ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 15 ยามเย็นสีเลือด

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 15 ยามเย็นสีเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 15 ยามเย็นสีเลือด

สิ่งที่เขาเห็น คนที่ล้อมโจมตีหัวหน้าเหลยอยู่ก็คือกลุ่มเงาโลหิต!

บนท้องฟ้าเวลานี้ ตะวันยามเย็นคล้อยลงช้าๆ แสงระเรื่อที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าถูกม่านราตรีที่ห่างไกลเข้ามาแทนที่

ราวกับว่าอีกไม่นาน ความมืดก็จะปกคลุมทั้งผืนแผ่นดินใหญ่

และความเย็นระลอกหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากในความมืดก็ค่อยๆ แผ่ซ่านออกไปทุกทิศทาง

ป่าที่อยู่ท่ามกลางแสงโพล้เพล้ เป็นดั่งคนชราที่ยังดิ้นรน ปิดฉากลงอย่างไม่ยินยอม แสงของตะวันยามเย็นก็เหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากนัก ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ที่หนาแน่นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั้งสลัวและเบาบาง

แต่สวี่ชิงที่ซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้นั้นไม่ใช่ เขาจ้องมองสนามรบอย่างเย็นชา สะท้อนภาพทั้งหมดเอาไว้ในดวงตาที่เย็นเยียบ

กลุ่มเงาโลหิตมีทั้งหมดห้าคน ในสองคนนี้เป็นกำลังหลัก ส่วนอีกสามคนกระจายคอยปิดทางไว้รอบทิศ ป้องกันไม่ให้หัวหน้าเหลยหนี

พลังบำเพ็ญของคนด้านหลังล้วนอยู่ที่ระดับสามประมาณเขี้ยวหงส์ทั้งสิ้น

พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไป ล้อมอยู่วงนอก แต่ตัวตนของทั้งสามคน ก็ยังทำให้หัวหน้าเหลยจำใจต้องหันไปพะวงด้วย

ส่วนด้านหน้าสองคน คนหนึ่งคือคนที่บนร่างมีคลื่นพลังวิญญาณที่ระเบิดออกมาต่างกับหัวหน้าเหลยเพียงแค่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับรวมปราณขั้นหก และเป็นชายชราเหมือนกัน

ผมเขากระเซิงและดวงตาที่ดุร้าย เสื้อผ้าบนตัวเวลานี้ขาดรุ่ย มองเห็นว่ากล้ามเนื้อทั้งร่างเหมือนจะปูดโปนระเบิดออกมา เป็นหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตที่กินเนื้อสุนัขสดๆ คนนั้นนั่นเอง

หัวหน้าเงาโลหิตเวลานี้เลียริมฝีปาก ลงมือดุจสายฟ้าฟาดไปด้วย และจับจ้องร่างของหัวหน้าเหลยที่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำขึ้นอย่างเย็นชาไปด้วย

“วันนี้กลุ่มสายอัสนีจะถูกลบชื่อออกจากฐานที่มั่น หัวหน้าเหลย เจ้าปลิดชีพตัวเองทิ้งเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นเหมือนผีเถื่อนที่สู้จนกลายพันธุ์ ตายไปก็ศพไม่สวย ไร้เกียรติเสียเหลือเกิน หากเจ้าปลิดชีพตัวเองทิ้ง กลุ่มของเจ้าข้าจะดูแลให้เป็นอย่างดี”

“ถูกต้อง หัวหน้าเหลยวางใจเสียเถิด หลังจากเจ้าตายไป คนอื่นๆ ในกลุ่มสายอัสนี พวกเราจะดูแลอย่างดี รสชาติของเขี้ยวหงส์คนนั้นข้าเองก็อยากจะลองมานานแล้ว แล้วก็เจ้าเด็กน้อยที่เจ้าพากลับมาคนนั้น ขายไปเป็นคนเลี้ยงของวิเศษก็น่าจะพอได้ราคาอยู่”

เสียงที่เอ่ยขึ้นหลังจากเสียงของหัวหน้าเงาโลหิต เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังล้อมโจมตีหัวหน้าเหลยด้วยกันอยู่ข้างๆ

คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาน่าเกลียด แผ่นหลังปูดนูนขึ้นมาอย่างผิดรูป ดวงตาบอดไปข้างหนึ่ง และในดวงตาที่เหลืออยู่ข้างเดียวนั้นเวลานี้ก็มีแววกระหายเลือด คลื่นพลังวิญญาณร่างกายแม้จะยังสู้หัวหน้ากลุ่มไม่ได้ แต่กลับนำหน้ากางเขนในความทรงจำของสวี่ชิงไปแล้ว อยู่ที่ระดับรวมปราณขั้นห้า

แต่ยังไม่มั่นคงนัก เหมือนเพิ่งทะลวงขั้นได้ไม่นาน

หัวหน้าเหลยที่เผชิญหน้ากับการท้าทายด้วยคำพูดของคนทั้งสองแม้ไร้สีหน้าแต่ในดวงตาของเขาก็เหมือนมีปณิธานที่จะตายอยู่แล้ว ลงมืออย่างรวดเร็วรุนแรง

ชั่วขณะหนึ่งทำให้เงาโลหิตสองคนที่ไม่ยอมสังหารหัวหน้าเหลยแต่ทำให้เขาบาดเจ็บหนักยังต้องถอยออกเล็กน้อย เริ่มเดินคุมเชิง

เห็นได้ชัดว่าในใจมั่นใจว่าชนะแน่แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมตัวที่จะยื้อให้อีกฝ่ายต้องตายทั้งเป็น

“คนหนึ่งขั้นหก คนหนึ่งขั้นห้า อีกสามคนขั้นสาม!” จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงดุดัน อันที่เขาจะหนีไปเลยก็ได้ แต่เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับบุญคุณคน หัวหน้าเหลยดีกับเขามาโดยตลอด ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่คิดจะหนีไป แต่กวาดมองสนามรบรวมไปถึงสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างรวดเร็ว

ที่นี่ไม่ได้กว้างนัก มีต้นไม้อยู่ไม่น้อย แสงก็สลัว จุดทึมทึบมีอยู่มากมายเหมาะที่จะลงมือ

หลังจากใคร่ครวญในใจ ดวงตาสวี่ชิงที่นั่งยองอยู่บนยอดไม้ก็ระเบิดจิตสังหารออกมาในพริบตา

สองขาของเขาเหยียบแรงๆ บนยอดไม้ ยืมกำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างกลายเป็นธนูที่ออกจากสายคันดอกหนึ่ง ประชิดเข้าใกล้อย่างฉับพลัน

พลังกายเนื้อที่เคล็ดคีรีสมุทรขั้นสามกับผลึกวารีสีม่วงบ่มเพาะสำแดงอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้

ความเร็วของเขาทิ้งภาพเงาเอาไว้บนยอดไม้อย่างชัดเจน ทำให้คนที่อยู่ในสนามรบยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใด ร่างของสวี่ชิงก็เข้ามาอยู่ในสนามรบเพียงชั่วพริบตา

ปรากฏที่ข้างๆ หนึ่งในสามคนที่อยู่วงนอก

นั่นเป็นชายหนุ่มร่างผอมเล็กคนหนึ่ง ในดวงตาสามเหลี่ยมยังสะท้อนเงาของหัวหน้าเหลยถูกล้อมโจมตีออกมาอยู่ ไม่ได้รู้สึกถึงการปรากฏตัวของสวี่ชิงเลยแม้แต่น้อย

จนตอนที่มีลมเย็นพัดวูบมา เขาจึงตกตะลึงเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะหันหน้าไปมอง พริบตาต่อมา…เหล็กแหลมแท่งหนึ่งพร้อมพลังที่น่ากลัวแทงทะลุตำแหน่งขมับของเขาไปแล้ว

ไม่รอให้ศพล้มลง ไม่รอให้มีเสียงกรีดร้อง ร่างของสวี่ชิงไม่หยุดนิ่ง โน้มตัวใช้ฝ่าเท้าดีดตัวถอย ระเบิดความเร็ว พุ่งไปเบื้องหน้าอีกคนหนึ่งราวกับเสือชีตาร์

คนเก็บกวาดคนที่สองหน้าเปลี่ยนสี ม่านตาหดเล็กลง ขณะจะถอยฉาก สวี่ชิงก็เข้าใกล้แล้ว พลังกำปั้นที่น่าตกตะลึงของเคล็ดคีรีสมุทรขั้นสามซัดเข้ามาในพริบตา

อัดเข้าไปที่หน้าอกของเขาจนเลือดเนื้อยุบลงไปเหมือนโคลนในพริบตา แผ่นหลังระเบิดเลือดสด เสียงกระดูกแตกกร๊อบตามมา สวี่ชิงโบกมือซ้าย กริชที่มีพลังน่ากลัวถูกปล่อยออกไป วาดเป็นแนวยาว พุ่งเร็วขีดสุดไปยังคนที่สาม

ขณะที่กระดูกหน้าอกคนที่สองแตก หัวใจแหลกละเอียด แผ่นหลังระเบิด คนเก็บกวาดคนที่สามของวงนอก ก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา

ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว แต่ตาก็ลาย ลมพัดมาวูบหนึ่ง ร่างของเขาก็แข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลง สัญชาตญาณของร่างกายทำให้เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้น ลูบไปยังกริชเย็นเยียบที่แทงทะลุเข้าที่หว่างคิ้ว

พลังของกริชแข็งแกร่งมาก ทำให้รอบๆ หว่างคิ้วเขายุบลงไปเลยทีเดียว กะโหลกแตกเป็นเสี่ยง!

ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟของหินที่กระทบกันเท่านั้น

ความเร็วสวี่ชิงไวมาก ลงมือเด็ดขาดยิ่งกว่า ตอนนี้เพราะศพคนที่หนึ่งกับสามล้มลง คนที่กระดูกหน้าอกแตกละเอียดหัวใจเละไปแล้วด้านหน้าเขาคนนั้นก็เพิ่งจะล้มลง จนเปิดเผยร่างของเด็กหนุ่มออกมา

เด็กหนุ่มโค้งตัวลง ผมยาวสีดำปิดครึ่งหน้าด้านบนอยู่ แต่กลับปิดบังสายตาดุดันราวกับหมาป่านั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เวลานี้เขาเงยหน้าขึ้น ประสานสายตาเข้ากับหัวหน้าเหลยที่กำลังตกตะลึงการลงมือของเขากับเงาโลหิตอีกสองคน

ลมทั้งสี่ด้าน ราวกับหยุดนิ่งลงในวินาทีนี้

สองตาที่เต็มไปด้วยปณิธานแห่งความตายของหัวหน้าเหลย ในที่สุดเวลานี้ก็เกิดระลอกคลื่น เขามองไปที่สวี่ชิงผาดหนึ่ง จู่ๆ ก็คำรามเสียงต่ำออกมา

“เด็กน้อย รีบหนีไป!”

สวีชิงไม่ฟังคำอ้อนวอนของหัวหน้าเหลย แต่จ้องเขม็งไปที่หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิต ดวงตาหรี่ลงมา

เป็นครั้งแรกที่หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตได้เห็นสวี่ชิง โดยเฉพาะตอนที่กวาดตาไปมองร่างไร้วิญญาณสามร่างข้างๆ สวี่ชิง สีหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย เขาจำใจต้องยอมรับว่าตนเองประเมินกลุ่มสายอัสนีพลาดไปแล้วจริงๆ

ผีเถื่อนที่ไม่กลัวตายนั่นคือเรื่องที่หนึ่ง และเด็กน้อยที่ปรากฏตัวกะทันหันนี่คือเรื่องที่สอง

“สังหารเขาเสีย!”

หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตร้องเชอะเย็นชา ตัดสินใจไม่คิดจะประวิงการต่อสู้เพื่อเลี่ยงการบาดเจ็บอีกแล้ว

ขณะที่พูด กลิ่นอายทั้งตัวของเขาก็ระเบิดขึ้นมาฉับพลัน ซัดต่อยหัวหน้าเหลยไปหนึ่งหมัด พริบตานั้นก็เข้าต่อสู้กับหัวหน้าเหลยอย่างรุนแรงทันที

และชายกลางคนระดับรวมปราณขั้นห้าที่อยู่ข้างๆ คนนั้น ก็ยิ้มเหี้ยมเกรียมหันตัวพุ่งเข้าหาสวี่ชิง

ระหว่างที่ก้าวเท้า พลังวิญญาณทั้งร่างก็ปล่อยออกภายนอก เดินเข้ามาพร้อมกับสองมือหักข้อนิ้ว ดวงตาเผยความโหดเหี้ยมออกมา

ถึงแม้ความเร็วเด็กหนุ่มตรงหน้านี้จะน่าตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารสามคนลงไปในพริบตา แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่าด้วยพลังบำเพ็ญขั้นห้าที่เพิ่งทะลวงของตนเอง การจะสังหารอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย

ในดวงตาที่หรี่ลงของสวี่ชิงเวลานี้ประกายเย็นเยียบก็เข้มข้นมากขึ้น

เมื่อพิจารณาจากการลงมือของเขาก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าตนเองสามารถสังหารรวมปราณขั้นสี่ได้ แต่ว่าขั้นห้า…เขายังไม่เคยสู้ด้วย จึงยังไม่แน่ใจ

เวลานี้เมื่อโยกตัวไหววูบ สวี่ชิงก็พุ่งออกฉับพลัน ระเบิดความเร็วเข้าหาชายกลางคน พอเข้าใกล้ก็ซัดหมัดออกไป

ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนมุมปากเผยรอยยิ้มหยัน

แทบจะพริบตาที่สวี่ชิงเข้ามา คลื่นพลังวิญญาณด้านนอกร่างกายผู้บำเพ็ญวันกลางคนนี้ก็กลายเป็นกำแพงไร้รูปร่างผืนหนึ่งขึ้นปะทะเข้ากับหมัดของสวี่ชิงอย่างจัง

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กำแพงก็ปรากฏรอยร้าว แต่ไม่พังทลายลงมา

ทว่ากลับมีพลังสั่นสะเทือนกลับอย่างรุนแรงพุ่งมาจากด้านใน จนทำให้ข้อมือที่สัมผัสกับมันของสวี่ชิงส่งเสียงลั่นกร๊อบขึ้นถึงกับเคลื่อนหลุดเลยทีเดียว

สวี่ชิงหลุบตาลงเล็กน้อย ขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็สะบัดมือขวาอย่างรุนแรง หลังจากฝืนทำให้ส่วนที่เคลื่อนหลุดกลับเข้าที่เดิม แสงความดุดันในดวงตาก็เปล่งประกาย ไม่ถอยหลัง แต่ซัดออกไปสุดกำลังอีกหนึ่งหมัด

เสียงตูมดังสนั่น กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยร้าวนั้น ในที่สุดก็พังทลายลง

แต่พริบตาที่มันแตกกระจัดกระจาย แรงปะทะที่บ้าคลั่งก็สาดซัดออกมาจากด้านใน ขณะที่กระพือดินโคลนขึ้นมา แรงปะทะนี้ก็โถมขึ้นฉับพลันครอบคลุมตัวสวี่ชิงไปทั้งร่าง

โดยเฉพาะเศษชิ้นส่วนไร้รูปร่างที่เกิดมาจากการแตกของกำแพง ก็ราวกับเป็นมีดแหลมคมที่มองไม่เห็นหลายเล่ม บินฉวัดเฉวียนกรีดเป็นแผลบนตัวของสวี่ชิงหลายแผล น่าสยดสยองอย่างมาก

สวี่ชิงสั่นไปทั้งตัว

ร่างกายบางของเขาถูกแรงปะทะนี้พัดจนต้องถอยฉาก เกิดบาดแผลเลือดไหลสาดหลายตำแหน่งบนตัว ข้อมือที่เพิ่งฟื้นฟูกลับเวลานี้ก็เคลื่อนหลุดออกมาอีกครั้ง ห้อยต่องแต่งอยู่ข้างตัว

“โง่เขลา! เป็นแค่ฝึกกายา เดิมก็ไม่คู่ควรมาต่อสู้กับสายเวทอยู่แล้ว นี่ยังไม่พูดเรื่องที่เจ้าใช้ขั้นสามมาสู้ขั้นห้าเช่นข้าอย่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวด้วยนะ”

ท่ามกลางดินโคลนที่ร่วงลงมา ความเย้ยหยันในดวงตาผู้บำเพ็ญกลางคนนี้ก็มากขึ้นไปอีก

ทว่าในใจเองก็ตกตะลึงอยู่ด้วย เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากำแพงพลังวิญญาณของตนเองจะพังทลายด้วยหมัดที่สองของอีกฝ่าย

ยังดีที่ไม่นานก่อนหน้านี้เขาทะลวงถึงขั้นห้าจนทำให้กำแพงพลังวิญญาณเพิ่มการระเบิดหลังจากที่แตกกระจายด้วย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเมื่อครู่คงได้มือเท้าเป็นพัลวันแล้ว

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เหมือนสัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดของทั้งร่างและบนข้อมืออย่างไรอย่างนั้น ตอนจ้องเขม็งไปที่ชายกลางคน มือขวาของเขาก็วางไว้บนพื้นและบิดอย่างแรง จัดการดันมันให้กลับไปที่เดิมอีกครั้ง

ฉากที่โหดร้ายกับร่างกายตนเองเช่นนี้ถูกผู้บำเพ็ญวัยกลางคนที่กำลังเดินมาหาสวี่ชิงเห็นเข้า เท้าของเขาก็หยุดลงอย่างอดไม่ได้ ดวงตาหดเล็กลง สองมือยกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชี้ปางประทับไปยังสวี่ชิง

พลังวิญญาณนอกร่างกายเขาเข้ามารวมตัวกันอีกครั้งกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งในพริบตา พุ่งหวีดหวิวไปทางสวี่ชิง

พลังลูกไฟนี้น่าตกตะลึงมาก ขณะที่พุ่งเข้ามารอบด้านก็บิดเบี้ยว อุณหภูมิที่สูงลิบอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากที่เข้ามาฉับพลัน สวี่ชิงก็เบี่ยงตัวหลบ แต่ลูกไฟนั้นยังคงไล่ตามมา

จิตสังหารในดวงตาชายกลางคนเปล่งประกายขึ้นเวลานี้ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมสร้างกำแพงขึ้นมาด้านนอกร่างกาย พลางทำปางมือปรากฏลูกไฟที่สองและที่สาม พุ่งโจมตีใส่สวี่ชิงเช่นกัน

เมื่อเห็นลูกไฟทั้งสามเข้ามา ปิดเส้นทางเอาไว้หมด สวี่ชิงก็ม่านตาหดลง กลิ้งตัวไปข้างศพหนึ่งที่ถูกตนสังหารไป แล้วโยนศพเข้าไปปะทะกับลูกไฟลูกหนึ่ง

ลูกไฟสัมผัสกับร่างศพ เสียงตูมดังขึ้น ร่างศพก็ลุกติดไฟขึ้นมาในพริบตา ไม่ทันถึงสามอึดใจก็ถูกเผาไหม้จนเป็นจุณ

ฉากนี้ ทำให้สวี่ชิงใคร่ครวญได้ถึงพลานุภาพของลูกไฟ

เวลานี้ยังมีความร้อนที่เหลือแผ่เข้ามา ทำให้ทั่วทั้งร่างเขาแดงฉานขึ้น ขณะที่โยกร่างกายเพื่อหลบ ลูกไฟที่สองและสามก็เข้ามาใกล้แล้ว

และในสายตากลับกลอกของชายกลางคนคนนั้นก็ไม่ยอมให้โอกาสสวี่ชิงได้หลบหนีเลย พริบตาที่ลูกไฟเข้าใกล้ก็ระเบิดขึ้นมา

ตูม!

เปลวไฟแผ่ออก ครอบคลุมอาณาเขตกว้างมาก อุณหภูมิสูงกลายเป็นพลังสังหารที่น่าตกตะลึง

สวี่ชิงอยู่ในพื้นที่นี้ เดิมทีจะหลบหลีกอย่างสมบูรณ์แบบได้ก็ลำบากยิ่ง ตอนนี้แม้จะใช้ความเร็วหลบไปได้กว่าครึ่ง แต่ร่างกายก็เกิดตุ่มพุพองขึ้นมามากมาย ไอน้ำเดือดขึ้นจนราวกับอวัยวะภายในเหมือนถูกไฟเผา

“อีกาเพลิง เจ้าเร่งมือหน่อย!”

หัวหน้าเงาโลหิตที่สู้กับหัวหน้าเหลยอยู่ไกลๆ ก็คำรามเสียงต่ำขึ้นมาเสียงหนึ่ง

“เข้าใจแล้ว หัวหน้า อย่างมากเจ้าหมาป่าน้อยตัวนี้รับลูกไฟข้าอีกสักสองลูกต้องกลายเป็นตอตะโกแน่!”

ชายกลางคนที่ถูกเรียกว่าอีกาเพลิงหัวเราะตอบกลับมา ขณะมองไปทางสวี่ชิงสายตาก็โหดเหี้ยมกว่าเดิม มือขวายกขึ้น รอบตัวเขาปรากฏลูกไฟที่กำลังลุกโชกช่วงขึ้นมาอีกสองลูก เมื่อโบกมือลูกไฟก็พุ่งเข้าหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว

เขากังวลว่าสวี่ชิงจะหลบ ดังนั้นจึงสร้างระเบิด พริบตาที่ควบคุมลูกไฟสองลูกนี้เข้าใกล้สวี่ชิง ก็จัดการระเบิด ครอบคลุมไปทั่วทิศ ปิดตายสถานที่หลบซ่อนทั้งหมดของสวี่ชิง

อุณหภูมิสูงแผ่ซ่าน บนพื้นก็เกิดไฟแผดเผา ต้นไม้กลายเป็นขี้เถ้าไม่อาจบดบังแสงระเรื่อบนท้องฟ้าได้อีกในพริบตา ทำให้แสงตะวันส่องลอดลงมาได้ เมื่อรวมเข้ากับเปลวไฟ ก็บดบังตาทั้งสองของอีกาเพลิงไป

แต่เขามั่นใจในตนเองมากว่าลูกไฟพลังบำเพ็ญขั้นห้าของตนเองใช้สังหารขั้นสามจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้น

เขาจึงลูบมือ แม้จะหอบหายใจอยู่บ้าง แต่สีหน้าก็ยังมีแววเย้ยหยัน หันตัวกลับเดินไปยังสถานที่ต่อสู้ระหว่างหัวหน้าเหลยกับหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิต

“หัวหน้าเหลย คนของเจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย”

ระหว่างที่เดิน อีกาเพลิงก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา แต่เขากลับไม่เห็นความสิ้นหวังของหัวหน้าเหลย กลับกันดันเห็นสีหน้าของหัวหน้าเงาโลหิตเปลี่ยนสีหน้าแทน

อีกาเพลิงปฏิกิริยาฉับไว ร่างกายเลี่ยงออกข้างๆ ฉันพลัน

แต่ก็ช้าไปแล้ว ร่างผอมเล็กร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาด้านหลังเขา ซัดสองหมัดออกมาติดต่อกัน กระแทกกับกำแพงพลังวิญญาณนอกร่างกายของเขา

กำแพงสั่นไหวอย่างรุนแรง พังทลายลงทันที ร่างเล็กแม้จะถูกดันถอยออกไปเพราะพลังระเบิดเข้าปะทะ แต่กริชเล่มหนึ่งรวมไปถึงเหล็กแหลมอีกเล่ม กลับถูกสะบัดพุ่งหวีดหวิวอย่างแรงซัดโจมตีออกไป

เพียงแต่แรงปะทะการพังทลายของกำแพงมีแรงต้านอยู่ระดับหนึ่ง จนทำให้ความเร็วของกริชที่เข้าใกล้อีกาเพลิงช้าลง สร้างโอกาสเบี่ยงหลบให้แก่อีกาเพลิง

เขาเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว แต่หูข้างหนึ่งก็ยังถูกกริชแทง เลือดสดสาดซ่านทั่วทิศ ส่วนเหล็กแหลมก็แทงเข้าไปในหน้าอกเขา ทำให้เขาเลือดพุ่งกระจาย แต่น่าเสียดายที่ไม่โดนจุดตาย จึงเอาชีวิตเขาไม่ได้

ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาอีกาเพลิงแดงเถือก เปล่งเสียงคำรามต่ำ หลังจากหลบอย่างยากลำบากก็หันกลับไปมองด้านหลังฉับพลัน

ในดวงตาเป็นเงาของเด็กหนุ่มที่เหยียบอยู่บนกองไฟที่ค่อยๆ มอดดับ ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง นั่งยองอยู่บนพื้น ตั้งท่ารอจู่โจมเหมือนหมาป่า

ตุ่มพุพองยังคงมีอยู่ทั่วตัว ร่างทั้งร่างแดงฉาน แต่เวลานี้แสงตะวันลับฟ้าส่องเข้ามาในตาเด็กหนุ่ม นัยน์ตา…เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง จิตสังหารไม่มีลดลงเลยแม้แต่น้อย!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *