน ยังไงฉันก็คงทำอย่างนั้นกับเธอไม่ลงแท้ ๆ” ชินตอกย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้งให้มันหนักแน่นขึ้น จนหนนี้คิ้วของชงหยวนถึงกับกระตุกอย่างแรง

          ตอนนี้ดูเหมือนนอกจากข้อมูลในมือแล้ว สิ่งที่ชินมีเหนือกว่าก็คือการควบคุมอารมณ์ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยึดมั่นในสิ่งที่สูงกว่าชงหยวน

          เพราะอย่างน้อยต่อให้เป็นการทำเพื่อเป้าหมาย… แต่ชินจะไม่มีทางเสียสละชีวิตของคนรู้จักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน

          ไม่เหมือนกับชงหยวนที่ยอมสละได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของชายที่ตัวเองรัก เพราะคิดแค่ว่ามันเป็นราคาที่คุ้มจ่ายกับการสรรค์สร้างโลกในอุดมคติของตน

 

“แหม ๆ… น้อยใจเป็นด้วยเหรอคะนั่น”

          แต่อย่างไรเสีย ชงหยวนก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องผิด… เหมือนกับที่ชินไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนผิดเนื่องด้วยมีทัศนคติพื้นฐานแตกต่างกัน เธอจึงบ่ายเบี่ยงมากกว่าจะยอมรับคำพูดของชิน

          แม้ว่าในตอนที่ชงหยวนพยายามพูดแบบนั้นออกมา มันจะดูเหมือนเธอกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดบางอย่างต่อชินก็ตามที

          แต่แน่นอนว่าชินไม่อาจเข้าใจไปทางนั้นได้จากปฏิกิริยาอันน้อยนิดของชงหยวน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเธอเช่นกัน ถ้าจะให้พูดน่าจะเป็นไปในทางผิดหวังมากกว่า

 

“เอาเป็นว่าฉันจะเก็บข้อเสนอไปคิดดูละกันนะ… แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ต้องคาดหวัง” ชินได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยอย่างนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาเอาเรื่อง ราวกับหมดความสนใจในข้อเสนอของชงหยวนไปแล้วเพราะถูกหักหาญน้ำใจ

          ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็ทำให้ชงหยวนกัดฟันแน่นไม่เบาเพราะดูเหมือนแผนการที่คิดมาจะมีอำนาจการต่อรองต่ำเกินไปจนสูญเปล่าเสียแล้ว

          และที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะการเดินเกมของเธอ ที่ใช้อัตตานำพาจนชินรู้สึกไม่พอใจเข้า… แม้ในความเป็นจริงแล้วมันก็แค่ว่าชินรู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้วเขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับข้อมูลนี้เท่าไหร่นักก็ตาม

 

“ถ้างั้น…” ชินพูดขึ้นสั้น ๆ เหมือนเรียกสติชงหยวนก่อนจะยักไหล่แล้วแผ่มือไปทางเคนเนธรวมถึงเกวนที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตามาตลอดเพราะไนท์ของชงหยวน

          เธอเห็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่า ‘ช่วงเวลาต่อรองได้จบลงแล้ว’

          ชงหยวนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่ชินต้องการอย่างว่าง่าย ด้วยการคลายพลังไนท์ที่ใช้กับทุกคนในร้านออกไป แม้ใจจริงจะอยากหยอกเย้าชินก่อนที่จะถ่วงเวลาคลายพลังออกไปอีกสักพักเพื่อให้รู้สึกถึงชัยชนะสักอย่าง แต่ถ้าทำแบบนั้นอีกมันคงซ้ำรอยเดิมเอาเสียเปล่า ๆ

          ผู้คนในร้าน ทั้งลูกค้า พนักงานเสิร์ฟรวมถึงพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ทำหน้าซังกะตายและเคลื่อนไหวอย่างไร้ชีวิตชีวามาตลอดถึงกลับมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับเคนเนธและเกวนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับชินด้วย

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากการยื่นข้อเสนอให้เข้ามาเป็นอัศวินของชงหยวนจบลง การเที่ยวหลังเลิกเรียนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

          ไม่สิ… พูดแบบนั้นคงไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะทันทีที่ทุกคนกินขนมรวมถึงเครื่องดื่มที่สั่งมาจนหมด ชงหยวนก็ขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่าติดธุระด่วน แต่สำหรับชินนั้นรู้ดี ว่าเธอคงแค่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจหลังจากข้อเสนอถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนเหมือนกับถูกบอกปัด

          ด้วยเหตุผลนั้น ชงหยวนเลยเป็นคนเดียวที่เดินแยกออกมาจากกลุ่ม

          เธอได้แต่เดินก้มหน้ากัดฟันอย่างหงุดหงิดใจมาตลอดตั้งแต่เดินแยกออกมา เธอไม่สนใจเลยว่ามันจะดึงดูดสายตาของคนเดินถนนคนอื่น

          กระทั่งทนไม่ไหว เธอเลยเดินเข้าไปในมุมตึกเงียบ ๆ ก่อนที่จะออกหมัดต่อยสุดแรงไปที่ผนังตึกหนึ่งทีเพื่อระบายอารมณ์ที่คับข้องใจมาตลอดตั้งแต่ครั้งสนทนากับชิน เพราะสำหรับเธอ นั่นคือความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

          จะว่าเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจก็ได้… แต่เพราะเธอเป็นพวกไม่ยอมแพ้แบบนี้ถึงได้ทำให้เธอมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ เธอถึงไม่ได้คิดว่ามันเป็นผลเสีย

 

“เป็นผู้ชายที่เคี้ยวยากอะไรอย่างนี้นะ”

          ทั้งอย่างนั้น… ชงหยวนกลับกัดฟันพูดออกมาอย่างเจ็บใจ

          ดูท่าในบางกรณี สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นจุดแข็งมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลังแทน

 

ไม่สิ… คนที่ทำให้ยากน่ะ น่าจะเป็นเรามากกว่า

          และยิ่งได้ตระหนักว่ากรณียกเว้นนั้นมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชิน ก็ยิ่งทำให้ชงหยวนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ถึงถึงกับเอาหน้าผากกระทบผนังเหมือนหงุดหงิดตัวเองที่ไปสร้างความไม่พอใจให้กับชิน

          …เพราะตระหนักว่าชินเป็นคนเดียว ที่ชงหยวนรู้สึกว่าต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไรเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่ปฏิเสธความต้องการของเธอ

 

          ชงหยวนทำให้เรื่องมันซับซ้อนแบบนั้นแล้วก็กัดฟันแน่นอีกครั้ง

          …แม้ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องมันก็แค่เธอไม่อยากถูกชินเกลียดเพราะเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป เรื่อมันก็เท่านั้นเอง

 

❖❖❖❖❖

 

หลังจากชงหยวนแยกตัวออกไป เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตก็เลยอยู่เที่ยวกับทั้งสองคนต่อ

ระหว่างทางฉันก็มีส่งข้อความไปหาโอลิเวียบ้างเพื่อนัดมาเจอกันที่ห้อง

 

เพราะมีเรื่องการเคลื่อนไหวของชงหยวนที่คิดว่าจะหายหน้าไปหลังยืนยันว่าฉันไม่ใช่ศัตรู แต่กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งเข้าหามากกว่าเดิมเพราะอยากได้ฉันเป็นพวกนี่แหล่ะเลยอยากจะปรึกษาโอลิเวียด้วย

แต่ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่โอลิเวียรออยู่ที่ห้องฉันอยู่แล้ว… ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ

 

ยังไงก็ตาม เรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือวิธีการรับมือกับการเข้าหาของชงหยวนนี่แหล่ะ

เพราะอย่างที่รู้ว่าฉันในตอนนี้จับมือเป็นพันธมิตรกับอัลเฟรดอยู่ ถ้าชงหยวนรู้ยังไงฉันก็คงไม่พ้นถูกหมายหัวอีกแน่

 

ถ้าจะให้เป็นนกสองหัวก็อันตรายเกินไป… ถึงแม้จะเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะหาข่าวได้จากหลายที่พร้อมกัน แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้วย

ไม่สิ… ที่จริงเราก็แค่ไม่ชอบใจที่จะทำเรื่องไร้เกียรติแบบนั้นมากกว่า ถึงแม้จะเป็นศัตรูกันแต่ฉันก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้อยู่ดี

 

เพราะเหตุนั้น ระหว่างทางกลับหอเลยเอาแต่คิดวิธีที่จะใช้ปฏิเสธชงหยวนเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ก็คิดไม่ออกเลยสักนิด… บางทีให้โอลิเวียช่วยน่าจะดีกว่า

          ชินคิดแบบนั้น ไม่ทันไรก็เดินเท้ามาจนถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง ถึงได้ทำให้รู้ว่าเขาหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองเอาการ 

          เขาไม่ลังเลที่จะเอื้อมไปจับลูกบิดเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโอลิเวียรออยู่ในห้อง ชินเดินเข้าไปในห้องตามปกติและล็อคประตูลงโดยไม่ได้คิดอะไร

 

“กลับมาแล้วเหรอคะชิน…” เสียงของโอลิเวียดังมาจากในห้องตามปกติอย่างที่ชินคาด

          แต่ดูเหมือนจะมีอย่างหนึ่งที่เขาคาดไม่ถึง… หนึ่งในนั้นก็คือสารรูปของแขกอย่างโอลิเวียที่เดินเตาะแตะมารับเขาถึงทางเข้าห้อง

          ความตกใจอย่างแรกคือการไม่คิดว่าจะได้เห็นโอลิเวียในชุดที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างชุดเมด ที่เห็นทีไรก็ได้แต่ต้องยอมรับว่ามันช่างเข้ากับเธอเสียจริง ๆ จะบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อใส่ชุดนี้ก็คงไม่เกินเลยไปนัก

          …แต่เรื่องที่สองที่ทำให้ชินถึงกับผงะอยู่ตรงหน้าประตู ก็คงจะไม่พ้นเรื่องความล่อแหลมของชุดที่เปิดเผยผิวสีขาวนวลราวหิมะของเธอจนหมดไม่ว่าจะเป็นหัวไหล่จนถึงต้นแขนทั้งสองข้าง เนินอกที่ดูเต่งตึงเข้าทรงราวกับเทือกเขาแอลป์ จะทั้งเอวคอดกิ่วดูนุ่มนิ่มน่ารับประทานหรือต้นขาอวบอิ่มฝาดสีชมพูอ่อนล้วนแล้วแต่ชวนให้หลงไหลจนไม่รู้จะเอาตาไปโฟกัสที่ตรงไหน

          และที่สำคัญคือ เพราะมันกะทันหันจนชินรับมือไม่ถูกนี่แหล่ะ เลยทำให้สมองส่วนที่ควบคุมเหตุผลทำงานได้ไม่ดีเท่าส่วนที่ใช้อารมณ์ และถ้านี่เป็นความต้องการของโอลิเวีย ก็คงต้องบอกว่ามันได้ผลชะงัด

 

“จะทานข้าวก่อนไหมล่ะคะ? หรือว่าจะอาบน้ำก่อน?” บวกกับน้ำเสียงชวนฝันแลเคลิบเคลิ้มในขณะที่มองเข้ามาในตาของชินอย่างเย้ายวน เท่านั้นไม่พอ เธอยังเดินเข้ามาใกล้ชินเรื่อย ๆ อีกต่างหาก ชุดบาง ๆ ของเธอทำให้หน้าอกอันอวบอิ่มสมบูรณ์กระเด้งอย่างน่าดึงดูด เช่นเดียวกับแววตาราวสัตว์กินเนื้อของเธอ

“หรือว่าจะกินฉันก่อนดีคะ?” ยิ่งในตอนที่โอลิเวียเอ่ยอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงเย้ายวนชวนฝันพร้อมกับเลียริมฝีปากอย่างซุกซน มันคงไม่ผิดนักหรอกที่ชายหนุ่มกลัดมันธรรมดาคนหนึ่งจะรู้สึกหวั่นไหว 

          ดวงตาที่สั่นกะพริบสีแดงเป็นจังหวะ คือตัวแทนของเลือดในตัวชินที่กำลังสูบฉีดเพราะถูกโอลิเวียปลุกเร้า 

          เขาต้องมนตร์เสน่ห์ของโอลิเวีย จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปเสียสนิทอย่างน้อยก็หลายนาที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 43: ข้อเสนอที่น่าลำบากใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

แต่งงาน? พูดเรื่องอะไรของเธอกันวะเนี่ย

          ได้ยินข้อเสนอที่ไร้ที่มาที่ไปทั้งยังไม่มีปี่มีขลุ่ยจากชงหยวน ต่อให้เป็นชินก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้แม้ว่านั่นจะเป็นแค่การสบถในใจก็เถอะ

          แต่อันที่จริง ความสงสัยและหงุดหงิดเองก็ถูกแสดงออกผ่านสีหน้าของชินด้วยเหมือนกัน

 

“เดี๋ยวก่อนสิคะ… ทำหน้าขยะแขยงแบบนั้นมันเสียมารยาทไม่ใช่รึไงกัน?” นั่นถึงทำให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างชงหยวนหงุดหงิดตามไปด้วย ถึงอันที่จริงมันจะออกไปในทางแง่งอนมากกว่าโกรธเคืองก็ตามที

          และถ้าถามว่าหงุดหงิดถึงขนาดไหน ก็ถึงขนาดที่ชงหยวนถึงกับเอามือทุบโต๊ะจนเสียงดังลั่นนั่นแล หากไม่ได้เป็นเพราะทุกคนโดนไนท์ของเธอควบคุมอยู่ คนทั้งร้านก็คงจะหันมามองที่เธอกันหมดแน่ ๆ

          เพราะเธอแสดงออกขนาดนั้น ในทางกลับกันมันเลยทำให้ชินรู้สึกตัวว่าตนเองแสดงอารมณ์อันไม่เหมาะไม่ควรออกไปมากขนาดไหน

 

“ไม่ได้ขยะแขยง ฉันตกใจต่างหาก… ก็เธอดันพูดแบบนั้นออกมาโดยไม่บอกสาเหตุอะไรเลย มันก็แหงอยู่แล้ว” ชินตอบไปตามมารยาทแต่ไม่ได้ขอโทษ แม้ว่าชงหยวนในตอนนี้จะแสดงสีหน้าของหญิงสาวธรรมดาคนนึงไม่ใช่เจ้าหญิงร้อยเล่ห์อย่างทุกทีเขาก็ไม่กล้าวางการ์ดลงอยู่ดี

          และบางทีชงหยวนก็คงรู้แบบนั้นเลยรู้สึกหงุดหงิดที่ชินไม่ไว้ใจเธอเลยสักนิดจนถึงขั้นที่ต้องทำแก้มป่องผิดวิสัยของเธอเลยทีเดียว

 

“ให้ตายสิ… อย่างน้อยไม่คิดว่าฉันจะสารภาพรักบ้างเลยเหรอคะ!?” ชงหยวนถึงได้เริ่มพูดเหมือนตัดพ้อก่อนจะนั่งเท้าคางอย่างหงุดหงิด

“แล้วเธอจะทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ” ชินพูดแล้วก็เหงื่อตกเพราะใจนึงเขาก็รู้สึกผิดกับชงหยวนอยู่ แต่อีกอย่างนึงที่สื่อชัดเจนเลยก็คือ ชินไม่เชื่อสักนิดว่ามันจะเป็นการสารภาพรักจริง ๆ 

“พูดแบบนั้นเหมือนกับจะบอกว่าฉันเป็นพวกไร้หัวใจเลยนะคะ” และเพราะได้ยินแบบนั้นเลยทำให้ชงหยวนถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด เพราะรู้สึกพ่ายแพ้ด้วยความที่ชินไม่ได้มองเธอในฐานะของผู้หญิงคนนึง

          …แม้ในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม

          เพราะอย่างไรเสีย ชงหยวนก็เป็นถึงอดีตคู่หมั้นของชิน ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยหมั้นหมายกันอย่างยาวนานโดยไม่ได้ปฏิเสธสายสัมพันธ์นี้ ดังนั้น หากเหตุการณ์ที่อาณาจักรแวมไพร์ล่มสลายมันไม่ได้เกิดขึ้น ชินก็ไม่ได้รังเกียจที่จะลงเอยอย่างลึกซึ้งกับชงหยวนแต่อย่างใด

          กล่าวคือ ชินไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือไม่พอใจชงหยวนในฐานะผู้หญิงคนนึง แต่ไม่ไว้ใจเธอเพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังข้อเสนอดังกล่าวต่างหาก

 

          และสาเหตุที่ชงหยวนหงุดหงิด มันก็ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดมากไปกว่าความผิดหวังจากความคิดที่ว่า “ชินจะรับรักตน โดยไม่เอ่ยถามเหตุผลใด ๆ” สมสาวน้อยทั่วไปนั่นแล

          แต่ดูเหมือนความหวังที่โรแมนติกแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ยากสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันนานแถมยังแสดงตนเป็นศัตรูกันมาตลอดตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งล่าสุด

 

“ให้ตายสิ… เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวจะยื่นข้อเสนอแบบเป็นทางการตามที่คุณต้องการก็แล้วกันนะคะ” ชงหยวนที่จำใจต้องยอมรับความจริงแบบนั้นเลยกล่าวกับชินด้วยน้ำเสียงปกติ แม้มันจะตามมาด้วยการถอนหายใจแห้ง ๆ ก็ตามที และแน่นอนว่าชินไม่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นของเธอเลย

“อื้ม ช่วยได้มากเลยล่ะ”

          แต่ชินที่ได้ยินแบบนั้นก็โล่งอกไปเปราะนึง… เพราะอย่างน้อยก็เข้าใจได้ว่าอารมณ์ของชงหยวนกลับมาคงที่แล้ว

          …ส่วนประเด็นที่กำลังจะพูดถึงนั้นเป็นอีกเรื่อง

 

“ก่อนอื่นนะคะ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน… ลืมเรื่องวิธีการยืนยันไปซะสนิทเลย” ในตอนที่กำลังจะเริ่มพูด ชงหยวนเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้เลยจับคางครุ่นคิดก่อนที่จะพูดต่อ

“เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อสักหน่อย เพราะงั้นถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่อย่างน้อยก็อยากจะให้ฟังจนกว่าจะพูดจบ” ชงหยวนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจนิดหน่อย เทียบกับตอนที่เพิ่งจะได้เจอกันนับจากเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ชงหยวนแสดงสีหน้าแบบนี้

“ได้สิ ไม่มีปัญหาหรอก”

          ชินตอบกลับด้วยรอยยิ้มเทพบุตรตามที่ชงหยวนคาด

          แม้ในความคิดของชิน… เขานั้นจะพอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าชงหยวนอยากจะพูดเรื่องอะไรเลยกำลังเตรียมคำตอบ วิธีรับมือ

          รวมถึงคำตอบของข้อเสนอชงหยวนด้วยเช่นกัน

 

“รู้รึเปล่าคะ… ที่จริงแล้วโลกใบนี้น่ะไม่ได้ปกครองกันอย่างเสรีแบบที่เราเคยเข้าใจกันหรอกนะคะ” ชงหยวนเริ่มเกริ่นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ค่านิยม แม้แต่การประเมิณคุณค่าต่อบางสิ่งที่เราเคยคิดกันมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่สั่งสมผ่านช่วงเวลาและเติบโตขึ้นจากปัญญาของมนุษย์ทุกคนร่วมกันนั้น แท้จริงแล้วมันอาจถูกกำหนดขึ้นโดยฝีมือของใครบางคนก็ได้”

“…”

          ชงหยวนยังคงใช้น้ำเสียงจริงจังในขณะที่ใช้มือช่วยในการนำเสนอ ซึ่งเธอจะทำแบบนั้นทุกครั้งในตอนที่พูดถึงเรื่องจริงจัง และชินเองก็รู้เรื่องนั้นดี

          แต่ที่เขาทำก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการนั่งฟังเงียบ ๆ… ในจังหวะแบบนี้ชินไม่คิดจะแสดงออกเกินความจำเป็น และอันที่จริงมันก็เป็นปฏิกิริยาปกติของเขาเวลาที่ตั้งใจฟังเรื่องที่คนอื่นพูดอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ชงหยวนเองก็รู้เหมือนกัน

 

“สาเหตุทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกที่เกิดขึ้นทุก 100 ปี” ในขณะที่เล่า ชงหยวนก็สลับมามองตาและอากัปกิริยาของชินหลายต่อหลายครั้งเพื่อดูว่าชินเชื่อไหม เพราะจากนี้จะเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจปกตินั่นแล

“…ในทุก 100 ปีจะมีศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกเกิดขึ้น และผู้ที่เอาชนะผู้มีสิทธิคนอื่นได้นอกเหนือจากตัวเองจนหมดจะได้รับสิทธิในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ท้องฟ้า สภาพอากาศ ตลอดจนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ค่านิยมและรูปแบบการปกครอง แม้แต่ความทรงจำของผู้คน จะเปลี่ยนไปอย่างที่ผู้ชนะต้องการ” แต่ดูเหมือนจะอ่านความคิดของชินไม่ออก เธอเลยทำได้แค่เล่าต่อไป

          …เล่าในสิ่งที่ชินรู้อยู่แล้ว

 

“ศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกที่จะเฟ้นหาผู้ชนะจากผู้มีสิทธิทั้ง 8 คน… นี่ต่างหากค่ะคือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้”

          ชงหยวนพูดจนถึงข้อสรุปแล้วผายมือออกทั้งสองประกอบท่าทางอีกครั้ง บางทีเธอคงคาดหวังปฏิกิริยาอะไรสักอย่างจากชินถึงได้ทำโอเวอร์ขนาดนั้น

          แต่ในท้ายที่สุดกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาจากชินเลยสักนิด สีหน้าของชงหยวนจึงทั้งผิดหวังและขาดความมั่นใจไปในบัดดล

 

“คงไม่เชื่อสินะคะ” ชงหยวนจึงถามชินออกมาตรง ๆ หลังจากที่เล่าแกนหลักของเรื่องให้ฟังแล้ว ด้วยน้ำเสียงที่เบาลงไปกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่หรอก… อย่างเธอคงไม่พูดเรื่องอะไรที่มันไร้สาระออกมาหรอกจริงไหมล่ะ? จะให้คิดว่าเธอแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อหาข้ออ้างที่จะคบกับฉันมันยิ่งไม่น่าเชื่อกว่าอีก”

“อะฮะฮะ… แหงอยู่แล้วค่ะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงน่าสมเพชขนาดนั้นหรอกนะคะ”

          ชินพูดติดตลก แต่หารู้ไม่ว่ามันแทงใจดำชงหยวนเข้าเต็ม ๆ จนเธอได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ยิ้มกลบเกลื่อนแบบที่ต้องแอบหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย

 

“แต่ถ้าสมมุติว่าเรื่องที่เธอเล่ามันเป็นความจริง… แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เธอยื่นข้อเสนอแต่งงานกับฉันกันล่ะ?” ชินเอ่ยถามอีกครั้งแม้จะพอรู้อยู่แล้ว ที่เขาต้องการจึงน่าจะเป็นรายละเอียดมากกว่า

“ก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนยังไงล่ะคะ… จากเรื่องที่เล่าให้ฟังนั่น ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องการกองกำลังที่จะใช้ต่อสู้ ฉันถึงต้องการตัวคุณให้มาช่วยเหลือฉันนั่นเองค่ะ โดยแลกกับความปรารถนาของคุณทุกอย่างเท่าที่ฉันจะทำให้ได้ยังไงล่ะคะ และเพื่อเป็นหลักประกันคุณจะแต่งงานกับฉันอย่างเป็นทางการก็ได้เหมือนกัน”

          ชงหยวนพูดอธิบายทุกอย่างเสร็จสรรพ ได้ใจความและเข้าใจง่าย ดวงตาของเธอไม่สั่นไหวเลยสักนิดในตอนที่พูดอย่างนั้นจึงช่วยยืนยันได้ว่าเธอพูดจริง ส่วนเรื่องที่ว่าข้อตกลงของเธอนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ชินนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าชงหยวนไม่ใช่พวกที่เล่นไม่ซื่อ เธอเป็นหญิงสาวที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรียิ่งกว่าใครและยอมตายเสียดีกว่าหากจะต้องเสียสัจจะของตน

          ดังนั้น หากเรื่องที่เธอพูดออกมามันเป็นความจริง เขาก็เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเธอไม่ได้หลอกใช้เขาแน่นอน

          แต่ว่าก่อนหน้านั้น…

 

อย่างนี้นี่เอง… หลังจากยืนยันได้แล้วว่าเราไม่ใช่ราชาคนที่ 8 ก็เลยต้องการดึงเราให้เป็นพรรคพวกอย่างอัศวินนักษัตรของเธอล่ะสินะ

ถ้าคิดแบบนั้นก็เข้าใจได้อยู่ เพราะชงหยวนรู้จักพลัง ‘เปอร์เซ็นต์เทจ’ ของเราดี รวมถึงบุคลิกลักษณะ ความสามารถในการต่อสู้รวมถึงความสามารถในการตัดสินใจของเรา

 

ในมุมมองของเธอ… พอเห็นว่าเรามีคุณสมบัติของนักรบมากถึงขนาดนั้น บางทีคงอยากได้เราจนตัวสั่นเลยล่ะนะ หลังจากที่ได้รู้ว่าเราไม่ใช่ศัตรูน่ะ

เธอถึงได้ยอมยื่นข้อเสนอที่เหมือนกับจะบอกว่า ‘จะยอมทำทุกอย่างแลกกับการให้เธอยืมพลัง’ ยังไงอย่างงั้น

 

พอมาคิดดูแล้ว… ชงหยวนคงวางแผนที่จะทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ที่ปรากฏตัวและเข้าหาฉันในฐานะของนักเรียนใหม่แล้วก็ได้

ถ้าเราเป็นราชาคนที่ 8 ที่อาจเป็นคู่แข่งก็จะกำจัดเราทิ้ง แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะขอยืมพลังของเรา… เรียกว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

ร้ายกาจซะจริงนะ… แต่ก็สมเป็นเธอแล้วล่ะ

แต่ถ้าเป็นงั้น ตอนนี้ฉันก็เข้าใจเจตนาของชงหยวนแล้ว

          ชินเรียบเรียงสถานการณ์ในหัวกับข้อมูลที่มีอยู่ก่อนแล้วของตัวเองก่อนจะก็เริ่มวางแผนรับมือ

          แต่อย่างไรก็ดี… ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่เขายังสงสัยอยู่

 

“ถ้าฉันบอกว่าไม่สนใจล่ะ? เธอก็รู้นี่ว่าฉันต้องปิดบังตัวตนเป็นคนธรรมดาก็เพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ถูกโลกทั้งใบตามล่า ซึ่งไนท์ของฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นสิ่งที่จะเปิดเผยตัวตนของฉันด้วย… ฉันไม่คิดว่าจะคุ้มค่าหรอกนะต่อให้เป็นการทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกก็เถอะ แล้วอีกอย่าง นั่นมันก็เป็นแค่การเปลี่ยนโลกตามที่เธอต้องการใช่ไหมล่ะ? ฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับเรื่องนั้นซะหน่อย?”

“มันจะเป็นอย่างนั้นแน่เหรอคะ?”

          กับชินที่พยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริง ว่าข้อเสนอของชงหยวนนั้นไร้น้ำหนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ชินกำลังแบกรับอยู่ ชงหยวนกลับไม่ได้ยี่หระเลยสักนิด นอกจากนั้นเธอยังยิ้มตอบชินเสมือนคาดการณ์ไว้แล้วว่าชินจะไม่ตอบรับข้อเสนอของตนง่าย ๆ

 

“ถ้าฉันบอกว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับชินโดยตรงจะว่ายังไงล่ะคะ?” อาจเพราะแบบนั้น เธอเลยเตรียมเล่าเนื้อหาส่วนขยายของเรื่องที่เล่าไว้ก่อนหน้านี้ต่อ

“ถ้าฉันจะบอกว่าการตายของท่านเอลานอร์ รวมถึงการล่มสลายของบ้านเกิดท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์นี้… คุณจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอยู่อีกไหมล่ะคะ”

“!?” 

          คำพูดของชงหยวนที่หรี่ตาลงครึ่งนึงอย่างมีเลศนัยส่งไปยังชินที่ขมวดคิ้วแน่นหลังได้ยินข้อความอันน่าตกตะลึง นั่นทำให้เหงื่อของชินผุดขึ้นเต็มใบหน้าอย่างกังวล

          อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ชงหยวนเห็นและเข้าใจ… หากแต่ในความเป็นจริง คือชินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจากอัลเฟรด พอถูกชงหยวนพูดออกมาอย่างภูมิใจและโอ้อวดประหนึ่งตนถือไพ่เหนือกว่าเลยรู้สึกผิดและลำบากใจที่ทำให้ชงหยวนเหมือนตัวตลก และคิดว่าถ้าชงหยวนมารู้ทีหลังเธอคงจะโกรธเขามากแน่ ๆ เลยรู้สึกกังวลขึ้นมา นั่นต่างหากคือสิ่งที่ชินรู้สึกอยู่จริง ๆ

 

“ฉันไม่เข้าใจ… ท่านพ่อเกี่ยวอะไรด้วย” เพื่อไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น ชินก็มีแต่ต้องทำเป็นไม่เคยได้ยินไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย รวมถึงเพราะไม่รู้ว่าชงหยวนจะเคลื่อนไหวยังไงต่อด้วย

          อย่างไรก็ดี… สำหรับชงหยวนแล้วมันเหมือนกับว่าชินกำลังให้ความสนใจสิ่งที่เธอกำลังพูด เธอเลยคิดว่าบางทีชินคงติดเบ็ดแล้วกระมังถึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

 

“เพราะในอดีตท่านเอลานอร์เองก็เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิเหมือนกันน่ะสิคะ… ความจริงคือท่านเป็นผู้ชนะในศึกชิงบัลลังก์ที่เกิดขึ้นมาตลอดหนึ่งพันปีเชียวล่ะค่ะ จะบอกว่าเบื้องหลังอำนาจอันล้นเหลือที่ปกครองโลกได้ทั้งใบของท่านมาจากรางวัลของศึกชิงบัลลังก์นี้ก็คงไม่ผิดนักหรอกค่ะ” ชงหยวนพูดแล้วเว้นวรรคช่วงหนึ่ง แอบสังเกตท่าทีของชินที่เริ่มกอดอกฟัง ก่อนที่จะพูดต่อ

“และไม่ว่าท่านเอลานอร์จะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ถูกหรือไม่ แต่เพราะผูกขาดบัลลังก์เอาไว้คนเดียวแบบนั้นก็เลยมีคนที่ไม่พอใจในตัวท่านอยู่ ซึ่งก็คือผู้มีสิทธิครองบัลลังก์คนอื่น ได้รวมหัวกันกำจัดท่านรวมถึงกองกำลังของท่านจนอาณาจักรแวมไพร์ล่มสลาย… หมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันน่ะนะคะ”

“…”

          ชินยังคงนิ่งเงียบกับข้อมูลที่ควรจะตกตะลึง แต่อย่างน้อย ๆ ชินก็ยังพยายามแสดงออกว่าแปลกใจด้วยการกอดอกตัวเองแน่นพร้อมกับที่กำต้นแขนของตัวเองเสมือนพยายามอดกลั้น แม้อันที่จริงชินจะไม่ได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นก็ตาม กระทั่ง…

 

“เรื่องที่เกิดขึ้นแบบนั้น… ลูกชายอย่างคุณเคยรู้รึเปล่าล่ะคะ?”

          กระทั่งชงหยวนเอ่ยอย่างนั้นด้วยรอยยิ้มยั่วโมโหอย่างจงใจ

          และไม่ว่านั่นจะมีเจตนาอย่างไร… แต่ก็เพราะชงหยวนพูดเหมือนกับว่าชินไม่เคยรับรู้ในสิ่งที่พ่อของเขาทำหรือแบกรับนั่นแหล่ะ ชินถึงได้รู้สึกหงุดหงิดในคำพูดนั้นเพราะเหมือนกับเป็นการตอกย้ำในความโง่เขลาของเขาในช่วงนี้ที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นเบื้องหลังชีวิตประจำวันในฐานะองค์ชายที่ผ่านมา

          ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่จากศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลกของท่านพ่อ ความคิดของอาจารย์ฮอว์คินที่ทำเรื่องแบบนั้น รวมถึงการมีอยู่ของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอย่าง ‘Midnight’

          ชินตระหนักเรื่องนั้นและตำหนิตัวเอง

 

“นึกว่าจะหมดหวังแล้วซะอีก… แต่ดูท่าว่าคุณเองก็ยังคงเหลือเขี้ยวเล็บอยู่นะคะ”

          แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ชินหงุดหงิดด้วย ดวงตาของเขาถึงเปลี่ยนเป็นสีแดงอันเป็นตัวบ่งชี้ว่าอารมณ์บางอย่างในตัวของเขาพุ่งขึ้นสูง

          และไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่มันก็ทำให้ชินแนบเนียนขึ้น

          สำหรับชงหยวนที่ตั้งใจยั่วโมโหชินนั้นปักใจเชื่อไปว่าเป็นอารมณ์โกรธกริ้วซึ่งก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปนัก เพราะเธอไม่เห็นท่าทางชินแสดงออกอย่างหงุดหงิดเลยสักนิด ทั้งที่ความจริงเบื้องหลังของคนร้ายที่ช่วงชิงทุกสิ่งไปจากเขากำลังจะถูกเปิดเผยแท้ ๆ

          ชงหยวนถึงได้โล่งใจจนยิ้มออกมาอีกครั้งที่เขายังคงหลงเหลือความโกรธกริ้วที่มีต่อคนร้ายอยู่

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธหรอกนะคะ แค่อยากยืนยันเท่านั้นเอง… ว่าคุณจะเคยชินกับชีวิตประจำวันอันสงบสุขจนลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วรึเปล่า” ชงหยวนพูดแบบนั้นอีกครั้งเพื่อไม่ให้ชินเข้าใจตนผิด ถึงอันที่จริงชินจะรู้อยู่แล้วก็ตาม

“แล้ว… ว่ายังไงล่ะคะชิน? สนใจอยากจะล้างแค้นหรือทำให้พวกคนที่ทำลายบ้านเกิดของคุณต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำไหมคะ?” หนนี้เป็นชงหยวนที่เริ่มพูดอย่างหนักแน่นเหมือนเป็นฝ่ายคุมเกม 

          เธอถึงกับนั่งเท้าคางด้วยมือสองข้างในขณะที่หรี่ตามองชินด้วยแววตาแหลมคมเหมือนอสรพิษที่กำลังรอให้เหยื่อเคลื่อนไหวก่อนจึงค่อยงับกินปิดฉาก

          แต่สำหรับชิน… นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงเป็นเรื่องที่คิดหาทางรับมือไว้ก่อนแล้วด้วยเช่นกัน

 

“เรื่องที่ฟังมันน่าเหลือเชื่อมาก” ชินเริ่มจากเอ่ยด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลงก่อนจะเอนตัวลงไปกับพนักพิง นั่นทำให้ชงหยวนรู้ว่าชินนั่งตัวเกร็งมาตลอด ไม่สิ… ชินพยายามทำให้ชงหยวนคิดแบบนั้นต่างหาก

“ฉันเข้าใจค่ะ… ถ้าสถานการณ์กลับกันฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน” ชงหยวนเลยยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่หนนี้เหมือนจะแอบแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจอยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น เธอก็คงจะเตรียมวิธีการพิสูจน์เอาไว้แล้วใช่ไหมล่ะ?”

          แต่ในขณะเดียวกัน คำพูดของชงหยวนเองก็มีประเด็นเหมือนกัน ชินจึงตัดเข้าประเด็นสำคัญอีกครั้ง แต่ความต้องการแท้จริงแล้วเป็นคนละอย่างกับที่พูดออกมา

          เพราะยังไงชินก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ชงหยวนพูดมันเป็นความจริง

          แต่มีเรื่องหนึ่งที่สะกิดใจชินอยู่ก่อนเรื่องนั้น…

 

“ไม่สิ… ก่อนหน้านั้นเธอไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน? ขนาดฉันเองยังไม่เคยรู้ แต่เธอกลับรู้ทั้งที่บอกว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของท่านพ่อแท้ ๆ นี่มันแปลกอยู่นะ” 

          ชินจึงเอ่ยถามแบบนั้นออกมาตามตรง เพราะคิดตามปกติ ขนาดว่าอัลเฟรดเป็นลูกชายของขุนนางคนสนิทของชินยังแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะรู้เรื่องเบื้องหลังพวกนี้ด้วย เพราะอัลเฟรดไม่ได้เกี่ยวข้องกับศึกครั้งก่อนโดยตรง นอกซะจากว่าเขารู้จักคนที่เกี่ยวข้องกับราชาเอลานอร์ซึ่งก็พอเป็นไปได้

          แต่ในทางกลับกัน ชงหยวนนั้นเป็นคนนอกหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม มันจึงเป็นเรื่องแปลกมากที่เธอรู้เรื่องลับลมคมในที่เกิดขึ้นแบบนี้ 

          ชงหยวนเองก็เข้าใจข้อสงสัยของชิน แต่ความจริงมันอาจไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น

 

“พูดไปก็ออกจะเสียมารยาทอยู่หน่อย ๆ… แต่คนในวงการเขารู้เรื่องนี้กันหมดทุกคนเลยล่ะนะคะ ฉันเองพอพลังของตราราชันย์ตื่นขึ้นแล้วได้เข้าร่วมศึกบ่อย ๆ ข้อมูลมันก็ค่อย ๆ เผยมาจากฝั่งศัตรูเองนั่นแหล่ะค่ะ แต่จะหาต้นสายคงยากค่ะ เพราะบางทีพวกมันเองก็คงรู้มาจากที่อื่นอีกที”

          ชงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามรักษามารยาท อย่างน้อยในจุดนั้นเธอก็ยังเห็นใจชินที่เพิ่งตำหนิตัวเองไปอย่างโกรธเคืองก่อนหน้านี้อยู่

          แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ชงหยวนทำ เพราะดูเหมือนเธอจะตีความสายตาจริงจังของชินเป็นอย่างอื่นไปด้วย

          หรือไม่เธอก็แค่คิดกลั่นแกล้งโดยไม่ได้สนใจเรื่องนั้น

 

“แหม ๆ ทำสีหน้าจริงจังน่าดูเลยนะคะ… นี่ถ้าฉันเกี่ยวข้องจริง ๆ ล่ะก็ จะโดนคุณฆ่าเอารึเปล่านะ” กับชินที่กำลังคิดตามที่ชงหยวนบอก เธอกลับหยอกเย้าเขาด้วยคำพูดอีกครั้งแถมด้วยรอยยิ้มที่น่าหงุดหงิดแม้ความตั้งใจจะเป็นการหยั่งเชิง

          ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ชินโกรธขึ้นมาจริง ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจ้องชงหยวนตาเป็นมัน

 

“พูดอย่างนั้นทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าฉันไม่มีวันทำอย่างนั้น เธอนี่นิสัยเสียจริง ๆ นะ” ชินพูดออกไปด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์ แต่ที่นำมาก่อนใครคือความหงุดหงิด

          ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอื่นใด นอกจากการที่ชงหยวนพูดประหนึ่งเรียกคะแนนสงสาร ทำเหมือนชินเป็นพวกโหดร้ายที่ฆ่าได้แม้กระทั่งอดีตคู่หมั้นทั้งที่ชินไม่มีทางทำอย่างนั้น

          เขาจะโกรธเพราะรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนคุณธรรมที่ยึดมั่นมาตลอดมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขาไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากของคนที่น่าจะรู้จักตัวเขาดีอย่างชงหยวน

 

“ใช้คำว่าขี้แกล้งดีกว่ามั้งคะ อย่างน้อยนั่นก็เหมาะกับเด็กสาวใสซื่ออย่างฉันมากกว่านะ”

          แต่แทนที่จะยอมรับคำพูดของชินหรือขอโทษเขาแต่โดยดี ชงหยวนกลับยิ้มตอบกลับไปแทนเสียอย่างนั้น ด้วยความซุกซนราวกับปีศาจจอมป่วนตัวเล็กพริกขี้หนู 

          แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันมีแต่จะทำให้ความไม่พอใจของชินมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกว่าต้องตอบโต้กลับไปบ้าง

 

“ไม่รู้สิ… งั้นถ้าฉันพูดอย่างนี้ล่ะ” และเพราะเธอไม่ซื่อตรงเน้นแต่ความอยากจะเอาชนะสมบุคลิกอย่างนั้น เลยทำให้ชินรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริง ๆ

“ถ้าฉันจะบอกเธอว่าฉันรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดอยู่ก่อนแล้วล่ะก็… ฉันจะโดนเธอฆ่ารึเปล่านะ?”

          ชินจึงคืนสนองสิ่งที่ชงหยวนมอบให้เขาไปตามสมควร… นั่นทำให้สีหน้าของชงหยวนถึงกับเปลี่ยนสีไปเลย คิ้วของเธอขมวดเข้าด้วยกันแถมรอยยิ้มยังหายไปหมดเมื่อได้ยินสิ่งที่ชินเอื้อนเอ่ย

 

“…พูดอย่างนั้นทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าฉันจะต้องทำอย่างนั้น คุณต่างหากค่ะที่นิสัยเสีย”

          ชงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักดูหงุดหงิดไม่เบา เพราะคำพูดของชินมันเป็นการปลุกข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง 

          แต่ที่หนักกว่าคือมันไม่ต่างจากการด่าเธอกลับไปว่า “คนที่นิสัยเสียคือเธอต่างหาก” ถึงได้ทำให้ชงหยวนขมวดคิ้วแน่น พร้อม ๆ กับที่เริ่มมองชินด้วยแววตาคมกริบ

 

“ใจร้ายจังเลยนะ… ทั้งที่ถ้าสถานการณ์กลับกัน ยังไงฉันก็คงทำอย่างนั้นกับเธอไม่ลงแท้ ๆ” ชินตอกย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้งให้มันหนักแน่นขึ้น จนหนนี้คิ้วของชงหยวนถึงกับกระตุกอย่างแรง

          ตอนนี้ดูเหมือนนอกจากข้อมูลในมือแล้ว สิ่งที่ชินมีเหนือกว่าก็คือการควบคุมอารมณ์ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยึดมั่นในสิ่งที่สูงกว่าชงหยวน

          เพราะอย่างน้อยต่อให้เป็นการทำเพื่อเป้าหมาย… แต่ชินจะไม่มีทางเสียสละชีวิตของคนรู้จักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน

          ไม่เหมือนกับชงหยวนที่ยอมสละได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของชายที่ตัวเองรัก เพราะคิดแค่ว่ามันเป็นราคาที่คุ้มจ่ายกับการสรรค์สร้างโลกในอุดมคติของตน

 

“แหม ๆ… น้อยใจเป็นด้วยเหรอคะนั่น”

          แต่อย่างไรเสีย ชงหยวนก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องผิด… เหมือนกับที่ชินไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนผิดเนื่องด้วยมีทัศนคติพื้นฐานแตกต่างกัน เธอจึงบ่ายเบี่ยงมากกว่าจะยอมรับคำพูดของชิน

          แม้ว่าในตอนที่ชงหยวนพยายามพูดแบบนั้นออกมา มันจะดูเหมือนเธอกำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดบางอย่างต่อชินก็ตามที

          แต่แน่นอนว่าชินไม่อาจเข้าใจไปทางนั้นได้จากปฏิกิริยาอันน้อยนิดของชงหยวน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเธอเช่นกัน ถ้าจะให้พูดน่าจะเป็นไปในทางผิดหวังมากกว่า

 

“เอาเป็นว่าฉันจะเก็บข้อเสนอไปคิดดูละกันนะ… แต่บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ต้องคาดหวัง” ชินได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยอย่างนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาเอาเรื่อง ราวกับหมดความสนใจในข้อเสนอของชงหยวนไปแล้วเพราะถูกหักหาญน้ำใจ

          ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็ทำให้ชงหยวนกัดฟันแน่นไม่เบาเพราะดูเหมือนแผนการที่คิดมาจะมีอำนาจการต่อรองต่ำเกินไปจนสูญเปล่าเสียแล้ว

          และที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะการเดินเกมของเธอ ที่ใช้อัตตานำพาจนชินรู้สึกไม่พอใจเข้า… แม้ในความเป็นจริงแล้วมันก็แค่ว่าชินรู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้วเขาเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับข้อมูลนี้เท่าไหร่นักก็ตาม

 

“ถ้างั้น…” ชินพูดขึ้นสั้น ๆ เหมือนเรียกสติชงหยวนก่อนจะยักไหล่แล้วแผ่มือไปทางเคนเนธรวมถึงเกวนที่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตามาตลอดเพราะไนท์ของชงหยวน

          เธอเห็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่า ‘ช่วงเวลาต่อรองได้จบลงแล้ว’

          ชงหยวนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามที่ชินต้องการอย่างว่าง่าย ด้วยการคลายพลังไนท์ที่ใช้กับทุกคนในร้านออกไป แม้ใจจริงจะอยากหยอกเย้าชินก่อนที่จะถ่วงเวลาคลายพลังออกไปอีกสักพักเพื่อให้รู้สึกถึงชัยชนะสักอย่าง แต่ถ้าทำแบบนั้นอีกมันคงซ้ำรอยเดิมเอาเสียเปล่า ๆ

          ผู้คนในร้าน ทั้งลูกค้า พนักงานเสิร์ฟรวมถึงพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ทำหน้าซังกะตายและเคลื่อนไหวอย่างไร้ชีวิตชีวามาตลอดถึงกลับมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับเคนเนธและเกวนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับชินด้วย

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากการยื่นข้อเสนอให้เข้ามาเป็นอัศวินของชงหยวนจบลง การเที่ยวหลังเลิกเรียนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

          ไม่สิ… พูดแบบนั้นคงไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะทันทีที่ทุกคนกินขนมรวมถึงเครื่องดื่มที่สั่งมาจนหมด ชงหยวนก็ขอตัวกลับก่อนโดยอ้างว่าติดธุระด่วน แต่สำหรับชินนั้นรู้ดี ว่าเธอคงแค่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจหลังจากข้อเสนอถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนเหมือนกับถูกบอกปัด

          ด้วยเหตุผลนั้น ชงหยวนเลยเป็นคนเดียวที่เดินแยกออกมาจากกลุ่ม

          เธอได้แต่เดินก้มหน้ากัดฟันอย่างหงุดหงิดใจมาตลอดตั้งแต่เดินแยกออกมา เธอไม่สนใจเลยว่ามันจะดึงดูดสายตาของคนเดินถนนคนอื่น

          กระทั่งทนไม่ไหว เธอเลยเดินเข้าไปในมุมตึกเงียบ ๆ ก่อนที่จะออกหมัดต่อยสุดแรงไปที่ผนังตึกหนึ่งทีเพื่อระบายอารมณ์ที่คับข้องใจมาตลอดตั้งแต่ครั้งสนทนากับชิน เพราะสำหรับเธอ นั่นคือความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

          จะว่าเหมือนกับเด็กเอาแต่ใจก็ได้… แต่เพราะเธอเป็นพวกไม่ยอมแพ้แบบนี้ถึงได้ทำให้เธอมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ เธอถึงไม่ได้คิดว่ามันเป็นผลเสีย

 

“เป็นผู้ชายที่เคี้ยวยากอะไรอย่างนี้นะ”

          ทั้งอย่างนั้น… ชงหยวนกลับกัดฟันพูดออกมาอย่างเจ็บใจ

          ดูท่าในบางกรณี สิ่งที่เธอคิดว่าเป็นจุดแข็งมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลังแทน

 

ไม่สิ… คนที่ทำให้ยากน่ะ น่าจะเป็นเรามากกว่า

          และยิ่งได้ตระหนักว่ากรณียกเว้นนั้นมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชิน ก็ยิ่งทำให้ชงหยวนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ถึงถึงกับเอาหน้าผากกระทบผนังเหมือนหงุดหงิดตัวเองที่ไปสร้างความไม่พอใจให้กับชิน

          …เพราะตระหนักว่าชินเป็นคนเดียว ที่ชงหยวนรู้สึกว่าต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไรเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่ปฏิเสธความต้องการของเธอ

 

          ชงหยวนทำให้เรื่องมันซับซ้อนแบบนั้นแล้วก็กัดฟันแน่นอีกครั้ง

          …แม้ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องมันก็แค่เธอไม่อยากถูกชินเกลียดเพราะเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป เรื่อมันก็เท่านั้นเอง

 

❖❖❖❖❖

 

หลังจากชงหยวนแยกตัวออกไป เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตก็เลยอยู่เที่ยวกับทั้งสองคนต่อ

ระหว่างทางฉันก็มีส่งข้อความไปหาโอลิเวียบ้างเพื่อนัดมาเจอกันที่ห้อง

 

เพราะมีเรื่องการเคลื่อนไหวของชงหยวนที่คิดว่าจะหายหน้าไปหลังยืนยันว่าฉันไม่ใช่ศัตรู แต่กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งเข้าหามากกว่าเดิมเพราะอยากได้ฉันเป็นพวกนี่แหล่ะเลยอยากจะปรึกษาโอลิเวียด้วย

แต่ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่โอลิเวียรออยู่ที่ห้องฉันอยู่แล้ว… ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ

 

ยังไงก็ตาม เรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือวิธีการรับมือกับการเข้าหาของชงหยวนนี่แหล่ะ

เพราะอย่างที่รู้ว่าฉันในตอนนี้จับมือเป็นพันธมิตรกับอัลเฟรดอยู่ ถ้าชงหยวนรู้ยังไงฉันก็คงไม่พ้นถูกหมายหัวอีกแน่

 

ถ้าจะให้เป็นนกสองหัวก็อันตรายเกินไป… ถึงแม้จะเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด เพราะหาข่าวได้จากหลายที่พร้อมกัน แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้วย

ไม่สิ… ที่จริงเราก็แค่ไม่ชอบใจที่จะทำเรื่องไร้เกียรติแบบนั้นมากกว่า ถึงแม้จะเป็นศัตรูกันแต่ฉันก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้อยู่ดี

 

เพราะเหตุนั้น ระหว่างทางกลับหอเลยเอาแต่คิดวิธีที่จะใช้ปฏิเสธชงหยวนเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่ก็คิดไม่ออกเลยสักนิด… บางทีให้โอลิเวียช่วยน่าจะดีกว่า

          ชินคิดแบบนั้น ไม่ทันไรก็เดินเท้ามาจนถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง ถึงได้ทำให้รู้ว่าเขาหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองเอาการ 

          เขาไม่ลังเลที่จะเอื้อมไปจับลูกบิดเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโอลิเวียรออยู่ในห้อง ชินเดินเข้าไปในห้องตามปกติและล็อคประตูลงโดยไม่ได้คิดอะไร

 

“กลับมาแล้วเหรอคะชิน…” เสียงของโอลิเวียดังมาจากในห้องตามปกติอย่างที่ชินคาด

          แต่ดูเหมือนจะมีอย่างหนึ่งที่เขาคาดไม่ถึง… หนึ่งในนั้นก็คือสารรูปของแขกอย่างโอลิเวียที่เดินเตาะแตะมารับเขาถึงทางเข้าห้อง

          ความตกใจอย่างแรกคือการไม่คิดว่าจะได้เห็นโอลิเวียในชุดที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างชุดเมด ที่เห็นทีไรก็ได้แต่ต้องยอมรับว่ามันช่างเข้ากับเธอเสียจริง ๆ จะบอกว่าเธอเกิดมาเพื่อใส่ชุดนี้ก็คงไม่เกินเลยไปนัก

          …แต่เรื่องที่สองที่ทำให้ชินถึงกับผงะอยู่ตรงหน้าประตู ก็คงจะไม่พ้นเรื่องความล่อแหลมของชุดที่เปิดเผยผิวสีขาวนวลราวหิมะของเธอจนหมดไม่ว่าจะเป็นหัวไหล่จนถึงต้นแขนทั้งสองข้าง เนินอกที่ดูเต่งตึงเข้าทรงราวกับเทือกเขาแอลป์ จะทั้งเอวคอดกิ่วดูนุ่มนิ่มน่ารับประทานหรือต้นขาอวบอิ่มฝาดสีชมพูอ่อนล้วนแล้วแต่ชวนให้หลงไหลจนไม่รู้จะเอาตาไปโฟกัสที่ตรงไหน

          และที่สำคัญคือ เพราะมันกะทันหันจนชินรับมือไม่ถูกนี่แหล่ะ เลยทำให้สมองส่วนที่ควบคุมเหตุผลทำงานได้ไม่ดีเท่าส่วนที่ใช้อารมณ์ และถ้านี่เป็นความต้องการของโอลิเวีย ก็คงต้องบอกว่ามันได้ผลชะงัด

 

“จะทานข้าวก่อนไหมล่ะคะ? หรือว่าจะอาบน้ำก่อน?” บวกกับน้ำเสียงชวนฝันแลเคลิบเคลิ้มในขณะที่มองเข้ามาในตาของชินอย่างเย้ายวน เท่านั้นไม่พอ เธอยังเดินเข้ามาใกล้ชินเรื่อย ๆ อีกต่างหาก ชุดบาง ๆ ของเธอทำให้หน้าอกอันอวบอิ่มสมบูรณ์กระเด้งอย่างน่าดึงดูด เช่นเดียวกับแววตาราวสัตว์กินเนื้อของเธอ

“หรือว่าจะกินฉันก่อนดีคะ?” ยิ่งในตอนที่โอลิเวียเอ่ยอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงเย้ายวนชวนฝันพร้อมกับเลียริมฝีปากอย่างซุกซน มันคงไม่ผิดนักหรอกที่ชายหนุ่มกลัดมันธรรมดาคนหนึ่งจะรู้สึกหวั่นไหว 

          ดวงตาที่สั่นกะพริบสีแดงเป็นจังหวะ คือตัวแทนของเลือดในตัวชินที่กำลังสูบฉีดเพราะถูกโอลิเวียปลุกเร้า 

          เขาต้องมนตร์เสน่ห์ของโอลิเวีย จนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปเสียสนิทอย่างน้อยก็หลายนาที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+