ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว

จางซานเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยิ้มขื่นออกมา ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“แหลกที่เผ่าสิงซากสมุทรหรือ”

“ถูกผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณซัดแหลก” สวี่ชิงตอบตามความจริง

จางซานมองใบหน้าสงบนิ่งของสวี่ชิง เขารู้สึกว่าการวิเคราะห์ของตนก่อนหน้านี้นั้นผิด เจ้าเด็กหนุ่มข้างหน้าคนนี้น่าจะเป็นคนที่บ้าระห่ำเหมือนกับนายกอง

นี่เพิ่งจะเป็นระดับสร้างฐานก็มีความสามารถให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณลงมือ ซัดเรือเวทของเขาจนแหลก

เรื่องแบบนี้…ไม่ใช่เรื่องที่ระดับสร้างฐานคนใดจะได้เจอได้ อีกทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมาอีกด้วย

“นายกองเล่า”

จางซานถามอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกว่าขนาดสวี่ชิงยังเป็นเช่นนี้ นายกองก็ไม่น่าจะดีไปกว่าสักเท่าไร

ทว่าหากทั้งสองคนนี้ลงมือทำการใหญ่ที่เผ่าสิงซากสมุทร เรือเวทจึงพัง ก็เหมือนว่าจะสมเหตุผลอยู่

“นายกอง…”

สวี่ชิงนึกถึงตอนนั้นที่ตนส่งข้าม บนฟ้ามีกลิ่นอายระดับแก่นลมปราณสามทางปรากฏขึ้น ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ช่างเถอะ ตอนข้าหลอมเรือเวทให้เจ้า ก็ถือโอกาสต่อโลงให้นายกองโลงหนึ่งด้วยก็แล้วกัน หากครั้งนี้สุดท้ายแล้วไม่ได้ใช้ ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้”

จางซานถอนหายใจ

สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยลาจากไป

จวบจนมองสวี่ชิงจากไปจนลับสายตา จางซานส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปในห้องทำงานหลอมเรือเวทของตัวเอง ในใจก็ขบคิดไปด้วยว่าในเมื่อจะต่อโลงอยู่แล้ว เช่นนั้นต่อไว้สองโลงเลยท่าจะดี

“เป็นสหายกัน พวกเขาสองคนระห่ำขนาดนั้นกันทั้งคู่ เตรียมไว้ให้คนละโลง ยุติธรรมสมเหตุผล”

ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนพลางมองตรอกซอกซอย ฟังเสียงคลื่น ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงมาก

“เช่นนั้นต่อจากนี้ก็หลบกระแสในสำนักก่อน!”

สวี่ชิงพึมพำ เดินไปในกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก

ในฐานะที่เป็นรองเจ้ากรมปราบพิฆาต การมาถึงของสวี่ชิงสร้างความตื่นตัวให้กับสมาชิก โดยเฉพาะกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกคือสำนักงานใหญ่ของหน่วยปราบนิลกาฬ

ส่วนสวี่ชิงในฐานะรองเจ้ากรม ส่วนที่ดูแลรับผิดชอบคือหน่วยปราบนิลกาฬ

ดังนั้นการปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในกรมปราบพิฆาตต่างเคารพนอบน้อม กระทั่งนอกที่พักของสวี่ชิงยังมีลูกศิษย์ระดับรวมปราณของกรมปราบพิฆาตเป็นองครักษ์ คอยฟังคำสั่งทุกเวลา

เจ้าใบ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากสวี่ชิงเข้าไปในที่พัก เขาก็มาอย่างรวดเร็วนั่งยองอยู่นอกประตู มองทุกคนอย่างดุดัน

เหมือนว่าในความความคิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนของกรมปราบพิฆาตหรือไม่ ขอแค่เข้ามาใกล้เกินไปก็ล้วนเป็นศัตรูของเขา

ส่วนความเคลื่อนไหวข้างนอก สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน และสัมผัสถึงเจ้าใบ้ด้วยเช่นกัน

“ฝึกบำเพ็ญได้เร็วมาก” ในสายตาของสวี่ชิง ทะเลวิญญาณในตัวเจ้าใบ้ที่อยู่นอกที่พักมีขนาดถึงเจ็ดสิบจั้งแล้ว นี่หมายถึงว่าเขาก้าวสู่คัมภีร์แปรสมุทรขั้นที่เจ็ดแล้ว

เวลาสั้นๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้สวี่ชิงจะสังเกตครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีความคิดจะสืบเสาะ ในเมื่อทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง เขาไม่สนใจเรื่องของคนอื่น

เวลาก็ไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ครึ่งเดือนก็ผ่านไป

การกลับมาของสวี่ชิงแม้จะเงียบๆ แต่ก็ค่อยๆ ลือกันออกไป ทว่าตัวเขาอยู่ในกรมปราบพิฆาต อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเหี้ยมโหดเลื่องลือ ดังนั้นแม้จะได้รับนัดหมายขอเยี่ยมเยือนอยู่เรื่อยๆ แต่คนที่กระตือรือร้นมารบกวนมีน้อยมาก

นอกจากหวงเหยียนและติงเสวี่ย

ขณะเดียวกันในเวลาครึ่งเดือนนี้ ในสนามรบก็เกิดเรื่องมากมาย การปะทะกันของฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและเผ่าสิงซากสมุทรมาถึงขั้นร้อนแรงที่สุดแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามขนาดใหญ่ขึ้น

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแบ่งเป็นเจ็ดเส้นทางทำการโจมตีเกาะรองนอกเผ่าสิงซากสมุทร คิดจะฝ่าทะลวงพวกมัน

ฝ่ายเผ่าสิงซากสมุทรก็ต้านทานสุดกำลัง แต่การแบ่งกองกำลังทหารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจริงเท็จปะปนกัน ในนั้นมีสี่เส้นทางที่แค่แสร้งโจมตีเท่านั้น เป้าหมายของกลศึกไม่ใช่เพื่อโจมตียึดพื้นที่ แต่เพื่อตรึงกำลังเท่านั้น

สามเส้นทางที่เหลือถึงจะเป็นกองกำลังโจมตีที่แท้จริง เป้าหมายเพื่อยึดครองเกาะรอง เป็นสะพานให้กองทัพของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามารถโจมตีดินแดนของเผ่าสิงซากสมุทรได้

ศึกนี้สะเทือนฟ้าดินโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

แม้สวี่ชิงจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เอกสารเกี่ยวกับสนามรบของกรมปราบพิฆาตก็บรรยายศึกนี้เอาไว้ได้ชัดเจนมาก อีกทั้งสุดท้ายแล้วฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยึดครองเกาะรองสองเกาะมาได้จริงๆ

เช่นนี้แล้ว สงครามครั้งนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรก็ผลลัพธ์ไม่ดีเอาเสียเลย

กระทั่งว่าระหว่างผู้นำระดับสูงของแต่ละฝ่ายต่างลงมือเองหลายครั้ง สงครามยกระดับเป็นวงกว้าง

รางวัลที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมอบให้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้ลูกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างสังหารจนตาแดงก่ำ

ในขณะเดียวกันรางวัลประกาศจับของนายกองกับสวี่ชิงที่แต่เดิมความร้อนแรงลดลงเล็กน้อยเนื่องจากสงครามครั้งนี้ ทว่าไม่นานนักจากการเพิ่มรางวัลประกาศจับ ก็ทำให้ความร้อนแรงของสวี่ชิงนำหน้านายกองไปทันที

ประกาศเพิ่มรางวัลประกาศจับนี้มาจากเหมี่ยวเฉิน ผู้สืบทอดมรรคาของเผ่าสิงซากสมุทร!

“เพิ่มรางวัลประกาศจับ ใครก็ตามที่สังหารสวี่ชิงได้ ข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้ขอสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จสิบเรื่อง ขอเพียงอยู่ในขอบเขตที่ทำได้ เรื่องใดก็ได้ทั้งนั้น! สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสที่ถูกต้องให้ ข้าสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จหนึ่งเรื่อง!!”

เหมี่ยวเฉินในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรย่อมมีกำลังรบไม่ธรรมดา ชื่อเสียงยิ่งโด่งดัง กระทั่งว่าในต่างเผ่ายังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ดังนั้นการเพิ่มรางวัลนำจับจึงวิพากย์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงทันที

จากนั้น ภายใต้การจับตามองมากมาย ศึกระหว่างสวี่ชิงและเหมี่ยวเฉินครั้งนั้นก็เล่าลือกันออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้เหมี่ยวเฉินไม่ได้ปรารถนา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ สำหรับเขาขอเพียงฆ่าสวี่ชิงได้ เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง

ดังนั้นเขาจึงเพิ่มรางวัลประกาศจับก่อน ให้ที่ที่สวี่ชิงอยู่มีสายตาที่เป็นปฏิปักษ์มากขึ้น จากนั้นเขาค่อยปล่อยข่าวออกไปอีกข่าวหนึ่ง

“สวี่ชิง เจ้ากล้ามาสนามรบมาสู้กับข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้หรือไม่ ศึกนี้คนอื่นไม่เกี่ยว แค่เจ้ากับข้าเท่านั้น!”

ข่าวสองข่าวนี้สวี่ชิงย่อมเห็นอยู่แล้ว แต่เขาเมินผ่านไป เขารู้สึกว่าผู้สืบทอดมรรคาเหมี่ยวเฉินผู้นี้โง่เง่าอยู่นิดๆ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่ถ้ำยาจก หรือจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ล้วนทำให้สวี่ชิงไม่สนใจการตัดสินประลองเช่นนี้

เขาชอบแอบแฝงตัวไปปาดคอทีเดียวแล้วจากไปมากกว่า แบบนี้เรียบง่ายราบรื่นกว่า

ในขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งเดือนนี้ สำนักก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในนั้น…ก็คือท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดมหึมาขึ้นมาแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้แม้ในตอนแรกจะปิดเงียบ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงปิดไม่มิด

อีกทั้งทางจางซานก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป กลับช่วยผสมโรง ดังนั้นไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญทั้งสำนักก็รู้เรื่อง ในพิพิธภัณฑ์ที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกมีของเพียงชิ้นเดียววางอยู่

นั่นก็คือ…จมูกของเทวรูปบรรพชนที่เจ็ด!

จมูกนี้จัดแสดงให้ชมในวันที่เปิดพิพิธภัณฑ์วันนั้น

ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนมาเข้าชมได้ คนต่างเผ่าก็มาเข้าชมได้เช่นกัน

เรื่องนี้เพียงประกาศออกมาไม่ใช่แค่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตฮือฮาเท่านั้น ทางเผ่าสิงซากสมุทรก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งเผ่าคลุ้มคลั่งโกรธแค้นทันที ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาอัปยศมากกว่าเรื่องนี้แล้ว

ส่วนบรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน มีความสุขเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าภายใต้ความชื่นใจยังเขียนตัวอักษรพู่กันหนึ่งชุด ให้คนส่งจากสนามรบกลับมาที่สำนัก แขวนสูงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์

อักษรชุดนี้มีตัวอักษรเพียงสี่ตัวเท่านั้น

“เพลิงลุกบนจมูก”

สวี่ชิงได้รับข้อความสื่อเสียงจากจางซานก็ออกจากกรมปราบพิฆาตมาในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเกือบเสร็จแล้ว เห็นจมูกบรรพชนศพขนาดมหึมาและตัวอักษรสี่ตัวที่แขวนอยู่บนจมูกก็อึ้งตะลึงไป

จางซานอยู่ข้างๆ ก็ใบหน้าเคร่งเครียดไปเช่นกัน

“ตัวอักษรของท่านบรรพจารย์สี่ตัวนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” สวี่ชิงพึมพำมองไปทางจางซาน

“นี่…หรือจะให้พวกเราใช้ไฟเผา จัดวางให้เหมือนถูกไฟเผาอย่างนั้นหรือ” จางซานลังเลเล็กน้อย พึมพำไม่แน่ใจ

สวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสอะไรได้ พลันสะบัดหน้าหันไปมองนอกพิพิธภัณฑ์ตรงพื้นที่กว้างโล่งตรงนั้น

“มีอะไรหรือ” จางซานงงงัน

สวี่ชิงจ้องมองตรงนั้น หรี่ตาลง เสี้ยวขณะต่อมามือขวาก็พลันยกขึ้น กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ก่อนจะฟันไปข้างๆ อย่างโหดเหี้ยม เสียงลากกรีดมาพร้อมด้วยเสียงแปลกประหลาดจากบริเวณที่กริชของสวี่ชิงกรีดลงไป

“เฮอะ!”

สิ่งที่ดังมาตามเสียงคือเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วของลม มันดังมาจากข้างหลังสวี่ชิง สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ไฟชีวิตในร่างสองดวงปะทุขึ้นทันที ในขณะเดียวกับที่คลื่นความร้อนแผ่ไปทั่วทุกทิศก็หมุนตัวซัดหมัดออกไป

เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นสวี่ชิงร่างถอยไปข้างหลังสามสี่ก้าว มองไปทางพื้นที่กว้างโล่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มิติตรงนั้นบิดเบี้ยวคล้ายว่ามีเงาร่างหนึ่งอยู่ข้างใน มันถอยหลังไปเช่นกัน

“เฉินเอ้อร์หนิว” สวี่ชิงมองทางบริเวณที่บิดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ

“เรียกนายกอง!” เสียงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงดังออกมาจากในนั้น ทว่าเงาของนายกองกลับไม่ปรากฏออกมา จางซานที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของนายกองเช่นกัน มองไปทางพื้นที่ที่บิดเบี้ยวอย่างตื่นเต้นดีใจ

“นายกอง เจ้ากลับมาแล้ว!”

“แน่นอน ครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไร ก็แค่ระดับแก่นลมปราณหลายสิบตนไล่ฆ่าก็เท่านั้น ข้าหนีมาได้ง่ายดายราวปอกกล้วย ข้ากระทั่งว่ายังไปสนามรบเผ่าสิงซากสมุทรมาอีกด้วย กลับมาจากทางนั้น”

ในมิติมีเสียงนายกองดังออกมา จากนั้นกลางอากาศก็มีผลผิงกั่วลอยกลางอากาศ เสียงกร๊อบดังขึ้น ผิงกั่วถูกกัดไปคำหนึ่ง

“ทำไมเจ้าไม่ปรากฏตัว” จางซานสงสัย

ในมิติที่สวี่ชิงและจางซานมองไม่เห็นมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น คนคนนี้เหลือเพียงขาข้างเดียว แขนข้างเดียว เอวแทบจะถูกฟันขาด ทั่วทั้งร่างมีบาดแผลนับไม่ถ้วน มีหลายทางที่ทะลุร่างกายของเขา

โดยเฉพาะใบหน้าของเขา ราวกับเสียโฉมไปแล้ว จมูกช้ำหน้าบวมไม่เป็นรูปเป็นร่าง ผมไหม้เหมือนถูกไฟเผา เป็นนายกองนั่นเอง

เขาฝืนสะกดความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วทั้งร่างพยายามลืมตาบวมเป่งที่เหลือเพียงขีดเดียว ยกมุมปากเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง

“ชินแล้ว ข้ารู้สึกว่าสภาวะอำพรางกายไม่เลวเลย สะดวกทำเรื่องอะไรมากมาย อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการของพวกเจ้า อยู่ในสภาวะเช่นนี้ยิ่งเป็นการทำให้ฐานะของข้าโดดเด่นขึ้น”

พูดแล้วก็จงใจถือผลผิงกั่ว อ้าปากที่เหมือนไส้กรอกสุดกำลัง กินต่ออย่างสุขุม เอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านอีกว่า

“ระดับหลอมตันเถียนสิบกว่าคนนั่นถูกข้าหลอกจนหัวปั่น ข้ากระทั่งว่ายังมีเวลาไปดูเทวรูปบรรพชนศพที่หนึ่ง ซ้ำยังฉี่ใส่ด้วย น่าเสียดายเทวรูปนั่นใหญ่เกิน เอามาไม่ไหว ไม่เช่นนั้นข้ายังกะว่าจะเอามันกลับมาให้พวกเจ้าฉี่ใส่ด้วยเหมือนกัน

“อีกทั้งเหตุที่ข้าเป็นแบบนี้ก็เพื่อดูแลรองเจ้ากรมสวี่ ข้าเองก็ไม่ได้อะไร ในเผ่าสิงซากสมุทรหลับตายังสามารถเข้าๆ ออกๆ ได้สบาย แต่รองเจ้ากรมสวี่ทำไม่ได้ เพื่อคุ้มกันเขา ข้ากระทั่งว่าเดินวนในวังหลวงของเผ่าสิงซากสมุทรมารอบหนึ่งด้วย

“หากไม่ใช่ว่าข้ารีบกลับมาหาพวกเจ้าแล้วล่ะก็ ข้ายังวางแผนว่าจะไปดูสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บของบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรเสียหน่อย ดูว่าจะเอาอะไรกลับมาจากที่นั่นได้หรือไม่”

ในขณะเดียวกับที่นายกองเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าก็บวมฉึ่งราวหัวหมู ความเจ็บปวดทั้งร่างทำให้เขาตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ ความสาหัสของบาดแผลดูเหมือนพอๆ กับตอนที่บ้าระห่ำไปชิงเลือดเนื้อจวีอิงตอนนั้น แต่ความจริงในร่างแทบจะแหลกละเอียดหมดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้สำหรับเขาแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้าทำให้เขาแพ้ไม่ได้ ตอนนี้เมื่อพูดจบกก็กวาดตามองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“รองเจ้ากรมสวี่ ครั้งนี้ข้าเจ้ากรมคนนี้ช่วยเจ้าถึงขนาดนี้ หินวิญญาณห้าหมื่นก้อนที่เจ้าติดข้าไว้อย่าลืมคืนเสียเล่า”

สวี่ชิงมองนายกองพูดอย่างเงียบๆ ก้มหน้ามองเจ้าเงาที่คนนอกมองไม่เห็น มีเพียงเขาที่สัมผัสรับรู้ได้คนเดียว

ตอนนี้เจ้าเงากำลังแสดงรูปร่างมนุษย์ที่มีขาเดียว แขนเดียว กินผิงกั่วด้วยร่างที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด