ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 14: ผู้(ถูก)พิพากษา

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 14: ผู้(ถูก)พิพากษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ เดี๋ยวนะชิน——แองกริคราวน์ ไปคนเดียวนี่มัน! ”

          หลังจากที่ชินประกาศเจตจำนงว่าจะจัดการกองกำลังพิเศษที่ถูกส่งมาโดย URI ด้วยตัวคนเดียว คนที่แสดงท่าทางไม่เห็นด้วยคนแรกคือเกวนอันเห็นได้ชัดถึงความเป็นห่วงจากน้ำเสียง ซึ่งเป็นอย่างที่ชินคาด

 

“ เรื่องนี้ดิฉันเห็นด้วยค่ะ อย่างน้อยให้ดิฉันซัพพอร์ตก็ยังดีนะคะ ”

          ราวกับเป็นโอกาสดี โอลิเวียที่มักจะเชื่อฟังชินเสมอจึงถือโอกาสโต้แย้งแผนลุยเดี่ยวของชินในทันที

          ชินทำท่าเหมือนจะยอมแพ้ เขาหลับตาภายใต้หน้ากากครุ่นคิดผลได้ผลเสียในพริบตาก่อนจะเริ่มแผนการณ์หลบหนี

 

“ งั้นเอาแบบนี้… ฉันกับโกลเด้นด็อกจะขึ้นไปเคลียร์พื้นที่ตรงทางเข้าให้ ระหว่างนั้นพวกนายใช้เส้นทางนี้ในการหลบหนีซะ ”

          ชินกล่าวในขณะเดินไปเปลี่ยนภาพโฮโลแกรมบางส่วนด้านหลังของเกวนเป็นแผนผังตึกร้าง พร้อมกับใช้นิ้วสัมผัสจุดที่เข้ามา ลากยาวเป็นเส้นทางจนถึงจุดที่ปลอดภัย

พวกอัลเฟรดที่มองตามอยู่ต่างก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย เพราะไม่ว่าใครต่างก็รู้กิตติศัพท์ของแองกริคราวน์ดีอยู่แล้ว ที่เกวนแสดงออกไปก่อนหน้าก็เพราะไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเท่านั้นเอง

 

“ เปิดช่องสื่อสารไว้ด้วย ”

“ รับทราบครับ ”

          ชินกับอัลเฟรดปรับคลื่นความถี่ช่องสื่อสารให้ตรงกันก่อนเริ่มแผนการ ใช้เวลาเพียง 2 วินาทีเท่านั้น

          หลังจากนั้นชินกับโอลิเวียก็เดินไปยังจุดแขวนอาวุธ ชินหยิบปืนพกสองกระบอกเหน็บข้างเอว ส่วนทางโอลิเวียหยิบปืนพกกับสไนเปอร์ไรเฟลิหนึ่งกระบอกสะพายหลัง

          แม้ความจริงแล้วมีปืนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ แต่อีกฝ่ายเป็นถึง URI อาจมีการพัฒนาระบบแจมมิ่งอาวุธที่เป็นระบบดิจิตอล จึงต้องหันมาใช้ปืนทั่วไปแทน

          ชินเดินวุ่นในห้องปิดระบบต่างๆ ทำลายข้อมูลและวางระเบิด ส่วนโอลิเวียเป็นคนทำตัวจุดระเบิดแบบตั้งเวลา ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 5 วินาที ทั้งสองก็พยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมหลบหนี

 

“ งั้น เริ่มกันเลย ”

          ชินกล่าวสั้นๆก่อนที่จะเดินนำโอลิเวียออกไปจากห้อง ตามด้วยอัลเฟรดและทุกคนที่เหลือซึ่งตามทั้งสองคนไปติดๆ

 

❖❖❖❖❖

 

          รัตติกาลเงียบงันใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาดูน่าฉงน บรรยากาศราวกับโลกถูกหยุดนิ่ง

          ท่ามกลางความสงบเหล่านั้น ทหารในชุดเครื่องแบบมิดชิดสีดำสนิทพร้อมติดอาวุธปืนกลคนละกระบอกในมือเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ วิ่งตัดผ่านสายลมด้วยเสียงอันเงียบเชียบและหยุดลงในตำแหน่งที่นัดแนะกันไว้ ด้านนอกของทางออกทั้งสองของโรงงานร้าง รวมกับที่ลาดตระเวนรอบๆอีก 2 หน่วย

          รวมแล้วมีหน่วยรบพิเศษรวม 21 นาย 4 หน่วยรบย่อยเตรียมพร้อมจู่โจมเป้าหมายอยู่ที่นี่

 

“ อัลฟ่า 1 เรียกเบต้า 1… ห้องโถงภายในอาคารเคลียร์ เปลี่ยน ”

“ นี่เบต้าวัน พื้นที่นอกโรงงานเคลียร์ เปลี่ยน ”

          สองหน่วยย่อยสื่อสารกันกระชับรวดเร็ว หัวหน้าหน่วยย่อยที่เฝ้าประตูด้านหน้าให้สัญญาณมือก่อนจะย่องนำเข้าไปในตัวอาคารเมื่อเห็นว่าพร้อมแล้ว

          แสงไฟติดปากกระบอกส่องชี้ไปทั่วภายในอาคารราวกับบรรยากาศก่อนเปิดงานฉลอง ทว่าเสียงอันเงียบงันกลับให้ความรู้สึกประหลาดและน่าหวาดหวั่นสำหรับผู้รับชม

          …ยกเว้นกับผู้ที่เคยชินกับมัน

 

“ … ”

          ภายในห้องสำนักงานเก่า ชินหลบอยู่ตรงมุมโต๊ะใกล้ที่ซ่อนทางเข้าลับ โดยที่มีโอลิเวียนั่งหลังติดกับเขาคอยจับสัมผัสระยะไกลในส่วนที่ชินจับไม่ได้ ส่วนคนอื่นยังอยู่ใต้ดินรอชินเคลียร์ทาง

          จมูกภายใต้หน้ากากของเธอขยับส่งเสียงดังฟุดฟิด หูยาวๆของเธอเองก็ขยับเล็กๆตามราวสุนัขดมกลิ่นเช่นกัน

 

“ หน่วยย่อยหนึ่งหน่วยกำลังมาทางนี้ค่ะ ”

“ รับทราบ ”

          ชินพยักหน้าเบาๆใต้หน้ากาก จ้องมองศัตรูที่อยู่ห่างออกไปและกระจายตัวสำรวจพื้นที่อยู่ห่างๆด้วยสายตาสังเกตวิเคราะห์ เช่นเดียวกับโอลิเวียที่วางไรเฟิลไว้ที่พื้นก่อนจะเตรียมปืนพกขึ้นมาหวังสนับสนุนชินในการเคลียร์พื้นที่ระยะประชิด

          สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและถอนออกอย่างแผ่วเบาแลสงบเยือกเย็น ลับคมประสาทและสัญชาตญาณนักล่าให้ถึงขีดสุด ทำลายศีลธรรมที่มีอยู่สิ้น เหลือเพียงความคิดเดียวอันว่า “ ไม่มีเหตุให้ลังเลในการสังหารผู้ที่จักสังหารตน ”

          ไม่นานนักหน่วยย่อย 5 นายก็เข้ามาในห้องพร้อมสาดส่องไฟฉายไปทั่ว ชินกับโอลิเวียไม่แม้แต่จะแสดงอาการตื่นตระหนก

          ทั้งสองคนใจเย็น เย็นเยือก… จนกระทั่งปากกระบอกปืนของทหารนายนึงพ้นโต๊ะ

 

และในจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ทหารนายนั้นจะส่องไฟฉายพบชิน ชินก็พุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายก่อน จับปลายกระบอกปืนหันไปทางอื่นด้วยมือซ้ายพร้อมกับดึงมีดพกออกมาด้วยมือขวา อีกฝ่ายเองก็พยายามลั่นไกออกไปหลายนัด

          ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังจะใช้มืออีกข้างคว้าตัว ชินก็ใช้ข้อศอกขวาที่ถือมีดยั้งไว้และจัดการแทงมีดขึ้นตำแหน่งใต้คางของทหารนายนั้นจนแน่นิ่งไป… ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลา 1.5 วินาที

 

“ อัลฟ่าเรียกทุกหน่วย ศัตรูอยู่ในโรงงาน! ขอย้ำ! ศัตรูอยู่ในโรงงาน! ”

          พริบตาที่ชินสังหารชายคนดังกล่าว กระสุนจำนวนมากต่างถูกควงสว่านออกมาจากปากกระบอกปืนทั้ง 4 ที่เหลือ ทั้งหมดพวยพุ่งเข้าใส่ชิน เขาจึงรีบไถลพื้นกลับเข้าไปหลบหลังโต๊ะซึ่งโอลิเวียทำการใช้ “ปาฏิหาริย์” ซึ่งเป็นพลังของ “เผ่านางฟ้า” ในการสร้างบาเรียป้องกันความเสียหายซ้อนไว้ด้านหลังโต๊ะระหว่างทั้งสองกับกระสุน

          ชินอาศัยจังหวะนึงหยิบปืนกลเบาของชายที่เขาเพิ่งสังหารขึ้นและยิงมันใส่หน่วยย่อยที่เหลือทั้งที่ยังหลบอยู่บาเรีย ทำให้การยิงของอีกฝ่ายชะงักไป เพราะอีกฝ่ายก็ต้องหาที่กำบังเช่นกัน

 

          ชินซึ่งทิ้งปืนกลและหยิบปืนพกทั้งสองออกมาแทนกับโอลิเวียต่างอาศัยจังหวะนั้นกระโจนออกมาพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งเข้าหาคนที่ใกล้ที่สุดของตัวเอง

          ชินใช้ปืนพก 500 Magnum จัดการยิงหวังผลที่ลิ้นปี่ของศัตรูที่อยู่ใกล้จนชะงัก(ซึ่งหากอีกฝ่ายไม่ใช่เผ่ามนุษย์สัตว์สวมเกราะร่างคงปลิวและแหลกไปแล้ว) ก่อนจะจัดการเล็งที่หัวอย่างแม่นยำในอีกสามนัดด้วยปืนพก Glock อีกกระบอกที่หัวซึ่งเป็นหมวกเหล็กหนาจนอีกฝ่ายล้มหงายท้องแน่นิ่ง

ทางโอลิเวียเองก็จัดการพุ่งเข้าไปใช้ขาล็อคคออีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงลงพื้นก่อนจะปิดฉากด้วยการจ่อปืนใส่ลำคอของอีกฝ่ายและลั่นไกระยะประชิด

         

“ เวรเอ้ย! อัลฟ่าเรียกทุกหน่วย ขอกำลังเสริม! ขอกำลังเสริม!!! ”

          ทหารนายหนึ่งตะโกนขอกำลังเสริมในขณะที่อีกคนยิงคุ้มกัน แต่ไม่นานนักคนคุ้มกันก็ถูกโอลิเวียใช้เวทย์น้ำแข็งสร้าง “กระสุนน้ำแข็ง” ยิงใส่ในระยะ 10 เมตรบวกลบทะลุอก ทำให้ชินเข้าประชิดตัวอีกคนที่เหลือได้

          ชินและนายทหารคนสุดท้ายในหน่วยหลังพิงกันโดยมีผนังปูนกั้นหว่าง แลซ้ายแลขวาดูท่าทีของอีกฝ่าย

          …ความจริงมันควรเป็นเช่นนั้น

 

ตู้ม!

“ อั่ก! ”

          ชินอาศัยพลังกายภาพอันเหนือชั้น ใช้หมัดขวาชกทะลุผนังคว้าศีรษะของอีกฝ่ายพร้อมกับดันตัวเองจนทะลุผนัง ก่อนจะกดศีรษะอีกฝ่ายลงพื้น หมุนตัวใช้เท้าเตะปืนกลเบาในมือศัตรูที่พยายามจะลั่นไกใส่ทิ้ง และปิดฉากด้วยการใช้ปืนพกยิงศีรษะอีกฝ่าย 3 นัดจนกระทั่งทะลุหมวกเกราะเหล็ก

 

          หากเป็นกรณีทั่วไปคงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ แต่เพราะชุดเกราะของอีกฝ่ายมีความทนทานในระดับสูง มันหนาถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่ใช้มีดกดอย่างแรงก็ต้องยิงถึงสามนัดกว่าจะทะลุถึงร่างได้

          เพราะหน่วยพิเศษนี้ต้องการความคล่องตัว จึงจำเป็นต้องตัดระบบบาเรียแบบที่ชินกับโอลิเวียใส่เป็นประจำทิ้งไป เช่นไรก็ตามสำหรับชินกับโอลิเวียมันไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้นหากจะเพิ่มน้ำหนักให้กับชุดซัก 20 หรือ 30 กิโลกรัม

          จะว่าเป็นเพราะพลังกายภาพเฉพาะเผ่าพันธุ์เป็นตัวแปรนึงก็ได้ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าคือชินกับโอลิเวียเองก็ผ่านการฝึกสุดโหดระดับเดียวกับคอมมานโดหรือสเปซนาซเช่นกัน

          อนึ่ง แน่นอนว่าในกลุ่มทหารเองก็มีเผ่าพันธุ์อื่นรวมอยู่ด้วย แต่หากเทียบกับ “แวมไพร์” ที่มีพละกำลังพื้นฐานสูงที่สุด หรือ “เอลฟ์” ที่มีเวทย์มนสุดแกร่งเกินค่ามาตรฐานไปไกลลิบอย่างโอลิเวีย สุดท้ายก็ยากจะต่อกรอยู่ดี

          …เช่นนั้นโดยรวมแล้ว ความสามารถของชินและโอลิเวียสองคนจึงเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ โกลเด้นด็อกขึ้นข้างบน ”

“ ค่ะมาสเตอร์ ”

          รับคำสั่งจากชิน โอลิเวียก็วิ่งกลับไปหาไรเฟิลของตัวเองพร้อมกับเคาะเรียกพวกอัลเฟรดที่ประตูตรงพื้น เป็นสัญญาณให้พวกเขาออกมา หลังจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปประจำตำแหน่งบนชั้นสองของโรงงานในทันที

          พริบตาที่พวกอัลเฟรดออกมาเผชิญสภาพภายนอก ในความหมายคือ พริบตาที่ได้เห็นสภาพแพ้หมดรูปของเหล่า J.S.F หรือ Judgement Special Force พวกเขาต่างเผลอกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกัน ยกเว้นอัลเฟรดที่ยังคงเยือกเย็นและหมิงเซียนที่แค่มีเหงื่อเย็นไหล

          เห็นภาพที่แสดงผลลัพธ์ถึงความห่างชั้นกันขนาดนี้ พวกเขาต่างคิดกันไม่ตกเลยว่าใครกันแน่ที่เป็น “ผู้พิพากษา”

          ภาพตรงหน้าที่ชินสับเปลี่ยนซองกระสุนและใส่ลูกกระสุนลงใน Magnum อย่างใจเย็นแม้จะเพิ่งจัดการหนึ่งในหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของ URI ลงได้ สร้างทั้งความโล่งใจที่ชินเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้

          และในอีกแง่นึง ก็สร้างความหวาดกลัวให้เช่นกัน

 

“ มีเวลา 30 วินาที ถ้าหนีไม่ทันในช่วงนั้นกำลังเสริมจะมาจากศูนย์ใหญ่เพิ่ม ”

“ แบบนั้นแย่แน่ครับ พวกเรารีบไปกันได้แล้ว ”

          อัลเฟรดพยักหน้าให้ชิน ก่อนจะรีบวิ่งนำทุกคนออกไปตามแผนที่นัดแนะกันไว้ก่อนหน้านี้

          ชินมองผ่านไหล่มองพวกอัลเฟรดจนกระทั่งพวกเขาออกจากระยะสังเกต

 

เอาหล่ะ… ถ้างั้นเราเองก็

          ชินปรับลมหายใจใหม่หลังพักเหนื่อย พร้อมกับเปิดระบบโอเปอร์เรชั่น หน้าต่างช่วยเหลือจำนวนมากต่างถูกแสดงอยู่หลังหน้ากากของชินรวมถึงโอลิเวีย

          หนึ่งในนั้นคือระบบตรวจจับความร้อน มองในที่มืด รวมถึงสอดแนมคู่ต่อสู้ระยะไกลด้วยการแฮคกล้องวงจรปิด ซึ่งในกรณีนี้กล้องวงจรปิดรอบๆเป็นของชินอยู่แล้ว รวมถึงระบบสร้างบาเรียขึ้นเท่าที่จำเป็น โดยใช้ AI ในการช่วยคำนวณเพื่อประหยัดพลังงาน

          อนึ่ง ระบบนี้ต่างกับปืนดิจิตอล เนื่องจากมันเป็นแบบที่ชิน โอลิเวียและผู้ให้ความร่วมมือพัฒนาขึ้นเอง โอกาสถูกรบกวนจึงมีต่ำมาก ชินจึงไม่ลังเลที่จะใช้มันเพื่อสนับสนุนสถานการณ์ในตอนนี้

 

          ในอีกด้านนึงหน่วยย่อยสองหน่วยก็เริ่มเข้ามาด้านหน้าตัวโรงงานเรียบร้อย ชินที่หลบอยู่ในมุมจึงค่อยย่องหลบไฟฉายของทหาร 10 นายที่กระจายอยู่ทั่วโรงงาน ส่วนอีกหน่วยนึงกำลังคุ้มกันทางออกเพื่อรอกำลังเสริมจากศูนย์ใหญ่อย่างที่คาดไว้

          ชินย่องเบาอย่างเงียบเชียบ สังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายและอาศัยช่องว่างเล็กน้อยแทรกผ่านความมืดไม่ให้ใครจับได้ และในจังหวะที่เหล่าทหารแสดงทีท่าว่ากำลังจะเดินไปยังทางที่พวกอัลเฟรดหนีนั่นเอง

 

“ ลงมือ ”

          คำสั่งสั้นๆของชินทำให้โอลิเวียลั่นไก นายทหารที่อยู่หน้าสุดถูกกระสุนควงสว่านทะลุศีรษะจากระยะไกล และล้มพับลงไปในทันที เสียงปลอกกระสุนตกจากระยะไกลหลาย 100 เมตรลดขวัญกำลังใจทหารลงอย่างฮวบฮาบ

          จังหวะเดียวกันนั้น ชินก็พุ่งทยายออกมาจากความมืดลั่นปืนใส่นายทหารที่อยู่คนละหน่วยกับที่ถูกโอลิเวียยิง แรงอัดทำให้ชายคนดังกล่าวกระเด็นไปไกล

          โชคร้ายที่ทหารดังกล่าวเหมือนจะเป็นมนุษย์ ดูจากอาการชัดว่าเลือดคงตกในจนอาหารสาหัสขยับไม่ได้ไปแล้ว

          จากนั้นชินก็พุ่งหลบเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง ทั้งสองหน่วยถูกโจมตีในเวลาไล่เลี่ยกัน สร้างความสับสนให้พอควรตามที่ชินวางแผนไว้

 

“ ทุกหน่วยระวัง! พวกมันซุ่มโจมตี! ”

          ทหารทั้งสองหน่วยปรับกระบวนทัพใหม่ในทันที แถมมีท่าทีกำลังจะถอนทัพกันเพื่อออกไปตั้งรับด้านนอกอีกด้วย เพราะการเสียสมาชิกหน่วยทหารเพิ่มในตอนนี้เพื่อรอให้กำลิงเสริมมาถึงไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าเลย

          เหล่าทหารเฝ้าระวังทุกมุมอย่างไร้ช่องว่าง ปิดทางออกหลักจนหมด และดูเหมือนอีกหน่วยด้านนอกก็กำลังจะอ้อมมาปิดทางหนีที่เหลือเพื่อถ่วงเวลาชิน (แต่สำหรับพวกอัลเฟรดที่หนีออกไปก่อนแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

 

ตัดสินใจได้ฉลาดมาก

แต่เท่านี้เราก็หนีได้ซักที

          ชินสังเกตรอบๆอีกครั้ง ก่อนจะดูตำแหน่งของโอลิเวียด้วยความเป็นห่วง ด้วยเพราะ “เวลา” ที่ตั้งไว้ได้หมดลงแล้ว

 

ตู้ม!!!

          เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านในห้องสำนักงานซึ่งเป็นระเบิดที่เตรียมไว้นานแล้ว ดังอย่างต่อเนื่องถึง 4 ครั้งจนทั้งโรงงานสั่นสะเทือน เพดานส่งเสียงร้องราวโหยหวนเจ็บปวด สำหรับจุดที่ไม่แข็งแรงเพดานต่างก็ถล่มลงมาด้วย สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกหน่วยพอสมควร แต่พวกเขาก็ยังไม่เสียขบวนอย่างน่าชื่นชม

 

ตู้ม!!!

          เสียงระเบิดระรอกแรกยังไม่ทันสิ้นสุดดี เสียงระเบิดจากชั้นใต้ดินในตำแหน่งของห้องกับดักก็ระเบิดขึ้น ระเบิดต่อเนื่องตลอดทางเดินไปจนถึงเซฟเฮาส์

          ด้วยการระเบิดด้านบนก่อนเพื่อกลบเกลื่อนเสียงระเบิดจากใต้ดินคงพอกลบเกลื่อนได้ในระดับนึงเพื่อไม่ให้ URI รู้ว่าชินมีฐานลับ

          แต่ถึงแม้จะจับได้ว่ามี ห้องลับก็กลายสภาพเป็นเศษเหล็กถูกฝังใต้ซากปรักหักพังไปแล้ว แน่นอนว่าหลักฐานที่สาวไปถึงชินก็ไม่มี

 

“ โกลเด้นด็อก! ”

“ ค่ะ! ”

          ชินวิ่งปรี่เข้าหาตำแหน่งของโอลิเวีย อยู่เบื้องล่างของเธอ พริบตานั้นโอลิเวียก็กระโดดลงมาจากชั้นสองท่ามกลางเสียงดังเอียดอาดของโรงงานที่ใกล้ถล่มเต็มที ลงมาในอ้อมแขนของชิน และถูกอุ้มอย่างสวยงามในท่าเจ้าหญิง

 

“ …มารับแล้วเหรอคะเจ้าชาย ” โอลิเวียพูดหยอก ในน้ำเสียงแอบแฝงด้วยความยินดีเหมือนทุกที

“ ยังจะมาทำเป็นเล่นอีกนะแม่คนนี้ ”

          ชินพูดราวกับระอา แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากกลับอมยิ้มมุมปากอยู่

          บางทีโอลิเวียเองอาจจะรู้… เธอถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะผละตัวจากชินที่วางเธอลง

          ก่อนที่ทั้งคู่จะหนีออกจากตัวโรงงานที่พังทลาย ซึ่งในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องหนีตามทางเข้ารองหรือหลักอีกแล้ว เพราะโรงงานที่พังทลายได้กำเนิดทางหนีไว้ร้อยแปด

 

          …การหลบหนีจึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ฝีเท้าทั้งคู่ก้าวผ่านความมืดมิดยามราตรีแลมีแสงจากไฟระเบิดไล่หลัง ตามไปยังจุดนัดพบที่นัดหมายกันไว้กับพวกอัลเฟรด

 

❖❖❖❖❖

 

          ชินและโอลิเวียที่ออกมาจากจุดเกิดเหตุราวๆ 500 เมตรได้แล้วเปิดแผนที่ผ่านจอมอนิเตอร์หลังหน้ากาก เช็คเส้นทางที่นัดแนะไว้ก่อนหน้านี้ และพุ่งทะยานผ่านสายลมไปถึงจุดหมายในเวลาไม่นานนัก

          อาคารขนาดใหญ่รูปทรงโค้งคล้ายครึ่งวงกลมดูตระการตา ด้านหลังของตึกดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องบินหลากหลายประเภทตั้งแต่โดยสารไปจนถึงขนส่ง และแม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งบริเวณก็ยังคงส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา อันสถานที่ดังกล่าวนั้นถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “สนามบินดอนเมือง”

          มีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนาทั่วทุกสารทิศ แต่จากข้อมูลที่อัลเฟรดให้มา ดูเหมือนจะมีจุดนึงที่เขา “ตระเตรียม” ไว้แล้วให้สามารถเข้ามาภายในได้โดยง่าย แม้จะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นชินกับโอลิเวียก็ลอบเข้ามาได้ แต่เช่นไรก็ตาม ชินก็เลือกเข้ามาตามคำแนะนำของอัลเฟรดเพราะหลังจากนี้ชินเป็นกำลังรบสำคัญ หากคิดจะตักหางปล่อยวัดกันคงไม่ใช่ช่วงก่อนที่ศึกชิงแดนจะเริ่มแน่

 

          ด้วยเหตุดังกล่าว ชินกับโอลิเวียเดินพ้นเข้ามาในสนามบินบริเวณรันเวย์สำหรับเครื่องบินส่วนตัวซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายได้อย่างง่ายดาย

          อัลเฟรด ไดอา ริว หมิงเซียนและเกวน ต่างรออยู่ด้านข้างใกล้เครื่องบินขนาดเล็กที่มีบันไดขึ้นเครื่องเตรียมไว้ก่อนแล้ว ทุกคนอยู่ในชุดพร้อมรบสวมหน้ากากของตัวเองเหมือนครั้งที่ชินพบพวกเขาครั้งแรก และสำหรับอัลเฟรดก็เป็นแบบที่ว่าเช่นกัน เพราะดูเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากาก

          พอเห็นชินในร่างของแองกริคราวน์เดินเข้ามาใกล้ อัลเฟรดก็โบกมือเรียกทันที

 

“ หนีมาได้จริงๆด้วยนะครับเนี่ย สมแล้วจริงๆครับ ”

          ชินพยักหน้ารับเล็กๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือรำคาญเป็นพิเศษ เพราะเขากำลังพินิจพิเคราะห์เครื่องบินตรงอยู่

 

“ นี่มีเครื่องบินส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ? ” ชินเอ่ยถาม พลางหันหน้ามองซึ่งโอลิเวียเองก็ทำแบบเดียวกัน

“ ก็นะครับ… พอดีใช้เส้นสายนิดหน่อยหน่ะครับ ” อัลเฟรดว่าพลางยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏความยินดียินร้ายเหมือนเคย

          อนึ่ง เครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าชินดูเหมือนจะเป็นรุ่นล่าสุดทั้งในแล่ของเทคโนโลยีและการออกแบบ หากพูดถึงประสิทธิภาพ ความเร็วสูงสุดของเครื่องบินลำนี้สามารถขนส่งคน 10 คนข้ามซีกโลกได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น

          สำหรับการขนส่งคนจำนวนน้อยในกรณีเพื่อสู้รบดังเช่นตอนนี้ จึงถือว่ามีประโยชน์มากมาย

 

ผลต่างทางผลประโยชน์เล็กๆ… เหรอ

          ชินหวนนึกถึงการสนทนากับอัลเฟรดก่อนหน้านี้ ในเรื่องการสนับสนุนจากบุคลากรหลายฝ่ายในประเทศเพื่อการพิชิตดินแดนอื่น และต้องเชื่อฟังในฐานะที่อัลเฟรดถือครองตราราชันย์

ไม่ว่าที่อัลเฟรดพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่การที่เขาสามารถเตรียมการแบบนี้ได้ทั้งที่คนรอบตัวช่างน่าสงสัย (เพราะสวมหน้ากากกันหมด) แสดงว่าอัลเฟรดมีอิทธิพลต่อสถานที่แห่งนี้ ไม่สิ… พูดให้ถูกคือมีอิทธิพลต่อประเทศนี้ รวมถึงประเทศปลายทางซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาเขตมากกว่าที่ชินคิด

 

ถึงจะไม่รวมองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศอย่าง UR แต่ถ้าคุมทุกอย่างในประเทศอาณาเขตตัวเองได้แบบนี้

…มันคงไม่ใช่ผลต่างเล็กน้อยแล้วมั้ง

          ชินคิดอย่างระแวดระวังในขณะที่อัลเฟรดเดินนำกลุ่มขึ้นเครื่องบิน ภายในห้องคนขับซึ่งระยะไม่ห่างจากบริเวณนั่งโดยสารนักกลับยิ่งสนับสนุนความคิดของชิน เพราะเขาสวมชุดทหารอากาศของประเทศไทยไม่ผิดแน่

 

“ ฝากด้วยนะครับ ”

          อัลเฟรดกล่าวสั้นๆหลังทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วนักบินก็พยักหน้ารับคำด้วยท่าทีสงบเงียบขรึม ก่อนจะเริ่มขึ้นบินตามรันเวย์

          …ไปยังสนามรบที่กำลังคุกรุ่นในต่างแดน

 

❖❖❖❖❖

 

          ในอีกด้านหนึ่ง ภายในห้องอันแสนมืดมิดซึ่งไม่ปรากฏสภาพแวดล้อมภายใน

          สิ่งที่สังเกตเห็นได้ มีเพียงคนจำนวน 5 คนที่เป็นจุดกระทบของแสงจากจอภาพขนาดใหญ่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

          ตรงกลางคือเด็กสาวอายุราวเด็ก ม.ต้น นั่งหลังตรงบนเก้าอี้สีทองดูหรูหราด้วยท่าทางดูแก่นแก้วสมวัย ทว่าแววตาคมกริบที่จ้องมองเข้าไปในจอกลับน่ายำเกรงเสียมากกว่า

          ดวงตาสีทองเรือนผมสีดำสนิท ถูกเกล้าอย่างเรียบร้อย ด้วยรูปร่างที่เล็กและบอบบาง และใบหน้าน่ารักได้รูป รวมถึงผิวขาวนวลอันน่าหลงไหล ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าถือเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์มากกว่าคนจริงๆ

          ส่วนอีก 4 คนที่ยืนด้านหลังราวกับการ์ดให้กับสาวน้อย มีจุดร่วมคือชุดเกราะ แต่มีจุดแตกต่างเล็กน้อยคือขนาด ความหนา สีสันและที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือหน้ากาก จากซ้ายไปขวาอันได้แก่ หนู วัว มังกรและลิง ซึ่งต่างเป็นหน้ากากที่ถูกเขียนโดยพู่กันหลากสี

 

“ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะติดต่อมาเองนะครับเนี่ย ท่านฮ่องเต้ ”

          เสียงใสเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย ดังออกมาจากภาพที่ถูกฉายอยู่ด้านหน้าของเด็กสาว

          เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูค่อนข้างสุภาพ มีผมสีเงินสะท้อนแสง พร้อมด้วยดวงตาที่ฟ้าน้ำทะเล

          สีหน้าของเขายิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อมองมาทางจอและสบตากับเด็กสาว กระนั้นเด็กสาวก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ

 

“ แหมๆ เห็นไม่ยักกะส่งคนมายึดออสเตรเลียอย่างที่คุยเลยนี่คะ เป็นแค่ข่าวลวงอย่างที่คิดจริงๆสินะคะ ”

เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าฮ่องเต้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทว่าแอบปากคอเราะร้าย ไม่ว่าจะด้วยท่าทางหรืออย่างไร แต่สำหรับอำนาจที่เธอถืออยู่ในมือก็สมควรจะเรียกเธอเช่นนั้น

          ชายหนุ่มที่อยู่ในจอได้ยินเช่นนั้นก็ยักไหล่เบาๆ

 

“ คุณเองก็เถอะนะ เห็นว่าหนึ่งในอัศวินที่ภูมิใจนักหนาพลาดท่าให้กับแองกริคราวน์ที่กำลังล่าค่าหัวโดยบังเอิญสินะครับ โชคไม่เข้าข้างเอาซะเลยนะครับเนี่ย ”

          ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มกลับไปแบบเดียวกันราวกับต้องการเอาคืน แต่เด็กสาวก็ไม่เปลี่ยนท่าทีและสีหน้า แม้ว่าในหัวจะอยากหยีบปืนเป่ากบาลชายหนุ่มตรงหน้านี้ในทันทีแค่ไหนก็ตาม

 

“ เรื่องนั้นคงไม่อาจแก้ตัว… ยังไงก็แล้วแต่ อย่าให้ฉันเห็นหล่ะว่าคุณส่งคนมาแทรกแซงศึกคืนนี้ ”

“ แหม่ๆ พูดแบบนี้ยังกับจะบอกว่าถ้าพวกเราเข้าร่วมแล้วคุณจะแพ้ยังงั้นแหล่ะครับ ยังไงกันนะ ”

“ เข้าใจผิดแบบนั้นก็แย่สิคะ… ฉันแค่ยังไม่อยากขยี้พวกคุณในเร็ววันนี้เท่านั้นเอง อย่าบังคับให้สาวน้อยน่ารักแบบดิฉันต้องทำเรื่องโหดร้ายเสียตอนนี้เลยนะคะ ”

          ทั้งสองคนจ้องตากันเขม็งเฉือดเฉือนทางวาจาต่างใบมีด

          แล้วจู่ๆทางชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มแป้นออกมา

 

“ แหมๆ วางใจเถอะครับ ผมเองก็ยุ่งกับเขตแถวอเมริกาใต้อยู่พอสมควร แถมศัตรูตัวฉกาจอย่างรัสเซียยังเข้าร่วมศึกนี้ด้วย ผมยังไม่อยากสร้างข้อขัดแย้งกับหมอนั่นหรอกนะ ”

“ ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจแล้วค่ะ ”

          ราวกับได้คำตอบที่ต้องการ เด็กสาวยิ้มแป้นออกมาอีกครั้ง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มเสแสร้ง

          ก่อนที่สัญญาณของทั้งสองจะตัดขาดจากกันไป ภาพของชายหนุ่มหายไปจากจอเรียบร้อยแล้ว…

 

ให้ตายสิ… เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริงๆ

          เด็กสาวบ่นอุบอยู่ในใจ

 

“ ท่านคะ… แล้วจะเอายังไงกับคืนนี้ดีคะ? ” เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงหญิงสาวดังมาจากข้างๆ เจ้าของเสียงนั้นคือคนที่สวมหน้ากากหนู

“ ศัตรูอันดับหนึ่งคือรัสเซียอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ… ในการยึดออสเตรเลียอาจจะลำบากกว่าที่คิดเพราะมีศึกย่อยหลายศึก แต่ยังไงเราจะเสียจุดนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด ”

          เด็กสาวตอบในทันที เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจเปลี่ยนกำหนดการได้แม้มีตัวแปรที่น่ากังวลเข้ามาร่วมศึกก็ตาม

          และราวกับรู้ใจ ชายผู้สวมหน้ากากมังกรเอ่ยถามเด็กสาวต่อในทันทีว่า

 

“ แล้วแองกริคราวน์หล่ะครับ? ”

          ในจังหวะนั้น เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวสูญเสียความเยือกเย็นไปแวบนึงจนคิ้วกระตุก

 

“ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำงานให้ใคร และอยู่ในสถานะอะไร… แต่จากที่ หู่(เสือ) เล่าให้ฟัง ดูเหมือนโอกาสที่เขาจะมาบุกยึดออสเตรเลียตอนนี้ค่อนข้างต่ำ ”

“ งั้นสินะครับ ” ชายสวมหน้ากากมังกรโค้งคอรับคำเล็กๆ

 

ยังไงก็ตาม เขาก็ยังเป็นตัวแปรที่ไม่มีใครคาดเดาได้ในศึกครั้งนี้อยู่ดี

พูดตามตรง… เราคาดการณ์การกระทำของเขาไม่ได้เลย แต่จะแสดงท่าทีแบบนั้นในฐานะผู้นำให้ทุกคนเห็นไม่ได้

 

แองกริคราวน์… นักฆ่าและนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งของโลกคนนั้น ดันถลำลึกเข้าสู่โลกที่เราอยู่ซะได้

ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เราคงไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ

 

แต่ก็เอาเถอะนะ… ในเมื่อเป็นแบบนี้โอดครวญไปก็เท่านั้น

          เด็กสาวคิดเช่นนั้นอยู่ในใจแต่ไร้การเปลี่ยนสีหน้าเหมือนเคย

          …แต่แม้ในใจจะกังวล ทว่าหารู้ไม่ ว่ารอยยิ้มของเธอกำลังฉีกขึ้นเล็กๆ

 

แองกริคราวน์… ถ้าได้เจอคุณหล่ะก็…

ฉันจะขอเป็นคนขยี้คุณกับมือและคว้าอันดับหนึ่งมาครองแทนให้เอง

          เด็กสาวคิดแบบนั้นอย่างเนื้อเต้นใจสั่น ความกังวลที่มีแปรเปลี่ยนเป็นความกระหาย

          กับมุมมองของคนอื่นยกเว้นตัวเอง… ชินคือตัวตนสุดยอดถึงเพียงนั้น และมีค่าเพียงพอให้ประมือและเอาชนะอย่างยิ่งยวด เพราะการเอาชนะชินที่ถูกขนานนามว่าอันดับหนึ่ง(โดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ)ได้ นั่นหมายถึงอำนาจในโลกมืดจะตกเป็นของคนๆนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

          แล้วความมืดในอีกแง่มุมที่อยู่เหนือระยะสังเกตของชินก็เริ่มคลืบคลานเข้าหาเขา โดยที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง

 

❖❖❖❖❖

Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 14: ผู้(ถูก)พิพากษา

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 14: ผู้(ถูก)พิพากษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

“ เดี๋ยวนะชิน——แองกริคราวน์ ไปคนเดียวนี่มัน! ”

          หลังจากที่ชินประกาศเจตจำนงว่าจะจัดการกองกำลังพิเศษที่ถูกส่งมาโดย URI ด้วยตัวคนเดียว คนที่แสดงท่าทางไม่เห็นด้วยคนแรกคือเกวนอันเห็นได้ชัดถึงความเป็นห่วงจากน้ำเสียง ซึ่งเป็นอย่างที่ชินคาด

 

“ เรื่องนี้ดิฉันเห็นด้วยค่ะ อย่างน้อยให้ดิฉันซัพพอร์ตก็ยังดีนะคะ ”

          ราวกับเป็นโอกาสดี โอลิเวียที่มักจะเชื่อฟังชินเสมอจึงถือโอกาสโต้แย้งแผนลุยเดี่ยวของชินในทันที

          ชินทำท่าเหมือนจะยอมแพ้ เขาหลับตาภายใต้หน้ากากครุ่นคิดผลได้ผลเสียในพริบตาก่อนจะเริ่มแผนการณ์หลบหนี

 

“ งั้นเอาแบบนี้… ฉันกับโกลเด้นด็อกจะขึ้นไปเคลียร์พื้นที่ตรงทางเข้าให้ ระหว่างนั้นพวกนายใช้เส้นทางนี้ในการหลบหนีซะ ”

          ชินกล่าวในขณะเดินไปเปลี่ยนภาพโฮโลแกรมบางส่วนด้านหลังของเกวนเป็นแผนผังตึกร้าง พร้อมกับใช้นิ้วสัมผัสจุดที่เข้ามา ลากยาวเป็นเส้นทางจนถึงจุดที่ปลอดภัย

พวกอัลเฟรดที่มองตามอยู่ต่างก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย เพราะไม่ว่าใครต่างก็รู้กิตติศัพท์ของแองกริคราวน์ดีอยู่แล้ว ที่เกวนแสดงออกไปก่อนหน้าก็เพราะไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเท่านั้นเอง

 

“ เปิดช่องสื่อสารไว้ด้วย ”

“ รับทราบครับ ”

          ชินกับอัลเฟรดปรับคลื่นความถี่ช่องสื่อสารให้ตรงกันก่อนเริ่มแผนการ ใช้เวลาเพียง 2 วินาทีเท่านั้น

          หลังจากนั้นชินกับโอลิเวียก็เดินไปยังจุดแขวนอาวุธ ชินหยิบปืนพกสองกระบอกเหน็บข้างเอว ส่วนทางโอลิเวียหยิบปืนพกกับสไนเปอร์ไรเฟลิหนึ่งกระบอกสะพายหลัง

          แม้ความจริงแล้วมีปืนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ แต่อีกฝ่ายเป็นถึง URI อาจมีการพัฒนาระบบแจมมิ่งอาวุธที่เป็นระบบดิจิตอล จึงต้องหันมาใช้ปืนทั่วไปแทน

          ชินเดินวุ่นในห้องปิดระบบต่างๆ ทำลายข้อมูลและวางระเบิด ส่วนโอลิเวียเป็นคนทำตัวจุดระเบิดแบบตั้งเวลา ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 5 วินาที ทั้งสองก็พยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมหลบหนี

 

“ งั้น เริ่มกันเลย ”

          ชินกล่าวสั้นๆก่อนที่จะเดินนำโอลิเวียออกไปจากห้อง ตามด้วยอัลเฟรดและทุกคนที่เหลือซึ่งตามทั้งสองคนไปติดๆ

 

❖❖❖❖❖

 

          รัตติกาลเงียบงันใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาดูน่าฉงน บรรยากาศราวกับโลกถูกหยุดนิ่ง

          ท่ามกลางความสงบเหล่านั้น ทหารในชุดเครื่องแบบมิดชิดสีดำสนิทพร้อมติดอาวุธปืนกลคนละกระบอกในมือเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ วิ่งตัดผ่านสายลมด้วยเสียงอันเงียบเชียบและหยุดลงในตำแหน่งที่นัดแนะกันไว้ ด้านนอกของทางออกทั้งสองของโรงงานร้าง รวมกับที่ลาดตระเวนรอบๆอีก 2 หน่วย

          รวมแล้วมีหน่วยรบพิเศษรวม 21 นาย 4 หน่วยรบย่อยเตรียมพร้อมจู่โจมเป้าหมายอยู่ที่นี่

 

“ อัลฟ่า 1 เรียกเบต้า 1… ห้องโถงภายในอาคารเคลียร์ เปลี่ยน ”

“ นี่เบต้าวัน พื้นที่นอกโรงงานเคลียร์ เปลี่ยน ”

          สองหน่วยย่อยสื่อสารกันกระชับรวดเร็ว หัวหน้าหน่วยย่อยที่เฝ้าประตูด้านหน้าให้สัญญาณมือก่อนจะย่องนำเข้าไปในตัวอาคารเมื่อเห็นว่าพร้อมแล้ว

          แสงไฟติดปากกระบอกส่องชี้ไปทั่วภายในอาคารราวกับบรรยากาศก่อนเปิดงานฉลอง ทว่าเสียงอันเงียบงันกลับให้ความรู้สึกประหลาดและน่าหวาดหวั่นสำหรับผู้รับชม

          …ยกเว้นกับผู้ที่เคยชินกับมัน

 

“ … ”

          ภายในห้องสำนักงานเก่า ชินหลบอยู่ตรงมุมโต๊ะใกล้ที่ซ่อนทางเข้าลับ โดยที่มีโอลิเวียนั่งหลังติดกับเขาคอยจับสัมผัสระยะไกลในส่วนที่ชินจับไม่ได้ ส่วนคนอื่นยังอยู่ใต้ดินรอชินเคลียร์ทาง

          จมูกภายใต้หน้ากากของเธอขยับส่งเสียงดังฟุดฟิด หูยาวๆของเธอเองก็ขยับเล็กๆตามราวสุนัขดมกลิ่นเช่นกัน

 

“ หน่วยย่อยหนึ่งหน่วยกำลังมาทางนี้ค่ะ ”

“ รับทราบ ”

          ชินพยักหน้าเบาๆใต้หน้ากาก จ้องมองศัตรูที่อยู่ห่างออกไปและกระจายตัวสำรวจพื้นที่อยู่ห่างๆด้วยสายตาสังเกตวิเคราะห์ เช่นเดียวกับโอลิเวียที่วางไรเฟิลไว้ที่พื้นก่อนจะเตรียมปืนพกขึ้นมาหวังสนับสนุนชินในการเคลียร์พื้นที่ระยะประชิด

          สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและถอนออกอย่างแผ่วเบาแลสงบเยือกเย็น ลับคมประสาทและสัญชาตญาณนักล่าให้ถึงขีดสุด ทำลายศีลธรรมที่มีอยู่สิ้น เหลือเพียงความคิดเดียวอันว่า “ ไม่มีเหตุให้ลังเลในการสังหารผู้ที่จักสังหารตน ”

          ไม่นานนักหน่วยย่อย 5 นายก็เข้ามาในห้องพร้อมสาดส่องไฟฉายไปทั่ว ชินกับโอลิเวียไม่แม้แต่จะแสดงอาการตื่นตระหนก

          ทั้งสองคนใจเย็น เย็นเยือก… จนกระทั่งปากกระบอกปืนของทหารนายนึงพ้นโต๊ะ

 

และในจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ทหารนายนั้นจะส่องไฟฉายพบชิน ชินก็พุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายก่อน จับปลายกระบอกปืนหันไปทางอื่นด้วยมือซ้ายพร้อมกับดึงมีดพกออกมาด้วยมือขวา อีกฝ่ายเองก็พยายามลั่นไกออกไปหลายนัด

          ในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังจะใช้มืออีกข้างคว้าตัว ชินก็ใช้ข้อศอกขวาที่ถือมีดยั้งไว้และจัดการแทงมีดขึ้นตำแหน่งใต้คางของทหารนายนั้นจนแน่นิ่งไป… ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลา 1.5 วินาที

 

“ อัลฟ่าเรียกทุกหน่วย ศัตรูอยู่ในโรงงาน! ขอย้ำ! ศัตรูอยู่ในโรงงาน! ”

          พริบตาที่ชินสังหารชายคนดังกล่าว กระสุนจำนวนมากต่างถูกควงสว่านออกมาจากปากกระบอกปืนทั้ง 4 ที่เหลือ ทั้งหมดพวยพุ่งเข้าใส่ชิน เขาจึงรีบไถลพื้นกลับเข้าไปหลบหลังโต๊ะซึ่งโอลิเวียทำการใช้ “ปาฏิหาริย์” ซึ่งเป็นพลังของ “เผ่านางฟ้า” ในการสร้างบาเรียป้องกันความเสียหายซ้อนไว้ด้านหลังโต๊ะระหว่างทั้งสองกับกระสุน

          ชินอาศัยจังหวะนึงหยิบปืนกลเบาของชายที่เขาเพิ่งสังหารขึ้นและยิงมันใส่หน่วยย่อยที่เหลือทั้งที่ยังหลบอยู่บาเรีย ทำให้การยิงของอีกฝ่ายชะงักไป เพราะอีกฝ่ายก็ต้องหาที่กำบังเช่นกัน

 

          ชินซึ่งทิ้งปืนกลและหยิบปืนพกทั้งสองออกมาแทนกับโอลิเวียต่างอาศัยจังหวะนั้นกระโจนออกมาพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งเข้าหาคนที่ใกล้ที่สุดของตัวเอง

          ชินใช้ปืนพก 500 Magnum จัดการยิงหวังผลที่ลิ้นปี่ของศัตรูที่อยู่ใกล้จนชะงัก(ซึ่งหากอีกฝ่ายไม่ใช่เผ่ามนุษย์สัตว์สวมเกราะร่างคงปลิวและแหลกไปแล้ว) ก่อนจะจัดการเล็งที่หัวอย่างแม่นยำในอีกสามนัดด้วยปืนพก Glock อีกกระบอกที่หัวซึ่งเป็นหมวกเหล็กหนาจนอีกฝ่ายล้มหงายท้องแน่นิ่ง

ทางโอลิเวียเองก็จัดการพุ่งเข้าไปใช้ขาล็อคคออีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงลงพื้นก่อนจะปิดฉากด้วยการจ่อปืนใส่ลำคอของอีกฝ่ายและลั่นไกระยะประชิด

         

“ เวรเอ้ย! อัลฟ่าเรียกทุกหน่วย ขอกำลังเสริม! ขอกำลังเสริม!!! ”

          ทหารนายหนึ่งตะโกนขอกำลังเสริมในขณะที่อีกคนยิงคุ้มกัน แต่ไม่นานนักคนคุ้มกันก็ถูกโอลิเวียใช้เวทย์น้ำแข็งสร้าง “กระสุนน้ำแข็ง” ยิงใส่ในระยะ 10 เมตรบวกลบทะลุอก ทำให้ชินเข้าประชิดตัวอีกคนที่เหลือได้

          ชินและนายทหารคนสุดท้ายในหน่วยหลังพิงกันโดยมีผนังปูนกั้นหว่าง แลซ้ายแลขวาดูท่าทีของอีกฝ่าย

          …ความจริงมันควรเป็นเช่นนั้น

 

ตู้ม!

“ อั่ก! ”

          ชินอาศัยพลังกายภาพอันเหนือชั้น ใช้หมัดขวาชกทะลุผนังคว้าศีรษะของอีกฝ่ายพร้อมกับดันตัวเองจนทะลุผนัง ก่อนจะกดศีรษะอีกฝ่ายลงพื้น หมุนตัวใช้เท้าเตะปืนกลเบาในมือศัตรูที่พยายามจะลั่นไกใส่ทิ้ง และปิดฉากด้วยการใช้ปืนพกยิงศีรษะอีกฝ่าย 3 นัดจนกระทั่งทะลุหมวกเกราะเหล็ก

 

          หากเป็นกรณีทั่วไปคงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ แต่เพราะชุดเกราะของอีกฝ่ายมีความทนทานในระดับสูง มันหนาถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่ใช้มีดกดอย่างแรงก็ต้องยิงถึงสามนัดกว่าจะทะลุถึงร่างได้

          เพราะหน่วยพิเศษนี้ต้องการความคล่องตัว จึงจำเป็นต้องตัดระบบบาเรียแบบที่ชินกับโอลิเวียใส่เป็นประจำทิ้งไป เช่นไรก็ตามสำหรับชินกับโอลิเวียมันไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้นหากจะเพิ่มน้ำหนักให้กับชุดซัก 20 หรือ 30 กิโลกรัม

          จะว่าเป็นเพราะพลังกายภาพเฉพาะเผ่าพันธุ์เป็นตัวแปรนึงก็ได้ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าคือชินกับโอลิเวียเองก็ผ่านการฝึกสุดโหดระดับเดียวกับคอมมานโดหรือสเปซนาซเช่นกัน

          อนึ่ง แน่นอนว่าในกลุ่มทหารเองก็มีเผ่าพันธุ์อื่นรวมอยู่ด้วย แต่หากเทียบกับ “แวมไพร์” ที่มีพละกำลังพื้นฐานสูงที่สุด หรือ “เอลฟ์” ที่มีเวทย์มนสุดแกร่งเกินค่ามาตรฐานไปไกลลิบอย่างโอลิเวีย สุดท้ายก็ยากจะต่อกรอยู่ดี

          …เช่นนั้นโดยรวมแล้ว ความสามารถของชินและโอลิเวียสองคนจึงเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ โกลเด้นด็อกขึ้นข้างบน ”

“ ค่ะมาสเตอร์ ”

          รับคำสั่งจากชิน โอลิเวียก็วิ่งกลับไปหาไรเฟิลของตัวเองพร้อมกับเคาะเรียกพวกอัลเฟรดที่ประตูตรงพื้น เป็นสัญญาณให้พวกเขาออกมา หลังจากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปประจำตำแหน่งบนชั้นสองของโรงงานในทันที

          พริบตาที่พวกอัลเฟรดออกมาเผชิญสภาพภายนอก ในความหมายคือ พริบตาที่ได้เห็นสภาพแพ้หมดรูปของเหล่า J.S.F หรือ Judgement Special Force พวกเขาต่างเผลอกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกัน ยกเว้นอัลเฟรดที่ยังคงเยือกเย็นและหมิงเซียนที่แค่มีเหงื่อเย็นไหล

          เห็นภาพที่แสดงผลลัพธ์ถึงความห่างชั้นกันขนาดนี้ พวกเขาต่างคิดกันไม่ตกเลยว่าใครกันแน่ที่เป็น “ผู้พิพากษา”

          ภาพตรงหน้าที่ชินสับเปลี่ยนซองกระสุนและใส่ลูกกระสุนลงใน Magnum อย่างใจเย็นแม้จะเพิ่งจัดการหนึ่งในหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของ URI ลงได้ สร้างทั้งความโล่งใจที่ชินเป็นพันธมิตรที่พึ่งพาได้

          และในอีกแง่นึง ก็สร้างความหวาดกลัวให้เช่นกัน

 

“ มีเวลา 30 วินาที ถ้าหนีไม่ทันในช่วงนั้นกำลังเสริมจะมาจากศูนย์ใหญ่เพิ่ม ”

“ แบบนั้นแย่แน่ครับ พวกเรารีบไปกันได้แล้ว ”

          อัลเฟรดพยักหน้าให้ชิน ก่อนจะรีบวิ่งนำทุกคนออกไปตามแผนที่นัดแนะกันไว้ก่อนหน้านี้

          ชินมองผ่านไหล่มองพวกอัลเฟรดจนกระทั่งพวกเขาออกจากระยะสังเกต

 

เอาหล่ะ… ถ้างั้นเราเองก็

          ชินปรับลมหายใจใหม่หลังพักเหนื่อย พร้อมกับเปิดระบบโอเปอร์เรชั่น หน้าต่างช่วยเหลือจำนวนมากต่างถูกแสดงอยู่หลังหน้ากากของชินรวมถึงโอลิเวีย

          หนึ่งในนั้นคือระบบตรวจจับความร้อน มองในที่มืด รวมถึงสอดแนมคู่ต่อสู้ระยะไกลด้วยการแฮคกล้องวงจรปิด ซึ่งในกรณีนี้กล้องวงจรปิดรอบๆเป็นของชินอยู่แล้ว รวมถึงระบบสร้างบาเรียขึ้นเท่าที่จำเป็น โดยใช้ AI ในการช่วยคำนวณเพื่อประหยัดพลังงาน

          อนึ่ง ระบบนี้ต่างกับปืนดิจิตอล เนื่องจากมันเป็นแบบที่ชิน โอลิเวียและผู้ให้ความร่วมมือพัฒนาขึ้นเอง โอกาสถูกรบกวนจึงมีต่ำมาก ชินจึงไม่ลังเลที่จะใช้มันเพื่อสนับสนุนสถานการณ์ในตอนนี้

 

          ในอีกด้านนึงหน่วยย่อยสองหน่วยก็เริ่มเข้ามาด้านหน้าตัวโรงงานเรียบร้อย ชินที่หลบอยู่ในมุมจึงค่อยย่องหลบไฟฉายของทหาร 10 นายที่กระจายอยู่ทั่วโรงงาน ส่วนอีกหน่วยนึงกำลังคุ้มกันทางออกเพื่อรอกำลังเสริมจากศูนย์ใหญ่อย่างที่คาดไว้

          ชินย่องเบาอย่างเงียบเชียบ สังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายและอาศัยช่องว่างเล็กน้อยแทรกผ่านความมืดไม่ให้ใครจับได้ และในจังหวะที่เหล่าทหารแสดงทีท่าว่ากำลังจะเดินไปยังทางที่พวกอัลเฟรดหนีนั่นเอง

 

“ ลงมือ ”

          คำสั่งสั้นๆของชินทำให้โอลิเวียลั่นไก นายทหารที่อยู่หน้าสุดถูกกระสุนควงสว่านทะลุศีรษะจากระยะไกล และล้มพับลงไปในทันที เสียงปลอกกระสุนตกจากระยะไกลหลาย 100 เมตรลดขวัญกำลังใจทหารลงอย่างฮวบฮาบ

          จังหวะเดียวกันนั้น ชินก็พุ่งทยายออกมาจากความมืดลั่นปืนใส่นายทหารที่อยู่คนละหน่วยกับที่ถูกโอลิเวียยิง แรงอัดทำให้ชายคนดังกล่าวกระเด็นไปไกล

          โชคร้ายที่ทหารดังกล่าวเหมือนจะเป็นมนุษย์ ดูจากอาการชัดว่าเลือดคงตกในจนอาหารสาหัสขยับไม่ได้ไปแล้ว

          จากนั้นชินก็พุ่งหลบเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง ทั้งสองหน่วยถูกโจมตีในเวลาไล่เลี่ยกัน สร้างความสับสนให้พอควรตามที่ชินวางแผนไว้

 

“ ทุกหน่วยระวัง! พวกมันซุ่มโจมตี! ”

          ทหารทั้งสองหน่วยปรับกระบวนทัพใหม่ในทันที แถมมีท่าทีกำลังจะถอนทัพกันเพื่อออกไปตั้งรับด้านนอกอีกด้วย เพราะการเสียสมาชิกหน่วยทหารเพิ่มในตอนนี้เพื่อรอให้กำลิงเสริมมาถึงไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าเลย

          เหล่าทหารเฝ้าระวังทุกมุมอย่างไร้ช่องว่าง ปิดทางออกหลักจนหมด และดูเหมือนอีกหน่วยด้านนอกก็กำลังจะอ้อมมาปิดทางหนีที่เหลือเพื่อถ่วงเวลาชิน (แต่สำหรับพวกอัลเฟรดที่หนีออกไปก่อนแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

 

ตัดสินใจได้ฉลาดมาก

แต่เท่านี้เราก็หนีได้ซักที

          ชินสังเกตรอบๆอีกครั้ง ก่อนจะดูตำแหน่งของโอลิเวียด้วยความเป็นห่วง ด้วยเพราะ “เวลา” ที่ตั้งไว้ได้หมดลงแล้ว

 

ตู้ม!!!

          เสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านในห้องสำนักงานซึ่งเป็นระเบิดที่เตรียมไว้นานแล้ว ดังอย่างต่อเนื่องถึง 4 ครั้งจนทั้งโรงงานสั่นสะเทือน เพดานส่งเสียงร้องราวโหยหวนเจ็บปวด สำหรับจุดที่ไม่แข็งแรงเพดานต่างก็ถล่มลงมาด้วย สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกหน่วยพอสมควร แต่พวกเขาก็ยังไม่เสียขบวนอย่างน่าชื่นชม

 

ตู้ม!!!

          เสียงระเบิดระรอกแรกยังไม่ทันสิ้นสุดดี เสียงระเบิดจากชั้นใต้ดินในตำแหน่งของห้องกับดักก็ระเบิดขึ้น ระเบิดต่อเนื่องตลอดทางเดินไปจนถึงเซฟเฮาส์

          ด้วยการระเบิดด้านบนก่อนเพื่อกลบเกลื่อนเสียงระเบิดจากใต้ดินคงพอกลบเกลื่อนได้ในระดับนึงเพื่อไม่ให้ URI รู้ว่าชินมีฐานลับ

          แต่ถึงแม้จะจับได้ว่ามี ห้องลับก็กลายสภาพเป็นเศษเหล็กถูกฝังใต้ซากปรักหักพังไปแล้ว แน่นอนว่าหลักฐานที่สาวไปถึงชินก็ไม่มี

 

“ โกลเด้นด็อก! ”

“ ค่ะ! ”

          ชินวิ่งปรี่เข้าหาตำแหน่งของโอลิเวีย อยู่เบื้องล่างของเธอ พริบตานั้นโอลิเวียก็กระโดดลงมาจากชั้นสองท่ามกลางเสียงดังเอียดอาดของโรงงานที่ใกล้ถล่มเต็มที ลงมาในอ้อมแขนของชิน และถูกอุ้มอย่างสวยงามในท่าเจ้าหญิง

 

“ …มารับแล้วเหรอคะเจ้าชาย ” โอลิเวียพูดหยอก ในน้ำเสียงแอบแฝงด้วยความยินดีเหมือนทุกที

“ ยังจะมาทำเป็นเล่นอีกนะแม่คนนี้ ”

          ชินพูดราวกับระอา แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากกลับอมยิ้มมุมปากอยู่

          บางทีโอลิเวียเองอาจจะรู้… เธอถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะผละตัวจากชินที่วางเธอลง

          ก่อนที่ทั้งคู่จะหนีออกจากตัวโรงงานที่พังทลาย ซึ่งในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องหนีตามทางเข้ารองหรือหลักอีกแล้ว เพราะโรงงานที่พังทลายได้กำเนิดทางหนีไว้ร้อยแปด

 

          …การหลบหนีจึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ฝีเท้าทั้งคู่ก้าวผ่านความมืดมิดยามราตรีแลมีแสงจากไฟระเบิดไล่หลัง ตามไปยังจุดนัดพบที่นัดหมายกันไว้กับพวกอัลเฟรด

 

❖❖❖❖❖

 

          ชินและโอลิเวียที่ออกมาจากจุดเกิดเหตุราวๆ 500 เมตรได้แล้วเปิดแผนที่ผ่านจอมอนิเตอร์หลังหน้ากาก เช็คเส้นทางที่นัดแนะไว้ก่อนหน้านี้ และพุ่งทะยานผ่านสายลมไปถึงจุดหมายในเวลาไม่นานนัก

          อาคารขนาดใหญ่รูปทรงโค้งคล้ายครึ่งวงกลมดูตระการตา ด้านหลังของตึกดังกล่าวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องบินหลากหลายประเภทตั้งแต่โดยสารไปจนถึงขนส่ง และแม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ทั่วทั้งบริเวณก็ยังคงส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา อันสถานที่ดังกล่าวนั้นถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “สนามบินดอนเมือง”

          มีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนาทั่วทุกสารทิศ แต่จากข้อมูลที่อัลเฟรดให้มา ดูเหมือนจะมีจุดนึงที่เขา “ตระเตรียม” ไว้แล้วให้สามารถเข้ามาภายในได้โดยง่าย แม้จะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นชินกับโอลิเวียก็ลอบเข้ามาได้ แต่เช่นไรก็ตาม ชินก็เลือกเข้ามาตามคำแนะนำของอัลเฟรดเพราะหลังจากนี้ชินเป็นกำลังรบสำคัญ หากคิดจะตักหางปล่อยวัดกันคงไม่ใช่ช่วงก่อนที่ศึกชิงแดนจะเริ่มแน่

 

          ด้วยเหตุดังกล่าว ชินกับโอลิเวียเดินพ้นเข้ามาในสนามบินบริเวณรันเวย์สำหรับเครื่องบินส่วนตัวซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายได้อย่างง่ายดาย

          อัลเฟรด ไดอา ริว หมิงเซียนและเกวน ต่างรออยู่ด้านข้างใกล้เครื่องบินขนาดเล็กที่มีบันไดขึ้นเครื่องเตรียมไว้ก่อนแล้ว ทุกคนอยู่ในชุดพร้อมรบสวมหน้ากากของตัวเองเหมือนครั้งที่ชินพบพวกเขาครั้งแรก และสำหรับอัลเฟรดก็เป็นแบบที่ว่าเช่นกัน เพราะดูเหมือนจะมีเขาคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากาก

          พอเห็นชินในร่างของแองกริคราวน์เดินเข้ามาใกล้ อัลเฟรดก็โบกมือเรียกทันที

 

“ หนีมาได้จริงๆด้วยนะครับเนี่ย สมแล้วจริงๆครับ ”

          ชินพยักหน้ารับเล็กๆ ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือรำคาญเป็นพิเศษ เพราะเขากำลังพินิจพิเคราะห์เครื่องบินตรงอยู่

 

“ นี่มีเครื่องบินส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ? ” ชินเอ่ยถาม พลางหันหน้ามองซึ่งโอลิเวียเองก็ทำแบบเดียวกัน

“ ก็นะครับ… พอดีใช้เส้นสายนิดหน่อยหน่ะครับ ” อัลเฟรดว่าพลางยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏความยินดียินร้ายเหมือนเคย

          อนึ่ง เครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าชินดูเหมือนจะเป็นรุ่นล่าสุดทั้งในแล่ของเทคโนโลยีและการออกแบบ หากพูดถึงประสิทธิภาพ ความเร็วสูงสุดของเครื่องบินลำนี้สามารถขนส่งคน 10 คนข้ามซีกโลกได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น

          สำหรับการขนส่งคนจำนวนน้อยในกรณีเพื่อสู้รบดังเช่นตอนนี้ จึงถือว่ามีประโยชน์มากมาย

 

ผลต่างทางผลประโยชน์เล็กๆ… เหรอ

          ชินหวนนึกถึงการสนทนากับอัลเฟรดก่อนหน้านี้ ในเรื่องการสนับสนุนจากบุคลากรหลายฝ่ายในประเทศเพื่อการพิชิตดินแดนอื่น และต้องเชื่อฟังในฐานะที่อัลเฟรดถือครองตราราชันย์

ไม่ว่าที่อัลเฟรดพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่การที่เขาสามารถเตรียมการแบบนี้ได้ทั้งที่คนรอบตัวช่างน่าสงสัย (เพราะสวมหน้ากากกันหมด) แสดงว่าอัลเฟรดมีอิทธิพลต่อสถานที่แห่งนี้ ไม่สิ… พูดให้ถูกคือมีอิทธิพลต่อประเทศนี้ รวมถึงประเทศปลายทางซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาเขตมากกว่าที่ชินคิด

 

ถึงจะไม่รวมองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศอย่าง UR แต่ถ้าคุมทุกอย่างในประเทศอาณาเขตตัวเองได้แบบนี้

…มันคงไม่ใช่ผลต่างเล็กน้อยแล้วมั้ง

          ชินคิดอย่างระแวดระวังในขณะที่อัลเฟรดเดินนำกลุ่มขึ้นเครื่องบิน ภายในห้องคนขับซึ่งระยะไม่ห่างจากบริเวณนั่งโดยสารนักกลับยิ่งสนับสนุนความคิดของชิน เพราะเขาสวมชุดทหารอากาศของประเทศไทยไม่ผิดแน่

 

“ ฝากด้วยนะครับ ”

          อัลเฟรดกล่าวสั้นๆหลังทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย แล้วนักบินก็พยักหน้ารับคำด้วยท่าทีสงบเงียบขรึม ก่อนจะเริ่มขึ้นบินตามรันเวย์

          …ไปยังสนามรบที่กำลังคุกรุ่นในต่างแดน

 

❖❖❖❖❖

 

          ในอีกด้านหนึ่ง ภายในห้องอันแสนมืดมิดซึ่งไม่ปรากฏสภาพแวดล้อมภายใน

          สิ่งที่สังเกตเห็นได้ มีเพียงคนจำนวน 5 คนที่เป็นจุดกระทบของแสงจากจอภาพขนาดใหญ่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

          ตรงกลางคือเด็กสาวอายุราวเด็ก ม.ต้น นั่งหลังตรงบนเก้าอี้สีทองดูหรูหราด้วยท่าทางดูแก่นแก้วสมวัย ทว่าแววตาคมกริบที่จ้องมองเข้าไปในจอกลับน่ายำเกรงเสียมากกว่า

          ดวงตาสีทองเรือนผมสีดำสนิท ถูกเกล้าอย่างเรียบร้อย ด้วยรูปร่างที่เล็กและบอบบาง และใบหน้าน่ารักได้รูป รวมถึงผิวขาวนวลอันน่าหลงไหล ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าถือเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์มากกว่าคนจริงๆ

          ส่วนอีก 4 คนที่ยืนด้านหลังราวกับการ์ดให้กับสาวน้อย มีจุดร่วมคือชุดเกราะ แต่มีจุดแตกต่างเล็กน้อยคือขนาด ความหนา สีสันและที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือหน้ากาก จากซ้ายไปขวาอันได้แก่ หนู วัว มังกรและลิง ซึ่งต่างเป็นหน้ากากที่ถูกเขียนโดยพู่กันหลากสี

 

“ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะติดต่อมาเองนะครับเนี่ย ท่านฮ่องเต้ ”

          เสียงใสเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย ดังออกมาจากภาพที่ถูกฉายอยู่ด้านหน้าของเด็กสาว

          เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูค่อนข้างสุภาพ มีผมสีเงินสะท้อนแสง พร้อมด้วยดวงตาที่ฟ้าน้ำทะเล

          สีหน้าของเขายิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อมองมาทางจอและสบตากับเด็กสาว กระนั้นเด็กสาวก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ

 

“ แหมๆ เห็นไม่ยักกะส่งคนมายึดออสเตรเลียอย่างที่คุยเลยนี่คะ เป็นแค่ข่าวลวงอย่างที่คิดจริงๆสินะคะ ”

เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าฮ่องเต้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทว่าแอบปากคอเราะร้าย ไม่ว่าจะด้วยท่าทางหรืออย่างไร แต่สำหรับอำนาจที่เธอถืออยู่ในมือก็สมควรจะเรียกเธอเช่นนั้น

          ชายหนุ่มที่อยู่ในจอได้ยินเช่นนั้นก็ยักไหล่เบาๆ

 

“ คุณเองก็เถอะนะ เห็นว่าหนึ่งในอัศวินที่ภูมิใจนักหนาพลาดท่าให้กับแองกริคราวน์ที่กำลังล่าค่าหัวโดยบังเอิญสินะครับ โชคไม่เข้าข้างเอาซะเลยนะครับเนี่ย ”

          ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มกลับไปแบบเดียวกันราวกับต้องการเอาคืน แต่เด็กสาวก็ไม่เปลี่ยนท่าทีและสีหน้า แม้ว่าในหัวจะอยากหยีบปืนเป่ากบาลชายหนุ่มตรงหน้านี้ในทันทีแค่ไหนก็ตาม

 

“ เรื่องนั้นคงไม่อาจแก้ตัว… ยังไงก็แล้วแต่ อย่าให้ฉันเห็นหล่ะว่าคุณส่งคนมาแทรกแซงศึกคืนนี้ ”

“ แหม่ๆ พูดแบบนี้ยังกับจะบอกว่าถ้าพวกเราเข้าร่วมแล้วคุณจะแพ้ยังงั้นแหล่ะครับ ยังไงกันนะ ”

“ เข้าใจผิดแบบนั้นก็แย่สิคะ… ฉันแค่ยังไม่อยากขยี้พวกคุณในเร็ววันนี้เท่านั้นเอง อย่าบังคับให้สาวน้อยน่ารักแบบดิฉันต้องทำเรื่องโหดร้ายเสียตอนนี้เลยนะคะ ”

          ทั้งสองคนจ้องตากันเขม็งเฉือดเฉือนทางวาจาต่างใบมีด

          แล้วจู่ๆทางชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยิ้มแป้นออกมา

 

“ แหมๆ วางใจเถอะครับ ผมเองก็ยุ่งกับเขตแถวอเมริกาใต้อยู่พอสมควร แถมศัตรูตัวฉกาจอย่างรัสเซียยังเข้าร่วมศึกนี้ด้วย ผมยังไม่อยากสร้างข้อขัดแย้งกับหมอนั่นหรอกนะ ”

“ ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจแล้วค่ะ ”

          ราวกับได้คำตอบที่ต้องการ เด็กสาวยิ้มแป้นออกมาอีกครั้ง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มเสแสร้ง

          ก่อนที่สัญญาณของทั้งสองจะตัดขาดจากกันไป ภาพของชายหนุ่มหายไปจากจอเรียบร้อยแล้ว…

 

ให้ตายสิ… เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริงๆ

          เด็กสาวบ่นอุบอยู่ในใจ

 

“ ท่านคะ… แล้วจะเอายังไงกับคืนนี้ดีคะ? ” เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงหญิงสาวดังมาจากข้างๆ เจ้าของเสียงนั้นคือคนที่สวมหน้ากากหนู

“ ศัตรูอันดับหนึ่งคือรัสเซียอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ… ในการยึดออสเตรเลียอาจจะลำบากกว่าที่คิดเพราะมีศึกย่อยหลายศึก แต่ยังไงเราจะเสียจุดนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด ”

          เด็กสาวตอบในทันที เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจเปลี่ยนกำหนดการได้แม้มีตัวแปรที่น่ากังวลเข้ามาร่วมศึกก็ตาม

          และราวกับรู้ใจ ชายผู้สวมหน้ากากมังกรเอ่ยถามเด็กสาวต่อในทันทีว่า

 

“ แล้วแองกริคราวน์หล่ะครับ? ”

          ในจังหวะนั้น เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวสูญเสียความเยือกเย็นไปแวบนึงจนคิ้วกระตุก

 

“ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำงานให้ใคร และอยู่ในสถานะอะไร… แต่จากที่ หู่(เสือ) เล่าให้ฟัง ดูเหมือนโอกาสที่เขาจะมาบุกยึดออสเตรเลียตอนนี้ค่อนข้างต่ำ ”

“ งั้นสินะครับ ” ชายสวมหน้ากากมังกรโค้งคอรับคำเล็กๆ

 

ยังไงก็ตาม เขาก็ยังเป็นตัวแปรที่ไม่มีใครคาดเดาได้ในศึกครั้งนี้อยู่ดี

พูดตามตรง… เราคาดการณ์การกระทำของเขาไม่ได้เลย แต่จะแสดงท่าทีแบบนั้นในฐานะผู้นำให้ทุกคนเห็นไม่ได้

 

แองกริคราวน์… นักฆ่าและนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งของโลกคนนั้น ดันถลำลึกเข้าสู่โลกที่เราอยู่ซะได้

ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เราคงไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ

 

แต่ก็เอาเถอะนะ… ในเมื่อเป็นแบบนี้โอดครวญไปก็เท่านั้น

          เด็กสาวคิดเช่นนั้นอยู่ในใจแต่ไร้การเปลี่ยนสีหน้าเหมือนเคย

          …แต่แม้ในใจจะกังวล ทว่าหารู้ไม่ ว่ารอยยิ้มของเธอกำลังฉีกขึ้นเล็กๆ

 

แองกริคราวน์… ถ้าได้เจอคุณหล่ะก็…

ฉันจะขอเป็นคนขยี้คุณกับมือและคว้าอันดับหนึ่งมาครองแทนให้เอง

          เด็กสาวคิดแบบนั้นอย่างเนื้อเต้นใจสั่น ความกังวลที่มีแปรเปลี่ยนเป็นความกระหาย

          กับมุมมองของคนอื่นยกเว้นตัวเอง… ชินคือตัวตนสุดยอดถึงเพียงนั้น และมีค่าเพียงพอให้ประมือและเอาชนะอย่างยิ่งยวด เพราะการเอาชนะชินที่ถูกขนานนามว่าอันดับหนึ่ง(โดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ)ได้ นั่นหมายถึงอำนาจในโลกมืดจะตกเป็นของคนๆนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

 

          แล้วความมืดในอีกแง่มุมที่อยู่เหนือระยะสังเกตของชินก็เริ่มคลืบคลานเข้าหาเขา โดยที่ไม่อาจคาดการณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง

 

❖❖❖❖❖

Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+