ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ทัศนวิสัยกลางเมืองหลวงโดยทั่วไปนั้นยากแก่การหาความสงบเนื่องด้วยจำนวนของประชากรที่อัดแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพการจราจรที่แออัดแทบจะทำให้รู้สึกอยากจะเบือนหน้าหนีมากกว่าจะเชยชมบรรยากาศและสิ่งปลูกสร้างอันมีอารยะ บนโลกนี้คงจะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถนำเสนอจุดเด่นเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน

          ความงดงามของสิ่งปลูกสร้างให้ความรู้สึกอิ่มเอมราวกับกำลังเดินชมนิทรรศการณ์จัดแสดงงานศิลป์ ความวิจัตรของลวดลายแม้จะเป็นเพียงช่วงสายของวันยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้น และทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลาที่หลอดไฟทั้งหมดจะเปล่งประกายสว่างไสวยามราตรี

          นั่นแหล่ะคือบรรยากาศของเมืองแห่งนี้

 

“บองชู! ปารีสสสสสสสส!!!” 

          สำหรับชาวเมืองทที่อาศัยมาตลอด คงไม่อาจแสดงความตื่นเต้นจนต้องตะโกนออกมาดังลั่นเสียขนาดนั้น และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็คงมีแต่นักท่องเที่ยวที่เพิ่งจะเคยมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทว่าคนที่มีความกล้าบ้าบิ่นมากพอจะตะโกนแบบนั้นตรงหน้าทางเข้า-ออก ของสนามบินก็คงมีแค่ไม่กี่คน

          และสำหรับคนที่ตะโกนออกไปเมื่อครู่ก็คือเคนเนธ เพื่อนร่วมชั้นคนสนิทของชินที่ชอบทำตัวเป็นเป้าสายตาโดยไม่รู้ตัว แถมยังมีส่วนที่เป็นเด็กอยู่ในตัวมากพอจะกลบความหล่อเหลาของรูปร่างหน้าตาให้อยู่ในระดับคนธรรมดาได้เลย

 

“เคนเนธ ส่งเสียงดังแบบนั้นมันรบกวนคนอื่นนะ” 

          ชินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เคนเนธใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเคนเนธจนเจ้าตัวร้องออกมา แต่ครั้งนี้เขายอมรับว่าตัวเองผิดจริง จึงหันไปพนมมือขอโทษประชาชีที่อยู่รอบ ๆ แต่ทุกคนก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรกันหมด

 

“ต้องขอบคุณที่ทุกคนใจดีเลยนะ นี่เผลอ ๆ นายอาจจะถูกตำรวจจับได้เลยนะ” เกวนว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทางไม่สมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายของเคนเนธ

“นั่นสิครับ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองควรจะระวังให้มากกว่านี้สิ” จินเอ่ยด้วยสีหน้าธรรมดาไร้ความรู้สึก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำและเป็นเรื่องธรรมดา

          แต่การตอบกลับแบบนั้นมันก็ไม่ต่างกับการด่าเคนเนธว่า ‘ไม่มีจิตสำนึกของคนปกติ’ นั่นแล

          หากเป็นคนอื่นก็คงจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าได้ง่าย ๆ แต่สำหรับจุดนี้ต้องขอบคุณเคนเนธที่ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น จึงไม่เข้าใจว่าจินกำลังแอบด่าเขาอยู่

 

“แล้วหลังจากนี้เราต้องไปไหนต่อเหรอคะ?” ซูซานเอ่ยถามเด็กสาวเอลฟ์ผมเงินที่อยู่เยื้องหน้าของตัวเองเพราะเธอเป็นคนถือกระดาษแสดงกำหนดการเดินทาง แน่นอนว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโอลิเวีย ทว่าเจ้าตัวก็ตอบกลับซูซานในทันทีโดยที่ไม่ต้องหยิบกำหนดการในกระเป๋ามาดูเสียด้วยซ้ำ

“นำของไปเก็บที่โรงแรมค่ะ นึกว่าคุณที่เป็นคณะกรรมการจะจำได้ซะอีกนะคะ”

          เรื่องของเคนเนธจบไปก็ดูเหมือนว่าเรื่องของโอลิเวียก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          เพราะแทนที่โอลิเวียจะตอบคำถามของซูซานกลับไปดี ๆ เธอกลับพูดเป็นเชิงประชดประชันแถมด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเสียจนน่าขนลุก แต่แน่นอนว่านั่นไม่มีผลกับซูซานเลยสักนิด ซูซานแทบจะไม่เสียรอยยิ้ม (เสแสร้ง) ที่เผยออกมาตลอดการเดินทางนี้เลยด้วยซ้ำ

 

“ก็แหม! สมองของฉันมันมีจำกัดนี่คะ อุตส่าห์มาทัศนศึกษาทั้งทีฉันก็อยากจะจำแต่เรื่องสนุก ๆ นี่นา”

          ซูซานตอบกลับพลางวาดแขนเป็นวงกลมราวกับเป็นลูกข่าง ท่าทางของเธอร่าเริงเสียจนเกือบจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับเคนเนธ แต่อาจเป็นเพราะเธอแสดงความไร้เดียงสาออกมาได้อย่างนุ่มละมุล เธอถึงได้ดูน่ารักและน่าทะนุถนอมมากกว่าน่าหงุดหงิดเหมือนกับเคนเนธก่อนหน้านี้

 

“ทางคุณโอลิเวียก็เถอะ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งที เอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอานะคะ” อย่างไรก็ดี ซูซานเองก็มีศักดิ์ศรีที่ไม่อาจยอมแพ้อะไรได้ และสำหรับซูซาน… สำหรับชงหยวนแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นโอลิเวีย เธอยิ่งไม่อาจมองข้ามได้ไปใหญ่

“ก็เราเป็นคณะกรรมการนี่คะ การสละเวลาส่วนตนเพื่อมอบความสุขให้กับนักเรียนคือหน้าที่ของพวกเรานะคะ” แต่แน่นอน สำหรับโอลิเวียเอง ซูซาน… ชงหยวนก็เป็นคนที่เธอไม่อาจปล่อยผ่านให้ชนะได้เช่นเดียวกัน

“แบบนั้นมันค่อนข้างจะเป็นทัศนคติที่คับแคบไปหน่อยนะ เคร่งคัดขนาดนี้เดี๋ยวก็หาแฟนยากหรอกค่ะ”

“เรื่องนั้นไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยค่ะ”

          แล้วทั้งสองคนก็เริ่มประชันฝีปากอีกครั้ง ก่อนจะจบด้วยการจ้องตากันจนเกิดประกายไฟฟ้าแลบราวจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้

          ต้องบอกว่าการทะเลาะและประชดประชันกันของทั้งสองคนแทบจะทำให้คนในกลุ่มอย่างเคนเนธ เกวนและจินเคยชินไปเสียแล้วตลอดช่วงที่ผ่านมา แต่ที่น่าขันคือเหล่านักเรียนคนอื่นเองก็เริ่มชินกับความสัมพันธ์ของโอลิเวียกับซูซานในตอนนี้ไปด้วยแล้ว หนำซ้ำช่วงหลัง ๆ ยังถูกนำไปสร้างข่าวลือแปลก ๆ ในทำนองว่า ‘ทั้งสองคนกำลังแย่งตัวชินอยู่’ หรืออะไรทำนองนั้นตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

 

“ไปกันเถอะทุกคน แท็กซี่มาแล้วนะ”

          แต่ที่น่าแปลกใจที่สุด… ก็คงเป็นท่าทางของชินที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับทั้งข่าวลือและการโต้วาทีของโอลิเวียกับซูซานนี่แหล่ะที่ทำให้ทุกคนเผลอยิ้มแห้ง ๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ที่รถแท็กซี่มาถึงคิวของตัวเอง เขาก็ยังเรียกทุกคนในกลุ่มขึ้นรถด้วยสีหน้าธรรมดา ราวกับว่าเรื่องที่สองคนนั้นทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติยังไงอย่างงั้น

          …ซึ่งแน่นอนว่าคนที่รู้ ว่าการโต้ฝีปากกันระหว่างโอลิเวียกับซูซาน… กับชงหยวนนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่หาดูได้ทุกวัน ก็คงมีแค่ชิน โอลิเวียและตัวชงหยวนที่ทำเรื่องนี้จนเป็นกิจวัตรตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วเท่านั้นที่รู้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดการทัศนศึกษาที่ฝรั่งเศสก็เริ่มขึ้น สำหรับชินกับโอลิเวียคงไม่ได้ตื่นตากับการเดินทางระหว่างประเทศเท่าไหร่นัก ซึ่งหากจะพูดเช่นนั้น เกวน ซูซานและจินเองก็เคยชินกับการเดินทางข้ามประเทศด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกัน ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวต่างประเทศในกลุ่มของชินคงจะมีแค่เคนเนธคนเดียว กระนั้นปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมาตอนอยู่ในเทอร์มินัลของสนามบินก็ไม่ใช่เรื่องปกติอยู่ดี

          แต่อย่างไรก็ดี การเดินทางระหว่างประเทศไม่ได้หมายรวมถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจของแต่ละประเทศ กล่าวคือแม้จะเคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต่หากได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่ไม่เคยไป หรือไปด้วยบทบาทที่ต่างจากเดิม มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

          นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ชินมองลอดผ่านหน้าต่างของรถแท็กซี่เชยชมทัศนียภาพที่มีอยู่แม้จะเป็นครั้งที่เขาเคยมาในนามของแองกริคราวน์ซึ่งเป็นผู้ล้างแค้น พอมาคิดดูคงเป็นเพราะชินถูกความรู้สึกพวกนั้นบดบังทำให้ความงดงามของสิ่งปลูกสร้าง ธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนสะท้อนมาไม่ถึงหัวใจที่มืดมิดของเขาในตอนนี้ คิดแบบนั้นชินก็เผลอเลื่อนสายตากลับมามองโอลิเวียที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วก็สบเข้ากับรอยยิ้มดีอกดีใจของเธอเข้า ถึงได้ทำให้เข้าใจ ว่าโอลิเวียเองก็รู้สึกเป็นกังวลมาตลอดในเรื่องที่ชินเอาแต่หมกมุ่นกับ ‘สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหน้าที่ของตัวเอง’ จนลืม ‘ความสุขของตัวเองไป’

          เห็นแบบนั้นชินก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับทั้งด้วยความรู้สึกผิดและซึ้งใจขอบคุณกับความเป็นห่วงนั้นของเธอ เขาจึงกลับไปมองทิวทัศน์พวกนั้นอีกครั้ง ตลอดจนกระทั่งถึงโรงแรมอันเป็นที่พักของเหล่านักเรียนเลยทีเดียว

 

          หลังจากทั้งกลุ่มลงมาจากรถแท็กซี่สำหรับผู้โดยสาร 6 คน (เป็นแบบมีเบาะนั่งสองเบาะหันเข้าหากันนั่งได้เบาะละ 3 คน)

          พวกเขา 6 คนยังคงเชยชมวิวทิวทัศน์อยู่ จะมีข้อยกเว้นก็แค่ชิน โอลิเวียและจินที่พยายามสอดส่องนักเรียนคนอื่น ๆ ในฐานะของคณะกรรมการนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าสู่ที่พัก ไม่ได้แอบออกไปเที่ยวไหนต่อไหนตามอำเภอใจ ซึ่งอันที่จริงซูซานก็มีหน้าที่นั้น แต่เจ้าตัวก็ดันเอาแต่มองนู่นนี่นั่นอย่างสนุกสนานไปพร้อม ๆ กับเคนเนธไปเสียแล้ว ภาพแบบนั้นเห็นเสียจนชินตาในระหว่างที่ทำงานด้วยกันทำให้โอลิเวียที่มักจะเตือนเธอบ่อย ๆ ยังรู้สึกหน่ายไม่แม้แต่กับจิน ทางเกวนเองก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ รับสภาพ

 

“ทุกคนมากันหมดแล้ว พวกเราเองก็เข้าไปเช็คอินกันเถอะ”

          ชินเป็นคนกล่าวขึ้นมาแบบนั้น แต่อันที่จริงซูซานกับเคนเนธวิ่งเข้าไปในตัวโรงแรมก่อนหน้าทุกคนเสียอีกราวกับความเป็นเด็กในตัวของทั้งสองคนถูกปลุกขึ้นมายังไงอย่างงั้น ส่วนเกวนก็ต้องตามเข้าไปด้วยโดยปริยายเพราะไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะก่อเรื่องอะไรรึเปล่า รวมถึงจินที่ตามประกบซูซานติด ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกันอยู่ครึ่งนึง

          ด้วยเหตุนั้น คนที่ตามชินเข้าไปจึงมีแค่โอลิเวียคนเดียว

 

          โคมระย้าประกายแสงสีเหลืองทองอร่ามเต็มฝ้าโถงกลาง รวมไฟประดับที่ดูตระการตาโดยรอบราวกับเป็นงานเลี้ยงเต้นรำในราชวัง ความหรูหรามีระดับของพรมทางเข้านำไปสู่เคาน์เตอร์ทำให้ลูกค้าทุกคนที่เข้าพักรู้สึกว่าตัวเองนั้นพิเศษ

 

“หนก่อนที่เรามาก็เป็นที่นี่เหมือนกันสินะคะ” โอลิเวียเอ่ยด้วยความประทับใจแม้จะเคยมาเป็นหนที่สอง ซึ่งชินเองก็พยักหน้ารับด้วยความคิดเห็นแบบเดียวกัน

“นั่นสินะ ถึงจุดประสงค์จะเป็นคนละอย่างกันก็เถอะ”

“เอ๊ะ?”

“?”

          กับชินที่พูดออกมาโดยไม่ทันคิด ทำให้โอลิเวียส่งเสียงประหลาดใจ ทันใดนั้นชินก็รู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดวิสัยและ ‘ความตั้งใจที่แท้จริง’ ที่เขากับโอลิเวียมาฝรั่งเศส นั่นถึงทำให้ชินพยายามปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่ก่อนจะเดินนำโอลิเวียเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน

          ในขณะที่เดินตามหลังชินมันทำให้โอลิเวียคิดย้อนกลับไปถึงเหตุผลหลักที่ชินกับเธอมายังฝรั่งเศส นั่นก็เพราะมีเบาะแสของคนที่น่าจะเป็นคนสวมหน้ากากตัวตลกผู้ที่ปรากฏตัวและเข้ามาต่อสู้กับชินไม่กี่วันก่อนหน้านี้ และเชื่อได้ว่าตัวจริงของเขานั้นอาศัยอยู่ที่เขตประเทศนี้

          เรื่องที่ว่าทำไมถึงปรากฏตัวเอาเสียตอนนี้ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีเจตนาซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นค่อยว่ากันอีกที เพราะอย่างไรเสีย ชินก็ตั้งใจจะเผชิญหน้ากับตัวตลกคนนี้อยู่แล้ว เพราะมันคือสิ่งที่ชินพลิกแผ่นดินหามาตลอด 10 กว่าปี

          …แต่ทั้ง ๆ แบบนั้น ตัวชินที่ซึมซับทัศนียภาพอันตระการตา รวมถึงความงดงามของวิถีชีวิต ได้พูดออกมาในทำนองที่ว่า ‘เขามาที่นี่เพื่อที่จะพักผ่อน’ แทนที่จะเป็น ‘เขามาที่นี่เพื่อที่จะล้างแค้นศัตรู’ ไปเสียอย่างนั้น จึงเห็นได้ชัดเลยว่าแท้จริงแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจ ชินเองก็ไม่ได้ปรารถนาการล้างแค้นเป็นพื้นฐานของจิตสำนึก ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดแบบนั้นออกมา

 

ในฐานะข้ารับใช้ ไม่สิ… ในฐานะคนที่อยู่เคียงข้างชินมาตลอด เราควรจะทำยังไงดีนะ

          โอลิเวียตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นในขณะที่เดินตามชินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน โดยที่ยังหาคำตอบไม่ได้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากนั้นนักเรียนทุกคนก็ถูกแบ่งให้ไปอยู่ตามห้องที่จัดไว้แล้ว ส่วนรูปแบบคือไม่เกิน 3 ห้อง และแน่นอนว่าแยกชายหญิงไม่มีการคละกัน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี อาจารย์ทุกคนเองก็ปฏิบัติด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน

          สำหรับกลุ่มของชินและโอลิเวียจึงถูกแยกเป็น โอลิเวีย เกวนและซูซานอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนชิน เคนเนธและจินอยู่ห้องเดียวกัน

          ตามกำหนดการณ์แล้ว นี่จะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังเดินทางก่อนที่จะทานอาหารกลางวันที่จัดเตรียมโดยโรงแรมนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกนั่นคือพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ด้วยเหตุนั้น ตอนนี้ชิน เคนเนธและจินจึงกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรม

 

          หากว่าการตามหลักการ อันดับแรกที่ต้องทำหลังจากที่มาถึงที่พัก ย่อมต้องเป็นการจัดเสื้อหาที่ขนมา รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ยังชีพต่าง ๆ ที่เป็นของส่วนตัวอย่างแปรงสีฟัน รองเท้าสำหรับใช้เปลี่ยน ก่อนเป็นอันดับแรก

          ทั้ง ๆ แบบนั้น… เคนเนธกลับแหกกฎที่ว่าในทันทีที่เข้ามาในห้องพัก เขาถอดรองเท้าออกก่อนจะกระโดดใส่เตียงตัวกลางแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างสำราญใจไปเสียอย่างนั้น

 

“นายนี่ซื่อตรงจริง ๆ เลยนะให้ตายสิ” ชินเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนกับเพื่อนสนิทที่อยู่ง่ายกินง่ายคนนี้

“ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่นา! เคล็ดลับของความสุขคือการมีความสุขยังไงล่ะ!”

“ย้อนแย้งชะมัดเลยนะ”

          ชินตบมุกไปพลางวางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเริ่มจัดของไปพลาง ในขณะเดียวกับที่หันไปพูดคุยกับจินด้วย

 

“นายจะนอนเตียงไหนเหรอจิน?”

“ผมนอนเตียงไหนก็ได้นะ” เจ้าตัวตอบกลับมาแบบนั้นด้วยความเกรงใจเล็ก ๆ

          แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะหากสถานการณ์กลับกันให้ชินกลายเป็นคนที่ต้องมาร่วมห้องกับคนสองคนที่สนิทกัน คงรู้สึกแปลกแยกเป็นธรรมดา

          …นอกเสียจากว่า การที่จินเกรง ๆ จะมีสาเหตุมาจากการที่เขาระมัดระวังการเคลื่อนไหว ไม่ให้มากเกินไปเสียจนชินรู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง

          แต่หากเป็นกรณีนั้นชินคงรู้สึกเสียดายแย่ เพราะชินรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจับตามองดูเขาอยู่

 

“งั้นฉันขอนอนเตียงในสุดแล้วกัน” 

          ชินพูดแบบนั้นพร้อมกับย้ายกระเป๋าส่วนตัวของตัวเองเข้าไปฝั่งที่ใกล้กับห้องน้ำที่สุดและไกลจากหน้าต่างที่สุด หากจะพูดถึงเรื่องวิวทิวทัศน์และกลิ่น นี่คงเป็นเตียงตัวสุดท้ายที่ทุกคนนึกอยากจะเลือก

 

“ขอบใจนะ” จินเอ่ยตอบกลับ เขาเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่คงไม่อาจคาดเดาได้ว่ามาจากใจจริงรึไม่สำหรับชิน

“ว่าแต่พวกนายเนี่ย อุตส่าห์ได้มาเที่ยวแท้ ๆ ไหงดูไม่ค่อยตื่นเต้นกันเลยล่ะ”

          สำหรับเคนเนธแล้ว ปฏิกิริยาของชินและจินคงเล็กน้อยเกินไปสำหรับความประทับใจที่มีให้กับปารีส

          แต่อันที่จริง… หากเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว ชินกับจินก็แสดงออกต่ำกว่ามาตรฐานนิดหน่อยเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่เคนเนธคิดเองเออเองเสียมากกว่า

 

“นายเองนั่นแหล่ะ ตื่นเต้นเกินไปหน่อยแล้วมั้ง” ชินว่าแบบนั้นก่อนจะนั่งลงข้างเตียงยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเคนเนธที่นอนกลิ้งบนเตียงมองมายังเขาแบบกลับหัว

“อะไรกัน ก็ใช่ว่าจะได้มาเที่ยวบ่อย ๆ นี่นา! หรือว่าพวกนายมาบ่อยรึไง?”

“ฉันก็มาครั้งแรกเหมือนนายนั่นแหล่ะ”

“เอ๋……” เคนเนธลากเสียงยังกับไม่เชื่อ พร้อมกับที่กลิ้งตัวเลื่อนสายตาไปมองจินราวกับต้องการถามคำถามอย่างเดียวกัน

“ผมเองก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน” จินว่าพลางยักไหล่

          คำตอบของทั้งสองคนทำให้เคนเนธทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ

 

“ให้ตายสิพวกนายเนี่ยน้า ทั้งที่มีของสวย ๆ งาม ๆ อยู่ตรงหน้าแท้ ๆ… ไม่รู้เอาจิตเอาใจไปไว้ที่ไหนกันนะ พวกฉลาด ๆ แบบพวกนายนี่มันจริง ๆ เลย!”

          สำหรับเคนเนธแล้ว คงมองเพียงแค่ว่าชินกับจินเป็นประเภทที่ขยันเรียน มองการไกล และคงกำลังเอาแต่คิดเรื่องอนาคตของตัวเองจนไม่ค่อยสนใจเที่ยว …ซึ่งแม้จะไม่ใช่อย่างนั้นแต่ก็นับว่าใกล้เคียงทีเดียว ทำเอาชินรู้สึกขนลุกในลางสังหรณ์ของเพื่อนสนิทคนนี้เลยทีเดียว

          ทันทีที่พูดจบ เขาก็โดดลุกออกจากเตียงไปทางม่านหน้าต่างของห้อง แล้วเปิดม่านหน้าต่างตัวใหญ่จนแสงลอดเข้ามาในห้อง

          

“ดูซะสิ! ขืนมัวแต่หวังกับความสุขในอนาคตที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่หรือจะมาถึงไหม สู้มีความสุขกับเรื่องตรงหน้านี่สักหน่อยมันจะเสียหายตรงไหนกันเล่า” 

          เคนเนธกล่าวแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะผายมือชี้ชวนทั้งสองคนให้มองดูวิวนอกหน้าต่างซะบ้างอย่ามัวแต่คิดนู่นนี่นั่นทั้งที่อุตส่าห์ได้มาเที่ยวแท้ ๆ

 

          แสงแดดนั้นสำหรับชินและจินแล้วมันค่อนข้างแสบตาทีเดียวถึงขั้นตกหรี่ตาและยกมือขึ้นบังในพริบตาแรก จนทำให้มองไม่เห็นทิวทัศน์อันสวยสดงดงามดังที่เคนเนธเชื้อเชิญ และหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาเคยชินกับ ‘ความมืด’ มากกว่าจนทำให้ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ ‘แสงสว่าง’ ได้

          …แต่ไม่รู้ว่าที่พวกเขาแสบตานั้น มีต้นเหตุมาจากแสงแดดหรือตัวเคนเนธเองกันแน่

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในเวลาเดียวกัน , ตึกแห่งหนึ่ง ห่างจากโรงแรมที่ชินเข้าพักราว 2 กิโลเมตร

          ตึกที่ตั้งห่างออกมาจากโรงแรมที่ชินอยู่ มองจากภายนอกมีลักษณะคล้ายตึกสำนักงานทั่วไป ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งสำหรับใครบางคนหากต้องการจะทำการกิจที่ไม่สะดุดตาคนแล้ว นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

          ทั้งตึกราวกับว่าไม่มีใครอยู่ด้วยความเงียบงัน ทั้งยังไร้ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ใช้งานภายในตึก  เนื่องจากมีเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้นที่กำลังถูกใช้งานอยู่ในสุด แถมห้องดังกล่าวยังใช้เครื่องปั่นไฟสำรองเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยในการใช้งานอีกต่างหาก

          ในห้องที่กำลังถูกใช้งานดังกล่าวมีคนจำนวนหนึ่งสวมชุดสูททางการกำลังใช้งานคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบล้ำสมัยอยู่ 9 คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดูเจนศึกและจริงจังเกินกว่าจะเป็นงานออฟฟิศทั่วไป ทั้งคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คภายในเองก็ถูกเข้าระบบไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยแก่คนทั่วไปได้

 

“ยืนยันข้อมูล… ‘เป้าหมาย’ เข้าพักโรงแรมตามกำหนดการแล้ว”

          ชายคนหนึ่งยืนยันข้อมูลจากทางหูฟังแล้วประกาศข้อมูลดังกล่าวไปพร้อม ๆ กับประมวลผลข้อมูลในหน้อจอไปพร้อมกัน

          พอได้ยินดังนั้น หญิงสาวผมหยักศกยาวสีน้ำตาลเข้มผู้สวมชุดสูทแบบมีผ้าคลุมเพียงคนเดียวก็ยืนขึ้นในทันทีพร้อมกับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ใช้กันในสมัยก่อนออกมา มันถูกเข้ารหัสอย่างซับซ้อนและสามารถใช้งานการสื่อสารผ่านดาวเทียมแบบจำเพราะเพื่อไม่ให้ถูกดักฟังได้ง่าย

          เธอกดเบอร์ที่ถูกบันทึกไว้อยู่แล้วบนหน้าจอพลางงหย่อนก้นลงบนโต๊ะทำงาน

 

“ ‘ฯพณฯ’(พณท่าน) นี่ ‘รูธ’ ทราบแล้วเปลี่ยน… ยืนยันข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เป็นจริง จะเอายังไงต่อเหรอคะ” เธอว่าแบบนั้นพลางกดออกรอรับคำสั่งจากปลายสาย การสับเปลี่ยนขามานั่งไขว่ห้างทำให้ลูกน้องชายหลาย ๆ คนแอบเหล่มองเธออยากไม่อาจเลี่ยงด้วยสัดส่วนร่างกายแสนดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน

          มีไม่กี่คนที่ถูกเสน่ห์ดึงดูดในพริบตาแต่ได้สติแล้วกลับไปทำงานต่อ คนจำพวกนั้นจะได้ทำงานกับเธอต่อ ส่วนคนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสในใจจนทำการคุกคามทางเพศเจ้าตัวทางสายตาย่อมจะตกงานตั้งแต่วันนี้

          อย่างไรก็ดี… พวกเขาเหล่านี้ที่กำลังรับคำสั่งไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะต่อให้พวกเขาเป็นหัวกะทิที่ถูกเลือกมาจากหน่วยข่าวกรอง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ ‘ทุกอย่าง’

          อย่างน้อยคน ๆ เดียวที่รู้เรื่อง ก็คงมีแค่หญิงสาวที่แทนตัวเองว่า ‘รูธ’ คนนี้คนเดียว

 

‘เห… น่าแปลกเหมือนกันนะครับเนี่ยที่ข้อมูลถูกต้องตรงเผงง่าย ๆ แบบนี้ มันจะเป็นกับดักรึเปล่านะครับเนี่ย’

          เสียงที่ดังลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ผู้ที่หญิงสาวอายุราว 20 ปลาย ๆ พูดคุยอย่างให้ความเคารพกลับกลายเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้ชายอายุน่าจะอยู่ที่ 10 ขวบปลาย ๆ หรืออย่างมากก็ไม่น่าเกิน ม.ต้นเสียด้วยซ้ำ

          แต่ที่น่าแปลกก็คือรูธไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกต่างหาก

 

“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว” รูธตอบแบบไม่ต้องคิด

‘อืม… แต่ข้อมูลที่ได้มาอุตส่าห์เป็นเรื่องจริงทั้งที จะไม่เอามาใช้ประโยชน์มันก็ยังไงอยู่นา’ 

          เด็กหนุ่มใช้น้ำเสียงเหมือนกับครุ่นคิด แต่รูธรู้ดีอยู่แล้วว่านั่นไม่จริง เขาคนนี้ต้องคิดไว้ล่วงหน้าไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแบบไหนอยู่แล้ว แต่ทั้งอย่างนั้นเด็กชายคนนี้ยังมาทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นเด็กสมวัยอย่างน่าหงุดหงิด นั่นถึงทำให้รูธถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

 

“แล้วคิดจะเคลื่อนไหวยังไงต่อล่ะคะ? เพราะดูเหมือน ‘ท่านฮ่องเต้’ เองก็อยู่ที่นั่นด้วยนะ… แบบนี้จะไม่เป็นการผิดสนธิสัญญาหรอกเหรอ?”

‘ทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนทุกทีก็ได้นี่ครับ และอันที่จริง นี่มันก็ไม่ใช่การผิดสัญญา ‘ทางตรง’ซะหน่อย’ เด็กชายตอบแบบไม่ต้องคิดอะไร นั่นทำให้รูธรู้สึกกลัวอยู่หน่อย ๆ และคงไม่ทำสัญญาอะไรกับเด็กคนนี้ไปพักใหญ่ ๆ

“งั้นแสดงว่าให้ ‘แหย่’ แบบที่ไม่เกินงามเป็นพอสินะคะ”

‘สมเป็นคุณรูธเลยครับ ตามนั้นเลย!’

          รูธพูดสิ่งที่เด็กหนุ่มตั้งใจจะบอกก่อนหน้าที่เขาจะบอกออกมาเองเสียอีก

          จะด้วยความที่ทำงานร่วมกันมานานหรือเป็นเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่การที่รูธเข้าใจความคิดของเด็กผู้ชายคนนี้ในระดับหนึ่งนี่แหล่ะที่เป็นตัวแปรหลักที่เธอได้รับความไว้วางใจจากเด็กชาย

 

          แต่อย่างไรก็ดี สำหรับบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยมีคนกลุ่มนี้เป็นสาเหตุ ดูท่าแล้วจะไม่ได้มีผลดีต่อทางชงหยวน 

          และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง… ดูแล้วจะเป็นผลเสียกับทางชินเสียด้วยซ้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา

Now you are reading ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก Chapter 34: เริ่มต้นทัศนศึกษา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

          ทัศนวิสัยกลางเมืองหลวงโดยทั่วไปนั้นยากแก่การหาความสงบเนื่องด้วยจำนวนของประชากรที่อัดแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพการจราจรที่แออัดแทบจะทำให้รู้สึกอยากจะเบือนหน้าหนีมากกว่าจะเชยชมบรรยากาศและสิ่งปลูกสร้างอันมีอารยะ บนโลกนี้คงจะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถนำเสนอจุดเด่นเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน

          ความงดงามของสิ่งปลูกสร้างให้ความรู้สึกอิ่มเอมราวกับกำลังเดินชมนิทรรศการณ์จัดแสดงงานศิลป์ ความวิจัตรของลวดลายแม้จะเป็นเพียงช่วงสายของวันยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้น และทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลาที่หลอดไฟทั้งหมดจะเปล่งประกายสว่างไสวยามราตรี

          นั่นแหล่ะคือบรรยากาศของเมืองแห่งนี้

 

“บองชู! ปารีสสสสสสสส!!!” 

          สำหรับชาวเมืองทที่อาศัยมาตลอด คงไม่อาจแสดงความตื่นเต้นจนต้องตะโกนออกมาดังลั่นเสียขนาดนั้น และคนที่จะทำแบบนั้นได้ก็คงมีแต่นักท่องเที่ยวที่เพิ่งจะเคยมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทว่าคนที่มีความกล้าบ้าบิ่นมากพอจะตะโกนแบบนั้นตรงหน้าทางเข้า-ออก ของสนามบินก็คงมีแค่ไม่กี่คน

          และสำหรับคนที่ตะโกนออกไปเมื่อครู่ก็คือเคนเนธ เพื่อนร่วมชั้นคนสนิทของชินที่ชอบทำตัวเป็นเป้าสายตาโดยไม่รู้ตัว แถมยังมีส่วนที่เป็นเด็กอยู่ในตัวมากพอจะกลบความหล่อเหลาของรูปร่างหน้าตาให้อยู่ในระดับคนธรรมดาได้เลย

 

“เคนเนธ ส่งเสียงดังแบบนั้นมันรบกวนคนอื่นนะ” 

          ชินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เคนเนธใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเคนเนธจนเจ้าตัวร้องออกมา แต่ครั้งนี้เขายอมรับว่าตัวเองผิดจริง จึงหันไปพนมมือขอโทษประชาชีที่อยู่รอบ ๆ แต่ทุกคนก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรกันหมด

 

“ต้องขอบคุณที่ทุกคนใจดีเลยนะ นี่เผลอ ๆ นายอาจจะถูกตำรวจจับได้เลยนะ” เกวนว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับท่าทางไม่สมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายของเคนเนธ

“นั่นสิครับ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองควรจะระวังให้มากกว่านี้สิ” จินเอ่ยด้วยสีหน้าธรรมดาไร้ความรู้สึก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ควรทำและเป็นเรื่องธรรมดา

          แต่การตอบกลับแบบนั้นมันก็ไม่ต่างกับการด่าเคนเนธว่า ‘ไม่มีจิตสำนึกของคนปกติ’ นั่นแล

          หากเป็นคนอื่นก็คงจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าได้ง่าย ๆ แต่สำหรับจุดนี้ต้องขอบคุณเคนเนธที่ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น จึงไม่เข้าใจว่าจินกำลังแอบด่าเขาอยู่

 

“แล้วหลังจากนี้เราต้องไปไหนต่อเหรอคะ?” ซูซานเอ่ยถามเด็กสาวเอลฟ์ผมเงินที่อยู่เยื้องหน้าของตัวเองเพราะเธอเป็นคนถือกระดาษแสดงกำหนดการเดินทาง แน่นอนว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโอลิเวีย ทว่าเจ้าตัวก็ตอบกลับซูซานในทันทีโดยที่ไม่ต้องหยิบกำหนดการในกระเป๋ามาดูเสียด้วยซ้ำ

“นำของไปเก็บที่โรงแรมค่ะ นึกว่าคุณที่เป็นคณะกรรมการจะจำได้ซะอีกนะคะ”

          เรื่องของเคนเนธจบไปก็ดูเหมือนว่าเรื่องของโอลิเวียก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          เพราะแทนที่โอลิเวียจะตอบคำถามของซูซานกลับไปดี ๆ เธอกลับพูดเป็นเชิงประชดประชันแถมด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเสียจนน่าขนลุก แต่แน่นอนว่านั่นไม่มีผลกับซูซานเลยสักนิด ซูซานแทบจะไม่เสียรอยยิ้ม (เสแสร้ง) ที่เผยออกมาตลอดการเดินทางนี้เลยด้วยซ้ำ

 

“ก็แหม! สมองของฉันมันมีจำกัดนี่คะ อุตส่าห์มาทัศนศึกษาทั้งทีฉันก็อยากจะจำแต่เรื่องสนุก ๆ นี่นา”

          ซูซานตอบกลับพลางวาดแขนเป็นวงกลมราวกับเป็นลูกข่าง ท่าทางของเธอร่าเริงเสียจนเกือบจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับเคนเนธ แต่อาจเป็นเพราะเธอแสดงความไร้เดียงสาออกมาได้อย่างนุ่มละมุล เธอถึงได้ดูน่ารักและน่าทะนุถนอมมากกว่าน่าหงุดหงิดเหมือนกับเคนเนธก่อนหน้านี้

 

“ทางคุณโอลิเวียก็เถอะ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งที เอาแต่ทำหน้าเคร่งเครียดมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอานะคะ” อย่างไรก็ดี ซูซานเองก็มีศักดิ์ศรีที่ไม่อาจยอมแพ้อะไรได้ และสำหรับซูซาน… สำหรับชงหยวนแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นโอลิเวีย เธอยิ่งไม่อาจมองข้ามได้ไปใหญ่

“ก็เราเป็นคณะกรรมการนี่คะ การสละเวลาส่วนตนเพื่อมอบความสุขให้กับนักเรียนคือหน้าที่ของพวกเรานะคะ” แต่แน่นอน สำหรับโอลิเวียเอง ซูซาน… ชงหยวนก็เป็นคนที่เธอไม่อาจปล่อยผ่านให้ชนะได้เช่นเดียวกัน

“แบบนั้นมันค่อนข้างจะเป็นทัศนคติที่คับแคบไปหน่อยนะ เคร่งคัดขนาดนี้เดี๋ยวก็หาแฟนยากหรอกค่ะ”

“เรื่องนั้นไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยค่ะ”

          แล้วทั้งสองคนก็เริ่มประชันฝีปากอีกครั้ง ก่อนจะจบด้วยการจ้องตากันจนเกิดประกายไฟฟ้าแลบราวจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้

          ต้องบอกว่าการทะเลาะและประชดประชันกันของทั้งสองคนแทบจะทำให้คนในกลุ่มอย่างเคนเนธ เกวนและจินเคยชินไปเสียแล้วตลอดช่วงที่ผ่านมา แต่ที่น่าขันคือเหล่านักเรียนคนอื่นเองก็เริ่มชินกับความสัมพันธ์ของโอลิเวียกับซูซานในตอนนี้ไปด้วยแล้ว หนำซ้ำช่วงหลัง ๆ ยังถูกนำไปสร้างข่าวลือแปลก ๆ ในทำนองว่า ‘ทั้งสองคนกำลังแย่งตัวชินอยู่’ หรืออะไรทำนองนั้นตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

 

“ไปกันเถอะทุกคน แท็กซี่มาแล้วนะ”

          แต่ที่น่าแปลกใจที่สุด… ก็คงเป็นท่าทางของชินที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับทั้งข่าวลือและการโต้วาทีของโอลิเวียกับซูซานนี่แหล่ะที่ทำให้ทุกคนเผลอยิ้มแห้ง ๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ตอนนี้ที่รถแท็กซี่มาถึงคิวของตัวเอง เขาก็ยังเรียกทุกคนในกลุ่มขึ้นรถด้วยสีหน้าธรรมดา ราวกับว่าเรื่องที่สองคนนั้นทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติยังไงอย่างงั้น

          …ซึ่งแน่นอนว่าคนที่รู้ ว่าการโต้ฝีปากกันระหว่างโอลิเวียกับซูซาน… กับชงหยวนนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่หาดูได้ทุกวัน ก็คงมีแค่ชิน โอลิเวียและตัวชงหยวนที่ทำเรื่องนี้จนเป็นกิจวัตรตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วเท่านั้นที่รู้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังรอคอยกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดการทัศนศึกษาที่ฝรั่งเศสก็เริ่มขึ้น สำหรับชินกับโอลิเวียคงไม่ได้ตื่นตากับการเดินทางระหว่างประเทศเท่าไหร่นัก ซึ่งหากจะพูดเช่นนั้น เกวน ซูซานและจินเองก็เคยชินกับการเดินทางข้ามประเทศด้วยเหตุผลคล้ายคลึงกัน ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวต่างประเทศในกลุ่มของชินคงจะมีแค่เคนเนธคนเดียว กระนั้นปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมาตอนอยู่ในเทอร์มินัลของสนามบินก็ไม่ใช่เรื่องปกติอยู่ดี

          แต่อย่างไรก็ดี การเดินทางระหว่างประเทศไม่ได้หมายรวมถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจของแต่ละประเทศ กล่าวคือแม้จะเคยเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต่หากได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่ไม่เคยไป หรือไปด้วยบทบาทที่ต่างจากเดิม มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

          นั่นถึงเป็นเหตุผลที่ชินมองลอดผ่านหน้าต่างของรถแท็กซี่เชยชมทัศนียภาพที่มีอยู่แม้จะเป็นครั้งที่เขาเคยมาในนามของแองกริคราวน์ซึ่งเป็นผู้ล้างแค้น พอมาคิดดูคงเป็นเพราะชินถูกความรู้สึกพวกนั้นบดบังทำให้ความงดงามของสิ่งปลูกสร้าง ธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนสะท้อนมาไม่ถึงหัวใจที่มืดมิดของเขาในตอนนี้ คิดแบบนั้นชินก็เผลอเลื่อนสายตากลับมามองโอลิเวียที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วก็สบเข้ากับรอยยิ้มดีอกดีใจของเธอเข้า ถึงได้ทำให้เข้าใจ ว่าโอลิเวียเองก็รู้สึกเป็นกังวลมาตลอดในเรื่องที่ชินเอาแต่หมกมุ่นกับ ‘สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นหน้าที่ของตัวเอง’ จนลืม ‘ความสุขของตัวเองไป’

          เห็นแบบนั้นชินก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับทั้งด้วยความรู้สึกผิดและซึ้งใจขอบคุณกับความเป็นห่วงนั้นของเธอ เขาจึงกลับไปมองทิวทัศน์พวกนั้นอีกครั้ง ตลอดจนกระทั่งถึงโรงแรมอันเป็นที่พักของเหล่านักเรียนเลยทีเดียว

 

          หลังจากทั้งกลุ่มลงมาจากรถแท็กซี่สำหรับผู้โดยสาร 6 คน (เป็นแบบมีเบาะนั่งสองเบาะหันเข้าหากันนั่งได้เบาะละ 3 คน)

          พวกเขา 6 คนยังคงเชยชมวิวทิวทัศน์อยู่ จะมีข้อยกเว้นก็แค่ชิน โอลิเวียและจินที่พยายามสอดส่องนักเรียนคนอื่น ๆ ในฐานะของคณะกรรมการนักเรียน เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าสู่ที่พัก ไม่ได้แอบออกไปเที่ยวไหนต่อไหนตามอำเภอใจ ซึ่งอันที่จริงซูซานก็มีหน้าที่นั้น แต่เจ้าตัวก็ดันเอาแต่มองนู่นนี่นั่นอย่างสนุกสนานไปพร้อม ๆ กับเคนเนธไปเสียแล้ว ภาพแบบนั้นเห็นเสียจนชินตาในระหว่างที่ทำงานด้วยกันทำให้โอลิเวียที่มักจะเตือนเธอบ่อย ๆ ยังรู้สึกหน่ายไม่แม้แต่กับจิน ทางเกวนเองก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ รับสภาพ

 

“ทุกคนมากันหมดแล้ว พวกเราเองก็เข้าไปเช็คอินกันเถอะ”

          ชินเป็นคนกล่าวขึ้นมาแบบนั้น แต่อันที่จริงซูซานกับเคนเนธวิ่งเข้าไปในตัวโรงแรมก่อนหน้าทุกคนเสียอีกราวกับความเป็นเด็กในตัวของทั้งสองคนถูกปลุกขึ้นมายังไงอย่างงั้น ส่วนเกวนก็ต้องตามเข้าไปด้วยโดยปริยายเพราะไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะก่อเรื่องอะไรรึเปล่า รวมถึงจินที่ตามประกบซูซานติด ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกันอยู่ครึ่งนึง

          ด้วยเหตุนั้น คนที่ตามชินเข้าไปจึงมีแค่โอลิเวียคนเดียว

 

          โคมระย้าประกายแสงสีเหลืองทองอร่ามเต็มฝ้าโถงกลาง รวมไฟประดับที่ดูตระการตาโดยรอบราวกับเป็นงานเลี้ยงเต้นรำในราชวัง ความหรูหรามีระดับของพรมทางเข้านำไปสู่เคาน์เตอร์ทำให้ลูกค้าทุกคนที่เข้าพักรู้สึกว่าตัวเองนั้นพิเศษ

 

“หนก่อนที่เรามาก็เป็นที่นี่เหมือนกันสินะคะ” โอลิเวียเอ่ยด้วยความประทับใจแม้จะเคยมาเป็นหนที่สอง ซึ่งชินเองก็พยักหน้ารับด้วยความคิดเห็นแบบเดียวกัน

“นั่นสินะ ถึงจุดประสงค์จะเป็นคนละอย่างกันก็เถอะ”

“เอ๊ะ?”

“?”

          กับชินที่พูดออกมาโดยไม่ทันคิด ทำให้โอลิเวียส่งเสียงประหลาดใจ ทันใดนั้นชินก็รู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดวิสัยและ ‘ความตั้งใจที่แท้จริง’ ที่เขากับโอลิเวียมาฝรั่งเศส นั่นถึงทำให้ชินพยายามปรับลมหายใจของตัวเองเสียใหม่ก่อนจะเดินนำโอลิเวียเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน

          ในขณะที่เดินตามหลังชินมันทำให้โอลิเวียคิดย้อนกลับไปถึงเหตุผลหลักที่ชินกับเธอมายังฝรั่งเศส นั่นก็เพราะมีเบาะแสของคนที่น่าจะเป็นคนสวมหน้ากากตัวตลกผู้ที่ปรากฏตัวและเข้ามาต่อสู้กับชินไม่กี่วันก่อนหน้านี้ และเชื่อได้ว่าตัวจริงของเขานั้นอาศัยอยู่ที่เขตประเทศนี้

          เรื่องที่ว่าทำไมถึงปรากฏตัวเอาเสียตอนนี้ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีเจตนาซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นค่อยว่ากันอีกที เพราะอย่างไรเสีย ชินก็ตั้งใจจะเผชิญหน้ากับตัวตลกคนนี้อยู่แล้ว เพราะมันคือสิ่งที่ชินพลิกแผ่นดินหามาตลอด 10 กว่าปี

          …แต่ทั้ง ๆ แบบนั้น ตัวชินที่ซึมซับทัศนียภาพอันตระการตา รวมถึงความงดงามของวิถีชีวิต ได้พูดออกมาในทำนองที่ว่า ‘เขามาที่นี่เพื่อที่จะพักผ่อน’ แทนที่จะเป็น ‘เขามาที่นี่เพื่อที่จะล้างแค้นศัตรู’ ไปเสียอย่างนั้น จึงเห็นได้ชัดเลยว่าแท้จริงแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจ ชินเองก็ไม่ได้ปรารถนาการล้างแค้นเป็นพื้นฐานของจิตสำนึก ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดแบบนั้นออกมา

 

ในฐานะข้ารับใช้ ไม่สิ… ในฐานะคนที่อยู่เคียงข้างชินมาตลอด เราควรจะทำยังไงดีนะ

          โอลิเวียตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นในขณะที่เดินตามชินเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน โดยที่ยังหาคำตอบไม่ได้

 

❖❖❖❖❖

 

          หลังจากนั้นนักเรียนทุกคนก็ถูกแบ่งให้ไปอยู่ตามห้องที่จัดไว้แล้ว ส่วนรูปแบบคือไม่เกิน 3 ห้อง และแน่นอนว่าแยกชายหญิงไม่มีการคละกัน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี อาจารย์ทุกคนเองก็ปฏิบัติด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน

          สำหรับกลุ่มของชินและโอลิเวียจึงถูกแยกเป็น โอลิเวีย เกวนและซูซานอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนชิน เคนเนธและจินอยู่ห้องเดียวกัน

          ตามกำหนดการณ์แล้ว นี่จะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนหลังเดินทางก่อนที่จะทานอาหารกลางวันที่จัดเตรียมโดยโรงแรมนี้ ก่อนที่จะออกเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกนั่นคือพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ด้วยเหตุนั้น ตอนนี้ชิน เคนเนธและจินจึงกำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรม

 

          หากว่าการตามหลักการ อันดับแรกที่ต้องทำหลังจากที่มาถึงที่พัก ย่อมต้องเป็นการจัดเสื้อหาที่ขนมา รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ยังชีพต่าง ๆ ที่เป็นของส่วนตัวอย่างแปรงสีฟัน รองเท้าสำหรับใช้เปลี่ยน ก่อนเป็นอันดับแรก

          ทั้ง ๆ แบบนั้น… เคนเนธกลับแหกกฎที่ว่าในทันทีที่เข้ามาในห้องพัก เขาถอดรองเท้าออกก่อนจะกระโดดใส่เตียงตัวกลางแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างสำราญใจไปเสียอย่างนั้น

 

“นายนี่ซื่อตรงจริง ๆ เลยนะให้ตายสิ” ชินเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนกับเพื่อนสนิทที่อยู่ง่ายกินง่ายคนนี้

“ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่นา! เคล็ดลับของความสุขคือการมีความสุขยังไงล่ะ!”

“ย้อนแย้งชะมัดเลยนะ”

          ชินตบมุกไปพลางวางกระเป๋าตัวเองลงแล้วเริ่มจัดของไปพลาง ในขณะเดียวกับที่หันไปพูดคุยกับจินด้วย

 

“นายจะนอนเตียงไหนเหรอจิน?”

“ผมนอนเตียงไหนก็ได้นะ” เจ้าตัวตอบกลับมาแบบนั้นด้วยความเกรงใจเล็ก ๆ

          แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะหากสถานการณ์กลับกันให้ชินกลายเป็นคนที่ต้องมาร่วมห้องกับคนสองคนที่สนิทกัน คงรู้สึกแปลกแยกเป็นธรรมดา

          …นอกเสียจากว่า การที่จินเกรง ๆ จะมีสาเหตุมาจากการที่เขาระมัดระวังการเคลื่อนไหว ไม่ให้มากเกินไปเสียจนชินรู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามอง

          แต่หากเป็นกรณีนั้นชินคงรู้สึกเสียดายแย่ เพราะชินรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังจับตามองดูเขาอยู่

 

“งั้นฉันขอนอนเตียงในสุดแล้วกัน” 

          ชินพูดแบบนั้นพร้อมกับย้ายกระเป๋าส่วนตัวของตัวเองเข้าไปฝั่งที่ใกล้กับห้องน้ำที่สุดและไกลจากหน้าต่างที่สุด หากจะพูดถึงเรื่องวิวทิวทัศน์และกลิ่น นี่คงเป็นเตียงตัวสุดท้ายที่ทุกคนนึกอยากจะเลือก

 

“ขอบใจนะ” จินเอ่ยตอบกลับ เขาเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่คงไม่อาจคาดเดาได้ว่ามาจากใจจริงรึไม่สำหรับชิน

“ว่าแต่พวกนายเนี่ย อุตส่าห์ได้มาเที่ยวแท้ ๆ ไหงดูไม่ค่อยตื่นเต้นกันเลยล่ะ”

          สำหรับเคนเนธแล้ว ปฏิกิริยาของชินและจินคงเล็กน้อยเกินไปสำหรับความประทับใจที่มีให้กับปารีส

          แต่อันที่จริง… หากเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว ชินกับจินก็แสดงออกต่ำกว่ามาตรฐานนิดหน่อยเท่านั้น ด้วยเหตุนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่เคนเนธคิดเองเออเองเสียมากกว่า

 

“นายเองนั่นแหล่ะ ตื่นเต้นเกินไปหน่อยแล้วมั้ง” ชินว่าแบบนั้นก่อนจะนั่งลงข้างเตียงยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเคนเนธที่นอนกลิ้งบนเตียงมองมายังเขาแบบกลับหัว

“อะไรกัน ก็ใช่ว่าจะได้มาเที่ยวบ่อย ๆ นี่นา! หรือว่าพวกนายมาบ่อยรึไง?”

“ฉันก็มาครั้งแรกเหมือนนายนั่นแหล่ะ”

“เอ๋……” เคนเนธลากเสียงยังกับไม่เชื่อ พร้อมกับที่กลิ้งตัวเลื่อนสายตาไปมองจินราวกับต้องการถามคำถามอย่างเดียวกัน

“ผมเองก็เพิ่งเคยมาเหมือนกัน” จินว่าพลางยักไหล่

          คำตอบของทั้งสองคนทำให้เคนเนธทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจ

 

“ให้ตายสิพวกนายเนี่ยน้า ทั้งที่มีของสวย ๆ งาม ๆ อยู่ตรงหน้าแท้ ๆ… ไม่รู้เอาจิตเอาใจไปไว้ที่ไหนกันนะ พวกฉลาด ๆ แบบพวกนายนี่มันจริง ๆ เลย!”

          สำหรับเคนเนธแล้ว คงมองเพียงแค่ว่าชินกับจินเป็นประเภทที่ขยันเรียน มองการไกล และคงกำลังเอาแต่คิดเรื่องอนาคตของตัวเองจนไม่ค่อยสนใจเที่ยว …ซึ่งแม้จะไม่ใช่อย่างนั้นแต่ก็นับว่าใกล้เคียงทีเดียว ทำเอาชินรู้สึกขนลุกในลางสังหรณ์ของเพื่อนสนิทคนนี้เลยทีเดียว

          ทันทีที่พูดจบ เขาก็โดดลุกออกจากเตียงไปทางม่านหน้าต่างของห้อง แล้วเปิดม่านหน้าต่างตัวใหญ่จนแสงลอดเข้ามาในห้อง

          

“ดูซะสิ! ขืนมัวแต่หวังกับความสุขในอนาคตที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่หรือจะมาถึงไหม สู้มีความสุขกับเรื่องตรงหน้านี่สักหน่อยมันจะเสียหายตรงไหนกันเล่า” 

          เคนเนธกล่าวแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะผายมือชี้ชวนทั้งสองคนให้มองดูวิวนอกหน้าต่างซะบ้างอย่ามัวแต่คิดนู่นนี่นั่นทั้งที่อุตส่าห์ได้มาเที่ยวแท้ ๆ

 

          แสงแดดนั้นสำหรับชินและจินแล้วมันค่อนข้างแสบตาทีเดียวถึงขั้นตกหรี่ตาและยกมือขึ้นบังในพริบตาแรก จนทำให้มองไม่เห็นทิวทัศน์อันสวยสดงดงามดังที่เคนเนธเชื้อเชิญ และหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาเคยชินกับ ‘ความมืด’ มากกว่าจนทำให้ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ ‘แสงสว่าง’ ได้

          …แต่ไม่รู้ว่าที่พวกเขาแสบตานั้น มีต้นเหตุมาจากแสงแดดหรือตัวเคนเนธเองกันแน่

 

❖❖❖❖❖

 

———— ในเวลาเดียวกัน , ตึกแห่งหนึ่ง ห่างจากโรงแรมที่ชินเข้าพักราว 2 กิโลเมตร

          ตึกที่ตั้งห่างออกมาจากโรงแรมที่ชินอยู่ มองจากภายนอกมีลักษณะคล้ายตึกสำนักงานทั่วไป ดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งสำหรับใครบางคนหากต้องการจะทำการกิจที่ไม่สะดุดตาคนแล้ว นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

          ทั้งตึกราวกับว่าไม่มีใครอยู่ด้วยความเงียบงัน ทั้งยังไร้ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ใช้งานภายในตึก  เนื่องจากมีเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้นที่กำลังถูกใช้งานอยู่ในสุด แถมห้องดังกล่าวยังใช้เครื่องปั่นไฟสำรองเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยในการใช้งานอีกต่างหาก

          ในห้องที่กำลังถูกใช้งานดังกล่าวมีคนจำนวนหนึ่งสวมชุดสูททางการกำลังใช้งานคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแบบล้ำสมัยอยู่ 9 คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ดูเจนศึกและจริงจังเกินกว่าจะเป็นงานออฟฟิศทั่วไป ทั้งคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คภายในเองก็ถูกเข้าระบบไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยแก่คนทั่วไปได้

 

“ยืนยันข้อมูล… ‘เป้าหมาย’ เข้าพักโรงแรมตามกำหนดการแล้ว”

          ชายคนหนึ่งยืนยันข้อมูลจากทางหูฟังแล้วประกาศข้อมูลดังกล่าวไปพร้อม ๆ กับประมวลผลข้อมูลในหน้อจอไปพร้อมกัน

          พอได้ยินดังนั้น หญิงสาวผมหยักศกยาวสีน้ำตาลเข้มผู้สวมชุดสูทแบบมีผ้าคลุมเพียงคนเดียวก็ยืนขึ้นในทันทีพร้อมกับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ใช้กันในสมัยก่อนออกมา มันถูกเข้ารหัสอย่างซับซ้อนและสามารถใช้งานการสื่อสารผ่านดาวเทียมแบบจำเพราะเพื่อไม่ให้ถูกดักฟังได้ง่าย

          เธอกดเบอร์ที่ถูกบันทึกไว้อยู่แล้วบนหน้าจอพลางงหย่อนก้นลงบนโต๊ะทำงาน

 

“ ‘ฯพณฯ’(พณท่าน) นี่ ‘รูธ’ ทราบแล้วเปลี่ยน… ยืนยันข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เป็นจริง จะเอายังไงต่อเหรอคะ” เธอว่าแบบนั้นพลางกดออกรอรับคำสั่งจากปลายสาย การสับเปลี่ยนขามานั่งไขว่ห้างทำให้ลูกน้องชายหลาย ๆ คนแอบเหล่มองเธออยากไม่อาจเลี่ยงด้วยสัดส่วนร่างกายแสนดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน

          มีไม่กี่คนที่ถูกเสน่ห์ดึงดูดในพริบตาแต่ได้สติแล้วกลับไปทำงานต่อ คนจำพวกนั้นจะได้ทำงานกับเธอต่อ ส่วนคนที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสในใจจนทำการคุกคามทางเพศเจ้าตัวทางสายตาย่อมจะตกงานตั้งแต่วันนี้

          อย่างไรก็ดี… พวกเขาเหล่านี้ที่กำลังรับคำสั่งไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะต่อให้พวกเขาเป็นหัวกะทิที่ถูกเลือกมาจากหน่วยข่าวกรอง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ ‘ทุกอย่าง’

          อย่างน้อยคน ๆ เดียวที่รู้เรื่อง ก็คงมีแค่หญิงสาวที่แทนตัวเองว่า ‘รูธ’ คนนี้คนเดียว

 

‘เห… น่าแปลกเหมือนกันนะครับเนี่ยที่ข้อมูลถูกต้องตรงเผงง่าย ๆ แบบนี้ มันจะเป็นกับดักรึเปล่านะครับเนี่ย’

          เสียงที่ดังลอดออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ ผู้ที่หญิงสาวอายุราว 20 ปลาย ๆ พูดคุยอย่างให้ความเคารพกลับกลายเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้ชายอายุน่าจะอยู่ที่ 10 ขวบปลาย ๆ หรืออย่างมากก็ไม่น่าเกิน ม.ต้นเสียด้วยซ้ำ

          แต่ที่น่าแปลกก็คือรูธไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกต่างหาก

 

“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว” รูธตอบแบบไม่ต้องคิด

‘อืม… แต่ข้อมูลที่ได้มาอุตส่าห์เป็นเรื่องจริงทั้งที จะไม่เอามาใช้ประโยชน์มันก็ยังไงอยู่นา’ 

          เด็กหนุ่มใช้น้ำเสียงเหมือนกับครุ่นคิด แต่รูธรู้ดีอยู่แล้วว่านั่นไม่จริง เขาคนนี้ต้องคิดไว้ล่วงหน้าไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแบบไหนอยู่แล้ว แต่ทั้งอย่างนั้นเด็กชายคนนี้ยังมาทำท่าทางราวกับตัวเองเป็นเด็กสมวัยอย่างน่าหงุดหงิด นั่นถึงทำให้รูธถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

 

“แล้วคิดจะเคลื่อนไหวยังไงต่อล่ะคะ? เพราะดูเหมือน ‘ท่านฮ่องเต้’ เองก็อยู่ที่นั่นด้วยนะ… แบบนี้จะไม่เป็นการผิดสนธิสัญญาหรอกเหรอ?”

‘ทำเป็นไม่รู้เรื่องเหมือนทุกทีก็ได้นี่ครับ และอันที่จริง นี่มันก็ไม่ใช่การผิดสัญญา ‘ทางตรง’ซะหน่อย’ เด็กชายตอบแบบไม่ต้องคิดอะไร นั่นทำให้รูธรู้สึกกลัวอยู่หน่อย ๆ และคงไม่ทำสัญญาอะไรกับเด็กคนนี้ไปพักใหญ่ ๆ

“งั้นแสดงว่าให้ ‘แหย่’ แบบที่ไม่เกินงามเป็นพอสินะคะ”

‘สมเป็นคุณรูธเลยครับ ตามนั้นเลย!’

          รูธพูดสิ่งที่เด็กหนุ่มตั้งใจจะบอกก่อนหน้าที่เขาจะบอกออกมาเองเสียอีก

          จะด้วยความที่ทำงานร่วมกันมานานหรือเป็นเพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม แต่การที่รูธเข้าใจความคิดของเด็กผู้ชายคนนี้ในระดับหนึ่งนี่แหล่ะที่เป็นตัวแปรหลักที่เธอได้รับความไว้วางใจจากเด็กชาย

 

          แต่อย่างไรก็ดี สำหรับบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยมีคนกลุ่มนี้เป็นสาเหตุ ดูท่าแล้วจะไม่ได้มีผลดีต่อทางชงหยวน 

          และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง… ดูแล้วจะเป็นผลเสียกับทางชินเสียด้วยซ้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+