ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ท่ามกลางความมืดมิดใต้แสงจันทราที่สาดส่อง มีเพียงหมอกควันที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นลอยสูงขึ้นเหนือท้องฟ้า โดยที่เบื้องล่างเองก็มีแหล่งกำเนิดแสงเช่นเดียวกับดวงจันทร์ทว่ามีการสั่นไหวอันรุนแรงแลดุดัน

          เปลวเพลิงที่กำลังมอดไหม้ห้างสรรพสินค้าอย่างน่าเกรงขามนั้น ราวกับเป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงอารมณ์ที่อยู่ในที่แห่งนี้

          …ราวกับมันเป็นตัวแทนอารมณ์อันรุนแรง ของเหล่าผู้ที่กำลังทำสงครามกันในเงามืด ณ ที่แห่งนี้

 

          ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังห้องโถงใหญ่ของห้างสรรพสินค้าซึ่งลุกโชนอาบแสงสีแดงไปทั่วทุกบริเวณ มีเสียงวัตถุกระทบเข้าหากันเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

          ไม่สิ… หากจะพูดให้ถูก น่าจะเรียกว่าเป็นเสียงที่เกิดจากการต่อสู้ระยะประชิดต่างหากถึงจะถูก

          และเป็นเสียงที่เกิดจากหญิงสาวสองคนที่ใช้ศิลปะการป้องกันตัวที่ตัวเองฝึกปรือจนเยี่ยมยุทธเข้าห้ำหั่นกันอย่างหนักหน่วง โดยที่ทั้งคู่ต่างก็เป็น ‘กระต่าย’ เหมือนกัน

 

“ ไม่เลวเลยนี่คะ ” หญิงสาวที่ฟังจากน้ำเสียงอายุคงประมาณ ม.ปลายเอ่ยขึ้นหลังจากที่ถีบพื้นถอยร่นระยะออกมาตั้งหลัก คือหญิงสาวที่สวมหน้ากากกระต่ายอันถูกวาดด้วยพู่กันสีดำ ถูกรู้จักในชื่อ ทู่(兔) ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในอัศวินทั้ง 12 คนของราชาจากจีน

“ คุณเองก็สมคำร่ำลือเหมือนกัน ”

          เด็กสาวอีกคนที่สวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง… เกวนเองก็เอ่ยเช่นนั้นออกมา กระนั้นก็ไม่ได้ลดการ์ดของตัวเองลงแต่อย่างใด ซึ่งอันที่จริงอีกฝ่ายเองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่

          โดยรอบที่มีเพลิงโหมกระหน่ำเริ่มกลืนกินพื้นที่แห่งนี้มากขึ้นจนแทบจะกลืนทั้งสองคนไปด้วย พริบตาที่ซากเสาล้มลงกระแทกพื้นคือจังหวะที่ทั้งคู่ถีบพื้นพุ่งเข้าหากันราวกับไม่สนใจไฟที่กำลังจะกลืนกินตน

 

          หมัดขวาตรงของเกวนถูกซัดออกไปสุดแรงใส่ข้างลำตัว ทว่าอีกฝ่ายกลับรับด้วยการยกต้นขาขึ้นรับก่อนจะสวนคืนด้วยหมัดขวาตรงใส่เกวนในตำแหน่งเดียวกัน แต่เกวนก็อาศัยฟุตสเต็ปเบี่ยงตัวหลบก่อนจะหมุนตัวหนึ่งรอบแล้ววาดเท้าใส่หลังคออีกฝ่ายในท่าที่รู้จักกันว่าจระเข้ฟาดหาง

          ทว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็กลับไม่น้อยหน้าไปกว่าตัวเกวนเลยซักนิด กระต่ายสาวเอี้ยวศีรษะหลบได้ทันปานเล่นกายกรรม แต่เกวนก็คาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะออกท่าทีเช่นนั้น เธอจึงออกแรงเหวี่ยงให้มากขึ้นก่อนหมุนตัวอีกรอบด้วยแรงที่มากกว่าเดิมสองเท่าวาดเท้าใส่ก้านคอของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงเป็นการใช้จระเข้ฟาดหางซ้อน แต่ด้วยการที่เบี่ยงตัวหลบทันทำให้แรงถูกใส่ไปที่หัวไหล่ซ้ายแทน ความรุนแรงนั่นถึงกับทำให้ทู่เสียศูนย์ 

          กระนั้นก็ไม่ยอมให้เป็นฝ่ายเดียวที่ถูกกระทำ ทู่เองก็อาศัยจังหวะที่เกวนออกท่าครบกระบวนสวนคืนไปที่สีข้างซ้ายของเกวนด้วยหมัดขวาที่เหลือ ก่อนที่จะถีบตัวไปตั้งหลักอีกครา

 

“ อึก… ”

          ทั้งสองคนต่างกัดฟันแน่นฝืนกลั้นไม่ให้แสดงความเจ็บปวดทรมานต่อหน้าศัตรู กระนั้นอาการบาดเจ็บที่ได้รับก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันทั้งคู่

          ทางทู่ที่ถูกเกวนจระเข้ฟาดหางใส่เต็มแรงทำให้ไหล่ซ้ายหลุด ส่วนเกวนที่โดนหมัดสวนคืนเองก็ทำเอาซี่โครงด้านซ้ายหักไปเลยทีเดียว ทั้งสองคนประเมินสถานการณ์ระหว่างที่ระแวดระวังท่าทีต่อไปของอีกฝ่าย แต่ดูท่าศึกนี้คงตัดสินกันไม่ได้เพราะฝีมือและทักษะในการต่อสู่นั้นพอ ๆ กันจนยากจะเปรียบว่าใครเหนือกว่าอย่างชัดเจน

 

          ความจริงมันควรเป็นเช่นนั้น หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสียก่อน

 

“ !!! ”

          ในจังหวะเดียวกับที่เกวนพยายามหาช่องว่างเข้าโจมตีอีกฝ่ายอีกครั้ง กลิ่นอายของใครบางคนก็เดินเข้ามาร่วมเวทีมวยของกระต่ายทั้งสองด้วย หลังผ่านเงามืดจนปรากฏร่างชัดเจนยิ่งทำให้เกวนเบิกตาโพลงภายใต้หน้ากาก

 

“ ท่านฮ่องเต้บอกว่าให้มาช่วย ”

          ชายหนุ่มร่างสูงกำยำผู้เดินมาพร้อมกับขวานยักษ์ในมือซึ่งมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับส่วนสูงเกือบ 2 เมตรของเขา ความแข็งแกร่งของเขาที่สามารถยกมันพาดบ่าด้วยมือเดียวดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา

 

“ ฉันไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดต้องให้ช่วยหรอกย่ะ ” ทู่บ่นอุบ เพราะแม้จจะเป็นสงครามที่ไม่สนวิธีการ แต่ทุกคนต่างมีศักดิ์ศรีที่ยอมให้ใครไม่ได้อยู่ซึ่งเธอคนนี้เองก็มี รวมถึงชายสวมหน้ากากวัวคนที่เข้ามาช่วยนี้เองก็เช่นกัน

“ รู้… แต่ศึกนี้เราต้องชนะเพื่อแผนการของท่านฮ่องเต้นะ ”

          ชายหนุ่มสวมหน้ากากวัวเอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กับพยักหน้า เป็นเชิงว่าเข้าใจความต้องการของกระต่าย กระนั้นเรื่องที่สำคัญกว่ายังไงก็ต้องเป็นคำสั่งของนายเหนือหัวอยู่ดี กระต่ายจึงทำได้แค่ยอมรับ

          เกวนที่ถูกสายตาสองคู่จับจ้องจึงออกอาการกังวล ไม่สิ… หวาดกลัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

แย่ล่ะสิ… หมอนั่นมันหนิว(牛) อัศวินที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับหู่ที่ชินโค่นไปเลยไม่ใช่เหรอ

ถ้าคนเดียวยังพอว่า แต่ถ้าสองคนแถมเรายังบาดเจ็บด้วยแบบนี้ …ไม่มีทางชนะหรอก

          เกวนคำนึงราวกับถอดใจ แต่นั่นคือการอ่านสถานการณ์ที่ถูกต้อง หรือต่อให้ทั้งคู่แข็งแกร่งน้อยกว่าตัวเกวนเองก็เถอะ แต่การต่อสู้กับศัตรูสองคนด้วยคนเดียวอย่างไรก็ย่อมเสียเปรียบอยู่ดี

          ทั้งศัตรูยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยให้เกวนหนีไปเลยซักนิด และหากนำเรื่องที่ก่อจลาจลเพื่อดึงความสนใจขนาดนี้ พวกเขาคงกะจะยึดอาณาเขตที่ 66 นี้ให้ได้ภายในคืนนี้อย่างแน่นอน

          …เกวนจึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ต่อหน้าความตายที่กำลังลูบคลำใบหน้าเสียจนไขสันหลังเย็นวูบ

 

“ !!!? ”

          ทว่าพริบตาก่อนที่ศึกอันเสียเปรียบจะเริ่มขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณที่เคยร้อนรุ่มถึงขนาดที่รู้สึกว่าผิวกำลังถูกหลอมละลา กลับกลายเป็นเย็นยะเยือกอย่างน่าฉงน 

          ไม่ว่าจะพื้นห้างหรือไฟที่กำลังเผาไหม้ห้างสรรพสินค้า วัตถุทุกอย่างต่างค่อย ๆ ถูกกลืนกินโดยน้ำแข็งไปหมดจนย้อมพื้นที่ที่เคยสาดแสงสีแดงของเปลวเพลิงเป็นสีน้ำเงินของเหมันต์

 

“ 2 รุมหนึ่งอย่างงั้นเหรอ… ไร้ศักดิ์ศรีกันมากกว่าที่ดิฉันคาดนะคะเนี่ย ”

          ต้นเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวลอยคว้างกลางอากาศจนเหนือติดเพดาน และค่อย ๆ ลดระดับลงจนยืนอยู่เบื้องหน้าของเกวนโดยที่หันประจันหน้ากับผู้สวมหน้ากากกระต่ายและวัว

          …คือโอลิเวียที่สวมหน้ากากสุนัข จากรูปลักษณ์ที่เธอแสดงให้เห็นในตอนนี้ ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเธอเป็นใคร

 

“ …โกลเด้นด็อก ”

“ ตัวจริงเสียงจริงแฮะ ”

          ทั้งหนิว(วัว)และทู่(กระต่าย)ต่างเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นบุคคลชื่อดังตัวเป็น ๆ

          อีกครั้งที่ทำให้เกวนตระหนักถึงความแข็งแกร่งอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วของโอลิเวีย รวมถึงชินในโลกเบื้องหลัง

 

“ น่าสนใจ… ฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง ”

          หนิวเอ่ยพร้อมกับก้าวออกมาข้างหน้านำทู่ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าให้เธอที่กำลังบาดเจ็บถอยทัพไปก่อนแล้วที่นี่ตนจะจัดการเอง

 

“ จะเข้ามากันทั้งสองคนเลยรึเปล่า? ”

          หนิวเอ่ยขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง แต่จากน้ำเสียงที่เย็นเยือก ดูเหมือนนั่นจะเป็นแค่การบลัฟเพื่อหวังให้ศัตรูเปิดช่องว่างมากกว่า ซึ่งโอลิเวียแทบจะรู้เจตนาแท้จริงของเขาได้ทันทีจากชั่วโมงบินที่สูงกว่า

 

“ พูดจาน่าขันดีนะคะ ” โอลิเวียเอ่ย ก่อนจะเริ่มวาดมือทั้งสองออกไปด้านข้างราวกับจับคว้าบางอย่าง ก่อนจะประสานกันไว้ข้างหน้าประหนึ่งกำลังบังคับบางสิ่ง

“ ทางดิฉันเองก็สงสัยเช่นกัน… ”

          พริบตาถัดจากนั้น วงเวทย์ 6 สีอย่างละ 3 วงก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณ หากนี่เป็นงานเทศกาลมันคงเป็นสีสันที่งดงามเสียยิ่งกว่าอะไร แต่หากมันอยู่บนสนามรบ วงเวทย์ขนาดใหญ่และมากถึง 18 วงที่สามารถสร้างได้ในพริบตานั้น มันไม่ต่างจากฝันร้ายของศัตรู

 

“ คิดดีแล้วเหรอคะ ที่จะเผชิญหน้ากับดิฉันด้วยขวานเล็ก ๆ ด้ามเดียวแบบนั้นน่ะ ”

          เช่นไรก็ตาม… ทางโอลิเวียต่างหากที่กำลังเอ่ยท้าทายออกมาด้วยความเย่อหยิ่งอย่างแท้จริง แต่สำหรับคนอื่นนอกจากชินแล้ว น้ำเสียงนั่นก็ยังคงนิ่งสงบเย็นเยือกเหมือนยามปกติอยู่ดี

 

❖❖❖❖❖

 

          ….ในขณะเดียวกัน เหนือขึ้นไปจากสมรภูมิที่โอลิเวียกับเกวนกำลังเผชิญ

          เสียงเหล็กกระทบกันด้วยจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอของหอกคู่กับดาบเหนือห้างสรรพสินค้าซึ่งตัวฝ้าเพดานเป็นกระจก ทั้งสองคนที่ควงอาวุธประจำตนไปมาอย่างรุนแรงแต่พื้นกลับกระจกอันบอบบางกลับไร้รอยขีดข่วนราวกับกำลังเล่นกายกรรมเดินบนเส้นเชือกอยู่ยังไงอย่างงั้น

 

“ ชิ! ” ริวที่สวมหน้ากากลิงเผือกเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ในจังหวะที่คมดาบของชายสวมหน้ากากเสืออย่างหู่แฉลบผ่านสีข้างไปอย่างหวุดหวิด

“ ได้ใจใหญ่เชียวนะเฮ้ย… พวกแกคิดอะไรอยู่ถึงได้มาก่อศึกกลางเมืองกันแบบนี้น่ะหา!? ”

          ริวพูดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่น้ำเสียงนั่นก็มีน้ำหนักเพียงพอแล้ว

          กับคำพูดของริว หู่ยังคงสงบนิ่งในขณะวาดดาบตั้งท่าเตรียมเข้าประชิดตัวสังหารอีกครา

 

“ ผมเองก็ไม่ชอบแบบนี้เหมือนกัน แต่ในเมื่อพระราชาสั่ง ข้าราชบริพารก็มีแต่ต้องทำตามไม่ใช่เหรอ ”

          หู่พูดจบก็ถีบพื้นบริเวณที่เป็นขอบเหล็กพุ่งข้าใส่ริวอีกครั้ง ในน้ำเสียงนั้นแฝงความจริงใจมากเสียจนสัมผัสได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าริวจะยอมรับเหตุผลแบบนั้นได้

 

“ ก็ได้ ” ริวเอ่ยราวกับหมดความอดทน ก่อนประสานปลายคมหอกทั้งสองไว้ด้านหน้าประหนึ่งท่าร่าง

          และเป็นพริบตาเดียวกับที่หลังฝ่ามือขวาของริวปรากฏตราสัญลักษณ์ดาบไขว้และโล่ เปล่งแสงสีแดงสะท้อนออกไปทุกทิศทางอย่างเจิดจ้าจนถึงกับทำให้หู่ต้องหยุดการเคลื่อนไหวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากฝืนเข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดรออยู่

          ถัดจากจังหวะนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าหู่ คือริวที่กำลังถือหอกคมสองเล่มในมือทั้งสองอันถูกคลุมด้วยออร่าสีแดงเฉดเดียวกันกับที่เปล่งออกมาจากตราอัศวินหลังมือ

 

“ ไม่เลวเลยนี่ครับ ”

          หู่เอ่ยชมด้วยความเถรตรงต่อภาพตรงหน้าเพราะมันเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้ในทางปฏิบัติ

          ว่ากันว่า ‘จิต’ คือพลังงานรูปแบบนึงอันเป็นพื้นฐานที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังใดก็ได้ตามอวัยวะในการแปลงภายในร่างกายของแต่ละเผ่าพันธุ์

          แต่ก็มีวิธีการดึง ‘จิต’ ที่ว่าออกมาใช้ได้ตรง ๆ โดยไม่ผ่านอวัยวะในร่างกายแต่เป็นการสั่งการให้มันมาอยู่ตรงส่วนใดส่วนนึงหรือแม้กระทั่งนำมาใช้ครอบคลุมอาวุธเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและคุณสมบัติพื้นฐาน

          เทคนิคดังกล่าวถูกรู้จักโดยทั่วไปว่า ‘ผสานจิต’ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้โดยง่าย เพราะการจะทำมันได้แม้จะแค่การผสานจิตไว้ที่มือเองก็ยังต้องใช้เวลาฝึกพื้นฐานนานเป็นปี จึงยากที่จะเห็นคนซึ่งสามารถผสานมันลงไปกับอาวุธได้อีก

 

“ แต่ผมเองก็ไม่น้อยหน้าหรอกนะครับ! ” หู่เอ่ยก่อนสะบัดดาบตัวเองประกาศเจตจำนงราวกับรับคำท้า เป็นพริบตาเดียวกับที่ออร่าสีแดงแต่เป็นคนละเฉดกับริวเปล่งแสงขึ้นที่ฝ่ามือของเขา

          เฉกเช่นริว… ออร่าแบบเดียวกันก็คลุมใบดาบของหู่ แต่ด้วยความเข้มข้นที่น้อยกว่าอย่างชัดเจนจากความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์

          เพราะในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ทั้งริวยังมีตราอัศวินที่ช่วยเร่งอัตราการดูดซับจิตได้มากกว่าปกติหลายเท่าอีกต่างหาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับข้อได้เปรียบเสียเปรียบตรงจุดนี้

 

          ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันอีกครั้งในขณะที่วาดคมอาวุธเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องอีกครา

          แม้ก่อนหน้านี้จะดูสูสี แต่เพราะหนนี้ใช้การผสานจิตร่วมด้วยจึงทำให้ริวมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าทางด้านอาวุธ หลังปะทะกันด้วยท่วงท่าทีสูสีกันมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ หู่ก็เริ่มเป็นฝ่ายต้องถอยร่นมาเป็นฝ่ายตั้งรับเพราะถูกความรุนแรงและหนักหน่วงของหอกทั้งสองกดดัน

          และนั่นก็เป็นจังหวะที่หู่เปิดช่องว่างอย่างไม่อาจเลี่ยง ริวไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือ เขาจึงกุมด้ามหอกแน่นก่อนจะวาดจากด้านหลังหวังเฉือนร่างผ่านเกราะของหู่เพื่อปิดฉาก

 

เคร๊ง!

“ หา!? ”

          ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นกลับกลายเป็นว่ามีใครบางคนใช้มือเปล่ารับคมดาบที่เสริมการผสานจิตมาแล้วได้ ตัวเขาที่ปรากฏขึ้นในเวทีอย่างกะทันหันโดยรับคมหอกจากด้านหลังของหู่ก่อนจะเฉือนเกราะชั้นนอกได้อย่างฉิวเฉียด

          ผู้ที่ซึ่งสวมหน้ากากมังกรจีนไว้หนวดยาวอันถูกวาดด้วยพู่กันแบบเดียวกับหู่ หลังริวสังเกตเห็นหน้ากากนั่นพร้อม ๆ กับมือที่ใช้จับใบดาบของเขาซึ่งมีเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานแม้จะมีลักษณะเป็นมือของมนุษย์ ทำให้เหงื่อแห่งความกังวลไหลหยดลงเต็มไปหมด

 

“ แก… อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดใน 12 นักษัตร ”

          ริวจ้องเขม็งก่อนที่จะถีบพื้นถอยร่นระยะออกมาในตอนที่ตั้งสติได้ เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความเยือกเย็นให้กลับมาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

          ในบรรดากองทัพของราชา แต่ละกองทัพย่อมมีขุนศึกซึ่งเป็นผู้นำทัพ และในบรรดาขุนศึกย่อมมีผู้ที่มีความสามารถหรือแข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน

          สำหรับราชาจากเขตที่ 7 คือสคัลที่ชินโค่นไปเมื่อวานซืน

          และในส่วนของราชาจากเขตที่ 86 หลง(龍) คือผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับสคัลดังที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้า

 

“ มีคำสั่งให้นายถอย ฉันจัดการเอง ” หลงพูดในขณะที่เดินย่างสามขุมนำหน้าหู่เข้าไปหาริวด้วยท่าทางไร้ความเกรงกลัวใด ๆ แต่จากที่เห็นเมื่อครู่ว่าการผสานจิตซึ่งแม้จะยังไม่ได้ใช้เต็มที่ 100% แต่การรับด้วยมือเปล่าแถมไม่ได้รับบาดเจ็บก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่ามันอาจเป็นลูกไม้ที่ใช้ไม่ได้ผล

          ส่วนทางหู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่เดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ กระนั้นเขาก็เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดีก่อนจะเริ่มหันกลับไปยังทางที่หลง(มังกร)เข้าสู่เวที

 

“ เผ่าดรากูนงั้นเหรอ ”

          ทว่าก่อนที่จะเป็นแบบนั้น เสียงทุ้มต่ำที่หู่คนเคยก็ดังขึ้นมาจากอีกทิศนึงซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างริวกับหลง แต่ระยะห่างนั้นไกลกว่า

          กระนั้นทั้งน้ำเสียงและรูปลักษณ์ที่เคยสัมผัสมาแล้วถึง 2 ครั้งไม่ได้ทำให้หู่ลืม กลับกัน… เอกลักษณ์ทั้งหลายเหล่านั้นฝังอยู่ในหัวของหู่จนยากจะแกะออกเสียด้วยซ้ำ

 

“ แองกริคราวน์ ”

          หู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน กระนั้นในน้ำเสียงก็ยังมีอาการฝืดฝืนความกลัวในใจอยู่ สำหรับชินแล้วนั่นเป็นปฏิกิริยาที่น่าชื่นชม

 

“ ดูเหมือนข่าวลือที่นายเข้าร่วมสงครามชิงสิทธิจะเป็นเรื่องจริงสินะ ” 

“ ข่าวลือ… พูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นความจริงนี่มันน่าตลกไปหน่อยนะ ”

          หลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับกระแนะกระแหน แต่แน่นอนว่าชินไม่สนใจเพราะรู้จุดประสงค์ของเขา ไม่สิ… รู้จุดประสงค์ของราชาของพวกเขาอยู่แล้ว

 

“ คิดจะร่วมศึกนี้ด้วยงั้นเหรอ ” หลงเอ่ยในขณะที่สังเกตสังกาชินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีระแวดระวังอย่างที่สุด 

“ ก็ถ้าพวกนายไม่ยอมออกไปจากที่นี่แต่โดยดีน่ะนะ ” ทางชินที่เดินเข้ามาโดยไม่เสียจังหวะและความเร็วตอบกลับแทบจะทันที ทำให้ทั้งหลงและหู่ตั้งท่าร่าง มันแลดูรัดกุมไร้ช่องว่างเสียยิ่งกว่าตอนปะทะกับริวก่อนหน้านี้เสียอีก

          …แม้ท่าทางเหล่านั้นจะเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดโปดปูนบนใบหน้าของริว แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าแองกริคราวน์แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายขุม จะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันถึงขนาดนั้นก็คงไม่แปลก

          รวมกับเรื่องที่แองกริคราวน์เพิ่งจะโค่นขุนพลมือหนึ่งของราชาจากรัสเซียลงได้แล้วด้วย ยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งของแองกริคราวน์เด่นชัดเป็นรูปธรรมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

“ นายรับมือกับเจ้าหนุมานนั่นไป ส่วนฉันจะรับมือกับแองกริคราวน์เอง ”

          หลงนัดแนะเช่นนั้น หู่ก็พยักหน้ารับในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่หลงพุ่งเข้าหาชินด้วยแรงกายเหนือมนุษย์ ชินที่เดินเข้าหาด้วยท่าทีสบายใจมาตลอดจำต้องยกมือทั้งสองขึ้นไขว้ขวางการโจมตีอันรุนแรงนั่นเอาไว้

          ทว่าความรุนแรงของมันนั้นมากยิ่งกว่าที่ชินคาด ทำให้เพดานกระจกแก้วพังลงจนทั้งสองคนตกลงไปยังชั้น 5 ของห้างซึ่งเป็นชั้นบนสุด

          แต่นั่นไม่ต่างจากการจับมือทักทายเท่าใดนักเพราะไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ จึงสามารถจ้องมองอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่

 

“ ได้ยินมาว่าไนท์ของนายสามารถลบล้างพลังของคนอื่นได้สินะ ถ้าเป็นเรื่องจริงคงน่ากลัวพิลึก ” หลงเอ่ยในขณะที่เริ่มวาดเท้าและมือไปมาเป็นวงกลมก่อนตั้งท่าร่างเตรียมบุกจู่โจม

“ หย่งชุนรึ… ไม่ประเมินกันสูงไปหน่อยเหรอ ”

“ เป็นเกียรติที่นายรู้จักศาสตร์ของเราจริง ๆ ”

          ชินเห็นท่าร่างนั่นก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เพราะหย่งชุนนั้นเป็นศิลปะการต่อสู้ของจีนที่รู้จักกันดีว่าเป็นมวยอ่อนที่อาศัยความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้มากกว่าจากของตัวเอง กับเผ่าดรากูนซึ่งมีคุณลักษณะพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นล้นพ้น เห็นได้ชัดจากการที่สามารถรับคมอาวุธที่ผสานจิตมาแล้วได้โดยไร้รอยขีดข่วนจึงเป็นเรื่องแปลกที่หลงเลือกใช้มวยแขนงนี้

          หรืออีกนัยนึง… การใช้หย่งชุนรับมือกับชินมันคือเครื่องบ่งบอกว่าหลง(มังกร)ประเมินแองกริคราวน์ว่าแข็งแกร่งกว่าตัวเอง

 

          จากการตั้งท่าของหลง เห็นได้ชัดเลยว่ารอสวนกลับ ท่าทางเชิงเชิญชวนเช่นนั้นแน่นอนว่าเป็นกับดักเพื่อหลอกเข้าไปให้โดนสวนกลับ แต่มันก็เป็นดั่งจดหมายท้าดวลให้ชินเปิดฉากเช่นกัน

          กับศัตรูที่คู่ควร ชินรับคำท้านั้นในทันทีด้วยการพุ่งเข้าใส่ เริ่มจากหมัดตรงแบบเบาะ ๆ และแน่นอนว่ามันถูกปัดป้องออกไปด้านข้างอย่างง่ายดายด้วยการวาดมือเป็นวงกลมก่อนจะสวนกลับด้วยหมัดที่รุนแรงยิ่งกว่าเข้าใส่กลางลำตัวของชิน

 

“ หา!? ”

          ทว่ายังไม่ทันไรคนที่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจกลับเป็นหลง ที่ถูกชินใช้มืออีกข้างใช้ท่าวาดวงกลมแบบเดียวกันปัดป้องออกไป ก่อนจะชักมือที่ปล่อยหมัดไปก่อนหน้ากลับมาทาบกับอกของเจ้ามังกร

 

“ อั๊ก!!! ”

          พริบตานั้นร่างของเจ้ามังกรก็ถอยลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร ทั้งที่หมัดของชินมิได้เคลื่อนไหวใด ๆ จากที่เคยทาบหน้าอกของหลงไปก่อนหน้านี้ กระนั้นแรงที่ออกมาจากปลายหมัดของชินกลับทำให้หลงถึงกับหงายท้องก่อนตามด้วยการกระอักเลือด

          และความประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้าของหลงนั้นไม่ได้มาจากการที่ไม่รู้สาเหตุ กลับกัน… เป็นเพราะเขารู้จักท่าที่ชินใช้เมื่อครู่ดีต่างหากถึงได้เบิกตาโพลงกว้างใต้หน้ากาก

 

“ เห… ” ทว่าคนที่เอ่ยขึ้นราวกับเชยชมในความสามารถ กลับไม่ใช่หลงที่ถูกหมัดดังกล่าวโดยตรง หากแต่เป็นเด็กสาวที่นั่งอยู่บนระเบียงห้างใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ

“ แม้แต่หมัดหนึ่งนิ้วเองก็ใช้เป็นอย่างงั้นเหรอ นายนี่มันตัวละครติดบั๊คของแท้เลยนะพ่อตัวตลกจอมยั๊ว ”

          การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอทำให้ชินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันและพลังที่ไม่ธรรมดาจากเด็กสาวปริศนาผู้สวมหน้ากากหงส์ขาวลายพู่กันจนต้องถีบพื้นถอยหลังไปตั้งหลักเสียไกล

 

“ ขออภัยด้วยครับ… เขาเหนือกว่าที่คิดไว้ซะอีก ” 

“ ช่างเถอะค่ะ ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ”

          หลงที่รีบลุกขึ้นเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อมต่อเด็กสาว แต่เด็กสาวก็ทำแค่ส่ายหน้าไปมา

 

“ แต่ว่า ก็ดีแล้วค่ะ… ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปานนึกสนุก หากแสดงสีหน้าผ่านหน้ากากได้ เธอคนนี้คงเผยรอยยิ้มน่าหวาดผวาออกมาใส่ชินแน่

          แต่สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มใต้หน้ากากของเธอ ชินสัมผัสได้ทันทีที่เด็กสาวเลื่อนมือซ้ายขึ้นมาราวโอ้อวด

 

“ เพราะถ้าไม่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ การที่ฉันลงมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองก็คงไม่มีความหมาย ”

          …และพริบตานั้น หลังมือซ้ายของเด็กสาวก็ปรากฏตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎส่องแสงสีแดงกระเจิงกระจายไปทั่วบริเวณถึงขนาดส่องไปถึงชั้นล่างที่โอลิเวียกับหนิวกำลังปะทะกันอยู่

          ชินที่เห็นเช่นนั้นตระหนักถึงความหมายของมันได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด จึงใช้ไนท์ ‘เปอร์เซนต์เทจ’ ปรับค่าความสามารถทางกายภาพของตัวเองจนถึงขีดสุด

 

          …ทว่าพริบตาหลังจากนั้น เด็กสาวก็กลับมาปรากฏอยู่ด้านหลังของชินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เสียนี่

 

“ ช้ากว่าที่คิดนะคะเนี่ย ” คำพูดสั้น ๆ ของเด็กสาวถูกกลบด้วยเสียงกระทบพื้นของเจ้าตัวที่ดังตามหลังมา ดูเหมือนความเร็วที่เธอใช้เคลื่อนที่จะเหนือกว่าความเร็วเสียงเสียอีก

          แน่นอนว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี แต่ตรรกะเช่นนั้นบนโลกคงใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ อย่างน้อยก็ตอนนี้

 

          หลังจากสิ้นสุดคำพูด เด็กสาวก็พลิกตัวเตะข้างลำตัวของชินกลางอากาศโดยกะไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว การโจมตีนั่นทำให้ชินตีลังกาหลายตลบกลางอากาศก่อนจะใช้มือขวาจิกพื้นปานตะขอจนเกิดรอยแยกตามนิ้วจึงหยุดแรงที่เกิดจากการเตะของเด็กสาว

          ไม่สิ เธอคนนี้ไม่ใช่แค่เด็กสาวในสายตาของชิน… เธอคือหนึ่งในเจ็ดราชาผู้มีสิทธิในการปกครองโลกตัวจริงโดยที่ไม่ต้องพิสูจน์สิ่งอื่นใดให้มากความ และแน่นอน… ว่าภายใต้หน้ากากหงส์ขาวคือชงหยวนผู้มีหนึ่งเดียว แต่แน่นอนว่าชินยังมิได้ทราบข้อเท็จจริงในข้อนั้น

 

“ เห… รับลูกเตะของฉันทันด้วยเหรอคะเนี่ย ” ชงหยวนพูดราวกับไม่อยากเชื่อสายตา

          แต่ถึงจะพูดแบบนั้นแขนซ้ายของชินที่รับลูกเตะของชงหยวนเข้าไปเต็ม ๆ ก็ถึงกับหักผิดรูป

          หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ แวมไพร์นั้นมีผิวหนังแข็งเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้าหรือแม้แต่เผ่าดรากูนจะเทียบเคียงเสียอีก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกเตะของชงหยวน ไม่สิ… ความสามารถในการต่อสู้ของชงหยวนในฐานะราชาสูงมากขนาดไหน

 

แย่แล้ว… ได้ยินมาจากอัลเฟรดว่าราชาสามารถดูดซับจิตจากเขตตัวเองเพื่อมาใช้ในเขตศัตรูได้

เห็นแบบนั้นดูยังไงเธอคนนี้ก็ยังไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

คนละระดับ ไม่สิ… ความแข็งแกร่งนี่ มันคนละมิติกับตราอัศวินอย่างเห็นได้ชัด

ราชาผู้มีสิทธิในการปกครองโลก… มีพลังมากถึงขนาดนี้เลยเหรอ

          ชินกัดฟันกรอดด้วยความดื้อดึงราวกับไม่ยอมรับความจริงอันยากจะปฏิเสธว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ

          …ใจนึงชินก็รู้อยู่แก่ใจว่าการจะต่อสู้กับตัวตนแบบนั้นก็ต้องเป็นตัวตนแบบเดียวกันจึงเหลือบไปมองมือขวาของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ

 

ไม่ได้… ถ้าเผยตัวว่าแองกริคราวน์เป็นราชาคนที่ 8 ตอนนี้ ต่อให้รอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้

แต่หลังจากนั้นล่ะก็ไม่รอดแน่… ไม่ว่าทางไหนก็เป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

          ชินที่เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์อันเสียเปรียบ เห็นได้ชัดว่าการหนีคือสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่ทำได้

          แต่ดูเหมือนชงหยวนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบาย ๆ ปานจะเยาะเย้ยชินกลับไม่มีท่าทีจะปล่อยชินไปเลยซักนิด

 

“ ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิคะ ว่าใต้หน้ากากนั่นจะมีใบหน้าแบบไหนซ่อนอยู่! ” ชงหยวนตะโกนปานสิงโตคำรามกระหายเหยื่อก่อนถีบพื้นพุ่งตัวเข้าใส่ชิ้นปานจะฉีกกระชากเขาให้เป็นชิ้น ๆ

          มือของเธอพุ่งตรงหวังจะคว้าหน้ากากของแองกริคราวน์และเปิดเผยตัวตนแท้จริงเพื่อสร้างความสำราญใจให้ตน

          …ทว่าสุดท้าย ก็มีเพียงแค่ปลายนิ้วเท่านั้นที่ได้สัมผัสหน้ากากของตัวตลกจอมกริ้วโกรธ

 

“ แหม ๆ… ” สิ่งที่หยุดมือที่เข้ามาหวังคว้าจับหน้ากากของชิน คือมือของชายปริศนาที่มาอยู่ด้านหลังของชินเอื้อมมาคว้าจับของมือของเด็กสาวไว้จากทางด้านหลังเมื่อไหร่ไม่ทราบเช่นเดียวกับเด็กผู้หญิง

          ไม่สิ… ต่างกันนิดหน่อย เพราะเสียงของชายคนนี้เป็นเสียงที่ชินรู้จักดี

 

“ มาเปิดดูของดีในบ้านคนอื่นเขาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อนแบบนี้นี่ ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะครับท่านฮ่องเต้ ” ชายปริศนา… อัลเฟรดที่อยู่ใต้หน้ากากผีดูดเลือดเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวนึกสนุก กระนั้นยังแฝงด้วยความหงุดหงิดที่คนทั่วไปยังสัมผัสได้

“ แหม ๆ ก็มันไม่ได้มีป้ายแปะไว้ซะหน่อยนี่นาว่าเป็นของคุณน่ะ ท่านวลาดจอมเสียบ ”

          ทว่านั่นกลับไม่สามารถกดดันชงหยวนได้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน การสนทนาของทั้งสองคนที่ประกบชินดังเช่นแซนวิชทำให้ชินเองนั่นแหล่ะที่ต้องเหงื่อตก

          …จากการที่อยู่กลางจุดปะทะของแรงกดดันจากราชันย์ทั้งสองคนที่จ้องจะขย้ำอีกฝ่ายให้ดับดิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 26: กำลังเสริมของทั้งสองฟาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ท่ามกลางความมืดมิดใต้แสงจันทราที่สาดส่อง มีเพียงหมอกควันที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นลอยสูงขึ้นเหนือท้องฟ้า โดยที่เบื้องล่างเองก็มีแหล่งกำเนิดแสงเช่นเดียวกับดวงจันทร์ทว่ามีการสั่นไหวอันรุนแรงแลดุดัน

          เปลวเพลิงที่กำลังมอดไหม้ห้างสรรพสินค้าอย่างน่าเกรงขามนั้น ราวกับเป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงอารมณ์ที่อยู่ในที่แห่งนี้

          …ราวกับมันเป็นตัวแทนอารมณ์อันรุนแรง ของเหล่าผู้ที่กำลังทำสงครามกันในเงามืด ณ ที่แห่งนี้

 

          ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังห้องโถงใหญ่ของห้างสรรพสินค้าซึ่งลุกโชนอาบแสงสีแดงไปทั่วทุกบริเวณ มีเสียงวัตถุกระทบเข้าหากันเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

          ไม่สิ… หากจะพูดให้ถูก น่าจะเรียกว่าเป็นเสียงที่เกิดจากการต่อสู้ระยะประชิดต่างหากถึงจะถูก

          และเป็นเสียงที่เกิดจากหญิงสาวสองคนที่ใช้ศิลปะการป้องกันตัวที่ตัวเองฝึกปรือจนเยี่ยมยุทธเข้าห้ำหั่นกันอย่างหนักหน่วง โดยที่ทั้งคู่ต่างก็เป็น ‘กระต่าย’ เหมือนกัน

 

“ ไม่เลวเลยนี่คะ ” หญิงสาวที่ฟังจากน้ำเสียงอายุคงประมาณ ม.ปลายเอ่ยขึ้นหลังจากที่ถีบพื้นถอยร่นระยะออกมาตั้งหลัก คือหญิงสาวที่สวมหน้ากากกระต่ายอันถูกวาดด้วยพู่กันสีดำ ถูกรู้จักในชื่อ ทู่(兔) ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในอัศวินทั้ง 12 คนของราชาจากจีน

“ คุณเองก็สมคำร่ำลือเหมือนกัน ”

          เด็กสาวอีกคนที่สวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง… เกวนเองก็เอ่ยเช่นนั้นออกมา กระนั้นก็ไม่ได้ลดการ์ดของตัวเองลงแต่อย่างใด ซึ่งอันที่จริงอีกฝ่ายเองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่

          โดยรอบที่มีเพลิงโหมกระหน่ำเริ่มกลืนกินพื้นที่แห่งนี้มากขึ้นจนแทบจะกลืนทั้งสองคนไปด้วย พริบตาที่ซากเสาล้มลงกระแทกพื้นคือจังหวะที่ทั้งคู่ถีบพื้นพุ่งเข้าหากันราวกับไม่สนใจไฟที่กำลังจะกลืนกินตน

 

          หมัดขวาตรงของเกวนถูกซัดออกไปสุดแรงใส่ข้างลำตัว ทว่าอีกฝ่ายกลับรับด้วยการยกต้นขาขึ้นรับก่อนจะสวนคืนด้วยหมัดขวาตรงใส่เกวนในตำแหน่งเดียวกัน แต่เกวนก็อาศัยฟุตสเต็ปเบี่ยงตัวหลบก่อนจะหมุนตัวหนึ่งรอบแล้ววาดเท้าใส่หลังคออีกฝ่ายในท่าที่รู้จักกันว่าจระเข้ฟาดหาง

          ทว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็กลับไม่น้อยหน้าไปกว่าตัวเกวนเลยซักนิด กระต่ายสาวเอี้ยวศีรษะหลบได้ทันปานเล่นกายกรรม แต่เกวนก็คาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะออกท่าทีเช่นนั้น เธอจึงออกแรงเหวี่ยงให้มากขึ้นก่อนหมุนตัวอีกรอบด้วยแรงที่มากกว่าเดิมสองเท่าวาดเท้าใส่ก้านคอของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรงเป็นการใช้จระเข้ฟาดหางซ้อน แต่ด้วยการที่เบี่ยงตัวหลบทันทำให้แรงถูกใส่ไปที่หัวไหล่ซ้ายแทน ความรุนแรงนั่นถึงกับทำให้ทู่เสียศูนย์ 

          กระนั้นก็ไม่ยอมให้เป็นฝ่ายเดียวที่ถูกกระทำ ทู่เองก็อาศัยจังหวะที่เกวนออกท่าครบกระบวนสวนคืนไปที่สีข้างซ้ายของเกวนด้วยหมัดขวาที่เหลือ ก่อนที่จะถีบตัวไปตั้งหลักอีกครา

 

“ อึก… ”

          ทั้งสองคนต่างกัดฟันแน่นฝืนกลั้นไม่ให้แสดงความเจ็บปวดทรมานต่อหน้าศัตรู กระนั้นอาการบาดเจ็บที่ได้รับก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันทั้งคู่

          ทางทู่ที่ถูกเกวนจระเข้ฟาดหางใส่เต็มแรงทำให้ไหล่ซ้ายหลุด ส่วนเกวนที่โดนหมัดสวนคืนเองก็ทำเอาซี่โครงด้านซ้ายหักไปเลยทีเดียว ทั้งสองคนประเมินสถานการณ์ระหว่างที่ระแวดระวังท่าทีต่อไปของอีกฝ่าย แต่ดูท่าศึกนี้คงตัดสินกันไม่ได้เพราะฝีมือและทักษะในการต่อสู่นั้นพอ ๆ กันจนยากจะเปรียบว่าใครเหนือกว่าอย่างชัดเจน

 

          ความจริงมันควรเป็นเช่นนั้น หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสียก่อน

 

“ !!! ”

          ในจังหวะเดียวกับที่เกวนพยายามหาช่องว่างเข้าโจมตีอีกฝ่ายอีกครั้ง กลิ่นอายของใครบางคนก็เดินเข้ามาร่วมเวทีมวยของกระต่ายทั้งสองด้วย หลังผ่านเงามืดจนปรากฏร่างชัดเจนยิ่งทำให้เกวนเบิกตาโพลงภายใต้หน้ากาก

 

“ ท่านฮ่องเต้บอกว่าให้มาช่วย ”

          ชายหนุ่มร่างสูงกำยำผู้เดินมาพร้อมกับขวานยักษ์ในมือซึ่งมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับส่วนสูงเกือบ 2 เมตรของเขา ความแข็งแกร่งของเขาที่สามารถยกมันพาดบ่าด้วยมือเดียวดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา

 

“ ฉันไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดต้องให้ช่วยหรอกย่ะ ” ทู่บ่นอุบ เพราะแม้จจะเป็นสงครามที่ไม่สนวิธีการ แต่ทุกคนต่างมีศักดิ์ศรีที่ยอมให้ใครไม่ได้อยู่ซึ่งเธอคนนี้เองก็มี รวมถึงชายสวมหน้ากากวัวคนที่เข้ามาช่วยนี้เองก็เช่นกัน

“ รู้… แต่ศึกนี้เราต้องชนะเพื่อแผนการของท่านฮ่องเต้นะ ”

          ชายหนุ่มสวมหน้ากากวัวเอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กับพยักหน้า เป็นเชิงว่าเข้าใจความต้องการของกระต่าย กระนั้นเรื่องที่สำคัญกว่ายังไงก็ต้องเป็นคำสั่งของนายเหนือหัวอยู่ดี กระต่ายจึงทำได้แค่ยอมรับ

          เกวนที่ถูกสายตาสองคู่จับจ้องจึงออกอาการกังวล ไม่สิ… หวาดกลัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

แย่ล่ะสิ… หมอนั่นมันหนิว(牛) อัศวินที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับหู่ที่ชินโค่นไปเลยไม่ใช่เหรอ

ถ้าคนเดียวยังพอว่า แต่ถ้าสองคนแถมเรายังบาดเจ็บด้วยแบบนี้ …ไม่มีทางชนะหรอก

          เกวนคำนึงราวกับถอดใจ แต่นั่นคือการอ่านสถานการณ์ที่ถูกต้อง หรือต่อให้ทั้งคู่แข็งแกร่งน้อยกว่าตัวเกวนเองก็เถอะ แต่การต่อสู้กับศัตรูสองคนด้วยคนเดียวอย่างไรก็ย่อมเสียเปรียบอยู่ดี

          ทั้งศัตรูยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยให้เกวนหนีไปเลยซักนิด และหากนำเรื่องที่ก่อจลาจลเพื่อดึงความสนใจขนาดนี้ พวกเขาคงกะจะยึดอาณาเขตที่ 66 นี้ให้ได้ภายในคืนนี้อย่างแน่นอน

          …เกวนจึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ต่อหน้าความตายที่กำลังลูบคลำใบหน้าเสียจนไขสันหลังเย็นวูบ

 

“ !!!? ”

          ทว่าพริบตาก่อนที่ศึกอันเสียเปรียบจะเริ่มขึ้น บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณที่เคยร้อนรุ่มถึงขนาดที่รู้สึกว่าผิวกำลังถูกหลอมละลา กลับกลายเป็นเย็นยะเยือกอย่างน่าฉงน 

          ไม่ว่าจะพื้นห้างหรือไฟที่กำลังเผาไหม้ห้างสรรพสินค้า วัตถุทุกอย่างต่างค่อย ๆ ถูกกลืนกินโดยน้ำแข็งไปหมดจนย้อมพื้นที่ที่เคยสาดแสงสีแดงของเปลวเพลิงเป็นสีน้ำเงินของเหมันต์

 

“ 2 รุมหนึ่งอย่างงั้นเหรอ… ไร้ศักดิ์ศรีกันมากกว่าที่ดิฉันคาดนะคะเนี่ย ”

          ต้นเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวลอยคว้างกลางอากาศจนเหนือติดเพดาน และค่อย ๆ ลดระดับลงจนยืนอยู่เบื้องหน้าของเกวนโดยที่หันประจันหน้ากับผู้สวมหน้ากากกระต่ายและวัว

          …คือโอลิเวียที่สวมหน้ากากสุนัข จากรูปลักษณ์ที่เธอแสดงให้เห็นในตอนนี้ ทุกคนย่อมรู้ดีว่าเธอเป็นใคร

 

“ …โกลเด้นด็อก ”

“ ตัวจริงเสียงจริงแฮะ ”

          ทั้งหนิว(วัว)และทู่(กระต่าย)ต่างเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นบุคคลชื่อดังตัวเป็น ๆ

          อีกครั้งที่ทำให้เกวนตระหนักถึงความแข็งแกร่งอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วของโอลิเวีย รวมถึงชินในโลกเบื้องหลัง

 

“ น่าสนใจ… ฉันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง ”

          หนิวเอ่ยพร้อมกับก้าวออกมาข้างหน้านำทู่ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าให้เธอที่กำลังบาดเจ็บถอยทัพไปก่อนแล้วที่นี่ตนจะจัดการเอง

 

“ จะเข้ามากันทั้งสองคนเลยรึเปล่า? ”

          หนิวเอ่ยขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง แต่จากน้ำเสียงที่เย็นเยือก ดูเหมือนนั่นจะเป็นแค่การบลัฟเพื่อหวังให้ศัตรูเปิดช่องว่างมากกว่า ซึ่งโอลิเวียแทบจะรู้เจตนาแท้จริงของเขาได้ทันทีจากชั่วโมงบินที่สูงกว่า

 

“ พูดจาน่าขันดีนะคะ ” โอลิเวียเอ่ย ก่อนจะเริ่มวาดมือทั้งสองออกไปด้านข้างราวกับจับคว้าบางอย่าง ก่อนจะประสานกันไว้ข้างหน้าประหนึ่งกำลังบังคับบางสิ่ง

“ ทางดิฉันเองก็สงสัยเช่นกัน… ”

          พริบตาถัดจากนั้น วงเวทย์ 6 สีอย่างละ 3 วงก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณ หากนี่เป็นงานเทศกาลมันคงเป็นสีสันที่งดงามเสียยิ่งกว่าอะไร แต่หากมันอยู่บนสนามรบ วงเวทย์ขนาดใหญ่และมากถึง 18 วงที่สามารถสร้างได้ในพริบตานั้น มันไม่ต่างจากฝันร้ายของศัตรู

 

“ คิดดีแล้วเหรอคะ ที่จะเผชิญหน้ากับดิฉันด้วยขวานเล็ก ๆ ด้ามเดียวแบบนั้นน่ะ ”

          เช่นไรก็ตาม… ทางโอลิเวียต่างหากที่กำลังเอ่ยท้าทายออกมาด้วยความเย่อหยิ่งอย่างแท้จริง แต่สำหรับคนอื่นนอกจากชินแล้ว น้ำเสียงนั่นก็ยังคงนิ่งสงบเย็นเยือกเหมือนยามปกติอยู่ดี

 

❖❖❖❖❖

 

          ….ในขณะเดียวกัน เหนือขึ้นไปจากสมรภูมิที่โอลิเวียกับเกวนกำลังเผชิญ

          เสียงเหล็กกระทบกันด้วยจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอของหอกคู่กับดาบเหนือห้างสรรพสินค้าซึ่งตัวฝ้าเพดานเป็นกระจก ทั้งสองคนที่ควงอาวุธประจำตนไปมาอย่างรุนแรงแต่พื้นกลับกระจกอันบอบบางกลับไร้รอยขีดข่วนราวกับกำลังเล่นกายกรรมเดินบนเส้นเชือกอยู่ยังไงอย่างงั้น

 

“ ชิ! ” ริวที่สวมหน้ากากลิงเผือกเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ในจังหวะที่คมดาบของชายสวมหน้ากากเสืออย่างหู่แฉลบผ่านสีข้างไปอย่างหวุดหวิด

“ ได้ใจใหญ่เชียวนะเฮ้ย… พวกแกคิดอะไรอยู่ถึงได้มาก่อศึกกลางเมืองกันแบบนี้น่ะหา!? ”

          ริวพูดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่น้ำเสียงนั่นก็มีน้ำหนักเพียงพอแล้ว

          กับคำพูดของริว หู่ยังคงสงบนิ่งในขณะวาดดาบตั้งท่าเตรียมเข้าประชิดตัวสังหารอีกครา

 

“ ผมเองก็ไม่ชอบแบบนี้เหมือนกัน แต่ในเมื่อพระราชาสั่ง ข้าราชบริพารก็มีแต่ต้องทำตามไม่ใช่เหรอ ”

          หู่พูดจบก็ถีบพื้นบริเวณที่เป็นขอบเหล็กพุ่งข้าใส่ริวอีกครั้ง ในน้ำเสียงนั้นแฝงความจริงใจมากเสียจนสัมผัสได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าริวจะยอมรับเหตุผลแบบนั้นได้

 

“ ก็ได้ ” ริวเอ่ยราวกับหมดความอดทน ก่อนประสานปลายคมหอกทั้งสองไว้ด้านหน้าประหนึ่งท่าร่าง

          และเป็นพริบตาเดียวกับที่หลังฝ่ามือขวาของริวปรากฏตราสัญลักษณ์ดาบไขว้และโล่ เปล่งแสงสีแดงสะท้อนออกไปทุกทิศทางอย่างเจิดจ้าจนถึงกับทำให้หู่ต้องหยุดการเคลื่อนไหวลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากฝืนเข้าไปก็ไม่รู้ว่าจะมีสิ่งใดรออยู่

          ถัดจากจังหวะนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าหู่ คือริวที่กำลังถือหอกคมสองเล่มในมือทั้งสองอันถูกคลุมด้วยออร่าสีแดงเฉดเดียวกันกับที่เปล่งออกมาจากตราอัศวินหลังมือ

 

“ ไม่เลวเลยนี่ครับ ”

          หู่เอ่ยชมด้วยความเถรตรงต่อภาพตรงหน้าเพราะมันเป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้ในทางปฏิบัติ

          ว่ากันว่า ‘จิต’ คือพลังงานรูปแบบนึงอันเป็นพื้นฐานที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังใดก็ได้ตามอวัยวะในการแปลงภายในร่างกายของแต่ละเผ่าพันธุ์

          แต่ก็มีวิธีการดึง ‘จิต’ ที่ว่าออกมาใช้ได้ตรง ๆ โดยไม่ผ่านอวัยวะในร่างกายแต่เป็นการสั่งการให้มันมาอยู่ตรงส่วนใดส่วนนึงหรือแม้กระทั่งนำมาใช้ครอบคลุมอาวุธเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและคุณสมบัติพื้นฐาน

          เทคนิคดังกล่าวถูกรู้จักโดยทั่วไปว่า ‘ผสานจิต’ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้โดยง่าย เพราะการจะทำมันได้แม้จะแค่การผสานจิตไว้ที่มือเองก็ยังต้องใช้เวลาฝึกพื้นฐานนานเป็นปี จึงยากที่จะเห็นคนซึ่งสามารถผสานมันลงไปกับอาวุธได้อีก

 

“ แต่ผมเองก็ไม่น้อยหน้าหรอกนะครับ! ” หู่เอ่ยก่อนสะบัดดาบตัวเองประกาศเจตจำนงราวกับรับคำท้า เป็นพริบตาเดียวกับที่ออร่าสีแดงแต่เป็นคนละเฉดกับริวเปล่งแสงขึ้นที่ฝ่ามือของเขา

          เฉกเช่นริว… ออร่าแบบเดียวกันก็คลุมใบดาบของหู่ แต่ด้วยความเข้มข้นที่น้อยกว่าอย่างชัดเจนจากความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์

          เพราะในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน ทั้งริวยังมีตราอัศวินที่ช่วยเร่งอัตราการดูดซับจิตได้มากกว่าปกติหลายเท่าอีกต่างหาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับข้อได้เปรียบเสียเปรียบตรงจุดนี้

 

          ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันอีกครั้งในขณะที่วาดคมอาวุธเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องอีกครา

          แม้ก่อนหน้านี้จะดูสูสี แต่เพราะหนนี้ใช้การผสานจิตร่วมด้วยจึงทำให้ริวมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าทางด้านอาวุธ หลังปะทะกันด้วยท่วงท่าทีสูสีกันมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ หู่ก็เริ่มเป็นฝ่ายต้องถอยร่นมาเป็นฝ่ายตั้งรับเพราะถูกความรุนแรงและหนักหน่วงของหอกทั้งสองกดดัน

          และนั่นก็เป็นจังหวะที่หู่เปิดช่องว่างอย่างไม่อาจเลี่ยง ริวไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือ เขาจึงกุมด้ามหอกแน่นก่อนจะวาดจากด้านหลังหวังเฉือนร่างผ่านเกราะของหู่เพื่อปิดฉาก

 

เคร๊ง!

“ หา!? ”

          ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นกลับกลายเป็นว่ามีใครบางคนใช้มือเปล่ารับคมดาบที่เสริมการผสานจิตมาแล้วได้ ตัวเขาที่ปรากฏขึ้นในเวทีอย่างกะทันหันโดยรับคมหอกจากด้านหลังของหู่ก่อนจะเฉือนเกราะชั้นนอกได้อย่างฉิวเฉียด

          ผู้ที่ซึ่งสวมหน้ากากมังกรจีนไว้หนวดยาวอันถูกวาดด้วยพู่กันแบบเดียวกับหู่ หลังริวสังเกตเห็นหน้ากากนั่นพร้อม ๆ กับมือที่ใช้จับใบดาบของเขาซึ่งมีเกล็ดของสัตว์เลื้อยคลานแม้จะมีลักษณะเป็นมือของมนุษย์ ทำให้เหงื่อแห่งความกังวลไหลหยดลงเต็มไปหมด

 

“ แก… อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดใน 12 นักษัตร ”

          ริวจ้องเขม็งก่อนที่จะถีบพื้นถอยร่นระยะออกมาในตอนที่ตั้งสติได้ เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความเยือกเย็นให้กลับมาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

          ในบรรดากองทัพของราชา แต่ละกองทัพย่อมมีขุนศึกซึ่งเป็นผู้นำทัพ และในบรรดาขุนศึกย่อมมีผู้ที่มีความสามารถหรือแข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน

          สำหรับราชาจากเขตที่ 7 คือสคัลที่ชินโค่นไปเมื่อวานซืน

          และในส่วนของราชาจากเขตที่ 86 หลง(龍) คือผู้ที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับสคัลดังที่ได้เอ่ยไปก่อนหน้า

 

“ มีคำสั่งให้นายถอย ฉันจัดการเอง ” หลงพูดในขณะที่เดินย่างสามขุมนำหน้าหู่เข้าไปหาริวด้วยท่าทางไร้ความเกรงกลัวใด ๆ แต่จากที่เห็นเมื่อครู่ว่าการผสานจิตซึ่งแม้จะยังไม่ได้ใช้เต็มที่ 100% แต่การรับด้วยมือเปล่าแถมไม่ได้รับบาดเจ็บก็ทำให้คาดการณ์ได้ว่ามันอาจเป็นลูกไม้ที่ใช้ไม่ได้ผล

          ส่วนทางหู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่เดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ กระนั้นเขาก็เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดีก่อนจะเริ่มหันกลับไปยังทางที่หลง(มังกร)เข้าสู่เวที

 

“ เผ่าดรากูนงั้นเหรอ ”

          ทว่าก่อนที่จะเป็นแบบนั้น เสียงทุ้มต่ำที่หู่คนเคยก็ดังขึ้นมาจากอีกทิศนึงซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างริวกับหลง แต่ระยะห่างนั้นไกลกว่า

          กระนั้นทั้งน้ำเสียงและรูปลักษณ์ที่เคยสัมผัสมาแล้วถึง 2 ครั้งไม่ได้ทำให้หู่ลืม กลับกัน… เอกลักษณ์ทั้งหลายเหล่านั้นฝังอยู่ในหัวของหู่จนยากจะแกะออกเสียด้วยซ้ำ

 

“ แองกริคราวน์ ”

          หู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน กระนั้นในน้ำเสียงก็ยังมีอาการฝืดฝืนความกลัวในใจอยู่ สำหรับชินแล้วนั่นเป็นปฏิกิริยาที่น่าชื่นชม

 

“ ดูเหมือนข่าวลือที่นายเข้าร่วมสงครามชิงสิทธิจะเป็นเรื่องจริงสินะ ” 

“ ข่าวลือ… พูดแบบนั้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นความจริงนี่มันน่าตลกไปหน่อยนะ ”

          หลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับกระแนะกระแหน แต่แน่นอนว่าชินไม่สนใจเพราะรู้จุดประสงค์ของเขา ไม่สิ… รู้จุดประสงค์ของราชาของพวกเขาอยู่แล้ว

 

“ คิดจะร่วมศึกนี้ด้วยงั้นเหรอ ” หลงเอ่ยในขณะที่สังเกตสังกาชินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีระแวดระวังอย่างที่สุด 

“ ก็ถ้าพวกนายไม่ยอมออกไปจากที่นี่แต่โดยดีน่ะนะ ” ทางชินที่เดินเข้ามาโดยไม่เสียจังหวะและความเร็วตอบกลับแทบจะทันที ทำให้ทั้งหลงและหู่ตั้งท่าร่าง มันแลดูรัดกุมไร้ช่องว่างเสียยิ่งกว่าตอนปะทะกับริวก่อนหน้านี้เสียอีก

          …แม้ท่าทางเหล่านั้นจะเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดโปดปูนบนใบหน้าของริว แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่าแองกริคราวน์แข็งแกร่งกว่าตัวเองหลายขุม จะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันถึงขนาดนั้นก็คงไม่แปลก

          รวมกับเรื่องที่แองกริคราวน์เพิ่งจะโค่นขุนพลมือหนึ่งของราชาจากรัสเซียลงได้แล้วด้วย ยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งของแองกริคราวน์เด่นชัดเป็นรูปธรรมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

“ นายรับมือกับเจ้าหนุมานนั่นไป ส่วนฉันจะรับมือกับแองกริคราวน์เอง ”

          หลงนัดแนะเช่นนั้น หู่ก็พยักหน้ารับในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่หลงพุ่งเข้าหาชินด้วยแรงกายเหนือมนุษย์ ชินที่เดินเข้าหาด้วยท่าทีสบายใจมาตลอดจำต้องยกมือทั้งสองขึ้นไขว้ขวางการโจมตีอันรุนแรงนั่นเอาไว้

          ทว่าความรุนแรงของมันนั้นมากยิ่งกว่าที่ชินคาด ทำให้เพดานกระจกแก้วพังลงจนทั้งสองคนตกลงไปยังชั้น 5 ของห้างซึ่งเป็นชั้นบนสุด

          แต่นั่นไม่ต่างจากการจับมือทักทายเท่าใดนักเพราะไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ จึงสามารถจ้องมองอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่

 

“ ได้ยินมาว่าไนท์ของนายสามารถลบล้างพลังของคนอื่นได้สินะ ถ้าเป็นเรื่องจริงคงน่ากลัวพิลึก ” หลงเอ่ยในขณะที่เริ่มวาดเท้าและมือไปมาเป็นวงกลมก่อนตั้งท่าร่างเตรียมบุกจู่โจม

“ หย่งชุนรึ… ไม่ประเมินกันสูงไปหน่อยเหรอ ”

“ เป็นเกียรติที่นายรู้จักศาสตร์ของเราจริง ๆ ”

          ชินเห็นท่าร่างนั่นก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เพราะหย่งชุนนั้นเป็นศิลปะการต่อสู้ของจีนที่รู้จักกันดีว่าเป็นมวยอ่อนที่อาศัยความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้มากกว่าจากของตัวเอง กับเผ่าดรากูนซึ่งมีคุณลักษณะพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นล้นพ้น เห็นได้ชัดจากการที่สามารถรับคมอาวุธที่ผสานจิตมาแล้วได้โดยไร้รอยขีดข่วนจึงเป็นเรื่องแปลกที่หลงเลือกใช้มวยแขนงนี้

          หรืออีกนัยนึง… การใช้หย่งชุนรับมือกับชินมันคือเครื่องบ่งบอกว่าหลง(มังกร)ประเมินแองกริคราวน์ว่าแข็งแกร่งกว่าตัวเอง

 

          จากการตั้งท่าของหลง เห็นได้ชัดเลยว่ารอสวนกลับ ท่าทางเชิงเชิญชวนเช่นนั้นแน่นอนว่าเป็นกับดักเพื่อหลอกเข้าไปให้โดนสวนกลับ แต่มันก็เป็นดั่งจดหมายท้าดวลให้ชินเปิดฉากเช่นกัน

          กับศัตรูที่คู่ควร ชินรับคำท้านั้นในทันทีด้วยการพุ่งเข้าใส่ เริ่มจากหมัดตรงแบบเบาะ ๆ และแน่นอนว่ามันถูกปัดป้องออกไปด้านข้างอย่างง่ายดายด้วยการวาดมือเป็นวงกลมก่อนจะสวนกลับด้วยหมัดที่รุนแรงยิ่งกว่าเข้าใส่กลางลำตัวของชิน

 

“ หา!? ”

          ทว่ายังไม่ทันไรคนที่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจกลับเป็นหลง ที่ถูกชินใช้มืออีกข้างใช้ท่าวาดวงกลมแบบเดียวกันปัดป้องออกไป ก่อนจะชักมือที่ปล่อยหมัดไปก่อนหน้ากลับมาทาบกับอกของเจ้ามังกร

 

“ อั๊ก!!! ”

          พริบตานั้นร่างของเจ้ามังกรก็ถอยลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร ทั้งที่หมัดของชินมิได้เคลื่อนไหวใด ๆ จากที่เคยทาบหน้าอกของหลงไปก่อนหน้านี้ กระนั้นแรงที่ออกมาจากปลายหมัดของชินกลับทำให้หลงถึงกับหงายท้องก่อนตามด้วยการกระอักเลือด

          และความประหลาดใจที่ปรากฏบนใบหน้าของหลงนั้นไม่ได้มาจากการที่ไม่รู้สาเหตุ กลับกัน… เป็นเพราะเขารู้จักท่าที่ชินใช้เมื่อครู่ดีต่างหากถึงได้เบิกตาโพลงกว้างใต้หน้ากาก

 

“ เห… ” ทว่าคนที่เอ่ยขึ้นราวกับเชยชมในความสามารถ กลับไม่ใช่หลงที่ถูกหมัดดังกล่าวโดยตรง หากแต่เป็นเด็กสาวที่นั่งอยู่บนระเบียงห้างใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ

“ แม้แต่หมัดหนึ่งนิ้วเองก็ใช้เป็นอย่างงั้นเหรอ นายนี่มันตัวละครติดบั๊คของแท้เลยนะพ่อตัวตลกจอมยั๊ว ”

          การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเธอทำให้ชินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันและพลังที่ไม่ธรรมดาจากเด็กสาวปริศนาผู้สวมหน้ากากหงส์ขาวลายพู่กันจนต้องถีบพื้นถอยหลังไปตั้งหลักเสียไกล

 

“ ขออภัยด้วยครับ… เขาเหนือกว่าที่คิดไว้ซะอีก ” 

“ ช่างเถอะค่ะ ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ”

          หลงที่รีบลุกขึ้นเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อมต่อเด็กสาว แต่เด็กสาวก็ทำแค่ส่ายหน้าไปมา

 

“ แต่ว่า ก็ดีแล้วค่ะ… ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปานนึกสนุก หากแสดงสีหน้าผ่านหน้ากากได้ เธอคนนี้คงเผยรอยยิ้มน่าหวาดผวาออกมาใส่ชินแน่

          แต่สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มใต้หน้ากากของเธอ ชินสัมผัสได้ทันทีที่เด็กสาวเลื่อนมือซ้ายขึ้นมาราวโอ้อวด

 

“ เพราะถ้าไม่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ การที่ฉันลงมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองก็คงไม่มีความหมาย ”

          …และพริบตานั้น หลังมือซ้ายของเด็กสาวก็ปรากฏตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎส่องแสงสีแดงกระเจิงกระจายไปทั่วบริเวณถึงขนาดส่องไปถึงชั้นล่างที่โอลิเวียกับหนิวกำลังปะทะกันอยู่

          ชินที่เห็นเช่นนั้นตระหนักถึงความหมายของมันได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด จึงใช้ไนท์ ‘เปอร์เซนต์เทจ’ ปรับค่าความสามารถทางกายภาพของตัวเองจนถึงขีดสุด

 

          …ทว่าพริบตาหลังจากนั้น เด็กสาวก็กลับมาปรากฏอยู่ด้านหลังของชินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เสียนี่

 

“ ช้ากว่าที่คิดนะคะเนี่ย ” คำพูดสั้น ๆ ของเด็กสาวถูกกลบด้วยเสียงกระทบพื้นของเจ้าตัวที่ดังตามหลังมา ดูเหมือนความเร็วที่เธอใช้เคลื่อนที่จะเหนือกว่าความเร็วเสียงเสียอีก

          แน่นอนว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี แต่ตรรกะเช่นนั้นบนโลกคงใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ อย่างน้อยก็ตอนนี้

 

          หลังจากสิ้นสุดคำพูด เด็กสาวก็พลิกตัวเตะข้างลำตัวของชินกลางอากาศโดยกะไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว การโจมตีนั่นทำให้ชินตีลังกาหลายตลบกลางอากาศก่อนจะใช้มือขวาจิกพื้นปานตะขอจนเกิดรอยแยกตามนิ้วจึงหยุดแรงที่เกิดจากการเตะของเด็กสาว

          ไม่สิ เธอคนนี้ไม่ใช่แค่เด็กสาวในสายตาของชิน… เธอคือหนึ่งในเจ็ดราชาผู้มีสิทธิในการปกครองโลกตัวจริงโดยที่ไม่ต้องพิสูจน์สิ่งอื่นใดให้มากความ และแน่นอน… ว่าภายใต้หน้ากากหงส์ขาวคือชงหยวนผู้มีหนึ่งเดียว แต่แน่นอนว่าชินยังมิได้ทราบข้อเท็จจริงในข้อนั้น

 

“ เห… รับลูกเตะของฉันทันด้วยเหรอคะเนี่ย ” ชงหยวนพูดราวกับไม่อยากเชื่อสายตา

          แต่ถึงจะพูดแบบนั้นแขนซ้ายของชินที่รับลูกเตะของชงหยวนเข้าไปเต็ม ๆ ก็ถึงกับหักผิดรูป

          หากจะพูดถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ แวมไพร์นั้นมีผิวหนังแข็งเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้าหรือแม้แต่เผ่าดรากูนจะเทียบเคียงเสียอีก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกเตะของชงหยวน ไม่สิ… ความสามารถในการต่อสู้ของชงหยวนในฐานะราชาสูงมากขนาดไหน

 

แย่แล้ว… ได้ยินมาจากอัลเฟรดว่าราชาสามารถดูดซับจิตจากเขตตัวเองเพื่อมาใช้ในเขตศัตรูได้

เห็นแบบนั้นดูยังไงเธอคนนี้ก็ยังไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

คนละระดับ ไม่สิ… ความแข็งแกร่งนี่ มันคนละมิติกับตราอัศวินอย่างเห็นได้ชัด

ราชาผู้มีสิทธิในการปกครองโลก… มีพลังมากถึงขนาดนี้เลยเหรอ

          ชินกัดฟันกรอดด้วยความดื้อดึงราวกับไม่ยอมรับความจริงอันยากจะปฏิเสธว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ

          …ใจนึงชินก็รู้อยู่แก่ใจว่าการจะต่อสู้กับตัวตนแบบนั้นก็ต้องเป็นตัวตนแบบเดียวกันจึงเหลือบไปมองมือขวาของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ

 

ไม่ได้… ถ้าเผยตัวว่าแองกริคราวน์เป็นราชาคนที่ 8 ตอนนี้ ต่อให้รอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ไปได้

แต่หลังจากนั้นล่ะก็ไม่รอดแน่… ไม่ว่าทางไหนก็เป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

          ชินที่เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์อันเสียเปรียบ เห็นได้ชัดว่าการหนีคือสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่ทำได้

          แต่ดูเหมือนชงหยวนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบาย ๆ ปานจะเยาะเย้ยชินกลับไม่มีท่าทีจะปล่อยชินไปเลยซักนิด

 

“ ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิคะ ว่าใต้หน้ากากนั่นจะมีใบหน้าแบบไหนซ่อนอยู่! ” ชงหยวนตะโกนปานสิงโตคำรามกระหายเหยื่อก่อนถีบพื้นพุ่งตัวเข้าใส่ชิ้นปานจะฉีกกระชากเขาให้เป็นชิ้น ๆ

          มือของเธอพุ่งตรงหวังจะคว้าหน้ากากของแองกริคราวน์และเปิดเผยตัวตนแท้จริงเพื่อสร้างความสำราญใจให้ตน

          …ทว่าสุดท้าย ก็มีเพียงแค่ปลายนิ้วเท่านั้นที่ได้สัมผัสหน้ากากของตัวตลกจอมกริ้วโกรธ

 

“ แหม ๆ… ” สิ่งที่หยุดมือที่เข้ามาหวังคว้าจับหน้ากากของชิน คือมือของชายปริศนาที่มาอยู่ด้านหลังของชินเอื้อมมาคว้าจับของมือของเด็กสาวไว้จากทางด้านหลังเมื่อไหร่ไม่ทราบเช่นเดียวกับเด็กผู้หญิง

          ไม่สิ… ต่างกันนิดหน่อย เพราะเสียงของชายคนนี้เป็นเสียงที่ชินรู้จักดี

 

“ มาเปิดดูของดีในบ้านคนอื่นเขาโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อนแบบนี้นี่ ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลยนะครับท่านฮ่องเต้ ” ชายปริศนา… อัลเฟรดที่อยู่ใต้หน้ากากผีดูดเลือดเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวนึกสนุก กระนั้นยังแฝงด้วยความหงุดหงิดที่คนทั่วไปยังสัมผัสได้

“ แหม ๆ ก็มันไม่ได้มีป้ายแปะไว้ซะหน่อยนี่นาว่าเป็นของคุณน่ะ ท่านวลาดจอมเสียบ ”

          ทว่านั่นกลับไม่สามารถกดดันชงหยวนได้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน การสนทนาของทั้งสองคนที่ประกบชินดังเช่นแซนวิชทำให้ชินเองนั่นแหล่ะที่ต้องเหงื่อตก

          …จากการที่อยู่กลางจุดปะทะของแรงกดดันจากราชันย์ทั้งสองคนที่จ้องจะขย้ำอีกฝ่ายให้ดับดิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+