ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 53 ฝึกบำเพ็ญด้วยท้องทะเล

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 53 ฝึกบำเพ็ญด้วยท้องทะเล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 53 ฝึกบำเพ็ญด้วยท้องทะเล

แสงจันทร์สาดส่องลงมา กลายเป็นแสงจันทร์ปกคลุมจระเข้ยักษ์ชั้นหนึ่ง มองไกลๆ ราวกับเรือลำนี้มีชีวิต กำลังอาบแสงจันทร์บริสุทธิ์ ราวกับโคจรพลังอย่างไรอย่างนั้น

ทำให้มันซึมซับแสงจันทร์ที่เข้มข้นยิ่ง ประกายเย็นเยียบก็แผ่ซ่านท่ามกลางแสงพร่างพราว

สวี่ชิ่งเพ่งมองอยู่นาน

ไม่ว่าจะชีวิตในถ้ำยาจกหรือว่าในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด นอกจากบ้านใหม่ที่หัวหน้าเหลยมอบให้เขา สถานที่ที่เขาพักส่วนใหญ่ล้วนเรียบง่ายทั้งสิ้น

และเรืออูเผิงที่เหมือนจระเข้ลำนี้ เผยความฮึกเหิมวูบหนึ่งออกมาภายใต้ความสะอาดบริสุทธิ์ของแสงจันทร์ จนทำให้สวี่ชิงต้องคุกเข่าลงอย่างอดไม่อยู่ ยกมือขึ้นลูบ

เย็นเยียบ วัสดุที่ทำก็แข็งมาก

ที่สำคัญที่สุดคือ…

“นี่เป็นของข้า” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ เมื่อคิดจะเหยียบขึ้นไป แต่ก็หยุดลง ในดวงตามีประกายสว่างวาบขึ้น เขาสัมผัสได้ว่ารอบๆ มีสายตาที่มีเจตนาชั่วร้ายอยู่รางๆ กำลังจ้องมาที่ตนเอง

แต่อีกฝ่ายก็ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี สวี่ชิงหาไม่พบในทันที เขาจึงเก็บประกายเย็นชาในดวงตา ทำจิตใจให้สงบนิ่ง จงใจก้มหน้าลงมองรองเท้าของตนเอง

รองเท้าสานเก่าๆ มีดินโคลนและเลือดที่แห้งกรังมากมายเปื้อนอยู่ ยังมองเห็นนิ้วเท้าที่สกปรกมอมแมมของเขาจากในร่องอีกด้วย

สวี่ชิงนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ถอดรองเท้าของตนเองออก จ้องมองสองเท้าที่สกปรกของตนเอง แล้วนั่งลงหย่อนเท้าไปในน้ำทะเลด้านข้าง ชะล้างสองเท้าจนเผยผิวหนังขาวนวลออกมา

ดูเหมือนเขาสงบนิ่งมากในขั้นตอนทั้งหมด แต่ก็ยังลอบสังเกตรอบด้านอยู่ รอให้คนที่มีสายตาชั่วร้ายนั่นปรากฏตัว เพียงแต่อีกฝ่ายก็ระมัดระวังอย่างมาก ต่อให้สวี่ชิงนั่งลงแล้วเผยความเกียจคร้านตรงนั้น คนผู้นี้ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว

สีหน้าสวี่ชิงปกติ ลุกขึ้นเหยียบไปบนเรือ กวาดตามองอูเผิงผาดหนึ่ง

พื้นที่ในอูเผิงไม่ใหญ่นัก ด้านในเรียบง่าย มีเพียงเตียง เบาะกลม และที่ล้างมือล้างหน้า

หลังคาอูเผิงก็ต่ำไปหน่อย คนปกติอยู่ด้านในไม่สามารถยืนหลังตรงได้ แต่ถ้านั่งลงก็ยังพอสบายอยู่

หลังจากสวี่ชิงกวาดตามองรอบหนึ่ง ยังไม่ได้เดินเข้าไปในทันที แต่นั่งอยู่บนหัวเรืออูเผิง ฟังคลื่นทะเลที่ชัดเจนด้านนอก สัมผัสเรือเล็กที่ลอยโคลงเคลงเหนือผืนน้ำ

ดวงตาเขาปรากฏแววล่องลอยในความเงียบงัน คล้ายกับความคิดกำลังล่องลอยไป

สวี่ชิงคิดไปถึงชีวิตที่ดิ้นรนอยู่ในถ้ำยาจกครั้งนั้น คิดถึงตนเองที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็กๆ ข้ามผ่านคืนที่เหน็บหนาวทุกค่ำคืน เขาเหม่อลอยอยู่ในความหนาวเย็นนี้ในหน้าหนาวของทุกปีว่าจะได้พบกับดวงตะวันของเช้าวันใหม่หรือไม่

เพราะหน้าหนาวทุกครั้งล้วนมีคนหนาวตายอยู่เสมอ

ดังนั้น เขาจึงกลัวความหนาว บางทีอาจจะไม่ได้กลัวร่างกายหนาวเย็น แต่เป็นความทรงจำ

สวี่ชิงเวลานี้นั่งเงียบๆ บนเรือ มองไปในความมืดด้านนอก มองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า เขาคิดถึงคนแรกสุดที่เขาสังหารเมื่อหลายปีก่อน

คนผู้นั้นคิดจะกินเขา สุดท้ายก็ถูกเขาตัดศีรษะทิ้งอย่างเปลืองแรง แล้ววางไว้ที่ปากถ้ำเล็กของตน นับจากนั้นมา สายตาของทุกคนที่มองเขาก็เปลี่ยนไป

เรือยังคงคลอนไหว

ความคิดในดวงตาของสวี่ชิงเหมือนยังล่องลอยอยู่ แต่ในใจกลับงึมงำ

‘หรือครั้งนี้จะวางไว้อีกซักหัวดี’

พริบตาที่ใจคิด ร่างของสวี่ชิงก็หงายหลังลงฉับพลัน แสงเย็นวูบหนึ่งแฉลบผ่านเบื้องหน้าเขาไป

พริบตาที่เบี่ยงหลบแสงเย็นนั่น ในดวงตาล่องลอยของสวี่ชิงก็หายไป ราวกับทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตา ความเฉียบขาดที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ปลดปล่อยออกมาแล้ว!

‘ในที่สุดก็ออกมาเสียที!’

พริบตาต่อมา น้ำทะเลข้างลำเรือก็มีคลื่นน้ำกระเพื่อมขึ้น ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากในน้ำฉับพลัน ทะยานเข้ามาหาสวี่ชิง แสงเย็นที่คมยิ่งกว่าสว่างวาบขึ้นในมือขวาของเขา

เป็นกริชเล่มหนึ่งmujมีประกายสีน้ำเงินวาบขึ้นใต้แสงจันทร์ เห็นได้ชัดว่าฉาบพิษไว้

และสวี่ชิงก็มองเห็นคนที่เข้ามาใต้แสงจันทร์ เป็นศิษย์ในชุดนักพรตสีเทาคนหนึ่ง ไม่ปิดบังหน้าตา อายุราวสามสิบกว่า มีพลังบำเพ็ญเพียงระดับรวมปราณขั้นห้า แต่ความรู้สึกที่นำมากลับแฝงพลังคุกคามอยู่

สีหน้าของศิษย์คนนี้โหดเหี้ยมมาก ในดวงตามีจิตสังหารแผ่ซ่าน

เข้าประชิดด้วยความเร็ว กริชในมือก็แทงเข้ามาที่หน้าอกของสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม

ดวงตาสวี่ชิงเย็นชา ไม่มองกริชของอีกฝ่าย มือขวาที่เร็วกว่าคว้าไปที่แขนของคนที่เข้ามา พลิกหมุนทำให้ร่างกายผู้บำเพ็ญที่พุ่งเข้ามาหมุนคว้างฉับพลันด้วยการระเบิดพลังฝึกกายาในร่างกาย

ร่างกายของเขาถูกสวี่ชิงอัดลงไปบนพื้นเรือท่ามกลางความตกตะลึงและความไม่อยากเชื่อของคนผู้นี้

เสียงตูมดังขึ้น จู่ๆ เลือดสดก็พุ่งออกมาจากร่างกายคนผู้นี้เป็นหนวดเลือด ฟาดความเหนอะหนะเข้าใส่สวี่ชิงอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายที่แฝงอยู่มากเกินกว่ารวมปราณขั้นห้าเหมือนจะไปถึงขั้นหก

สวี่ชิงหน้าไร้อารมณ์ เงาขุยที่ด้านหลังก็ปรากฏเด่นชัด ซัดเข้าไปตรงๆ

เสียงโครมดังขึ้น หนวดข้างนั้นเป็นอัมพาตไป จากนั้นก็แตกสลาย

พอสูญเสียหนวดไป ผู้บำเพ็ญคนนี้ก็กระอักเลือดสดออกมา หน้าถอดสีทันที คิดจะเอาชีวิตรอด แต่พริบตาต่อมามือซ้ายของสวี่ชิงก็หยิบกริชเล่มหนึ่งพาดบนคอของเขา

กริชเย็นเยียบกรีดลงผิวหนัง ขอแค่ออกแรงเล็กน้อยก็ตัดหลอดลมของเขาขาดได้ทันที

ภาพนี้ทำให้ร่างของผู้บำเพ็ญสั่นเทิ้ม สายตาที่มองไปยังสวี่ชิงเผยความพรั่นพรึงออกมา

“เจ้าอำพรางตัวตนเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วก็หนวดบนตัวเจ้าเมื่อครู่คือสิ่งใด” สวี่ชิงเอ่ยออกไป มองผู้บำเพ็ญตรงหน้าอย่างเย็นชา

“นี่คือหนวดมหาสมุทรที่ข้าปลูกถ่ายไว้บนตัว สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้ข้าได้ และสามารถทำให้ข้าปิดบังกลิ่นอายในท้องทะเลได้ด้วย ในสำนักคนส่วนใหญ่ล้วนทำเช่นนี้ ศิษย์น้อง ข้าคิดหาทางชดเชยที่ลงมือครั้งนี้ได้ เพียงเพราะข้ามีแต้มอุทิศไม่เพียงพอเท่านั้น แต่ข้ารับภารกิจมาแล้ว พรุ่งนี้…” ผู้บำเพ็ญคนนี้รีบร้อนเอ่ยปาก แต่ไม่ทันพูดจบ กริชในมือสวี่ชิงก็กรีดลงฉับพลัน

ผู้บำเพ็ญตาเบิกโพลงทันที ยังไม่ทันส่งเสียงกรีดร้อง ก็ถูกสวี่ชิงอุดปากไว้ ขณะที่ร่างชักกระตุกเลือดสดก็พ่นทะลักจนทำให้เรือเวทแดงฉานไปทั้งลำ

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ ร่างของเขาก็ไม่ขยับเขยื้อน

สวี่ชิงเลิกคิ้วมองเรือเวทที่ถูกทำให้เปรอะเปื้อนเช่นนี้ ล้วงเอาผงสลายศพออกมาสาด จนกระทั่งศพนี้กลายเป็นกองเลือด รอบด้านก็ไม่มีศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดปรากฏออกมาอีก

เหมือนทุกคนชินชาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ลมทะเลพัดเข้ามาพากลิ่นคาวทะเลและคาวเลือดฟุ้งแผ่ปกคลุมไปทั่วตัวสวี่ชิง เขาหยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายขึ้นมา ด้านในโล่งโจ้ง ไม่มีของมีค่าเลย

“คนผู้นี้เล็งตัวข้า ก็เพราะข้ามีเรือเวท” สวี่ชิงคิดถึงสิ่งที่ผู้บำเพ็ยใบหน้ากลมพูดไว้เมื่อกลางวัน ว่ามีศิษย์หายตัวไปอย่างน่าประหลาดทุกเดือนเสมอ

เขาจึงลูบเหล็กแหลมที่แหลมคมของตนเอง ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ จากนั้นก็ดึงตนเองกลับไปยังกล่องผ้าไหม เปิดมันออก ล้วงเอาแผ่นหยกแนะนำเรือด้านในออกมาอ่านอย่างละเอียด

ผ่านไปครู่หนึ่งสวี่ชิงจึงวางแผ่นหยกลง ก้มหน้าลงมองเรือลำนี้ เผยประกายประหลาดใจออกมา

“เรือลำนี้…น่าทึ่งเสียจริง” ระหว่างที่งึมงำ สวี่ชิงทำตามวิธีในแผ่นหยก ยกมือขวาตบลงไปบนกระดานเรือข้างๆ พลังวิญญาณในร่างกายแผ่ซ่าน ทำให้พลังวิญญาณของตนเองแปลงเป็นตราประทับ ประทับลงไปบนตัวเรือ

เรือทั้งลำสั่นสะเทือน ส่งเสียงหวึ่งเบาๆ ออกมาราวกับกลไกบางอย่างถูกเปิดใช้งาน

สวี่ชิงกัดนิ้วตนเอง บีบเลือดออกมาหยดหนึ่ง วาดอักขระง่ายๆ รูปหนึ่งลงไปบนกระดานเรืออย่างตั้งใจ สิ่งที่ตามมาหลังจากวาดอักขระ เรือทั้งลำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง การเชื่อมต่อลึกลับวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจสวี่ชิงทันที

นี่คือวิธีทำพันธะสัญญาที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก พอเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนเองกับเรือลำนี้ราวกับหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

ขณะที่จิตใจเขาสั่นสะเทือน ม่านแสงคุ้มกันวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนเรือลำนี้ หลังจากครอบคลุมไปทั้งลำเรือ ในที่สุดสวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงความปลอดภัยขึ้นมาเสียที

เขาก้มหน้าลงอ่านแผ่นหยกที่เกี่ยวกับเรือลำนี้ต่อ จัดการจดจำเนื้อหาในนั้นซ้ำไปซ้ำมา สลักเอาไว้ในจิตใจ

เรือเวทของเจ็ดเนตรโลหิต แฝงเอาไว้ด้วยการเติบโตขึ้นสูงอย่างแท้จริง

ศิษย์สามารถดูจากทรัพยากรและความชื่นชอบของตนเอง เพิ่มแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องด้วยความเร็ว การป้องกัน พลังโจมตีรวมไปถึงความเป็นเอกลักษณ์พิเศษสี่ข้อนี้ตามความต้องการของตนเองได้ จะทำให้แข็งแกร่งเพียงด้านเดียว และสามารถพัฒนารอบด้านขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

สามสิ่งแรกเข้าใจได้ง่าย แต่เอกลักษณ์พิเศษหมายถึงความสามารถพิเศษที่อยู่นอกเหนือวิชาเวท เช่นทำให้เรือสามารถดำลงไปใต้ทะเล หรือบินบนฟ้าเหนือผิวทะเลได้ หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ค่อยๆ หลุดออกจากความเป็นเรือขึ้นมา

แต่ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์พิเศษ หรืออีกสามด้านนั้น สิ่งที่จะตัดสินมันก็มีเพียงจุดเดียว นั่นก็คือวัสดุของตัวเรือ

ปกติแล้ว ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดเลือกวัสดุทำตัวเรือ จะมีอยู่สองทางเลือก ทางเลือกแรกคือสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์

การเปลี่ยนแปลงวัสดุให้มีระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันสามารถแบกรับค่ายกลที่มีพลานุภาพมากขึ้นได้ นำมายกระดับตัวเรือและทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นได้

ทางเลือกนี้ จำเป็นต้องร่วมมือกับการฝึกบำเพ็ญค่ายกลของยอดเขาลำดับสอง ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาของมนุษย์ในอนาคต แต่ยังคงเป็นตัวเลือกแรกของศิษย์ส่วนหนึ่งอยู่

เพราะเส้นทางนี้ ระดับอันตรายมีไม่สูงมาก เดินไปทีละขั้นทีละตอนตามแบบแผน

“ส่วนทางเลือกที่สอง…

“คือการใช้ชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์มาเป็นวัสดุของตัวเรือ ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลเข้าเสริม” สวี่ชิงกระจ่างขึ้นมาบ้าง เขารู้มาจากแผ่นหยกเรือว่าชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งหมด ล้วนแฝงไว้ด้วยค่ายกลจากธรรมชาติ

และสามารถพูดได้ว่าพลานุภาพของมันก็ไม่ธรรมดา ค่ายกลประเภทนี้ ถูกเรียกว่าสิ่งต้องห้าม

ชิ้นส่วนอสูรกลายพันธุ์ที่ต่างกัน แฝงสิ่งต้องห้ามที่ต่างกัน มีความสามารถไม่เหมือนกัน

“สองทางนี้ไม่ว่าจะทางเลือกใด ก็ล้วนสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมากทั้งสิ้น” สวี่ชิงก้มหน้าลงมองแผ่นหยกในมือ และรับรู้ถึงความน่ากลัวของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกครั้ง

เพราะในฐานะที่เป็นศิษย์ใหม่ เรือลำนี้ที่เขาแลกมาคือเรือระดับหนึ่ง

และเรือของเจ็ดเนตรโลหิต แบ่งออกเป็นเรือเล็ก เรือใหญ่ เรือศึก และเรือกลสี่ระดับชั้น และทุกระดับชั้นแบ่งออกเป็นสิบระดับ

ในแผ่นหยกยังอธิบายอีกว่ากระทั่งหลังจากชั้นเรือกลยังมีอีกระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่า

มีชื่อว่าเรือศึกบรรพกาล

“การยกระดับขึ้นทีละชั้นๆ ทรัพยากรที่จำเป็น…” สวี่ชิงไม่สามารถคำนวณเป็นรูปธรรมออกมาได้ เอาแค่พิจารณาขั้นต้น ก็ทำเขาสูดลมหายใจลึกแล้ว

ดังนั้นเขาจึงวางแผ่นหยกลง ก้มหน้าลงเหม่อลอยมองกระเป๋าของตนเอง ไม่ว่าจะในถุงหนังหรือถุงเก็บของ สิ่งของที่เหลืออยู่ด้านในเหลือน้อยถึงน้อยมากแล้วจริงๆ

“ต้องหาวิธีหาเงินเสียแล้ว มีเวลาอีกหนึ่งเดือน ท่าเรือก็จะเก็บเงิน” สวี่ชิงครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ล้วงเอาแผ่นหยกอีกชิ้นหนึ่งออกมาศึกษา

สิ่งที่บันทึกไว้ในแผ่นหยกชิ้นนี้คือวิชาที่ห้ามแพร่งพรายของยอดเขาลำดับเจ็ด มีชื่อว่าคัมภีร์แปรสมุทร

ในฐานะที่เป็นขั้วอำนาจระดับสูงของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ วิชาของแต่ละยอดเขา ไม่ว่าจะระดับการแยกไอพลังประหลาด หรือว่าพลานุภาพร่างกาย ก็ล้วนมูลค่ามหาศาล ด้านพลานุภาพก็น่าตกตะลึงยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจกับตระกูลเล็กๆ จะมาเทียบได้

พูดได้ว่าพลังบำเพ็ญแบบเดียวกัน ก็ห่างชั้นเหมือนหิ่งห้อยกับคบไฟนั่นล่ะ

หลังจากค้นคว้าอย่างละเอียด สวี่ชิงถอนหายใจยาวออกมา ในที่สุดเขาก็รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมหลังจากที่ตนเองเข้ามาที่นี่แล้ว แม้ว่าผู้บำเพ็ญทั้งหมดของเจ็ดเนตรโลหิตพลังฝึกตนจะไม่สูงนัก แต่กลับสร้างความรู้สึกอันตรายบางอย่างให้กับตนเองได้

ระดับชั้นของวิชา เป็นตัวตัดสินทั้งหมด

ตัวอย่างเช่นคัมภีร์แปรสมุทร มีทั้งหมดสิบขั้น สอดคล้องกับรวมปราณสิบขั้น ตอนที่ฝึกบำเพ็ญจำเป็นต้องอยู่ใกล้กับบริเวณเขตทะเล ถ้าหากเป็นในท้องทะเลก็ยิ่งดี

การฝึกบำเพ็ญในทุกขั้นตอน ต้องรับกลิ่นอายมหาสมุทร ให้ในร่างกายก่อเกิดทะเลวิญญาณอาณาเขตสิบจั้งขึ้น หลังจากฝึกไปจนถึงขั้นสิบ หรือก็คือรวมปราณระดับสมบูรณ์ อาณาเขตระดับวิญญาณจะไปถึงจุดสูงสุดหนึ่งร้อยจั้ง

นี่ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรใช้เวลายาวนานมาก พลังวิญญาณในร่างกายมากเกินกว่าขั้นเดียวกันอยู่หลายเท่า เมื่อรวมกับวิชาเวทที่แปรเปลี่ยนไปได้อีกนับไม่ถ้วน พลังต่อสู้ของเขาก็จะยิ่งสะกดได้ทั่วทิศ

ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือตอนที่ลงมือ กลิ่นอายแห่งทะเลต้องห้ามที่แฝงอยู่ในทะเลวิญญาณ ก็ยังสามารถก่อตัวขึ้นเป็นแรงกดดันในจิตวิญญาณ ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาถูกมือที่มองไม่เห็นทำให้อ่อนแอลง

อันที่จริงระดับรวมปราณก็คือการสะสมพลังวิญญาณในร่างกาย แต่กลิ่นอายทะเลต้องห้ามของคัมภีร์แปรสมุทร สามารถทำให้คนที่มีพลังวิญญาณสู้ตนเองไม่ได้ทั้งหมดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“เคล็ดคีรีสมุทรคือวิชาฝึกกายา เมื่อสำเร็จเงาขุย เทียบเท่ากับฝึกกายาขั้นบริบูรณ์ ระดับเดียวกับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ แต่เนื่องจากระดับชั้นของวิชา เมื่อเทียบกับวิชาระดับสูงประเภทเดียวกัน ขั้นบริบูรณ์เช่นเดียวกันกลับอ่อนแอกว่ามาก

“แต่เพราะในร่างกายข้าไม่มีไอพลังประหลาด และยังมีการสนับสนุนจากผลึกวารีสีม่วงอีก ดังนั้นเคล็ดคีรีสมุทรขั้นที่เจ็ดในตัวข้าจึงปรากฏเงาขุยขั้นบริบูรณ์ออกมา พลังต่อสู้เทียบเท่ากับขั้นบริบูรณ์”

“แต่แก่นแท้แล้ว ระดับชั้นของเคล็ดคีรีสมุทร ก็ยังเทียบกับคัมภีร์แปรสมุทรไม่ได้ หนึ่งคือฝึกกายา อีกหนึ่งคือฝึกวิชาเวท…” ในใจสวี่ชิงเกิดคลื่นอารมณ์ คิดไปถึงคำพูดที่ผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมพูดไว้ก่อนหน้านี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาสวี่ชิงปรากฏความแน่วแน่ และยังสังเกตถึงจุดที่แผ่นหยกบอกว่า ว่าขีดจำกัดทะเลวิญญาณที่ก่อขึ้นจากคัมภีร์แปรวิญญาณใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

คุณสมบัติร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ระดับการกลายพันธุ์ก็แตกต่างกัน

ยิ่งการกลายพันธุ์น้อย ขีดจำกัดของอาณาเขตทะเลวิญญาณก็ยิ่งมากขึ้น จนถึงปัจจุบันนี้ ในบันทึกสูงที่สุดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต คือเมื่อหกสิบปีก่อน มีคนที่ก่อทะเลวิญญาณขึ้นได้ถึงสองร้อยเจ็ดสิบจั้ง ตอนที่ระดับรวมปราณไปถึงขั้นบริบูรณ์

คนผู้นี้ก็คือเจ้ายอดเขาของยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งเจ็ดเนตรโลหิตในปัจจุบัน

พออ่านถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็จ้องเขม็ง เขารู้ว่าในร่างกายตนเองไม่มีไอพลังประหลาด…

“เช่นนั้นถ้าข้าฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรนี้ หลังจากขั้นบริบูรณ์จะก่ออาณาเขตทะเลวิญญาณได้กว้างถึงเพียงใดกันนะ”

ในใจสวี่ชิงเกิดความคาดหวังอย่างแรงกล้า เขารู้สึกว่าถ้าหากการกลายพันธุ์ไม่ปิดกั้นขีดจำกัด เช่นนั้นขีดจำกัดของตนเองก็ควรจะเป็นระดับสูงสุดที่ตนเองสามารถรับได้

และด้านการฟื้นฟูในร่างกายเขาก็น่ากลัวมาก ดังนั้นระดับที่รับได้ก็จะมหาศาลด้วยเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้ในดวงตาสวี่ชิงเกิดประกายขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าคัมภีร์แปรสมุทรนี้ฝึกบำเพ็ญวิชาเวท ไม่ใช่ฝึกกายา และการต่อสู้กับสำนักวัชระ ก็ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงข้อบกพร่องที่มีแต่วิชาฝึกกายาแล้ว

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ลังเล หลังจากที่จดจำวิชาอย่างละเอียด ก็หลับตาลงแล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรทันที

รอบๆ เรืออูเผิงเกิดลมขึ้นฉับพลันจากการฝึกบำเพ็ญ ผืนทะเลเกิดแสงวิบวับ พลังวิญญาณที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งทะเลต้องห้าม ที่ผสานไอพลังประหลาดเข้มข้นไว้ด้านใน ก็พุ่งตรงเข้ามายังเรือเล็กของสวี่ชิง

เกราะแสงคุ้มกันสามารถขวางวิชาเวทได้ แต่ไม่สามารถสกัดพลังวิญญาณที่หลั่งทะลักเข้ามาเหล่านี้ได้ พวกมันก็พุ่งเข้าไปตามรูขุมขนของสวี่ชิงทั้งตัวจนเกิดเป็นสายระโยงระยาง

ร่างกายที่ไม่มีไอพลังประหลาดใดๆ หลังจากถูกขัดเกลามาหลายต่อหลายครั้ง ชีพจรทั้งหมดเชื่อมถึงกัน จึงทำให้การหลั่งไหลของพลังวิญญาณนี้ไม่มีอุปสรรค และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ร่างกายของเขาเหมือนกับฟองน้ำแห้งดูดซับพลังวิญญาณเหล่านั้นลงไปในพริบตา มารวมที่จุดตันเถียนของเขาช้าๆ

สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ว่าเคล็ดคีรีสมุทรของตนเองเหมือนถูกคัมภีร์แปรสมุทรดึงดูด และคิดจะโคจรตามสัญชาตญาณในการฝึกบำเพ็ญนี้ แต่เนื่องจากชีพจรที่ไหลเวียนแตกต่างกัน ดังนั้นจึงถูกเขาสะกดเอาไว้

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงใจกระตุก เพราะแรงปะทะการไหลเวียนของเคล็ดคีรีสมุทรที่ยิ่งรุนแรงขึ้น หลังจากครุ่นคิดจึงไม่สะกดมันต่ออีก

พริบตาต่อมา เคล็ดคีรีสมุทรที่ไม่ถูกสะกดไว้ พลังวิญญาณที่หลั่งทะลักเข้ามาทั้งสี่ทิศแปดทางขณะที่โคจรทันที ระเบิดเพิ่มขึ้นหลายเท่า

พลังวิญญาณที่มารวมกันยังจุดตันเถียนของเขา ก็โถมขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพริบตาเช่นกัน

การค้นพบนี้ ทำให้สวี่ชิงเริ่มจินตนาการถึงบางอย่างที่ปกติคิดไม่ถึงขึ้นมา

เหมือนว่าวิชาสองวิชานี้เกิดการหลอมรวมขึ้น เคล็ดคีรีสมุทรไม่ได้เข้าปะทะกับคัมภีร์แปรสมุทร แต่เป็นการสนับสนุน

ดังนั้นเขาจึงระเบิดลมปราณทั้งร่าง นอกร่างกายปรากฏภาพมายาเงาขุย

ตอนที่ปรากฏตัว เงาขุยนี้ก็แหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า สองมือยื่นออกมาราวกับจะเคลื่อนย้ายมหาสมุทร จนทำให้พลังวิญญาณในทะเลต้องห้ามราวกับกลายเป็นคลื่นหลั่งทะลัก โถมซัดฉับพลัน

พริบตานั้น ทะเลวิญญาณในตันเถียนของเขาก็ไปถึงอาณาเขตสิบจั้งท่ามกลางจิตใจที่สั่นสะเทือนของสวี่ชิง

คัมภีร์แปรสมุทรขั้นหนึ่ง เสร็จสมบูรณ์

ร่างกายสวี่ชิงสั่นสะเทือน และไม่หยุดครุ่นคิดฝึกบำเพ็ญต่อในขั้นที่สองทันที เพียงไม่นาน คัมภีร์แปรสมุทรขั้นสองก็เสร็จสมบูรณ์

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” สวี่ชิงไม่ลังเล ฝึกบำเพ็ญต่อขั้นสามทันที

ทะเลวิญญาณในร่างกายขยายออกต่อเนื่อง ยี่สิบเอ็ดจั้ง ยี่สิบสองจั้ง ยี่สิบสามจั้ง…

ขณะระเบิดพลังต่อเนื่องเช่นนี้ พลังวิญญาณที่หลั่งทะลักล้วนค่อยๆ กลายเป็นกระแสวนกระแสหนึ่งด้านนอกเรืออูเผิงลำเล็กของเขา จนทำให้ลมของที่นี่แรงขึ้น ผิวทะเลเกิดคลื่น ดึงดูดความสนใจจากองครักษ์ที่อยู่ริมฝั่งทยอยจับตามองมา สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป

“นี่มันศิษย์ระดับปีศาจคนใดกำลังฝึกบำเพ็ญกัน”

“ความเร็วการสูดรับพลังวิญญาณระดับนี้…”

พริบตาที่พวกเขามองออกไปอย่างหวาดหวั่น จู่ๆ กระแสน้ำวนก็ส่งเสียงครืนครัน ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง จนทำให้ผิวทะเลในอ่าวกระเพื่อม เรือมากมายโยกไหวตามกัน ศิษย์ไม่น้อยขมวดคิ้วเดินออกมา มองไปอย่างเย็นชา เพียงไม่นานก็ต่างมีสีหน้าแปลกใจ

“นี่มันอะไรกัน!”

กระแสน้ำวน ยังคงขยายออก!

สวี่ชิงที่อยู่ในเรือเวลานี้สั่นสะเทือนไปทั้งร่าง ทะเลวิญญาณในร่างกายก็ทะลวงสามสิบจั้ง ออกไปจนดถึงสามสิบเจ็ดจั้งในพริบตานี้

และยังขยายต่ออีก

สามสิบแปดจั้ง สามสิบเก้าจั้ง จนไปถึงสี่สิบจั้ง!

สวี่ชิงลืมตาโพลงฉับพลัน ในร่างเขามีแสงม่วงเจิดจ้าแยงตา กลืนความสั่นสะเทือนในดวงตาเสียมิด

“คัมภีร์แปรสมุทร ขั้นที่สี่!”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *