ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 111 เนื้อหาในแผ่นหยก

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 111 เนื้อหาในแผ่นหยก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 111 เนื้อหาในแผ่นหยก

สวี่ชิงไม่เคยงกหินวิญญาณที่ใช้สำหรับฝึกบำเพ็ญเลย แต่สำหรับการใช้ชีวิตกลับประหยัดมาก

ต่อให้เคยได้ผลเก็บเกี่ยวอย่างอุดมสมบูรณ์มา อาหารเช้าก็แค่กินไข่เพิ่มขึ้นอีกสามฟองเท่านั้น

ดังนั้นประกาศจับคนร้ายในเมืองหลักเขาย่อมรู้อย่างละเอียด แม้แผ่นหยกประกาศจับจะมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่ในทุกช่วงระยะหนึ่ง แต่เขาล้วนจำรายละเอียดไว้ในใจ

ถึงอย่างไรหินวิญญาณต่อให้น้อยแค่เพียงใดก็คือหินวิญญาณ อีกทั้งหากโชคดีก็อาจจะได้ของอื่นเพิ่มขึ้นอีกจากในถุงเก็บของของอีกฝ่ายได้ด้วย

ดังนั้น ตอนนี้มองเพียงปราดเดียวก็จำตัวตนของศพข้างหน้าได้ทันที อีกฝ่ายมาจากกลุ่มโจรสลัดใดสักกลุ่มหนึ่งในทะเล ราคาประมาณสิบห้าก้อนหินวิญญาณ

จำนวนหินวิญญาณขนาดนี้สำหรับสวี่ชิงในวันนี้อาจจะไม่นับเป็นอะไร แต่จินตนาการได้ว่าสำหรับเด็กหนุ่มใบ้แล้วเป็นทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล

ทรัพย์สินราคาเช่นนี้ อีกฝ่ายกกลับมอบให้กับตน…

สวี่ชิงหรี่ตา มองไปทางเด็กหนุ่มใบ้ที่จากไป

เขาย่อมมองออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจมารอตนที่นี่โดยเฉพาะ จุดประสงค์…เหมือนว่าจะมอบคนร้ายประกาศจับคนนี้ให้

“มีกลลวงหรือ” สวี่ชิงพึงพำ ไม่สนใจคนร้ายประกาศจับที่อยู่แนบเท้า แต่เดินจากไปไกล ไม่นานเงาร่างก็หายไปจากถนน

หลังจากที่เงาร่างของเขาจากไปไกลแล้ว ศพคนร้ายประกาศจับที่อยู่บนพื้นก็สร้างความสนใจให้กับผู้คนสัญจรรอบๆ ส่วนมากล้วนหลีกไปไกล แต่ว่ามีลูกศิษย์บางคนที่เมื่อเห็นศพแล้วก็ตาเป็นประกาย สำรวจครู่หนึ่งกำลังจะเข้าไปใกล้

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาเข้าไปใกล้ เงาร่างผอมแห้งแต่กลับปราดเปรียวเหมือนสุนัขจรจัดก็พุ่งตัวจากตรอกข้างๆ มาปรากฏอยู่ข้างศพทันที

นั่งย่อตัวอยู่ตรงนั้น แววตาฉายความโหดเหี้ยมออกมาเหมือนหวงอาหาร มองคนรอบๆ ที่คิดจะเข้ามาใกล้อย่างดุร้าย

ฟันของเขาเหมือนผ่านการขัดลับมาก่อน ไม่เหมือนกับคนปกติทั่วไป ตอนนี้อ้าปาก ฟันที่เหมือนกับเลื่อยก็แผ่ความดุร้ายออกมา ทำให้ผู้บำเพ็ญที่เดินมารอบๆ ต่างหยุดชะงักฝีเท้า

ประจันหน้าครู่หนึ่ง เมื่อลูกศิษย์รอบๆ กวาดตาไปยังร่องรอยที่ถูกกัดตายทั้งเป็นบนศพ ทุกคนก็ต่างเลือกที่จะถอยไป เหลือเพียงเด็กหนุ่มใบ้ที่นั่งย่อตัวอยู่ข้างศพค่อนข้างเหม่อลอย สีหน้าแฝงด้วยความสับสนและห่อเหี่ยวนิดๆ อย่างน้อยนักที่จะมี

เวลาไหลไปเช่นนี้ ไม่นานนักพลบค่ำก็ย่ำมาเยือน เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างศพก็อยู่ตรงนั้นโดยตลอด จวบจนความมืดเข้าปกคลุม เขาถึงได้คว้าศพลากเข้าไปในตรอกอย่างเงียบๆ เดินตามมุมกำแพงกลับมายังที่พักอาศัยของตัวเอง

สถานที่เขาพักอาศัยไม่ใช่เรือเวท แต่เป็นห้องเล็กๆ เรียบง่ายแห่งหนึ่ง

ค่าใช้จ่ายทุกเดือนของที่นี่เทียบกับท่าจอดเรือแล้วน้อยกว่ามาก ตอนนี้เขาเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ไม่ได้เข้าทางประตู แต่เดินอ้อมรอบหนึ่งแล้วผลักหินที่อุดเอาไว้ตรงกำแพงข้างหลัง ก่อนจะมุดเข้าไป

เขาถอนหายใจยาวในห้องเล็ก นั่งย่อตัวอยู่ในมุมมืดเงียบๆ ทำให้สายตาของตัวเองสามารถมองเห็นทั้งหน้าต่างและประตูในเวลาเดียวกัน หลังจากเหม่อลอยครู่หนึ่ง เขาก็ก้มมองศพคนร้ายประกาศจับที่อยู่ข้างๆ ความผิดหวังในสีหน้ายิ่งแจ่มชัด

นานหลังจากนั้น เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะคลำๆ ไปบนร่างของคนร้ายประกาศจับ

เหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตรวจสอบถุงหนังของคนร้ายประกาศจับคนนี้ ตอนนี้เมื่อเอามันมาเปิดดูแล้ว แววตาก็ฉายความประหลาดใจออกมา ได้หินวิญญาณตั้งสามก้อน

เขากำมันเอาไว้ มองรอบๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีปัญหาถึงได้เก็บหินวิญญาณลงไป ทั้งยังนับเงินสะสมของตัวเองอย่างละเอียด ทั้งหมดมีเจ็ดสิบเจ็ดก้อน

หลังจากนับเรียบร้อย เขาก็นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น สีหน้ากลับมาผิดหวังอีกครั้ง สุดท้ายก็เอาหินหยาบๆ ก้อนหนึ่งออกมา อ้าปากแล้วเริ่มลับฟันของตัวเองให้มันคมขึ้นไปอีก

เพียงแต่ตอนนี้เขาที่มีพลังบำเพ็ญเพียงระดับรวมปราณขั้นสามเท่านั้นจึงไม่อาจสัมผัสได้เลยว่า ข้างนอกห้องเล็กของเขาตอนนี้ สวี่ชิงกำลังยืนอยู่ตรงนั้น มองทุกการกระทำของเด็กหนุ่มใบ้อย่างเย็นชา

สวี่ชิงเป็นคนระมัดระวังรอบคอบ ต่อให้พลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายสู้ตัวเองไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงระมัดระวังเช่นเดิม

และเรื่องเมื่อเช้าสำหรับเขาแล้วมีเพียงสองกรณีเท่านั้น กรณีแรกคืออีกฝ่ายจะมอบของกำนัลให้ตนจริงๆ ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือมีเป้าหมายอื่น

ในโลกาวินาศที่โหดร้ายนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดังนั้นเขาไม่มีทางรับของกำนัลนี้ แต่หลังจากที่จากไปแล้วก็หลบซ่อน แอบสังเกตเพื่อตัดสินใจว่าจะลงมือหรือไม่

‘เป็นเพราะเมื่อหลายวันก่อนตอนที่ได้เจอเขากลัวข้า ดังนั้นจึงมาประจบประแจงเช่นนั้นหรือ’ สวี่ชิงหรี่ตา มองเด็กหนุ่มในห้อง ผลักประตูเดินเข้าไป

และในเสี้ยวพริบตาที่เขาเดินเข้าไป เด็กหนุ่มที่มุมกำแพงก็แยกเขี้ยวทันที ทั้งคนเหมือนจะปะทุขึ้นมา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นสวี่ชิง ร่างของเขาก็พลันสั่นสะท้าน ความหวาดกลัวในแววตารุนแรงจนถึงขีดจำกัดสูงสุด นิ่งไม่ไหวติง

“เจ้าเห็นอะไร” สวี่ชิงโยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งไป ยืนอยู่หน้าประตู เอ่ยถามเนิบนาบ

แสงจันทร์สาดมาบนร่างของเขา ทำให้เงาของเขาทอดตัวไปในห้อง ใกล้กับเจ้าใบ้น้อยมาก

ตัวเจ้าใบ้น้อยแนบชิดติดไปกับกำแพง รับแผ่นหยกมา

คำถามนี้นายกองเคยถามมาก่อน เรื่องที่ต่อให้ตายเขาก็ไม่พูด ในตอนนี้กลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยประทับสิ่งที่อยากจะพูดลงไปในนั้น แล้วยื่นให้สวี่ชิงอย่างระมัดระวังกิริยา

สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา หลังจากบรรจุพลังวิญญาณเข้าไปกวาดดูแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

ทั้งตัวและแววตาของเขาฉายประกายเย็นเยียบ หลังจากมองเจ้าใบ้น้อยอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้ว ก็หยิบหินวิญญาณแปดก้อนออกมาแล้วโยนไป ก่อนจะหมุนตัวจากมา

เจ็ดสิบเจ็ดบวกสิบห้าบวกแปดเท่ากับหนึ่งร้อย นี่เป็นจำนวนที่สามารถแลกเรือเวทลำหนึ่งได้

จนกระทั่งเดินจากมาไกล มือขวาของสวี่ชิงก็ยังคงกำแผ่นหยกเอาไว้แน่น เมื่อกลับมาถึงท่าจอดเรือ ในเสี้ยวพริบตาที่ก้าวขึ้นมาบนเรือเวท มือขวาของเขาก็พลันบีบแผ่นหยกกลายเป็นผุยผง

จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในห้องเรือด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ หลับตานั่งสมาธิ เริ่มฝึกบำเพ็ญ

หนึ่งคืนผ่านไป

เช้าวันที่สอง สวี่ชิงไปหาจางซานที่นั่นด้วยสีหน้าปกติ เอาธนูกลไกที่ได้มาจากบรรพจารย์สำนักวัชระไปส่ง ธนูกลไกนี้ก็ติดอยู่บนเรือเวทของเขาเรียบร้อยภายใต้การหลอมของจางซาน กลายเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สูสีกับคุณสมบัติเทพ

“เจ้าสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าเชียวนะ สวี่ชิง เรือเวทของเจ้าขอเพียงหาแหล่งกำเนิดพลังระดับสร้างฐานมาได้ ก็จะยกระดับจากเรือเล็กเป็นเรือเวทใหญ่แล้ว” ก่อนสวี่ชิงจะจากไป จางซานก็หัวเราะพลางเอ่ยปากขึ้น จากนั้นก็กวาดตาซ้ายขวา ส่งเสียงต่ำทุ้มถามออกไป

“สวี่ชิง การแข่งขันครั้งใหญ่เจ้าไปหรือไม่ น่าจะไม่กี่วันนี้แล้ว ข้าจะเตรียมการใหญ่สักหน ถ้าเจ้าไปล่ะก็ ถึงตอนนั้นพวกเรามาร่วมมือกันได้”

“ข้าจะไป” สวี่ชิงพยักหน้า

จางซานหัวเราะฮ่าๆ ไม่พูดอะไรมากอีก

สวี่ชิงประสานหมัดคารวะจากไป เดินอยู่ในท่าเรือ เขาสังเกตได้ว่าในร้านของยอดเขาต่างๆ ล้วนมีลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดกำลังจับจ่ายซื้อของ จำนวนมากกว่าปกติไม่น้อยเลย

ในขณะเดียวกัน เรือเวทที่กลับมายังท่าเรือก็มากกว่าแต่ก่อนเช่นกัน กระทั่งว่าตลอดทางมาเขายังเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยมากมาย แต่ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญของแต่ละคนอย่างน้อยๆ ก็ล้วนเป็นระดับรวมปราณขั้นแปดขั้นเก้ากันทั้งนั้น

กระทั่งว่ามีหลายคนที่ขั้นบริบูรณ์เหมือนกับเขา…

เห็นได้ชัดว่าลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเหล่านี้ ถ้าไม่เลือกที่จะปิดด่านฝึกบำเพ็ญเป็นส่วนใหญ่ก็ล่องเรือในทะเลอยู่ตลอด ตอนนี้ได้ยินเรื่องการแข่งขันครั้งใหญ่จึงพากันเดินทางกลับ

และรังสีอำมหิตในตัวพวกเขา สวี่ชิงเพียงกวาดตาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่ส่งมาจากในกระดูกได้อย่างชัดเจน

ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยินว่าช่วงนี้เผ่าวิญญาณเหนือแห่งหมู่เกาะปะการังตะวันตก เหมือนจะร้อนใจกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ในเวลาเดียวกับที่ขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่นๆ ก็ส่งทูตมาสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเพื่อทำการเจรจาหลายต่อหลายครั้ง

นี่ทำให้สวี่ชิงนึกถึงคำพูดที่นายกองพูดเอาไว้และการคาดเดาของตัวเอง

“เช่นนั้นแล้วเป้าหมายที่แท้จริงจะเป็นเผ่าเงือกหรือไม่” สวี่ชิงพึมพำ คืนวันนั้น ที่นอกเรือเขามีแขกที่คุ้นเคยคนหนึ่งมาเยือน

“สวี่ชิง สวี่ชิง เจ้ากลับมาแล้วก็ไม่บอกข้าเลย ไม่เห็นข้าหวงเหยียนคนนี้เป็นสหายใช่หรือไม่” นอกเรือเวท หวงเหยียนตะโกนเสียงดัง สีหน้าแฝงด้วยความไม่พอใจนิดๆ

สวี่ชิงได้ยินเสียงข้างนอก เดินออกมาเห็นหวงเหยียน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา

นับตั้งแต่ที่เขาอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงตอนนี้ก็ได้รู้จักคนมากมาย แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นมีเพียงน้อยคนนักที่ทำให้เขารู้สึกถึงความจริงใจ หวงเหยียนเป็นหนึ่งในนั้น

“กลับมาแล้วจัดการเรื่องจุกจิกบางอย่าง” สวี่ชิงอธิบาย

หวงเหยียนก็ไม่ได้สนใจ หัวเราะฮ่าๆ เดินมาที่ริมฝั่ง เหมือนครั้งที่แล้วที่มาหา เขาไม่ขึ้นไปบนเรือ ตอนนี้เมื่อนั่งลงแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำทุ้ม

“สวี่ชิง วันนี้ข้าไปรู้ความลับใหญ่มาเรื่องหนึ่ง!”

ได้ยินคำว่าความลับสองคำนี้ ในใจของสวี่ชิงก็ระมัดระวังขึ้นมาเล็กน้อย เขานึกถึงความลับราคาร้อยก้อนหินวิญญาณของนายกองขึ้นมา

ไม่รอให้สวี่ชิงพูดอะไร หวงเหยียนก็ส่งกระแสจิตที่แฝงด้วยความโอ้อวดนิดๆ มาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าสัมผัสได้หรือไม่ว่าครั้งนี้ยอดเขาที่เจ็ดมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ถึงจะบอกว่าที่ผ่านมาก็จะประกาศเป้าหมายและสถานที่ออกมาก่อนล่วงหน้า แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าครั้งนี้จงใจเกินไป ด้วยความร้ายกาจของยอดเขาที่เจ็ด…ข้ารู้สึกว่าสถานที่จัดการแข่งขันครั้งใหญ่ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เผ่าวิญญาณเหนือ จากการวิเคราะห์และสำรวจของข้า ข้ามั่นใจว่าเป้าหมายของครั้งนี้คือเผ่าเงือก!”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นดวงตาก็จ้องเพ่ง หลังจากกวาดตามองสีหน้าของหวงเหยียนแล้ว ครั้งนี้ไม่ต้องให้อีกฝ่ายเตือน เขาก็เผยสีหน้าตกใจออกมา

เห็นสีหน้าแบบนี้ของสวี่ชิง หวงเหยียนก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที ได้ใจนัก

“ฮ่าๆ ความจริงแล้วนี่ก็ไม่มีอะไร เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นศิษย์พี่หญิงที่บอกข้า ตอนนี้ข้ากับศิษย์พี่หญิงไม่มีอะไรที่ไม่บอกกันแล้ว

“หลังจากที่ข้ารู้ข่าวนี้ก็เริ่มตรวจสอบรายงานข่าวของเผ่าเงือก รู้ว่าเจ้ากลับมาก็รีบมาแบ่งปันกับเจ้าเลยทันที เป็นอย่างไร ข้าเป็นสหายที่ใช้ได้เลยใช่หรือไม่” หวงเหยียนพูดพลางโยนแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“หลังจากข้าตรวจสอบก็ตกใจมากๆ เผ่าเงือกนี่รวยอู้ฟู่สุดๆ เลย พื้นที่ของพวกเขามีสี่เกาะ แบ่งเป็นเกาะอีเหม่ยฉี เกาะครองมรดก เกาะจวีอิง และเกาะหมีเอ้อ ทุกเกาะล้วนมีสมบัติมหาศาล จากการตรวจสอบรายงานข่าวของข้า สมบัติที่มีมูลค่ามากที่สุดในนั้น สมบัติน้อยคนนักที่จะรู้ ข้าได้สรุปไว้ในแผ่นหยกแล้ว”

สวี่ชิงรับแผ่นหยกมาก็บรรจุพลังวิญญาณเข้าไปอ่าน หวงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เหมือนท่องเอาไว้แล้ว โคลงศีรษะพลางเอ่ย

“นี่เป็นข้อมูลที่ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปมหาศาลจึงจะได้มา ข้าจะบอกให้ บนเกาะหมีเอ้อมีเสื้อเกราะตัวหนึ่งชื่อว่าเกราะของหมีเอ้อ ซ่อนเอาไว้ในภูเขาไฟมี๋เอ้อ เป็นเสื้อเกราะระดับของวิเศษเวทที่พันปีมานี้เผ่าเงือกหลอมอยู่ตลอด เจ้าสิ่งนี้มูลค่ามหาศาลนัก เสียดายที่พวกเราเอามาไม่ได้

“แล้วก็มีบนเกาะอีเหม่ยฉีมีน้ำตาเงือกจำนวนมาก นี่เป็นของที่เทียบได้กับลูกกลอนศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าเทียบกับของพวกนี้แล้ว บนเกาะนี้ยังมีน้ำตาของอีเหม่ยฉีหยดหนึ่ง ของสิ่งนี้ถึงจะมีค่า อีเหม่ยฉีคือชื่อของบรรพชนเผ่าเงือก น้ำตานี้คือหยดสุดท้ายก่อนเขาตาย ติดเอาไว้อยู่บนมงกุฎของราชา”

พูดถึงตรงนี้หวงเหยียนก็เอาไข่ออกมาสองใบ โยนให้สวี่ชิงใบหนึ่ง ตัวเองเจาะแตกใบหนึ่ง ดูดไปด้วยเล่าไปด้วย

“ส่วนเกาะครองสมบัติ มีสุสานแห่งหนึ่ง ในนั้นมีของล้ำค่าฝังกับคนตายมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดในนั้นคือขนนกอันหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าขนนกนั่นเป็นขนของใคร นั่นเป็นขนของวิหคเพลิงสวรรค์เชียวนะ วิหคเพลิงสวรรค์เจ้ารู้ว่าเป็นใครหรือไม่ นั่นคือราชันแห่งดินแดนต้องห้ามเขตตะวันตกเทือกเขาสัจจะธรรมของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเชียวนะ ซึ่งก็คือราชันแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ทำไมถึงเรียกว่าทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเจ้าก็ควรที่จะรู้แล้วกระมัง

“สุดท้ายคือเกาะจวีอิง เกาะนั้นก็น่าตื่นตะลึงเหมือนกัน ว่ากันว่ามีคลังลูกกลอนมากมาย ในนั้นน่าจะเก็บลูกกลอนระดับสร้างฐานเอาไว้ไม่น้อย ตอนนั้นศิษย์พี่หญิงก็ไปชิงมาจากที่นั่น ข้าเดาว่าครั้งนี้ก็จะต้องแย่งชิงกันอย่างโหดเหี้ยมเหมือนกันแน่นอน

“พวกนี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไร บนเกาะจวีอิงมีของวิเศษมูลค่าห้าแสนหินวิญญาณชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าตะเกียงดับวิญญาณ!”

“ตะเกียงดับวิญญาณเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสร้างฐานของเผ่าเงือก ตั้งอยู่ในเจดีย์สร้างฐานในเมืองหลักเกาะจวีอิง

“ที่นั่นเป็นสถานที่สร้างฐานของพวกผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกโดยเฉพาะ เหมือนกับสถานที่สร้างฐานหนึ่งชั่วยามหนึ่งร้อยหินวิญญาณของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเรา เพียงแต่เรื่องเล่าขานของพวกเราคืออาศัยเลือดคุณสมบัติเทพมาคุ้มครองลูกศิษย์สร้างรากฐาน ส่วนเผ่าเงือกอาศัยตะเกียงดวงนี้

“ของวิเศษที่คุ้มครองลูกศิษย์สร้างฐานประเภทนี้ความจริงแล้วสำนักใหญ่ เผ่าใหญ่มีกันหมด ลักษณะต่างกันไป และชิ้นนี้ของเผ่าเงือกความจริงแล้วก็ได้ผลธรรมดาๆ ดังนั้นสำนักใหญ่ เผ่าใหญ่จึงไม่สนใจ

“เหตุที่มีค่าห้าแสนก้อนหินวิญญาณก็เพราะเมื่อครั้งที่แล้วหลังจากที่ศิษย์พี่หญิงชิงมันมา ขูดรีดเผ่าเงือกสองล้านก้อนหินวิญญาณ ภายหลังเผ่าเงือกต่อรองราคาได้ห้าแสนก็ซื้อมันกลับไป

“จริงสิ ว่ากันว่าในตะเกียงดับวิญญาณมีเบาะแสของศาลเจ้าอะไรซ่อนเอาไว้ แต่หลายปีมานี้ก็ไม่มีใครหาเจอ ศิษย์พี่ตอนนั้นก็หาไม่เจอเหมือนกันเลยขายคืนไป รายละเอียดอะไรอยู่ในแผ่นหยกแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าอ่านเองก็แล้วกัน”

สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็เงียบนิ่งไป เขารู้สึกว่าตัวเองจนตอนนี้ยังกลัดกลุ้มเรื่องหินวิญญาณไม่กี่แสนก้อนอยู่เลย แต่อีกฝ่ายแค่พูดๆ ก็เป็นหินวิญญาณหลักล้านก้อนแล้ว

นี่ทำให้เขาไม่คุ้นนิดๆ หลังจากถือไข่แล้วเจาะดื่ม ก็ยังไม่อาจสะกดความคิดที่ลอยเอ่อขึ้นในใจให้กลายเป็นความหวั่นไหวได้

หวงเหยียนพูดรวดเดียวจบก็เริ่มคุยเรื่องของเขากับศิษย์พี่หญิงขึ้นมา

เหตุการณ์ทั้งหมดโดยพื้นฐานแล้วเป็นเขาพูด สวี่ชิงฟัง วิธีการคบหาแบบนี้แปลกประหลาดมาก แต่หวงเหยียนรู้สึกสบายใจนัก

จนฟ้ามืดมากแล้ว หวงเหยียนดื่มไข่หมดก็ตบท้องลุกขึ้นยืนจะกลับ ก่อนไปก็เรอออกมา แล้วเอ่ยเสียงต่ำทุ้มขึ้น

“สวี่ชิง ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะไม่ทำอย่างนั้น แต่ก็ยังอยากจะเตือนเจ้า ครั้งนี้เจ้าอย่างได้โง่ไปชิงอันดับหนึ่งอะไรเล่า ตำแหน่งศิษย์หลักนั่นไม่สำคัญ เวลามีการแข่งขันครั้งใหญ่ทรัพยากรถึงจะสำคัญที่สุด ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้

“ความจริงแล้วทุกคนมีไม่กี่คนที่สนใจอันดับ ล้วนแต่พุ่งไปที่ทรัพย์สินทั้งนั้น นอกจากนั้นข้าจะบอกให้นะ ข่าวของข้าคนที่รู้มีแค่เราสองคนเท่านั้น ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย เจ้าอย่าได้นำไปแพร่งพราย ถึงตอนนั้นพวกเราไปเกาะใดก็เอาอันนั้นมา เอารวยไว้ก่อน!”

สวี่ชิงพยักหน้า

หวงเหยียนตบหนังท้องอย่างพอใจกลับไปแล้ว เดินไปพลางเอาแผ่นหยกออกมา คุยกระหนุงกระหนิงจู๋จี๋ประจำวันกับศิษย์พี่หญิง

มองหวงเหยียนเดินจากไปไกล สวี่ชิงนั่งอยู่บนพื้นกระดานหันไปมองยังทะเลต้องห้าม สายตาจ้องไปยังบริเวณไกลโพ้น

ตอนนี้คลื่นทะเลซัดมาเบาๆ ทำให้เรือโคลงเคลงนิดๆ

ในการโคลงเคลงนี้ เงาของเขาทอดตัวบนกระดานเรือข้างๆ ส่วนหนึ่งแผ่ไปในทะเล หลอมรวมเป็นหนึ่งกับน้ำทะเลสีดำใต้แสงจันทร์

สายตาของสวี่ชิงดึงกลับมาจากที่ไกลโพ้น กวาดมองไปที่เงา ประกายเย็นเยียบในดวงตาฉายวูบวาบเล็กน้อย ในหัวมีคำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าใบน้อยผุดขึ้นมา

‘มันกำลังหลับอยู่…’

เวลาไหลไป เช้าตรู่หลังจากนั้นวันที่สาม ป้ายฐานะของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกคนก็สั่นขึ้นพร้อมกัน ในนั้นมีเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งถ่ายทอดเข้ามาในใจของพวกเขาทุกคน

“ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งใหญ่ทุกคน มารวมตัวตั้งแถวที่ศูนย์กลางแท่นบูชาภายในหนึ่งเค่อ การแข่งขั้นครั้งใหญ่ของยอดเขาที่เจ็ด จะเริ่มขึ้นแล้ว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด