ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 12 ข้อห้ามของพื้นที่ต้องห้าม

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 12 ข้อห้ามของพื้นที่ต้องห้าม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 12 ข้อห้ามของพื้นที่ต้องห้าม

เผชิญหน้ากับการท้าทายของเงาโลหิต จิตสังหารในตาของเขี้ยวหงส์ก็มีมากขึ้น มองไปทางหัวหน้าเหลย

หัวหน้าเหลยสีหน้าปกติ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “กางเขน”

กางเขนได้ยินดังนั้นก็หยิบธนู ง้างยิงขึ้นฟ้าไปดอกหนึ่งในพริบตา

ลูกศรดอกนี้ราวกับสายอัสนีบาตกระพือเสียงคมแหลมหวีดหวิวด้วยความเร็วขีดสุด แทงทะลุเหยี่ยวที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าตัวนั้นในพริบตา

เลือดสดสาดกระจาย เหยี่ยวตัวนั้นส่งเสียงกรีดร้องแหลม ร่วงลงมาบนพื้นระหว่างกลุ่มทั้งสองดังปัง

ขณะเดียวกัน คนหนึ่งในกลุ่มเงาโลหิต ทั่วร่างสั่นสะท้าน กระอักเลือดออกมาทีหนึ่ง สีหน้าขาวซีดทันทีทันใด

นั่นคือเหยี่ยวของเขา แตกต่างจากสุนัขที่เขี้ยวหงส์เลี้ยงไว้ เหยี่ยวตัวนี้เป็นสิ่งที่เขาใช้พลังวิญญาณตนเองเข้าควบคุม ตัวคนจึงได้รับบาดเจ็บหนักเพราะปฏิกิริยาย้อนกลับตอนนี้

คนอื่นๆ ในกลุ่มเงาโลหิตทยอยแผ่จิตสังหารออกมา แต่ก็ถูกหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตห้ามไว้ เขายืนขึ้นช้าๆ บนศพของสุนัข ไม่ได้มองไปทางเขี้ยวหงส์ แต่จ้องเขม็งไปทางหัวหน้าเหลย

หัวหน้าเหลยเองก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน

ทั้งสองคนประสานตากันอยู่นาน จากนั้นต่างฝ่ายต่างส่งเสียงฮึเย็นชา

“ไปเถอะพวกเรา” หัวหน้าเหลยเอ่ยเสียงหนัก เดินตรงไปด้านหน้าต่อ พวกของเขี้ยวหงส์เดินตามหลัง สวี่ชิงเองก็อยู่ในนั้น

เขาสัมผัสได้ถึงจิตอริที่หยั่งลึกของทั้งสองกลุ่ม ก็เลยหันหน้ากลับไปมองกลุ่มเงาโลหิตเหล่านั้น มองเห็นว่าพวกเขากำลังรอเจ้าม้ากับเจ้าอ้วน น่าเสียดาย ที่สองคนนั้นไม่มีทางมาปรากฏตัวอีกแล้วตลอดกาล

สวี่ชิงนิ่งงันไม่ส่งเสียง เบนสายตากลับมา เดินตามพวกของหัวหน้าเหลยค่อยๆ ออกจากฐานที่มั่นไป

พื้นที่ต้องห้ามห่างจากฐานที่มั่นดูเหมือนไม่ไกล แต่อันที่จริงถ้าออกเดินก็ยังห่างกันอยู่ระดับหนึ่ง

พวกเขาเดินไปราวครึ่งชั่วยาม ถึงมองเห็นทิวป่าดำทมึนอยู่ไกลๆ

มองจากด้านนอกเข้าไป ผืนป่าพื้นที่ต้องห้ามนี้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าทอดยาวออกไปเท่าไร

ตอนนี้คือช่วงตะวันสายโด่ง แสงแดดเข้มข้น แต่ด้านในป่าพื้นที่ต้องห้ามก็ราวกับเป็นโลกที่สองแยกจากภายนอก

ไกลออกไปยังเห็นว่าบนฟากฟ้าสุดขอบป่าเหมือนมีลมพายุรวมตัวกันอยู่ สายอัสนีที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าหลายสาย แล่นแปลบปลาบ อยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้า ทำให้คนที่เข้ามาพื้นที่ต้องห้ามนี้รู้สึกอันตรายลึกลับบางอย่าง

สวี่ชิงมองรอบๆ ทั้งหมด เดินตามไปเงียบๆ ระหว่างทางกลุ่มสายอัสนีไม่มีใครพูดคุยกัน แต่ตามการเข้าใกล้พื้นที่ต้องห้ามขึ้นเรื่อยๆ สวี่ชิงก็สังเกตได้อย่างเฉียบแหลมว่ากล้ามเนื้อทั้งร่างของทุกคนเริ่มค่อยๆ ปูดโปนออกมา เขาเองก็เช่นกัน

จนเมื่อความรู้สึกเหมือนเหยียบย่างเข้าไปในโลกที่หนาวเย็นปรากฏขึ้นมาทั่วทั้งตัวสวี่ชิง ขณะที่ความอบอุ่นทั้งหมดบนตัวเขาถูกขจัดไปในพริบตา เขาก็เข้ามาด้านในพื้นที่ต้องห้ามแล้ว

ราวกับว่าสิ่งที่ถูกขจัดลบออกไป ยังมีภาพทั้งหมดที่เขามองเห็นในโลกปกติอีกด้วย

ความหนาวเย็นที่คุ้นเคยเสียดแทงกระดูก ปลุกความทรงจำที่เขาเคยอยู่ในซากเมืองท่ามกลางสายฝนเลือดขึ้นมา

เขาจึงสูดลมหายใจลึก ความหวาดระแวงในใจเพิ่มมากขึ้น ในมือก็กำเหล็กแหลมเอาไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ เหมือนกับตอนที่อยู่ในซากเมืองไม่ผิดเพี้ยน

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือที่เมืองนั้นล่มสลายกลายเป็นเศษซาก แต่ที่นี่…

เงาต้นไม้บิดเบี้ยวจนเหมือนผีร้าย ดินโคลนเน่าจนเหมือนดินแห่งยมโลก กิ่งไม้ใบไม้แผ่ซ่านออกไปราวกับกรงเล็บที่บดบังฟ้า

แต่คนของกลุ่มสายอัสนีกลับดูคุ้นเคยกับที่นี่อย่างชัดเจน

พวกเขาสะพายอาวุธ เส้นทางที่เดินเห็นได้ชัดว่าเป็นทางที่เดินอยู่เป็นประจำ ทุกย่างก้าวล้วนมีรายละเอียด บางแห่งเห็นชัดๆ ว่าดูเป็นปกติดี พวกเขากลับเลี่ยงข้าม บางสถานที่มองแล้วเหมือนอันตราย แต่พวกเขากลับเดินย่ำเข้าไป

ยังมีบางพื้นที่ก็อ้อมไปอย่างไม่มีเหตุผล และเป็นเช่นนี้จึงเลี่ยงจุดที่อันตรายบางแห่งออกไปได้ตลอดทาง

สวี่ชิงติดตามอยู่ด้านหลัง สังเกตอย่างใกล้ชิด จดจำทั้งหมดเอาไว้

แต่เขาก็พบจุดที่แปลกประหลาดนิดหน่อยแล้ว ไม่ใช่ว่าจะมีหัวหน้าเหลยเป็นคนนำเส้นทางทั้งหมด บางครั้งก็เป็นผีเถื่อน บางครั้งก็เป็นเขี้ยวหงส์ สลับสับเปลี่ยนกัน

ความเร็วการเดินหน้าของแต่ละคนถึงแม้จะไม่เร็วนัก แต่ตลอดเส้นทางนอกจากได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายบ้าง ก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่

ต่อให้มีแมลงพิษอยู่บ้าง แต่หลังจากเขี้ยวหงส์จุดธูปมาดอกหนึ่ง ก็ไม่มีย่างกรายเข้ามาอีก

จนกระทั่งเดินมาราวหนึ่งชั่วยาม พวกเขาที่ไม่พูดคุยอะไรกันเลยตลอดทาง ก็เลือกหยุดลงที่ข้างบึงเลนแห่งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างผ่อนลมหายใจ

สวี่ชิงสังเกตว่าเขี้ยวหงส์หยิบผงยาบางอย่างออกมาสาดลงไปในบ่อโคลน เพียงไม่นานแมลงพิษกลุ่มหนึ่งก็มุดออกมาจากด้านใน เหมือนตั้งท่าพร้อมโจมตี แต่นางก็ยังมีสีหน้าปกติ โบกมือหยิบผงอีกชนิดหนึ่งสาดลงไป แมลงพิษกระสับกระส่าย กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างรวดเร็ว บ่อโคลนถึงสงบลง

เมื่อจัดการเสร็จ กลุ่มคนก็ทยอยย่อตัวลง วักโคลนขึ้นมาทาตัวอย่างคล่องแคล่ว

“จำรายละเอียดบนเส้นทางได้หรือยัง” หัวหน้าเหลยทาตัวไปด้วย ส่งสัญญาณให้สวี่ชิงทำแบบเดียวกันไปด้วย

สวี่ชิงพยักหน้า เริ่มวักโคลนขึ้นมาทาตัวอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันสายตาก็กวาดไปยังเขี้ยวหงส์ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจถึงวิชาพิษอยู่บ้าง

“จุดที่หลีกเลี่ยง ก็เพราะจุดที่กิ่งไม้ใบไม้ทับถมหนาแน่นแต่ยังดูสมบูรณ์ดีเช่นนั้นบ่งชี้ว่าไม่มีสัตว์ร้ายเดินผ่าน อาจจะมีบางสิ่งที่ไม่รู้อยู่ก็เป็นได้

“ส่วนจุดที่ย่ำเข้าไป เป็นเพราะมีกองมูลของสัตว์ร้ายอยู่ และสัญชาตญาณสิ่งมีชีวิตจะเลือกขับถ่ายในพื้นที่ปลอดภัย จึงบ่งชี้ได้ว่าไม่มีอันตรายที่น่ากลัวหรือพวกบ่อโคลนกินคนอยู่

“ส่วนอาณาเขตที่อ้อมมา เป็นเพราะจมูกของผีเถื่อนฉับไวมาก สามารถได้กลิ่นตัวตนอสูรกลายพันธุ์ที่เป็นอันตรายได้ สิ่งที่เจ้าเรียนรู้ได้มีมากมายตลอดทางนี้ จำได้เท่าไรก็จำไปแล้วกัน”

สวี่ชิงพอได้ยินก็มองไปยังผีเถื่อนผาดหนึ่ง ขณะนั้นผีเถื่อนก็หันมาเช่นกัน พลางยิ้มยิงฟันให้สวี่ชิง

“ส่วนเรื่องบ่อโคลนนี่มีหนังกิ้งก่าราตรีที่เสียหายปนอยู่ซึ่งพวกเราพบเมื่อหลายปีก่อน ถ้านำมาทาทั่วร่างกายแล้วไม่เพียงสามารถปิดบังกลิ่นอายของพวกเราได้ ทั้งยังมีพลังคุกคามอยู่ระดับหนึ่งอีกด้วย

“ด้านหน้าเป็นที่ที่เราจะต้องไป เดินขึ้นไปทางเหนือ ที่นั่นมีบึงมังกรพิษอยู่ เนื่องจากผืนป่าพื้นที่ต้องห้ามมีสภาพพื้นที่ไม่เหมือนกัน จึงถูกเหล่าคนเก็บกวาดแบ่งออกเป็นหลายอาณาเขต

“บึงมังกรพิษคือหนึ่งในนั้น แต่ครั้งนี้พวกเราจะไม่ไปที่นั่น” ระหว่างที่หัวหน้าเหลยพูด ก็ทาตัวเสร็จแล้ว

สวี่ชิงก็ทาเสร็จแล้วเช่นกัน ตอนที่ลุกขึ้น กางเขนที่เดินผ่านเข้างกายเขาไป ถึงแม้เมื่อวานจะยังสงสัยในการติดตามของสวี่ชิง ทว่าก็ยังเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา

“คอยสังเกตจุดกลายพันธุ์ของเจ้าด้วย พื้นที่ต้องห้ามมีไอพลังประหลาดเข้มข้น ต้องคอยระมัดระวังตลอดเวลา หากเกินมาตรฐานการกลายพันธุ์ไป ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

สวี่ชิงพยักหน้า เขาสังเกตถึงจุดนี้ไว้นานแล้ว

เขาสัมผัสได้ว่าระดับความเข้มข้นไอพลังประหลาดในพื้นที่ต้องห้ามนี้สูงลิบ แต่เมื่อเทียบกับในซากเมืองก่อนหน้าตอนที่พุ่งขึ้นสูงสุดก็ยังห่างกันหลายขุม

เพียงแต่ว่าเขาเวลานี้ก็สะสมไอพลังประหลาดไว้แล้วไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้ต่อให้ไม่ฝึกบำเพ็ญ จุดกลายพันธุ์บนแขนเขาก็เริ่มเจ็บปวดเสียดแทงขึ้นมาเพียงแค่หายใจเท่านั้น

จึงล้วงเอาลูกกลอนขาวเม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปาก ไม่ได้กลืนลงไป แต่อมเอาไว้ให้มันละลายช้าๆ

ไม่นาน ทุกคนก็ทาตัวเสร็จ มองหน้ากัน และออกเดินหน้าต่อ

แต่เส้นทางถัดจากนี้แตกต่างจากการเดินทางก่อนหน้า ความเร็วของพวกเขาช้าลงกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นในมือของทุกคนก็ยังหยิบเอาอาวุธออกมาติดไม้ติดมือ

สวี่ชิงกวาดตามองดูอาวุธของพวกเขา

ผีเถื่อนเป็นโล่เหล็กกล้ากับกระบองเขี้ยวหมาป่า หัวหน้าเหลยคือชุดถุงมือ กางเขนคือธนูยาว ส่วนเขี้ยวหงส์ก็หยิบเอากริชฟันเลื่อยเล่มหนึ่งออกมา ด้านบนเปล่งประกายเย็นเยือก

หลายวันก่อนที่สวี่ชิงออกไปจับตาดูเจ้าอ้วน ก็ได้ประโยชน์อื่นมาด้วยเช่นกัน

เพราะพลังการฟังเฉียบคม จึงได้ยินบทสนทนาของคนเก็บกวาดมาไม่น้อย ได้ล่วงรู้ข้อมูลที่ปกติไม่เคยได้รู้มาก่อน

ยกตัวอย่างเช่นในอาวุธเหล่านี้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแบ่งออกเป็นของวิเศษเวท ของวิเศษอักขระรวมไปถึงของวิเศษล้ำค่า

ในนี้ของวิเศษเวทถือเป็นสิ่งของในตำนาน พบเห็นได้ยากมาก

ว่ากันว่าของวิเศษเวททุกชิ้นล้วนมีระดับการปนเปื้อนไอพลังประหลาดที่แตกต่างกัน และยังเพิ่มขึ้นตามการใช้งาน ความยากง่ายในการขจัดออกไปอีกด้วย ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถกำเนิดขึ้นใหม่ บวกกับพลานุภาพมหาศาล จึงเป็นของล้ำค่าโดยธรรมชาติไป

ดังนั้นจึงเกิดตัวตนพิเศษอย่างคนเลี้ยงของวิเศษขึ้นมา พวกเขามักจะถูกคนชุบเลี้ยงขึ้นมาตั้งแต่เด็ก ใช้ร่างกายลดไอพลังประหลาดของของวิเศษเวทลง

จุดนี้ ตอนนั้นหัวหน้าเหลยก็เคยพูดไว้

นอกจากของวิเศษเวทแล้ว รองลงมาก็คือของวิเศษอักขระและของวิเศษล้ำค่า

ของวิเศษอักขระถึงแม้จะพบเห็นได้น้อย แต่เมื่อเทียบกับของวิเศษเวทแล้วก็ยังเป็นสิ่งที่นำมาใช้ฟุ่มเฟือยได้ ส่วนของวิเศษล้ำค่าข้อหลังก็พบเห็นได้บ่อย มักจะตีขึ้นมาจากวัตถุดิบพิเศษบางอย่าง เป็นอาวุธเช่นเดียวกับที่คนปกติใช้งานกัน

สวี่ชิงรู้สึกว่าเหล็กแหลมของตนเอง บางทีน่าจะเป็นของวิเศษล้ำค่า และในมือเหล่าคนตรงหน้าก็เห็นได้ชัดว่าเป็นประเภทนี้

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สวี่ชิงติดตามกลุ่มสายอัสนี ค่อยๆ เดินลับเข้าไปในเขตพื้นที่ต้องห้าม

ระหว่างทางก็พบเข้ากับความยุ่งยากเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผีเถื่อนคนเดียวที่จัดการทิ้ง

บางครั้งที่พบกับสัตว์ร้ายแข็งแกร่งบ้าง ธนูของกางเขนก็จะถูกยิงออกไป

ส่วนการลงมือของเขี้ยวหงส์จะใช้วิชาเวทเป็นหลัก ราวกับนางสามารถทำให้สัตว์ร้ายที่เข้ามาตกใจกลัว เกิดอาการชะงัก ลดความปราดเปรียวลงได้

ช่วงนี้สวี่ชิงเองก็ลงมือไปครั้งหนึ่ง จัดการคว้างูพิษตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาทางด้านหลัง บีบจนเละ

และเมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้ กลับพบว่าในการเดินทางไปข้างหน้านี้สวี่ชิงสามารถติดตามมาได้ตลอด ไม่มีการทำผิดพลาดอย่างที่พวกมือใหม่ทำกันเลย สายตาของกางเขนที่มองสวี่ชิงก็มีการตรวจสอบน้อยลง และมีการถ่ายทอดประสบการณ์บางส่วนให้กับเขา

“เด็กน้อย พื้นที่ต้องห้ามนี้ดูเหมือนอันตราย แต่สำหรับพวกเราที่ล้มลุกคลุกคลานในสถานที่แห่งนี้มาแล้ว ขอแค่ไม่พบกับสามสถานการณ์ต่อไปนี้ ก็คือปลอดภัย

“สามสถานการณ์นี้ เจ้าจำไว้ให้ดี

“สิ่งแรก ก็คือพวกอสูรกลายพันธุ์แปลกหน้าจากส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามออกมายังพื้นที่รอบนอก สถานการณ์นี้มีไม่บ่อยนัก แต่พื้นที่ที่พวกเราทำงานกันอยู่ อันที่จริงก็เป็นเพียงพื้นที่รอบนอกของพื้นที่ต้องห้ามเท่านั้น

“แต่ถ้าหากเจอเข้า ก็ถือว่าอันตรายอย่างมาก เพราะพวกเราเข้าใจแค่นิสัยกับความสามารถของอสูรกลายพันธุ์รอบนอกเท่านั้น พื้นที่ต้องห้ามนี้ใหญ่มาก อสูรกลายพันธุ์ด้านในมีมากมายหลายประเภท ความสามารถเองก็มีมากมายหลายกระบวน ถ้าหากละเลยไม่ใส่ใจก็เท่ากับความตาย

“สิ่งที่สองก็คือเสียงเพลง” พูดถึงจุดนี้ สีหน้ากางเขนก็เผยความหวาดกลัวออกมา

“ในพื้นที่ต้องห้ามนี้มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง ว่ากันว่าที่นี่จะมีเสียงเพลงปรากฏออกมา และคนที่ได้ยินเสียงเพลงล้วนล้มตายกันเกือบหมด เพียงแต่ว่าข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงเพลงนี้มาก่อน ในพวกเราที่เคยได้ยินเสียงเพลง มีแค่หัวหน้าเหลยคนเดียวเท่านั้น”

สวี่ชิงมองไปทางหัวหน้าเหลย

หัวหน้าเหลยไม่พูดจา เพียงแค่เงยหน้ามองไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม ในสายตามีแววซับซ้อนเลยออกมารางๆ

“เรื่องที่สามข้าพูดเองแล้วกัน” เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม มองไปทางสวี่ชิงผาดหนึ่ง

“เด็กน้อย อันตรายที่สามของที่นี่ พบเห็นได้บ่อยมาก นั่นก็คือหมอกลวงตา

“เมื่อปรากฏหมอกลวงตาขึ้นก็เหมือนเป็นคนตาบอดต้องหลงทางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเวลาที่หมอกลวงตาปรากฏก็ยาวนานมาก หากหลงทิศทางในนั้นแล้วไม่สามารถออกไปได้ทันท่วงที ก็จะถูกขังอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามนี้ ไอพลังประหลาดในร่างกายก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากการรุกรานของไอพลังประหลาด และนี่ก็เหมือนเป็นการจุติของความตายเช่นกัน

“แต่ก็มีอยู่สองวิธีที่สามารถบรรเทาลงได้ หนึ่งคือไฟ อีกหนึ่งคือผู้ที่มีพลังจิตอันแข็งแกร่งของพลังบำเพ็ญทั้งตั้งแต่กำเนิดและฝึกมาภายหลัง

“สิ่งแรกเป็นการแก้ไขไม่ค่อยตรงจุด แม้ไฟจะสามารถขับไล่หมอกออกไปได้ ฟื้นระยะสายตากลับมาในอาณาเขตเล็กๆ แต่หมอกลวงตาก็เป็นสิ่งประหลาด ไฟจึงอยู่ได้ไม่นานนัก ส่วนข้อหลัง สิบกว่าปีถึงจะมีโผล่ออกมาสักคนในฐานที่มั่น คนประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะออกไปเพื่อแสวงหาความพัฒนาที่ดียิ่งกว่า

“ยังมีอันตรายที่สี่อยู่อีก นั่นก็คือพบเข้ากับการซุ่มโจมตีของฝ่ายศัตรู” ผีเถื่อนที่เบิกทางอยู่ด้านหน้าเอ่ยเสียงทึมมาประโยคหนึ่ง

เขี้ยวหงส์ที่เพิ่งจะเอ่ยปาก ตอนนี้กลับก็มองไปทางหัวหน้าเหลยที่อยู่ก็ห่างออกไปในพื้นที่ต้องห้าม จู่ๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“เงียบก่อน!”

พริบตาต่อมา กางเขนง้างธนู ดวงตาเขี้ยวหงส์ก็เกิดประกายสลัว ผีเถื่อนร่างกายปูดโปนขึ้นทั่วตัว สวี่ชิงตอนนี้ก็ขนลุกชูชันขึ้นมาเช่นกัน พลังคุกคามแรงกล้าวูบหนึ่งแผ่ออกมาฉับพลันจากในป่าดำมืดที่ห่างจากพวกเขา

ไม่นานนัก ประกายสลัวเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นในความมืดนั่นเป็นดวงตาหลายคู่ แฝงความเย็นชา แฝงความมืดทึมจับจ้องมาที่กลุ่มคน

ดวงตามากมายมหาศาล

และหมาป่ายักษ์ตัวขนาดควายที่เต็มไปด้วยเกล็ดดำทั้งร่างหลายตัว ค่อยๆ เดินออกมา จากการที่ดวงตาเหล่านี้ปรากฏขึ้น

เมื่อมองไปจำนวนอย่างต่ำก็หลายสิบตัว กระทั่งห่างออกไปยังมีเงาที่มากกว่าอยู่ลางๆ เกรงว่าน่าจะหลักร้อย

และคลื่นพลังวิญญาณที่หมาป่าทุกตัวเปล่งออกมาล้วนอยู่ประมาณขั้นสองทั้งสิ้น จนทำให้พวกของผีเถื่อนหน้าค่อยๆ ถอดสี

“ฝูงหมาป่าเกล็ดดำ”

“ปกติพวกมันใช้ชีวิตอยู่แต่ในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามกับเส้นเขตรอบนอกเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในบริเวณนี้ แล้วทำไมจึงกรูกันมาที่นี่กัน!”

ม่านตากางเขนหดเล็ก เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ ก็สีหน้าซีดขาว

อันที่จริงพวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจน ถึงแม้หมาป่าเกล็ดดำตัวเดียวจะไม่คณามือนัก แต่หากจำนวนมากขนาดนี้ล่ะก็ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นการทดสอบสนามหนึ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญอย่างมาก

สำคัญที่สุดคือในพื้นที่ต้องห้ามมีไอพลังประหลาดเข้มข้น หากพลังวิญญาณในร่างกายใช้มากเกินไปก็ทำได้เพียงการดูดซับเอาพลังวิญญาณภายนอกเข้ามา และระหว่างการต่อสู้แน่นอนว่าทำการแยกไอพลังประหลาดออกมาไม่ทันแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไอพลังประหลาดในร่างก็จะสะสมอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงที่จะกลายพันธุ์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาล

สวี่ชิงเองก็หายใจหอบถี่ แรงกดดันจากหมาป่าฝูงนี้มากมายเสียเหลือเกิน

“พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าจะขวางพวกมันเอาไว้สักครู่”

ท่ามกลางจิตใจอันสั่นคลอนของทุกคน หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นเสียงขรึม เดินออกมาช้าๆ

คลื่นพลังวิญญาณที่สูงกว่ากางเขนอย่างน้อยเท่าตัวแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของหัวหน้าเหลยที่กำลังเดินไปด้านหน้า

ฝีเท้าหมาป่าฝูงนั้นก็หยุดชะงักลงเช่นกัน จ้องเขม็งไปทางหัวหน้าเหลย

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *