ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 54 กลายเป็นผีเสื้อ

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 54 กลายเป็นผีเสื้อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 54 กลายเป็นผีเสื้อ

เวลากลางดึก คัมภีร์แปรสมุทรในการฝึกฝนของสวี่ชิงก็ทะลวงขั้นตลอดจวบจนถึงขั้นที่สี่

ความเร็วระดับนี้เกินจริงอย่างมาก ทำให้ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดข้างนอกต่างตื่นตะลึง เพียงแต่คนยอดเขาที่เจ็ดส่วนมากชอบเก็บซ่อนอารมณ์

ดังนั้นพวกเขาหลังจากที่สังเกตเห็นว่าเรือของสวี่ชิงเป็นเรือลำใหม่ กระจ่างแล้วว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งทะลวงขั้น ส่วนมากก็กลับไปในเรือของตัวเอง สีหน้าไม่แสดงความสนใจอีก ทุกอย่างเป็นเหมือนปกติ แต่ความจริงกลับเริ่มสืบกันอย่างลับๆ แล้ว

จวบจนอาทิตย์ยามเช้าตรู่เริ่มลอยขึ้นจากฟ้าไกล แสงอาทิตย์ทอผิวน้ำทะเลจนเกิดเป็นแสงจ้าแสบตาแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศแล้ว สวี่ชิงที่อยู่ในเรืออูเผิงลำน้อยก็ลืมตาขึ้นมาขณะที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่

ประกายแสงสีม่วงในดวงตาครั้งนี้อยู่ได้ถึงสิบกว่าอึดใจถึงจะค่อยๆ สลายไป เผยความตกใจประหลาดใจภายในออกมาให้เห็น

แม้ตกดึกหลังเที่ยงคืนจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วการฝึกบำเพ็ญช้าลงไปมาก แค่ทะลวงคัมภีร์แปรสมุทรจากขั้นที่สี่เป็นขั้นที่ห้าได้เท่านั้น

แต่เพียงแค่คืนเดียวก็ได้ถึงระดับนี้ก็อยู่เหนือการคาดหมายของสวี่ชิง

“เคล็ดวิชาคีรีสมุทรกับคัมภีร์แปรสมุทรสามารถส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันได้…” สวี่ชิงรู้สึกว่านี่น่าเหลือเชื่อ

ตอนนี้เขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นดูแล้วก็แตกต่างไปจากเมื่อวาน ขอบเหลี่ยมที่แต่เดิมดุดันตอนนี้ก็เปลี่ยนมาอ่อนโยนลงเล็กน้อย

กระทั่งว่ายังมีบุคลิกท่วงท่าบริสุทธิ์ไร้มลทินรางๆ อย่างหนึ่งกำลังปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

นี่ก็คือกลิ่นอายที่คัมภีร์แปรสมุทรนำมา

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สัมผัสทะเลวิญญาณห้าสิบกว่าจั้งในกาย นึกถึงประโยคที่กล่าวเอาไว้ในเคล็ดวิชาคีรีสมุทร

เซียวย้ายขุนเขาได้ ขุยเคลื่อนทะเลได้

แต่เขาวิเคราะห์แยกแยะอย่างละเอียดในใจ สุดท้ายก็รู้สึกว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ ผลจากเคล็ดวิชาคีรีสมุทรก็เป็นด้านหนึ่ง แต่สาเหตุที่มากกว่านั้นอาจจะมาจากเส้นลมปราณในร่างของตนโล่งสะอาด ไม่มีไอพลังประหลาดเลยแม้แต่น้อย

เหมือนภาชนะที่หลอมขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่ใช่ร่างกายมนุษย์ที่เพิ่งสัมผัสกับการฝึกบำเพ็ญจะเทียบได้เลย

ดังนั้นในตอนที่เพิ่งจะเป็นขั้นเริ่มก็สามารถรับการทะลักเข้ามาจากพลังวิญญาณได้มหาศาล และนี่ก็เหตุผลว่าทำไมกลางดึกหลังเที่ยงคืนความเร็วการฝึกบำเพ็ญจึงลดลง

ปริมาตรของภาชนะมีขีดจำกัด

‘แต่ดูจากที่กลางดึกหลังเที่ยงคืนก็ยังทะลวงได้หนึ่งขั้น แม้ความเร็วการฝึกบำเพ็ญจะลดลง แต่ก็ยังสามารถประคับประคองให้ข้ายกระดับได้อย่างรวดเร็วต่อไปได้’

สวี่ชิงคิดวิเคราะห์ในดวงตาประกายวาววาบกะพริบ สิ่งที่ยกระดับในคืนนี้ไม่ใช่แค่คัมภีร์แปสมุทรเท่านั้น เคล็ดวิชาคีรีสมุทรของเขาก็ยกระดับขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้ห่างจากขั้นแปดไม่ไกลแล้ว

สิ่งที่สำคัญคือ ในคัมภีร์แปรสมุทรทุกขั้นล้วนจดบันทึกวิชาเวท ดังนั้นเขาจึงก้มมองมือขวา

จู่ๆ น้ำทะเลหยดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาที่กลางฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็วเพียงใจคิด แล้วหลอมเป็นมวลน้ำขนาดเท่าศีรษะคนลูกหนึ่ง ประเดี๋ยวก็เป็นมีดบิน ประเดี๋ยวก็เป็นโล่ ประเดี๋ยวก็เป็นนกโบยบิน เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุด

มวลน้ำลูกนี้เปลี่ยนแปลงไม่หยุดในมือของเขา จากอัตราส่วนของน้ำทะเลที่ต่างกัน น้ำหนักของวัตถุที่แปลงออกมาทุกประเภทก็ไม่เหมือนกัน ด้านพลังย่อมต้องแตกต่างกัน

และในแผ่นหยกคัมภีร์แปรสมุทร การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จากขั้นหนึ่งถึงขั้นที่สิบ บันทึกเอาไว้ไม่น้อยกว่าร้อยชนิด

ในขณะเดียวกับที่ข้างในแผ่ความเย็นเยือกออกมา ก็ยิ่งมีกลิ่นอายที่เป็นของทะเลต้องห้าม ทำให้สามารถสยบจิตใจของศัตรูได้ ในขณะเดียวกันทางด้านพลังอำนาจ…สวี่ชิงสัมผัสเล็กน้อย

พลังปะทุภายในมวลน้ำนี้มากพอจะสร้างพลังสยบระดับรวมปราณขั้นห้าทุกคนที่เขาเคยเจอในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดได้

สวี่ชิงลองประเมินตัวเองที่หากไม่ได้มาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต หลังจากวิเคราะห์แล้วก็ได้คำตอบว่า ตนสามารถสังหารคนระดับนั้นอย่างรวดเร็วด้วยมวลน้ำภายในสี่สิบลูก

แต่หลังจากที่เขาสัมผัสกับทะเลวิญญาณห้าสิบกว่าจั้งในร่างกายก็วิเคราะห์ออกมาว่าสามารถกระจายมวลน้ำได้ประมาณห้าสิบลูก จำนวนเช่นนี้ หากเชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลงอีก เช่นนั้นตัวเองก็ต้องระมัดระวังให้มาก แม้จะฆ่าได้ แต่ก็จะใช้เวลานานหน่อย

เคล็ดวิชาคีรีสมุทรของสวี่ชิงเหมือนจะเป็นขั้นเจ็ด แต่สำหรับคนอื่นที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาคีรีสมุทรแล้วกำลังรบเท่ากับขั้นสิบก็ต่อเมื่อเงาขุยบริบูรณ์แล้ว นี่เกินควรมากแล้ว

ซึ่งก็หมายความว่า คนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาคีรีสมุทรปกติถึงขั้นสิบ เผชิญหน้ากับลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดที่มีพลังบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรขั้นห้า ยามสังหารก็ไม่อาจสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในพริบตา

ทุกอย่างนี้ทำให้ความรู้เกี่ยวกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตของสวี่ชิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง การวิเคราะห์การดำรงอยู่ที่ยาวนานและความแข็งแกร่งของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดลึกซึ่งยิ่งขึ้น

“ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดกับลูกศิษย์สำนักแตกต่างกันมากเหลือเกิน

“ข้าในตอนนี้รวมกับวิชาฝึกกายา ก็มีความมั่นใจว่าสามารถสังหารตัวเองในอดีตได้ภายในหนึ่งก้านธูป” สวี่ชิงพึมพำ สีหน้าฉายประกายคมช้าๆ

แม้พลังบำเพ็ญจะยกระดับได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่การยกระดับขึ้นของกำลังรบทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาในเรืออูเผิง ทำให้เงาของสวี่ชิงปรากฏขึ้นบนกระดานเรือ เขาก้มไปมองเงา

การฝึกฝนหนึ่งคืน เงาดูดซับไอพลังประหลาดไปจนหมด ทำให้เงาของเขาตอนนี้ดูแล้วดำทะมึนมากยิ่งขึ้น หากมองให้ละเอียดก็เหมือนว่าบริเวณที่แผ่ปกคลุมมีหุบเหวลึกแฝงไว้ด้วย

ตอนนี้จู่ๆ เงานี่ก็ขยับขึ้นมาภายใต้การจับจ้องของสวี่ชิง ในขณะที่มันขยับไหววูบซ้ายขวาก็มีมือสองข้างยื่นออกมา หลังจากที่กำเป็นหมัดก็กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วทำซ้ำไปซ้ำมา เร็วขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งว่ายืดหดอย่างรวดเร็ว ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก

จวบจนกระทั่งหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เงาก็กลับคืนสภาพเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปตามสีหน้าที่ฉายแววเหนื่อยล้านิดๆ ของสวี่ชิง

‘ผ่านการทดสอบรอบที่สองและการทะลวงของคัมภีร์แปรสมุทร การควบคุมเงาของข้าก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว’ สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นพลางมองไปยังดวงอาทิตย์ข้างนอก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยืนขึ้นช้าๆ หลังจากจัดเรียงข้าวของก็หยิบชุดนักพรตสีเทาออกมา วางไว้บนโต๊ะแล้วลูบมันเบาๆ

จากนั้นมือขวาเพียงสะบัด น้ำทะเลหยดหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น หลังจากมันขยายเป็นมวลน้ำก็แผ่จนแบนราบ สุดท้ายก็กลายเป็นกระจกวารีบานหนึ่ง สะท้อนเงาของสวี่ชิงออกมา

ใบหน้าในกระจกยังมีความเป็นเด็กอยู่รางๆ งดงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก แฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะสกปรกมอมแมม แต่ความมีชีวิตชีวาในดวงตาประดุจดวงดาว เป็นประกายเจิดจ้านัก

มองตัวเองในกระจกวารี สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา ถอดชุดคนเก็บกวาดที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นร่างกายที่ทั้งแข็งแกร่งและสัดส่วนงดงามสมบูรณ์แบบจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาคีรีสมุทรออกมาให้เห็น

มือซ้ายยกขึ้นคว้ากระจกวารี มันก็พุ่งมาหาสวี่ชิงทันที หลังจากที่เข้ามาใกล้ก็กลายเป็นไอน้ำมหาศาล แล้วปกคลุมร่างกายของเขาฉับพลัน น้ำสกปรกสีดำก็ไหลมาตามร่างกายสูงโปร่งของเขา เจิ่งนองอยู่ที่เท้าท่ามกลางการชำระล้างไม่หยุด

สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง นี่เป็นการชำระล้างกายอย่างหมดจดครั้งแรกตั้งแต่เจ็ดปีมานี้ของเขา

เพราะเขารู้ว่าสภาพแวดล้อมในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว อยู่ในถ้ำยาจกและฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตัวเองที่เต็มไปด้วยคราบไคลเหมือนกับคนอื่นๆ ทุกคน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่เตะตา

แต่ที่นี่ หากทำเหมือนกับเมื่อก่อนจะดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็น แม้แต่งตัวอย่างคนเก็บกวาดจะทำให้คนรู้สึกว่าขัดสนยากจน แต่เรื่องที่ตัวเองมีเรือเวทไม่ใช่ความลับ ผู้ประสงค์บางอย่างแค่มองก็รู้แล้ว ดังนั้นหากยังจงใจปกปิดอีกก็ไม่มีความหมายอะไรนัก

เพราะฉะนั้นใบหน้าของเขาจึงไม่ปรากฏระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ปล่อยให้ไอน้ำชำระล้าง ผิวขาวเนียนละเอียดบนร่างค่อยๆ ปรากฏมากขึ้น บนใบหน้าและผมก็เช่นเดียวกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลังจากที่คราบไคลสุดท้ายทั้งร่างกายหายไป สวี่ชิงก็ลืมตา

แสงอาทิตย์สาดเข้ามาในเรืออูเผิงกระทบผมดำและใบหน้าของสวี่ชิง คล้ายว่าอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป อยากโอบไล้อย่างอ่อนโยนไปให้ทั่วร่างกาย ที่เขารู้สึกไม่ค่อยชิน จึงถอยมาสามสี่ก้าวให้ร่างกายอยู่ในความมืด

เงาในที่มืดมีผมดำเป็นประกายเหยียดตรงทิ้งตัว

ดูแล้วอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด คิ้วเรียวพาดเฉียง ดวงตาดำขลับที่เรียวยาวแฝงไว้ด้วยความเฉียบคม ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ใบหน้าที่เค้าโครงคมชัด ร่างกายสูงโปร่ง ประดุจลูกเหยี่ยวที่จะสยายปีกในความมืด

หยิ่งทะนงเย็นชาแต่กลับทรงอำนาจน่าเกรงขาม โดดเดี่ยว ผสานกับความอ่อนเยาว์ที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทำให้ทั่วทั้งตัวของเขาแผ่เสน่ห์ที่น่าตื่นตะลึงออกมา

สวี่ชิงก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเอง แล้วหยิบเสื้อตัวในของชุดนักพรตมาสวมใส่ทีละชิ้น

สุดท้ายก็เปลี่ยนรองเท้าที่สำนักแจกจ่ายให้ และหลังจากที่คลุมเสื้อคคลุมนักพรตแล้ว เขาก็สะบัดมือ หยดน้ำปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะชะล้างคราบเลือดที่เรือเมื่อคืนไป จวบจนเมื่อล้างจนสะอาดหมดจด สวี่ชิงที่เดินออกมาจากเรือ เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ทั้งร่างก็เปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยพลังยากจะบรรยาย

เหมือนอัญมณีที่คลุกฝุ่น เมื่อเช็ดฝุ่นธุลีออกไปก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมา

ทำให้องครักษ์ที่ลาดตระเวณริมฝั่งจำนวนไม่น้อยมองมาอย่างกริ่งเกรง

สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือหรี่ตา คล้ายว่าอยากจะสกัดกั้นสายตาจากโลกภายนอก และแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบมาที่ผิวของเขาก็ทำให้เขาไม่ค่อยชินสักเท่าไร แต่เขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องก้าวข้าม ดังนั้นไม่นานนัก สวี่ชิงก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสอง บังคับให้ตัวเองชิน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึก หมุนตัวเดินลงจากเรือลำน้อย

เพียงสะบัดมือ ก็เก็บเรืออูเผิงเข้าขวด ค่อยๆ เดินจากไปท่ามกลางสายตาขององครักษ์ที่เดินตระเวนห่างออกไปลิบๆ

วันนี้เป็นวันที่เขาไปรายงานตัวที่กรมปราบพิฆาต

ในขณะเดียวกันเขาก็คิดจะไปร้านขายยาที่ท่าเรือ ซื้อสมุนไพรสำหรับหลอมลูกกลอนขาวและผงพิษ ยาลูกกลอนที่มีอยู่ในตัวตอนนี้หมดเกลี้ยงแล้ว

ท่าเรือตอนเช้าคึกคักเป็นอย่างมาก

เรือสินค้าจากโลกภายนอกและลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดที่เข้าๆ ออกๆ ท่าเรือทั้งร้อยกว่าแห่งนี้ทำให้ท่าเรือมีคนสัญจรไปมาอย่างเนื่องแน่นคึกคัก เสียงเอะอะโหวกเหวก ร้านค้าส่วนมากก็เปิดตอนนี้เช่นกัน ผู้คนที่ถนนก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกับวันนี้

การมาถึงของสวี่ชิง เนื่องจากหน้าตาของเขาก็ดึงดูดสายตาจำนวนหนึ่ง แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว หน้าตาเป็นเพียงแค่เปลือกนอกก็เท่านั้น ดังนั้นส่วนมากจึงแค่มองผ่านๆ ก็ดึงสายตากลับไป

สวี่ชิงค่อยๆ ชินกับมัน แต่เขาที่เดินอยู่บนถนน ยังคงชินกับการเดินอยู่ในเงา ขณะเดียวกับที่อยู่บนถนนที่มุ่งหน้าไปกรมปราบพิฆาต สวี่ชิงก็สังเกตเห็นว่าร้านที่เปิดในท่าเรือนอกจากร้านยาแล้ว ยังมีร้านตีอาวุธและสลักค่ายกลอีกจำนวนหนึ่งด้วย

จากแผ่นหยกเรือเวท สวี่ชิงก็ได้รู้ว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ทุกคนที่จะสามารถหลอมเรือได้ด้วยตนเอง สำหรับลูกศิษย์จำนวนมากแล้วมักจะส่งวัสดุและเรือเวทไปยังร้านที่ลูกศิษย์ยอดเขาที่หกเปิด หรือไม่ก็ร้านสลักค่ายกลที่ลูกศิษย์ยอดเขาที่ห้าเปิด ฝากให้ช่วยหลอมให้

หลังจากสังเกตร้านพวกนี้แล้ว สวี่ชิงก็สอบถาม เมื่อรู้ถึงสถานที่ตั้งของกรมปราบพิฆาตยอดเขาที่เจ็ดแล้ว ก็สาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก สิ่งก่อสร้างยิ่งใหญ่หลังหนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง

ประตูของสิ่งก่อสร้างแห่งนี้เหมือนกับจวนเจ้าเมืองที่เคยเห็น แต่พื้นที่ข้างในใหญ่กว่า ตึกอาคารเล็กๆ หลายสิบหลังตั้งเรียงราย พลังกดดันเป็นระลอกๆ แผ่มาจากในนั้น สยบทั่วทุกทิศ

โดยเฉพาะหินแกะสลักสองตัวหน้าประตูที่สีดำทะมึนทั้งตัว หน้าตาท่าทางเหี้ยมเกรียม เหมือนผสมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ เหมือนเทพอสูร หน้าตาน่ากลัวน่าขนลุก

หน้าประตูเงียบเหงา ผู้คนมักจะเดินอ้อมที่นี่ตั้งแต่ที่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

ตอนนี้ที่หน้าประตูมีผู้บำเพ็ญอายุเยาว์สวมชุดนักพรตสีเทาสองคน หนึ่งชาย หนึ่งหญิง อายุล้วนประมาณยี่สิบ หน้าตาธรรมดาๆ ต่างกำลังยืนผิงเสาประตูอย่างเอื่อยเฉื่อยพลางอ้าปากหาวเหมือนยังไม่ตื่น แต่ในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงเดินมา ทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นมาทันที สายตาราวสายฟ้าจับจ้องมาที่สวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้านิ่งสงบ เดินมาท่ามกลางสายตาของทั้งสองคน ไม่เข้าไปใกล้เกิน หยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วประสานหมัดคารวะ

“สวี่ชิง ศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด มารับหน้าที่ตามคำสั่ง มาที่นี่เพื่อรายงานตัวขอรับ”

“สมาชิกใหม่หรือ” ในดวงตาของผู้เยาว์ฉายประกายวาวแววออกมา กวาดมองสวี่ชิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ก็เก็บสายตาลงไปนิดๆ ทันที เหมือนสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นไม่ธรรมดาจากสวี่ชิงได้ กำลังจะอ้าปาก สหายหญิงข้างกายก็ผลักกระเด็น ชิงเดินมาข้างหน้าสวี่ชิงก่อน มองใบหน้าสวี่ชิงพลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนงดงามอกมา

“ศิษย์น้องผู้นี้ไม่ทราบว่ามาที่นี่เพื่ออะไรหรือ”

“เขาก็บอกแล้วว่ามารายงานตัว เจ้ายังจะถามว่ามาทำไมอีกรึ” ชายหนุ่มคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

ผู้บำเพ็ญหญิงคนนั้นเหมือนไม่ได้ยินประโยคนั้น มองสวี่ชิงต่อ

สวี่ชิงถอยหลังไปสามสี่ก้าวตามสัญชาตญาณ เขาไม่ชอบอยู่ใกล้กับคนมากเกินไป ตอนนี้กำลังสำรวจทั้งสองคนไปตามความเคยชิน โดยเฉพาะที่คอของผู้บำเพ็ญหนึ่งชายหนึ่งหญิงสองคนนี้ไปตามสัญชาตญาณอยู่หลายที

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *