ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 96 สิ่งประหลาดโรงเตี๊ยม

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 96 สิ่งประหลาดโรงเตี๊ยม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 96 สิ่งประหลาดโรงเตี๊ยม

สายลมพัดในราตรีมืดมิด แสงจันทร์เย็นเยียบ

แสงราตรีเข้มข้นจนแยกไม่ออก ราวกับมีมือตัวแทนความตายข้างหนึ่ง หยิบพู่กันความเป็นตาย ระบายหมอกที่ดำราวน้ำหมึกจนทั่ว ดังนั้นราตรีที่แน่นหนักจึงกลายเป็นภาพวาดแห่งความตายขึ้นมา

ดำสลัวไปทั้งผืน

และคนในประกาศจับที่ถูกตรึงไว้กับกำแพง เลือดสีแดงสดแต่ละหยดที่ไหลออกมาจากบาดแผลบนคอ กลายเป็นสีสันสุดสยดสยองพองเกล้าในโลกดำสลัวแห่งนี้

จนกระทั่งมีร่างในชุดคลุมเต๋าสีเทาร่างหนึ่ง เดินเข้าไปในม้วนภาพพร้อมกับเสียงฝีเท้าคงที่ที่ดังก้อง เข้ามาแทนที่สีเลือดที่แยงตานั้น จนกลายเป็นความเย็นเยียบขั้นสุดด้านนอกโรงเตี๊ยมถนนทองผุด

ความเย็นเยียบนี้ราวกับทำให้เลือดสดที่ไหลหยดนั้นแข็งตัวไปครู่หนึ่ง และยิ่งทำให้ชายชราที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมนั่น ม่านตาหดเล็กลง จ้องมองไปยังเงาที่เดินเข้ามา

ผมดำยาวประบ่า ร่างโปร่งสูงชะลูด ดวงตาเย็นชาเข้ากับใบหน้าที่ได้รูปคมชัดราวกับเป็นดาบคมที่ค่อยๆ ชักออกจากฝัก

สวี่ชิงนั่นเอง

เขาสีหน้าเรียบเฉย เดินทีละก้าวไปหยุดที่ข้างศพภายใต้การจับจ้องของชายชราถนนทองผุด ล้วงเอาถุงหนังของอีกฝ่าย ดึงกริชออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ตวัดปาดเบาๆ ศีรษะก็ลอยออกมาและถูกเขาคว้าไว้ ตอนศพร่วงลงมา เท้าขวาของเขาก็หวดเตะออกไป

และศพก็ร่วงไปอยู่ที่ใต้เท้าของชายชราพอดี

สีหน้าชายชราเคร่งขรึม ด้านหลังกลับมีเสียงลมลอดเข้ามา หัวของงูยักษ์ค่อยๆ ยื่นออกมา จังหวะที่เห็นสวี่ชิงในดวงตาของมันก็เผยประกาย

“ฟ่อฟ่อ”

“ข้าเลี้ยงเจ้า” สวี่ชิงมองงูยักษ์ผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบ

งูยักษ์ดีใจมาก กลืนลงไปในคำเดียว พยักหน้าให้กับสวี่ชิง

“สวี่ชิง เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!” ชายชราถนนทองผุดจ้องสวี่ชิงเขม็ง เอ่ยอย่างเย็นชา

สวี่ชิงก็มองไปทางชายชรา มือขวาโบกสะบัด ฉับพลันกริชในมือก็พุ่งแหวกอากาศออกไป ส่งเสียงแหลมหวีดหวิว แทนที่เสียงกรีดร้อง เสียบเข้าไปยังหน้าผากของคนในประกาศจับที่กำลังพุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็วอีกคนหนึ่ง

กะโหลกของคนผู้นี้แตกละเอียดด้วยพลังมหาศาล สีแดงและสีขาวสาดกระจายออกมาพร้อมกัน ร่างของเขาก็ถูกแรงปะทะนี้ซัดจนถอยไปสองจั้ง เสียงปึงดังขึ้น กระแทกกับพื้นอย่างแรง

ภาพนี้ ชายชราถึงกับหว่างคิ้วกระตุก เขาสัมผัสได้ว่าสวี่ชิงตรงหน้าคนนี้ ดูจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนที่อยู่บนเกาะกิ้งก่าทะเลก่อนหน้าเสียอีก ในใจก็กลัดกลุ้มขึ้นมาทันที

“เจ้าจะทำอะไรกันแน่!” ชายชราจ้องสวี่ชิงอย่างขุ่นเคือง เอ็นบนใบหน้าปูดโปน ความรู้สึกอันตรายวูบหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนตัวเขา รอบด้านมีเชือกหลายสายห้อยลงมาจากอากาศ

และตอนที่พวกมันปรากฏตัว พลังความร้อนวูบหนึ่งก็ระเบิดฉับพลันบนตัวสวี่ชิง กลายเป็นอุณหภูมิสูงกวาดไปทั้งสี่ด้าน เชือกเหล่านั้นก็พากันม้วนขดทันที ไม่กล้าเข้าใกล้

ตอนนี้เอง เสียงกรีดร้องอีกเสียงก็ดังลอดมาจากอีกแห่งที่ไม่ไกลนัก

นั่นคือคนในประกาศจับคนที่สาม เพียงแค่เข้าใกล้สถานที่นี้ทั่วร่างก็ดำคล้ำติดพิษจนตาย

สวี่ชิงไม่สนใจคนในประกาศจับที่ตายไป มองไปยังคอของชายชรา ในใจชั่งน้ำหนักว่าควรสังหารดีหรือไม่ กลิ่นอายค่อยๆ เย็นเยียบขึ้น

ชายชราจ้องสวี่ชิงเขม็ง ในใจก็กลัดกลุ้ม เขารู้เป้าหมายที่อีกฝ่ายมาที่นี่ แต่การจะต้องจ่ายหินวิญญาณออกไปหลายพันก้อนมันก็น่าเจ็บปวด ดังนั้นเมื่อครู่ที่เจรจาสอบถาม เขาคิดจะใช้ถุงหนังที่เคยให้ไปเมื่อครั้งนั้นเป็นเหตุผลในการไม่จ่ายหินวิญญาณ

แต่สวี่ชิงก็ไม่พูดอะไร นี่ทำให้เขาเข้าใจว่าตนเองจะพูดอะไรออกไปก็คงไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะจิตสังหารบนตัวอีกฝ่ายที่แผ่ออกมาแล้วเวลานี้ ทำให้ใจชายชราเต้นตึกตักขึ้นมา วิกฤตความเป็นตายรุนแรงหลั่งทะลัก

“สวี่ชิงเจ้าอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ข้ายังมีไม้ตายอยู่!! และไม้ตายก็คือโรงเตี๊ยมแห่งนี้ มันแค่มีหน้าตาเป็นโรงเตี๊ยมเท่านั้น แต่อันที่คือสิ่งประหลาด ตอนนี้มันกำลังอยู่ในห้วงนิทรา แต่ถ้าตื่นขึ้นมา ยอดเขาลำดับหนึ่งก็ยังต้องตรงมาที่นี่เพื่อสะกดมันทันที ถึงตอนนั้นเจ้าก็จบเห่แน่!!”

ชายชราพูดจาเร็วรี่ พอพูดจบทั้งโรงเตี๊ยมก็สั่นสะเทือน คลื่นที่น่ากลัววูบหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาจากโต๊ะเก้าอี้รวมไปถึงก้อนอิฐ ราวกับว่าโรงเตี๊ยมจะกลายเป็นสิ่งประหลาดในเวลานี้ กำลังจะตื่นขึ้น

สวี่ชิงม่านตาหดลง เกิดความรู้สึกวิกฤตแรงกล้าขึ้นหาใดเปรียบในตอนนี้ ถอยฉากออกมาในพริบตา

ส่วนงูยักษ์ก็ขดตัวอยู่ห่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้องมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ไม่ออกตัวช่วยใครทั้งนั้น เหมือนเข้าใจว่าสองคนนี้ไม่น่าจะสู้กัน และไม่มีทางอันตรายจนถึงชีวิต มันก็เหมือนจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของโรงเตี๊ยม แต่สีหน้าเหมือนจะเผยความรู้สึกใกล้ชิดบางอย่างออกมา ศีรษะยันอยู่บนพื้น เหมือนกำลังทักทายโรงเตี๊ยม

แต่หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิงที่มองมายังตน มันก็รีบร้อนส่งเสียงฟ่อๆ ออกมา ทั้งยังพยักหน้าไม่หยุด เหมือนกำลังเตือนสวี่ชิงว่าที่ชายชราพูดมาน่ะถูกต้อง

“สวี่ชิง ข้าไม่ใช่มนุษย์ โรงเตี๊ยมนี่ก็ไม่ใช่โรงเตี๊ยมธรรมดา มันเป็นสิ่งประหลาดประเภทหนึ่ง และเผ่าข้าเองก็มีความสามารถอย่างหนึ่ง สามารถทำให้สิ่งประหลาดตกอยู่ในห้วงนิทราได้

“ดังนั้นหลายปีมานี้ข้าจึงพามันที่อยู่ในห้วงนิทรามายังเจ็ดเนตรโลหิต เตรียมจะขายให้กับยอดเขาลำดับหนึ่ง แต่ยอดเขาลำดับหนึ่งก็ไม่ให้เงินกับข้าทันที ให้ข้าปกป้องสิ่งประหลาดนี้เอาไว้สิบปีจึงจะจ่ายเงินให้ ไม่มีทางเลือก พวกเขารับปากว่าจะให้เงินก้อนใหญ่มหาศาล ดังนั้นข้าจึงตอบตกลง แต่ข้าก็ยากจนนะ ข้าเองก็ต้องฝึกบำเพ็ญเช่นกัน

“แล้วข้ากับหวงเหยียนก็เป็นเพื่อนรักกัน ข้าช่วยชีวิตจางซานไว้ นายกองหกกับข้าเองก็มีความสัมพันธ์ความเป็นความตายกันอยู่ สวี่ชิงเจ้าอย่าได้บุ่มบ่ามเชียว พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ก่อนหน้าข้าให้เบาะแสประกาศจับกับเจ้าไปก็เป็นเรื่องจริง ข้าไม่คิดจะทำร้ายเจ้า”

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม มองชายชราที่รีบอธิบาย จากนั้นก็มองไปที่โรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมในราตรีตอนนี้ในสายตาเขาราวกับกลายเป็นปากกว้างที่น่ากลัวและเงียบงันขนาดใหญ่ กลืนกินทุกสรรพสิ่งได้

เขารู้ว่าชายชราคนนี้ไม่ธรรมดา จะต้องมีวิธีการเอาตัวรอดอยู่แน่ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงยังไม่ลงมือ แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไม้ตายของเขาจะอยู่ที่ตัวโรงเตี๊ยม!

และคำพูดของอีกฝ่าย เรื่องขายให้กับยอดเขาลำดับหนึ่งอะไรนั่น สวี่ชิงไม่เชื่อ

แต่ความรู้สึกเมื่อครู่ก็เป็นของจริง การจะเสี่ยงเข้าไปสังหารในตอนนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่คุ้ม

นิสัยระแวดระวังของเขา เวลานี้ตัดสินใจจะไม่ลงมือ คิดจะสอดส่องที่นี่อีกสักพัก จึงชำเลืองมองชายชรา เก็บจิตสังหารลง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เอาหินวิญญาณมาให้ข้า!”

เมื่อสัมผัสได้ว่าจิตสังหารสวี่ชิงสลายไปแล้ว ชายชราก็ล้วงเอาตั๋ววิญญาณสามใบออกมาจากหน้าอก ทั้งหมดสามพัน พอสะบัด ตั๋ววิญญาณสามใบนี้ก็พุ่งไปหาสวี่ชิง สวี่ชิงรับไปตรวจสอบพักหนึ่ง จากนั้นก็ตัดหัวของคนประกาศจับ ถือไว้ในมือ หันหลังเดินไปอย่างไม่ลังเล

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาพูดมาแค่สองประโยค

มองร่างสวี่ชิงที่เดินจากไป งูยักษ์ก็รีบยื่นหัวออกมา ส่งเสียงฟ่อฟ่อเรียก น้ำเสียงเหมือนจะมีความยินดีปรีดา

สวี่ชิงไม่หันกลับมา เดินห่างออกไปช้าๆ

“ไม่ต้องเรียกแล้ว งูตาขาวอย่างเจ้านี่นะ หินวิญญาณของพวกเราหมดเกลี้ยงแล้ว เจ้าไม่ใช่แค่ไม่เสียใจ แต่ยังไปเข้าข้างเขาอีก เมื่อครู่เขาจะสังหารข้าจริงๆ แล้วนะ โรงเตี๊ยมนี่เกือบจะตื่นขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ!” ชายชราเดือดดาล รีบล้วงเอายาแก้พิษออกมากิน

“ฟ่อ!”

“เจ้ายังมาบอกว่าสมน้ำหน้าอีก…” ชายชราพอได้ยินก็ยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม สะบัดชายเสื้อ นั่งลงตรงนั้นสูบยาสูบ ในใจรู้สึกพรั่นพรึงกับจิตสังหารที่สัมผัสได้เมื่อครู่นี้

“ปราณพิฆาตบนตัวเจ้าเด็กคนนี้ เข้มข้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่รู้ว่าบนเกาะกิ้งก่าทะเลเป็นอย่างไรบ้าง ต้องออกไปหาข่าวเสียหน่อยแล้ว!”

สวี่ชิงเดินไปด้านหน้าในราตรีอย่างเงียบเชียบ หัวสมองปรากฏภาพโรงเตี๊ยมก่อนหน้า ความมหัศจรรย์บนโลกนี้ ทำให้เขาไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายพูดออกมาได้ แต่ความรู้สึกอันตรายที่โรงเตี๊ยมนั้นแผ่ออกมาคือของจริง

ดังนั้นหลังจากเดินจากมาไกลแล้ว สวี่ชิงจึงหันหน้าไปมองถนนทองผุดที่ห่างออกไป ครู่ต่อมาจึงหลุบสายตาลง เก็บจิตสังหาร

เพราะเรือเวทยังยกระดับไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นสวี่ชิงจึงตัดสินใจว่าจะไปกรมปราบพิฆาต ด้านหนึ่งคือเพื่อรายงานตัวหลังจากที่ลาพักร้อน อีกด้านหนึ่งคือคิดจะไปพักที่นั่นสักคืน และด้านในกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงก็เห็นนายกองที่เพิ่งจะเสร็จภารกิจและกำลังเดินออกมาพอดี

นายกองกินผิงกั่วพลางเดินออกมาด้านนอก หลังจากเห็นสวี่ชิงรวมถึงศีรษะทั้งสามในมือ เขาก็หรี่ตาลงยิ้มๆ โยนผิงกั่วมาให้ผลหนึ่ง

“ขยันเสียจริง เพิ่งกลับมาก็ออกไปจับผู้ร้ายเสียแล้ว ครั้งนี้ที่ออกไปเก็บเกี่ยวมาไม่เยอะพอหรือ”

สวี่ชิงรับมา จากนั้นจึงล้วงตั๋ววิญญาณหนึ่งร้อยหินวิญญาณใบหนึ่งยื่นไปให้

“ก็พอใช้ได้”

“ข้ากลับได้ยินมาว่า ใกล้ๆ หมู่เกาะปะการังตะวันตกมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง คนตายไปตั้งมากมาย เจ้าคงไม่ได้ไปที่นั่นหรอกกระมัง” นายกองรับตั๋ววิญญาณไป ดูดีใจมาก จึงนั่งลงบนม้าหินข้างๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง ส่ายศีรษะ

นายกองกินผิงกั่วพลางยิ้มบาง ไม่พูดหัวข้อนี้ต่อ แต่จงใจแสร้งใช้เสียงต่ำเอ่ยขึ้นอย่างลึกลับ

“บอกเรื่องใหญ่ที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งกับเจ้าแล้วกัน หลังจากที่เจ้าออกไป พวกเราก็เกิดคดีใหญ่ขึ้น จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงในกลุ่มศิษย์จำนวนมาก แย่จริงๆ แย่เสียจริงๆ”

นายกองพูดถึงจุดนี้ มองไปทางสวี่ชิง เหมือนรอให้สวี่ชิงเอ่ยถาม

สวี่ชิงเองก็มองนายกอง ไม่พูดจา

ครู่ต่อมา นายกองก็ถอนหายใจ

“สวี่ชิงเอ๋ย ตอนที่คนอื่นใช้น้ำเสียงแบบนี้คุยกับเจ้า เจ้าก็ควรจะแสดงความอยากรู้อยากเห็นเสียหน่อย คนอื่นเขาจะได้ไม่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและพูดต่อได้ นี่เป็นมารยาท”

สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด ใบหน้าก็บีบเค้นความอยากรู้อยากเห็นออกมา

นายกองตอนนี้จึงทำตัวสบายๆ หลังจากมองไปรอบๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า

“นายกองสามของหน่วยพสุธา หรือเจ้าปลาตัวนั้นถูกคนเก็บไปแล้ว

“เรื่องนี้กรมปราบพิฆาตต้องตรวจสอบ แต่ว่าพวกต่างเผ่าน่ะนะ แสดงความขอบคุณเสียหน่อยก็จบกันไป แต่อีกฝ่ายยังมีผู้คุ้มครองเต๋าอยู่ โดยเฉพาะพี่สาวสองคนของเขาออกหาตัวคนร้ายไปทั่วอย่างเอาเป็นเอาตาย…

“โลกใบนี้วุ่นวายเสียเหลือเกิน คุณชายน้อยของพันธมิตร อยู่ดีๆ จะตายก็ตาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ไม่พูดแล้วศิษย์น้องสวี่ ข้าต้องออกไปลาดตระเวนกลางคืนแล้ว”

พูดถึงจุดนี้ นายกองก็ลุกขึ้นตบๆ เสื้อผ้า กระโดดลงมาจากม้าหินแล้วเดินออกไป แต่ตอนที่เดินผ่านสวี่ชิง เขาก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า

“เผ่าเงือกกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นจึงยอมให้พวกเขาค้นหา ได้ยินว่า…เผ่าเงือกมีวิชาประเภทหนึ่งสามารถทำให้พี่สาวทั้งสองคนนั้นสัมผัสถึงร่องรอยตัวฆาตกรได้ พวกนางหามาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตรวจสอบคนทั้งหมดที่มีความสัมพันธ์กับเจ้าปลาตัวนั้น น่าจะใกล้หาเจอแล้วกระมัง

“ทุกคนกำลังให้ความสนใจอยู่ เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ” นายกองทำหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มชำเลืองมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไรมาก ออกจากกรมปราบพิฆาตไป

สวี่ชิงยืนอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

ครู่ต่อมาในสายตาก็เกิดประกายเย็นเยียบแล่นผ่าน หมุนตัวไปส่งหัวคนในประกาศจับแลกค่าหัวมา จากนั้นจึงนั่งสมาธิในกรมปราบพิฆาตหนึ่งคืน

เช้าตรู่วันที่สอง สวี่ชิงออกจากกรมปราบพิฆาต เดินไปตามหัวถนนเช่นวันปกติ ตอนผ่านแผงถังหูลู่ เขาก็ซื้อมาไม้หนึ่งแล้วกัดไปหลายคำ จากนั้นจึงเดินไปในตรอก หยุดฝีเท้า

เพียงไม่นาน ด้านหลังเขาก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง คุกเข่าลงคารวะด้านหลังสวี่ชิง

“นายท่าน”

หญิงสาวร่างกายสะโอดสะอง ดูแล้วยั่วยวนอย่างมาก สายของเขาในตอนนั้นนั่นเอง ต่อมาสวี่ชิงไม่ต้องการเบาะแสอะไรจึงไม่ได้เรียกนางให้มาหา

“ช่วงนี้มีเรื่องใหญ่อะไรบ้าง” สวี่ชิงตัวตรง จ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างสงบ กินถังหูลู่พลางเอ่ยถามขึ้น

หญิงสาวมองถังหูลู่ของสวี่ชิงก็สั่นสะเทือนในใจ แต่ไม่นานสายตาก็กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

“ช่วงนี้มีสองเรื่องที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุด หนึ่งคือการแข่งขันครั้งใหญ่ในรอบสามสิบปีของศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดกำลังจะมาถึง และทุกการประลองใหญ่ยอดเขาลำดับเจ็ด ก็ล้วนเกิดลมฝนคาวเลือดทั้งสิ้น ว่ากันว่าครั้งก่อนสถานที่ที่เลือกคือเผ่าเงือก และเกาะของพวกเขาก็หลั่งเลือดเป็นแม่น้ำ ต่อมาก็กลายเป็นพันธมิตรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

“เรื่องที่สอง ก็ยังเกี่ยวข้องกับเผ่าเงือก คุณชายน้อยของพวกเขาตายไป และพี่สาวสองคนของเขาก็กำลังค้นหาในท่าเรือมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว…”

ข่าวสารมากมายในท่าเรือ ที่เข้าใจมากที่สุดก็มักจะเป็นพวกจากสามลัทธิเก้าอาชีพ[1] และหลังจากกลายมาเป็นสายให้สวี่ชิง หญิงสาวก็มีความสำคัญในด้านการสืบหาข่าวสาร ดังนั้นเวลานี้ตอนที่พูดจึงทำให้สวี่ชิงพอใจมาก เขาครุ่นคิด จากนั้นจึงถามต่อว่า

“ยังมีอีกหรือไม่”

สายเองก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยต่อว่า

“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร จริงด้วย ก่อนหน้านี้มีสำนักเล็กสำนักหนึ่ง เพิ่งย้ายออกไปจากอาณาเขตเจ็ดเนตรโลหิต เรื่องแบบนี้พบได้บ่อย เหมือนจะชื่อสำนักวัชอะไรสักอย่าง

“สำนักวัชระ?” สวี่ชิงตาแข็งค้าง เอ่ยขึ้นแช่มช้า

“ถูกต้อง สำนักวัชระนี้เลย” สายพยักหน้าให้

สวี่ชิงครุ่นคิด ครู่ต่อมาก็มอบหินวิญญาณให้อีกฝ่ายไปห้าก้อน หมุนตัวจากไป

หินวิญญาณห้าก้อนสำหรับหญิงสาวถือเป็นลาภก้อนใหญ่ นางหายใจหอบถี่ ตอนที่มองแผ่นหลังของสวี่ชิงก็ดูยิ่งร้อนแรงมากขึ้น

หลังออกจากตรอก สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน สมองขบคิดเรื่องที่สำนักวัชระย้ายออกไป

‘ไปแล้วหรือ’ สวี่ชิงหรี่ตาลง จากนั้นก็คิดถึงเรื่องเผ่าเงือกจากคำบอกเล่าของนายกองกับสายของตน เขายืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องนี้แล้ว ในใจเวลานี้ค่อยๆ ปรากฏจิตสังหารขึ้นมา

‘สองเรื่องนี้ ล้วนเป็นอันตรายแฝงเร้นทั้งสิ้น’

สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำในใจ แต่สีหน้าก็ไม่ปรากฏจิตสังหารแม้แต่น้อย เสร็จสิ้นภารกิจของวันนี้ด้วยอารามสงบ ขณะนี้ก็เข้าไปยังโถงค้นคว้าท้องสมุทรรอบหนึ่ง จัดการรายงานเรื่องยักษ์ลากราชรถ

ข้อมูลที่ไม่มีการบันทึกหลังจากถูกรายงานขึ้นไป เมื่อมีการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงจะมีรางวัลให้ตามหลักการของโถงค้นคว้าท้องสมุทร แต่การยืนยันจำเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้นเมื่อสวี่ชิงรายงานจึงปลีกตัวไปหาจางซานที่กรมเคลื่อนย้ายในช่วงเย็น

ที่นั่น เขาเห็นจางซานที่ดูเหนื่อยล้าแต่ก็ดูบ้าคลั่งด้วย

“ศิษย์น้องสวี่ ครั้งนี้เรือเวทของเจ้า เป็นผลงานที่จางซานผู้นี้พึงพอใจที่สุดเลยทีเดียว!” จางซานพาสวี่ชิงมาถึงโกดัง

เรือเวทที่น่าตกตะลึงลำหนึ่งสะท้อนเข้ามาในสายตาของสวี่ชิงจากการเปิดออกของประตูใหญ่

ตัวเรือขนาดร้อยจั้ง เต็มไปด้วยหนังของกิ้งก่าทะเล แสงสีดำไหลเวียน กลิ่นอายรวมปราณขั้นบริบูรณ์โถมเข้ามา ระดับการป้องกันของมันมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

โครงสร้างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับมีเขาโค้งขนาดยักษ์สองเขางอกออกมาเพิ่มจากสองด้านของตัวเรือ ขณะที่ดูโหดเหี้ยมอย่างมาก ก็ยังแผ่ซ่านความคมกริบออกมา ต่อให้หลังจากสวี่ชิงสัมผัสถึง ม่านตาก็ยังหดเล็กลง

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ใบเรือแปดใบที่เคยมี เวลานี้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว โครงสร้างก็มีการเปลี่ยนแปลง สีดำสนิทราวกับปีกของสัตว์ร้าย

ไม่เพียงเท่านี้ ด้านในตัวเรือยังปูหนังกิ้งก่าทะเลระดับสร้างฐานเอาไว้ นี่ทำให้ระดับความแข็งแกร่งหัวเรือเวทมากกว่าที่มองเห็นจากภายนอก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถสร้างความสับสนและตัดสินความเป็นความตายในช่วงเวลาสำคัญได้

“ส่วนเรื่องความเป็นเทพ ข้าเองก็ดึงออกมาให้เจ้าแล้ว ผสานลงไปในใบเรือทั้งแปดของเรือเวท พอเปิดใช้งาน เรือเวทของเจ้าลำนี้ก็จะมีพลังในการบินและดำดิ่งลงใต้ทะเล

“สำคัญที่สุดคือข้านำความเป็นเทพเชื่อมเข้าไปกับตัวเรือทั้งหมดของเจ้า หยิบยืมคุณสมบัติเร่งปฏิกิริยาของมัน ทำให้เรือเวทลำนี้ของเจ้ามีความสามารถในการรักษาตนเองระดับหนึ่ง จุดนี้ในด้านคุณสมบัติของเรือเวททั้งเจ็ดเนตรนั้นถือว่าล้ำค่ามากๆ!

“นอกจากนี้ ความเป็นเทพนี้ยังสามารถกระตุ้นได้ กลายเป็นพลังโจมตีที่น่าตกตะลึง พลานุภาพยิ่งใหญ่ ระดับสร้างฐานจะต้านทานได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ แต่ต่อให้ต้านทานไหวก็ยังต้องเจ็บหนัก ทว่าข้าไม่แนะนำให้เจ้าทำเช่นนี้ สิ้นเปลืองเกินไป พอใช้ไปหลายครั้งความเป็นเทพก็จะถูกใช้ไปจนหมด และหากความเป็นเทพหมดไปแล้ว สมรรถนะของเรือเจ้าก็จะลดลงไปมหาศาล

“พูดได้ว่า แม้เรือเวทลำนี้ของเจ้าจะไม่ได้ยกขึ้นไปจนถึงระดับเรือสร้างฐาน แต่เมื่อเทียบกับเรือระดับสร้างฐานแล้ว มันแทบไม่แตกต่างกันเลย ขอแค่เจ้าเติมศูนย์กลางระดับสร้างฐานชิ้นหนึ่งลงไป มันก็จะกลายเป็นเรือระดับสร้างฐานที่แท้จริง และยอดเยี่ยมยิ่งกว่าปกติอีกด้วย!

“ดังนั้น เจ้าอย่าวางศูนย์กลางระดับสร้างฐานลงไปส่งๆ ถ้าจะใส่ก็ต้องใส่หัวใจของอสูรร้ายที่ดีที่สุดลงไปด้วย ถ้าหากสามารถเป็นหัวใจของสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นเทพ…เช่นนั้นเรือเวทลำนี้ของเจ้า ก็จะแทบไม่แตกต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นเทพระดับสร้างฐานเลย!

“แต่ข้ารู้ว่านิสัยไม่ชอบโอ้อวดของเจ้า ดังนั้นข้าจึงจัดการอำพรางให้ ทำให้เรือของเจ้าดูแล้วเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยนได้ หากเจ้าต้องการ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างนี้ได้ตลอดเวลา” จางซานมองเรือเวทด้วยสีหน้าคลั่งไคล้ แนะนำกับสวี่ชิง

สวี่ชิงเองก็สูดลมหายใจลึก มองสิ่งของชิ้นมโหฬารตรงหน้านี้ ในใจเต็มไปด้วยความสั่นสะเทือน

ครู่ต่อมา ตอนเขาออกจากกรมเคลื่อนย้ายกลับมายังท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า อารมณ์ของสวี่ชิงยังคงฮึกเหิม

และตอนนี้เอง ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต ก็มีเงาดำห้าเงา ข้างหน้าสองข้างหลังสาม กำลังพุ่งทะยานในคืนราตรี

ด้านหลังสามร่างเหมือนเป็นผู้ติดตาม สองคนด้านหน้าเป็นหญิงสาว สายตาพวกนางล้วนมีประกายคมกริบ สองคนนี้ ก็คือพี่สาวของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้น และเป็นหญิงชู้รักขององค์ชายสาม

สีหน้าน้องสาวมีจิตสังหารแรงกล้า ส่วนพี่สาวเองก็ยังมีความแปลกประหลาดแฝงอยู่ในดวงตา ความต้องการพวกนางแตกต่างกัน แต่เป้าหมายเหมือนกัน

“พวกเราหามาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตามหาคนที่เคยเข้าหาน้องชายทั้งหมด จากนั้นตัดทิ้งไปทีละคนแล้ว มีเพียงคนนี้เท่านั้นที่เดินเรือออกทะเลไปจึงไม่ได้ตรวจสอบ!”

“ไม่เป็นไร ขอแค่ได้เห็นในระยะใกล้ๆ พวกเราก็จะสัมผัสผ่านชีพจรเลือดได้ว่าคนนี้เป็นผู้ร้ายหรือไม่!”

“ถ้าหากเป็นคนผู้นี้ ข้าจะถลกหนังของเขา ให้เขาทุกข์ทรมานที่มายังโลกมนุษย์ ทุกวันจะกินเนื้อของเขา ให้เขาต้องกรีดร้องจนตาย จากนั้นจะดึงเอาดวงวิญญาณ เข้ามาใส่ในตะเกียงเงือกแล้วแผดเผาทิ้ง!” น้องสาวทางนั้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความโหดเหี้ยมในดวงตารุนแรงขีดสุด

เมื่อราตรีมาเยือนลมกรรโชกแรง ราวกับอสูรร้ายกำลังจะมาพรากชีวิต!

[1] สามลัทธิเก้าอาชีพ (三教九流) หรือ สามลัทธิเก้ากระแส เป็นคำที่ใช้เรียกถึงกระแสการดำรงชีพของผู้คนในยุทธจักร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด